แสนแค้น

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย vacharaphol, 27 พฤศจิกายน 2005.

  1. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,174
    เรื่องราวของความแค้นของหญิงชาวนาที่ต้องมาตายเพราะความใจแคบ
    ของมนุษย์ที่เห็นแก่ตัว

    ในเดือนสิบเอ็ดน้ำเหนือไหลนองหลากเข้าท่วมท้องทุ่งเจิ่งนองไปทั่ว
    บ้านเรือนทุกหลังคาเรือนก็จ่อมจมแช่อยู่ในน้ำ วัวควายถูกต้อน
    ให้ขึ้นไปอยู่ในที่ดอน นอนเคี้ยวเอื้องอยู่บนโคกสูงพ้นน้ำ

    เวลานั้น ราว 4-5 ทุ่ม ไปแล้ว แต่แสงไฟจากตะเกียงหลายดวง
    ในบ้านหลังนี้ยังส่องสว่างราวกลางวัน เนื่องจากสะใภ้ท้องแก่
    ท้องแรกของบ้านนี้ ร้องครวญครางบอกอาการใกล้คลอด
    แต่จนแล้ว จนรอด หมอตำแยก็ไม่สามารถนำเด็กให้คลอดออกมาได้
    สามี ของ หญิงสาวจึงจำต้องนำเธอลงเรือพายไปสู่ถนนหลวงสายใหญ่
    เพื่อขอความช่วยเหลือจากรถที่ผ่านไป ผ่านมา ในระแวกนั้น
    เพื่อพาเธอไปสู่โรงพยาบาล ที่อยู่ในตัวเมือง

    เมือมาถึงถนนใหญ่ก็ไม่ได้รอช้า รีบ อุ้มหญิงสาวที่กำลังร้องครวญคราง
    ด้วยความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส ขึ้นมาวางไว้ริมถนนใหญ่แห่งนั้น
    ตัวเองก็ลนลาน มายืนคอยท่ารถที่จะผ่านไปมาด้วยความกระวนกระวายใจอย่างยิ่ง
    เมื่อก่อนนั้น ถนนสายเอเซีย ยังไม่ได้ปรับปรุงขยายให้มีช่องทางเดินรถ
    หลายช่องเหมือนในปัจจุบัน ความกว้างของถนนก็เพียงรถวิ่งสวนไปมาได้เท่านั้น
    แต่ก็มีรถวิ่งอยู่ตลอดเวลา ส่วนใหญ่ก็จะเป็นรถบรรทุกสิบล้อเกือบทั้งหมด

    สามีของเธอใช้ ผ้าขาวม้าโบกรถคันแล้ว คันเล่า แต่ก็ไม่มีคันไหนหยุดให้
    หรือแบบจะชลอความเร็วให้ก็ยังแทบจะไม่มี ที่เป็นเช่นนี้จะว่าคนขับรถ
    ใจจืดใจดำ เสียทีเดียวก็ไม่ได้ เพราะในยามค่ำคืนอย่างนั้น แถมยังเป็นเส้นทางสายเปลี่ยว
    สองฝากทางมีแต่ทุ่งนา ป่าละเมาะไม้รกครึ้ม แล้วจู่ๆมีคนมาโบกผ้า โบกมือ
    ให้รถจอดในยามวิกาลอย่างนี้ คนขับรถอาจจะคิดว่าเป็น
    โจรผู้ร้ายพวกปล้น มาดักรอชิงทรัพย์ก็ได้ ดังนั้นจึงรีบเหยียบ
    ตะบึงรถผ่านไปเลยในทันที

    มีรถบางคันชะลอ ความเร็วเข้ามาจอดเมื่อเห็นคนโบกผ้าอยู่ข้างทาง
    แต่พอรู้ว่าต้องเป็นภาระช่วยรับคนเจ็บท้องไปส่งโรงพยาบาล
    ก็รีบขับหนีไปเสียดื้อๆ เพราะไม่อยากรับภาระโดยใช่ที่
    ฝ่ายสามีก็ได้แต่ตะโกน กร่น ด่าด้วยความเจ็บแค้นแน่นอก

