แผ่เมตตาให้ศัตรู (ท่านปิยโสภณ วัดพระรามเก้า)

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย nondanun, 16 ตุลาคม 2010.

  1. nondanun

    nondanun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    5,980
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +32,612
    [​IMG]

    แผ่เมตตาให้ศัตรู

    สัพเพ สัตตา แปลว่า สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง :
    ในที่สุด คนที่เคยเป็นศัตรูเราก็จะกลับกลายเป็นมิตร ไม่ช้าก็เร็ว
    การก่อเวรข้ามภพข้ามชาติกันก็จะหมดไป

    โดย ปิยโสภณ



    คำนำ

    การผูกอาฆาตพยาบาท จองเวร ให้ผลข้ามพบข้ามชาติ
    ถ้าเราเปรียบภพชาติ เหมือนคืนวัน
    การนอนหลับ เหมือนการตาย
    การตื่นจากหลับ เหมือนการเกิด
    ภพชาติก็ใกล้ตัวเราเข้ามา
    การผูกอาฆาตพยาบาท
    เหมือนการเข้านอนโดยไม่ได้อาบน้ำชำระร่างกาย
    หลับก็ไม่เป็นสุข ตื่นขึ้นมาก็ไม่สดชื่น

    ในแต่ละวัน จิตใจของเราเก็บเกี่ยวเฉี่ยวโฉบ
    อารมณ์รัก โลภ โกรธ หลง อิจฉา นินทา
    อาฆาตพยาบาท ขุ่นแค้น ขัดเคือง นานาชนิดเอาไว้
    ถ้าไม่มีวิธีชำระใจ ก็จะเกิดสนิมใจขึ้นมา
    คนไม่อาจนอนได้อย่างมีความสุข หากไม่ชำระร่างกายฉันใด
    ใจที่ไม่ถูกชำระ จะทำให้ฝันร้าย อารมณ์หงุดหงิด หลับไม่สนิท ฉันนั้น

    ข้าพเจ้าเขียนหนังสือเล่มน้อยนี้ขึ้นมาจากเรื่องจริง
    ประสบการณ์จริงที่เกิดขึ้นกับตนเอง
    เมื่อหนังสือนี้พิมพ์เผยแพร่ออกไป
    ปรากฏว่ามีผู้คนจำนวนมากเข้ามาพูดคุยสนทนาด้วย
    บางคนบอกว่าอ่านแล้วทำให้ได้สติ

    มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งมาจากต่างประเทศ
    มีสนิมใจเกิดขึ้นหมักหมมมานานกว่า ๒๐ ปี
    ไม่มีทางแก้ มันตามหลอกหลอนทุกอริยาบถ
    เข้านอน เข้าห้องน้ำ อารมณ์โกรธ
    เกลียดพยาบาทก็ยังตามหลอน
    ต้องถอนหายใจตลอดเวลา

    ข้าพเจ้าแนะนำว่า เราต้องหาวิธีปลดปล่อยอารมณ์นั้นให้ได้
    เพื่อเราจะได้ไม่ต้องผูกอาฆาตพยาบาทใคร
    หรือให้ใครตามมาจองเวรเราข้ามภพข้ามชาติ
    แปลว่า กาลข้างหน้า เราไม่ต้องมารองรับสู้รบกับใครอีกต่อไป
    แต่ทว่า การอโหสิกรรมให้แก่คนที่เรารัก...ทำได้ง่าย
    แต่คนที่เราชัง ทำได้ยาก...ถึงกระนั้น เราก็ต้องทำให้ได้

    การ “แผ่เมตตาให้ศัตรู” ที่เขียนไว้นี้
    พอเป็นแนวทางให้ท่านทั้งหลายฝึกปฏิบัติ
    เพื่อวันหน้า ภพหน้า เราจะได้ไม่มีใครเป็นศัตรูต่อไป
    เป็นการชำระใจของเราให้สะอาดทุกวันๆ
    เพื่อให้มั่นใจว่า แม้วันนี้เราจะต้องตายจากไป
    เราก็รู้สึกไม่ได้เป็นศัตรูกับใคร ไม่มีใครเป็นศัตรูกับเรา
    ไม่มีหนี้กรรมเวรใดๆ จะต้องไปชดใช้กับใครในภพอื่นชาติโน้น
    ใจเราก็เป็นสุขสบาย ใจเขาก็เอิบอิ่มเป็นบุญ
    เริ่มต้นที่เรา มิใช่รอให้เขาเริ่มต้น
    เริ่มต้นวันนี้ มิใช่รอให้ถึงวันพรุ่งนี้...เพราะพรุ่งนี้อาจไม่มีเรา