    เวลาล่วงไปยังไม่พ้นเที่ยงคืน สาวท้องแก่ก็ไม่สามารถทน
    ความเจ็บปวดต่อไปได้อีกก็ขาดใจตาย ณ.ริมถนนแห่งนั้นนั่นเอง
    ส่วนสามีของเธอก็ได้แต่ร่ำไห้เสียใจในการจากไปของ
    ภรรยาและบุตรที่ต้องมาตาย โดยไม่มีโอกาศได้ลืมตามาดูโลก

    ...............................................................
    เหตุการณ์ผ่านไป หลายคนคนได้รับรู้และเสียใจ และอีกหลายคน
    ไม่เคยได้รับรู้ความเป็นไปจากเหตุการณ์นี้ และทุกอย่างคงจบลง
    อย่างง่ายดาย เพราะมันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร
    และทุกคนคงจะลืมเลือนมันไปตามระยะเวลาที่ผ่านไป

    แต่.............ยังมีอีก 2 ชีวิตที่ไม่สามารถลืมเรื่องราวในวันนั้นได้
    นั้นคือ สาวชาวนา ที่ตายทั้งกลม
    แม้ชีวิตร่างกายจะดับสูญไปแล้วแต่จิตวิญญานอันเครียดแค้น
    และความรู้สึกที่ปวดร้าว ต่อบุคคลรอบด้านที่ไร้น้ำใจกับเธอ
    จึงทำให้เหตุการณ์ต่างๆ กับสถานที่ตรงนั้นใช่หรือไม่นั้น
    คุณๆ ลองอ่านต่อไปก็แล้วกันนะครับ

    บริเวณที่สาวชาวนาได้ขาดใจตายนั้นอยู่ใกล้ๆกับทางโค้ง
    ไม่ห่างจากทางแยกเข้าตัวจังหวัด สิงห์บุรีเท่าไหร่นัก
    หลังจากที่เธอตายไป ก็เกิดอุบัติเหตุ รถชนประสานงากันบ้าง
    รถแฉลบลงข้างทางพลิกคว่ำ บ้าง หรือแล่น ทับคนตายบ้าง
    แต่อุบัติเหตุทุกครั้งต้องมีคนตาย จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความรุนแรง

    แต่ที่น่าสังเกตุคือจะเกิดขึ้นกับ รถบรรทุกสิบล้อเป็นส่วนใหญ่
    และส่วนมากคนขับจะตายคาที่แทบทุกราย

    อุบัติเหตุเกิดขึ้นถี่ยิบอย่างไม่น่าเชื่อ และบางครั้งแทบไม่น่าเป็นไปได้
    ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องมาประจำพื้นที่ตรงนั้น เพื่อดูแลการจราจร
    เพื่อที่จะลดสถิติอุบัติเหตุให้เกิดขึ้นน้อยลง
    ชาวบ้านแถวนั้นจึงเรี่ยไรกันสร้างป้อมตำรวจไว้ตรงนั้นอีกด้วย
    ปรากฎว่า แม้แต่ตำรวจก็ต้องเอาชีวิต มาสังเวยกับวิญญานพยาบาท
    ไปเสียอีกหลาย ศพ มาอ่านกันสิครับว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร

    คราวหนึ่ง เป็นเวลากลางวันแสกๆ ตำรวจจราจรสองนาย
    มายืนให้ความสะดวกการจราจรอยู่ตรงหน้าป้อม
    มีรถบรรทุกคันหนึ่งวิ่งลงสะพานมา ทัศนวิสัยของเส้นทางช่วงนี้
    ไม่มีอะไรกีดขวางในการมองเห็นแม้แต่น้อย แทบจะเรียกได้ว่า
    ปลอดโปร่งโล่งตลอดสายตาเลยทีเดียว แต่สิบล้อคันนั้น
    กลับห้อตะบึงพุ่งทื่อเข้าตำรวจจราจรทั้งสองนายนั้น
    และไม่ทันที่ตำรวจทั้งสองนายจะตั้งตัวทัน สิบล้อมหาภัยคันนั้น
    ก็ ชนอัดเข้าให้เต็มเหนี่ยว แล้วทับร่างกายของทั้งสองจนแหลกเล่ะ
    ตายคาที่ทันทีทั้งสองนาย คนขับรถได้แต่นั่งตะลึงสั่นเทาไปทั้งตัว
    หลังจากที่เหยียบเบรค หยุดรถได้แล้ว คนขับรถก็ถูกจับกุมตัว
    ได้ก่อนที่จะหลบหนีไปตามฟอร์ม

    จากคำของคนขับให้การ ว่า เขาเห็นเป็นทางโล่งๆ ไม่เห็นตำรวจหรือใครทั้งนั้น
    แต่แล่นรถไปตามปกติ แต่พอชนตำรวจไปแล้วถึงได้เห็น
    ว่ารถที่ตนขับอยู่นั้นแฉลบเข้ามาวิ่งบนไหล่ทาง และชนคน
    แบบชนิดที่เรียกว่าไม่ได้แต่ะเบรคเลยแม้แต่นิดเดียว
    .....................................

    ทางโค้งซึ้งเกิดอุบัติเหตุซ้ำซาก และ ทำลายชีวิตผู้คนนับสิบศพแห่งนี้
    จึงถูกขนานนามให้เป็น "โค้งผีสิง" "โค้งมรณะ" หรือที่เรียกกันจน
    ติดปากชาวบ้านแถวนั้นว่า "โค้งร้อยศพ"
    จนเป็นที่ขยาดขลาดกลัวของสิงห์รถบรรทุกทั้งหลายที่ต้องใช้เส้นทางนี้ประจำ
    แม้กระนั้นสถิติอุบัติเหตุ ก็ไม่มีท่าทีที่จะลดน้อยลงแต่อย่างใด

    ยิ่งไปกว่านั้น ... ก่อนเกิดอุบัติเหตุแต่ล่ะครั้ง มักจะมีคนเห็น
    สาวท้องแก่แต่งตัวแบบชาวนามาเดินวนเวียนอยู่ตรงจุดที่จะเกิดเหตุ
    ก่อนหน้าสัก 2-3 วัน ก็จะเกิดอุบัติเหตุสยองแทบทุกครั้งไป

    นายดาบตรี สฤษฎิ์ สายนาค
    เป็นลูกศิษย์คนหนึ่งของ พระเดชพระคุณ หลวงพ่อจรัญ ธิตธมฺโม
    มักมาทำบุญที่วัดอัมพวัน เสมอๆ วันหนึ่ง นายดาบท่านได้ไปนมัสการหลวงพ่อ
    ด้วยสีหน้าท่าทางดูมีความวิตกกังวล เป็นอย่างหนัก
    หลวงพ่อท่านจึงถามว่ามีอะไรไม่สบายใจ เห็นดูสีหน้าไม่ใคร่ดีนัก
    นายดาบท่านนั้นจึงได้บอกหลวงพ่อไปว่า
    ตนเองได้ถูกสั่งย้ายไปประจำป้อมตำรวจ ที่โค้งมรณะแห่งนั้น
    เป็นกังวลว่าจะมีอันเป็นไปอย่างตำรวจที่ไปประจำป้อมคนก่อนๆ
    จึงอยากจะขอของดีจากหลวงพ่อไปไว้คุ้มภัยตนเอง
    หลวงพ่อท่านก็ว่าของดีนะไม่มีให้หรอกแต่จะแน่ะทางให้ทำ
    หลวงพ่อจึงแน่ะให้ทำบุญสังฆทาน กรวดน้ำไปให้กับ
    วิญญานร้ายที่อยู่ ณ.ที่โค้งแห่งนั้น แล้วเวลาไปอยู่ที่ป้อมยาม
    ก็จุดธูปเทียน สวดมนต์ อิติปิโสฯ แผ่เมตตา ให้กับวิญญานที่อยู่ที่ตรงนั้น
    บอกเค้าว่าอย่ามารบกวน ก็จะผ่อนหนักให้เป็นเบาได้
    นายดาบท่านนี้ก็ปฎิบัติตามคำแน่ะนำของหลวงพ่อทุกประการ
    ปรากฎว่าตลอดเวลาที่ปฎิบัติหน้าที่อยู่ที่ป้อมแห่งนั้น
    ไม่เคยมีสิ่งใดมารบกวน หรือมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นเลย