    ขออนุโมทนาบุญและแสดงความยินดีกับท่าน
    ที่ได้ประโยชน์จากหนังสือเล่มน้อยของข้าพเจ้านี้
    ขอให้ท่านจงคิดว่า
    เราเกิดมาลงทุน แม้ยังไม่ได้กำไร...ก็อย่าให้ขาดทุนในชีวิต
    ขอจงเป็นผู้ปราศจากเวรภัยต่อกันทุกเมื่อ
    อย่าได้พยาบาทเบียดเบียนกัน
    ขอจงอยู่ด้วยกันอย่างร่มเย็นเป็นสุข ตลอดไปเถิด

    ปิยโสภณ


    แผ่เมตตาให้ศัตรู

    เจ้ากรรมนายเวร คือ สัตว์น้อยใหญ่ที่เรากินเป็นอาหาร
    เราชอบกินหมู เจ้ากรรมนายเวรของเรา คือ หมู
    เราชอบกินไก่ เจ้ากรรมนายเวรของเรา คือ ไก่
    เราชอบกินเป็ด เจ้ากรรมนายเวรของเรา คือ เป็ด
    แม้กุ้ง หอย ปู ปลา ที่เรากินมาตั้งแต่เกิด
    กระทั่งถึงวันนี้ นับไม่ถ้วนว่ากี่ร้อยกี่พันชีวิต
    ก็คือ เจ้ากรรมนายเวรของเราทั้งสิ้น

    เนื้อหนังมังสาของเรา อวัยวะทุกส่วน
    ล้วนแล้วแต่มีหุ้นส่วนของชีวิตสัตว์น้อยใหญ่ทั้งสิ้น
    บางครั้ง เราคิดว่าเป็นของเราคนเดียว
    ไม่เคยแผ่เมตตาให้สัตว์น้อยใหญ่
    ที่เรากินเข้าไปทุกวันๆ
    ทั้งๆ ที่เขาสละชีวิตของเขา เพื่อต่อชีวิตเราให้ยืนยาวออกไป

    เขาก็รู้สึกน้อยใจที่ถูกเพิกเฉย
    ความน้อยใจของเขา บางครั้งทำให้เราเกิดโรคร้าย
    เช่น มะเร็ง เป็นต้นได้
    บางทีก็ป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุ หมอหาเหตุไม่พบ
    แต่พอแผ่เมตตากลับหาย
    เรื่องเช่นนี้ มีตัวอย่างให้เห็นมากมาย

    ทุกครั้งที่เราไหว้พระสวดมนต์
    ขอให้เราแผ่เมตตาให้สัตว์น้อยใหญ่ ที่เรากินเป็นอาหาร
    การแผ่เมตตาให้เขา แท้จริง ก็คือ แผ่ให้ตัวเรานั่นเอง
    การให้เขา คือ การให้เรา เพราะเขาอยู่กับเรา
    เขา คือ ร่างกายของเรา
    เขาสละชีวิตเลือดเนื้อ มาเป็นพลังงานชีวิตเรา
    แม้ขณะที่เราอ่านหนังสือหรือทำอะไรอยู่
    ก็มีพลังงานของเขา คอยสนับสนุนทุกส่วน

    การแผ่เมตตาทำได้ง่าย เพียงแต่ให้นึกถึงเขาเสมอๆ
    คิดถึงความดีของเขา ที่ส่งเสริมให้เรามีชีวิตอยู่ได้ถึงวันนี้
    หลับตาน้อมจิตอธิษฐาน
    ขออย่าให้เราเกิดโรคภัยไข้เจ็บ ให้มีความปลอดภัยในชีวิต