    ต่อมา ได้มีนายตำรวจชั้นประทวน สองนายได้มานมัสการหลวงพ่อ
    โดยบอกว่าได้ถูกมอบหมายให้ไปประจำการอยู่ที่ป้อมแห่งนั้น
    แทนนายดาบคนเดิมที่รักษาการณ์อยู่ ได้รู้ว่าก่อนนายดาบจะไป
    ปฎิบัติหน้าที่ ที่โค้งแห่งนั้นได้มาขอของดีจากหลวงพ่อไว้คุ้มภัย
    จึงได้เดินทางมาหาหลวงพ่อเพื่อขอของดีไว้ป้องกันตัวบ้าง

    หลวงพ่อท่านก็ได้ชี้ทางให้แก่ สองนายตำรวจ เช่นเดียวกับ
    นายดาบท่าเดิม แต่ทั้ง สองนายตำรวจทำท่าเหมือนไม่เชื่อว่า
    หลวงพ่อไม่มีของดี หรือมีแล้วไม่ยอมให้แก่เค้าทั้งสอง
    ทั้งสองนายตำรวจจึงได้ลากลับด้วยท่าทางไม่ค่อยพอใจ
    ...............................................
    สองตำรวจไปประจำอยู่ที่ป้อมยามได้ไม่นานเท่าไหร่
    ปรากฎว่า ถูกรถ ชนตาย ทั้งคู่

    สำหรับเรื่องนี้ หลวงพ่อ จรัญ ฐิตธฺมโม ได้กล่าวสรุปว่า
    " ถ้าตำรวจทั้งสองคนนั้นเชื่ออาตมา บางทีอาจจะไม่โดนเคราะห์กรรม
    ถึงขั้นเสียชีวิต แต่คนเราคราวจะถึงที่ตาย จะบอกจะสอนอย่างไร
    ก็มักจะไม่เชื่อไม่ฟัง ยิ่งจิตใจแข็งกระด้าง ไม่น้อมมาทาง
    พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็ยากที่จะผ่อนหนักให้เป็นเบาได้
    เรื่องวิญญาน ร้ายที่โค้งนั้นก็เช่นกัน ถ้ายิ่งไปขับไล่เค้า
    ไปทำร้ายเค้าด้วยเวทมนตร์ คาถา จะยิ่งไปกันใหญ่
    เหมือนเทไฟไปราดบนกองเพลิงที่กำลังลุกไหม้
    ทางที่ดีที่สุดก็คือแผ่เมตตาจิตไปให้เค้า อุทิศส่วนกุศลไปให้เค้า
    ความดุร้ายก็จะอ่อนลงไป เฉกเช่น เราเอาน้ำไปดับไฟ ฉันนั้นฯ

    เรื่องจริงเรื่องนี้ได้ชีชัดให้เห็นว่า
    จิตวิญญานที่มีแต่โทษะจริตนั้น เมื่อดับภพ สิ้นภูมิ มนุษย์ไปแล้ว
    ก็จะยังเวียนว่าย ทนทุกข์ทรมาน อยู่ในโลกของวิญญาน
    หน่ำซ้ำยังสร้างบาปกรรม พอกพูน มากขึ้น
    และคงส่งผลผลักดันให้ วิญญาน จมดิ่งลงสู่ภพภูมิอันมืดมนลงไปทุกที

    หากท่านมีความคิดเห็นและมุมมองว่า วิญญานสาวชาวนาผู้นี้
    ไม่ควรที่จะติดยึดกับอารมณ์โทษะชนิดที่ไม่ยอมเลิกลา
    ลองมองย้อนกลับไปที่คนที่มีชีวิตอยู่รอบๆตัวคุณบ้างสิครับ
    ท่านอาจจะพบเห็นคนอีกหลายคน ที่ยังยึดเหนี่ยวกับอารมณ์โทษะนี้
    ยิ่งกว่าดวงวิญญานดังกล่าวนี้เสียด้วยซ้ำ......
     
  2. sanya

    sanya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2005
    โพสต์:
    455
    ค่าพลัง:
    +2,687
    ใช้ได้กับทุกที่ที่คุณอาศัยครับ...
     

แชร์หน้านี้

Loading...