    การแผ่เมตตา ถือเป็นการแสดงความขอบคุณต่อหลายชีวิต
    ที่ถูกปรุงเป็นอาหารอร่อยวางบนโต๊ะอาหาร
    รอคอยเรามาร่วมวงขบเคี้ยว
    ดูเหมือนเราไม่ค่อยคิดกันในเรื่องนี้
    หากแต่มองเห็นทุกอย่างบนโต๊ะเป็นความอร่อย
    ทั้งๆ ที่ความจริง เรากำลังกินศพหมู ศพไก่ ศพเป็ด
    ศพวัว ศพกุ้ง ศพปู ศพปลา
    คิดดูเถิด คล้อยหลังจากเราอิ่มเพียงชั่วโมงเดียว
    เนื้อหมู เนื้อไก่ เนื้อปลา หูฉลามที่เรากินเข้าไป
    ก็ถูกย่อยเป็นพลังงาน
    ส่วนกากอาหารก็เน่าเหม็น เป็นอันตราย
    กระทั่งเราต้องขับถ่ายออกมาทุกวันๆ
    เราอาจคิดไม่ถึงว่า เรากำลังกินสัตว์อื่น
    ชีวิตเราถูกเลี้ยงด้วยชีวิตของสัตว์อื่น
    การกิน คือ การต่ออายุ
    วันหนึ่งเราต่ออายุ ๓ เวลา
    แต่ละเวลา เราต้องรับประทานสัตว์อื่นหลายสิบชีวิต
    ขนาดใหญ่บ้าง ขนาดเล็กบ้าง
    บางทีไข่ในท้องปลาที่เรากิน
    หากเขาได้เกิดมาเป็นตัว ก็คงเป็นปลาจำนวนมหาศาล
    แต่เราเคี้ยวกินเป็นกับข้าวเพียงคำเดียว
    การแผ่เมตตาให้สัตว์น้อยใหญ่ที่เรากินเป็นอาหาร
    จึงเป็นสิ่งที่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง
    เพราะเป้นการแสดงความขอบคุณ
    และให้อภัยต่อกันและกัน
    ให้เขามีความรู้สึกว่า เขามีส่วนร่วมในชีวิตของเรา
    เหมือนเรายินดีต้อนรับแขก ที่เดินเข้ามาพักในบ้านเรา
    แขกก็จะรู้สึกอบอุ่น เพราะการตอนรับที่ดีของเจ้าบ้าน

    ต่อมาก็มาถึงการแผ่เมตตาถึงคนที่เรารัก
    และคนที่เรารู้สึกว่า เขาเป็นศัตรูกับเรา
    คือ เรารู้สึกเกลียดชังเหลือเกิน
    ไม่อยากพูดด้วย ไม่อยากร่วมงานด้วย
    ไม่อยากเกี่ยวข้อง ไม่อยากเห็นหน้า

    โดยธรรมชาติของมนุษย์
    ยิ่งเกลียดยิ่งได้อยู่ใกล้
    ยิ่งโกรธก็ยิ่งถูกแกล้ง
    เขาทำอะไรลงไป
    ดูเหมือนจะขัดใจขวางหูขวางตาไปหมด
    เพราะเราตั้งใจไว้ผิดเสียแล้ว
    เพียงแต่เห็นก็เป็นทุกข์
    เขาทำปากขมุบขมิบอยู่ไกล ไม่ได้ยินเสียง
    เรายังคิดว่าเขากำลังด่าเราได้

    เราเป็นทุกข์เพราะความคิด
    ทุกข์เพราะจินตนาการ
    เป็นความผิดของเราเอง มิใช่ความผิดของเขา
    บางทีเขาก็แกล้งให้เราเป็นทุกข์
    เพราะรู้ว่าให้ยาพิษแล้ว
    เรายินดีรับมาดื่ม เป็นความผิดของเราเอง
    เรากำลังจุดไฟภายในเผาเราเองต่างหาก


    เป็นเรื่องน่าคิดว่า มนุษย์เราชอบมองหาความผิด
    ชอบจับเอาความผิด เค้นหาความผิดของคนอื่น
    ส่วนความผิดของตนกลับกลบเกลื่อน ไม่ค่อยจับถูก
    เมื่อจับผิด เขาจึงพลาดความดีตลอดเวลา
    อะไรที่เป็นขยะ จึงขนเข้ามากองในใจทั้งหมด
    สุดท้ายหัวใจของเขา ก็กลายเป็นกองขยะที่เน่าเหม็น
    มิใช่หิ้งบูชาที่งดงามอย่างแต่ก่อนอีกต่อไป

    ด้วยเหตุนี้ เราจึงต้องปรับเปลี่ยนวิธีคิดให้ได้
    ปรับวิธีดำรงชีวิตเสียใหม่ ไม่ให้ใจเป็นถังขยะ
    แต่ให้ใจเป็นหิ้งบูชาพระที่งดงามทุกวัน
    ด้วยการมองหาดีของคนให้พบ
    มองบวก คิดบวก พูดบวก
    เพราะการทำอะไรเป็นบวก จะทำให้ได้กำไร และใจสบาย

    ส่วนการมองลบ คิดลบ พูดในทางลบ
    นอกจากตัวเองเกิดทุกข์แล้ว
    ยังทำให้ผู้อยู่รอบตัวเราเป็นทุกข์ตามไปด้วย
    เราควรหลีกเลี่ยงคนที่คิดในทางลบ
    เพราะทำให้ชีวิตเราติดลบไปด้วย


    การแผ่เมตตา คือ การคิดบวก พูดบวก มองหาดี
    ดูเหมือนจะเป็นเรื่องยาก
    แต่ความจริงหากฝึกให้เป็นนิสัย ก็เป็นเรื่องง่าย
    เพราะโดยธรรมชาติแล้ว
    เราชอบใคร เราก็อยากไปหาคนนั้น
    เรารักใครมาก ก็อยากยกให้เขาหมด
    มีอะรก็ให้หมดได้โดยไม่รู้สึกเสียดาย
    แม้บางครั้ง เขาไม่อยากได้
    เรายังอุตส่าห์ยัดเยียดให้เลย ถ้าพอใจ ภูมิใจ
    พอเขาไม่รับ ก็อาจเสียใจลึกๆ
    หาว่าไม่สนใจ ไม่ใส่ใจ ไม่ยินดีตอนรับ
    จากรักก็พาล จะกลายเป็นร้ายไปได้


    มาถึงคนที่เราเกลียดชัง
    เรื่องจะแบ่งใจให้ไม่มีอยู่แล้ว
    เรื่องง่ายก็มักเป็นเรื่องยากเสมอ
    จึงจำเป็นต้องหาวิธีแผ่เมตตาที่แยบคาย

    โดยธรรมชาติมนุษย์ เกลียดชังใคร
    แม้แต่เงา เราก็ไม่อยากเห็น มีอะไร ก็ไม่อยากให้
    เราไม่ต้องการมีส่วนเกี่ยวข้องกับคนๆ นั้น
    ต้องการเดินคนละเส้นทาง ห่างได้ยิ่งดี
    แต่เขาลืมคิดไปว่า ทางอารมณ์เราหนีตัวเองไม่ได้
    ยิ่งเดินหนีก็ยิ่งวิ่งตาม
    อารมณ์โกรธเกลียด ก็มักจะวิ่งตามขนาบเราไป
    บางทีก็วิ่งข้ามภพข้ามชาติไปกับเรา
    ก่อเหตุร้ายไม่สิ้นสุด
    ยุติพยาบาทในชาตินี้ให้ได้
    แผ่เมตตาให้ อโหสิกรรมกันให้ได้ในชาตินี้

    จะมีใครคิดบ้างว่า
    ศัตรูบางคน ตั้งความปรารถนาขอไปเกิดเป็นลูกของเราก็มี
    เพื่อจะได้เผาผลาญจิตใจของเราให้ถึงที่สุด
    เช่น ลูกบางคนเกิดมา เพื่อผลาญทรัพย์สินสมบัติของพ่อแม่
    ทำให้พ่อแม่เกิดทุกข์ สอนไม่ได้ บอกไม่ฟัง
    ทำให้พ่อแม่นอนเป็นทุกข์ กินไม่ได้
    ไม่เคยมีความภูมิใจในลูก มีแต่ความกลัดกลุ้มใจ

    บางคนพ่อแม่ถึงขนาดตัดขาดจากความเป็นพ่อแม่ลูกกันก็มี
    สิ่งเหล่านี้ เราต้องมองให้ออก
    และหาวิธีแก้ต้นเหตุที่ระบบความคิดของเราให้ได้

    แต่ช่างน่าแปลกเหลือเกินที่คนเราชังใครมากๆ
    มักจะต้องได้เกี่ยวข้องกับคนนั้น
    ไม่อยากเห็นหน้าใคร ก็มักจะได้เห็นเขาอยู่บ่อยๆ
    ยิ่งเกลียดยิ่งได้อยู่ใกล้
    ถึงขนาดบางคนต้องมาอยู่เป็นคู่ชีวิตก็มี
    กรรมเวรมีจริง ผลของการอาฆาตพยาบาท ให้ผลร้ายขนาดนี้


    อะไรทำให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้
    พลังงานความคิดที่เรา ไม่ยอมปลดปล่อยอารมณ์ออกไปนั้นเอง เป็นเหตุ
    สังเกตดูให้ดีจะเห็นว่า เราคิดเกลียดเมื่อใด
    ก็เท่ากับเราทาสีลงบนผ้า ที่สีกำลังจะเลือนหายไป
    เราคิดโกรธเมื่อใด
    เท่ากับเราตอกย้ำให้เกิดความคมชัดทางความรู้สึกขึ้นมาอีกเท่านั้น
    เป็นการเติมมโนกรรม วจีกรรม กายกรรม
    ที่มีต่อคนๆ นั้น ให้คงเหลืออยู่ตลอดเวลา
    ทั้งๆ ที่ใกล้จะเลือนหายไปแล้ว

    คนเราชอบพูดถึงคนที่เราเกลียด
    เมื่อพูดบ่อยๆ อารมณ์นั้นก็จะฝังแน่นในใจ
    แม้ไม่ปรารถนาจะเก็บความไม่ดีของคนนั้นไว้
    เขาหารู้ไม่ว่า นั่นคือ การนำขยะที่เน่าเหม็นมาเก็บไว้ในใจตัวเอง

    ในที่สุด ใจเราก็เต็มไปด้วยอารมณ์เกลียด
    อารมณ์เน่าเฟะอยู่ในใจเรา
    พึงจำไว้ว่า คนที่เราเกลียดชังหรือโกรธแค้น
    หยุดพูด...ก็หยุดคิด
    หยุดคิด...ก็เลือนหาย
    เพียงแต่เราอดใจไม่ได้ มักย้ำคิด ย้ำทำ ย้ำพูด
    สติเราไม่พอกับความรุนแรงของอารมณ์
    การยับยั้งชั่งใจไม่เข้มแข็ง
    จึงต้องเหยียบย่ำทำกรรมในใจตัวเอง


    ขอให้สังเกตดูให้ดี เรื่องนิดเดียวสามารถบานปลาย
    ได้ด้วยคำพูดเพียงคำเดียว
    บางทีเราพูดนิดเดียว แต่คนฟังนำไปขยายต่ออีกสิบ
    พูด ๒ ครั้ง ก็นำไปขยายต่ออีกนับไม่ถ้วน
    ความเกลียดชัง อาจเริ่มต้นจากจุดนิดเดียว
    แต่กลายเป็นเชื้อไวรัสมากมาย
    เพราะคำพูดของเรา เพราะปากของเราเอง
    เพราะเห็นแก่ความสนุกปาก

    การปรับทุกข์ในบางครั้ง
    ก็ไม่ต่างอะไรกับการเติมเชื้อเพลิงความทุกข์ ให้ตัวเอง
    เติมเชื้อแห่งความอาฆาตพยาบาท ลงไปในจิตใจเราเอง

    เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงจำเป็นต้องหาวิธีแผ่เมตตาให้ถูกต้อง
    คือ แผ่ให้ถึงศัตรูให้ได้
    เพื่อให้ความเป็นศัตรูในใจเขาและเราหมดไปจากกัน
    ยุติบทบาทกรรมข้ามภพข้ามชาติให้ได้

    ในทางพุทธศาสนา พระพุทธองค์ทรงสอน
    ให้เราแผ่เมตตาด้วยการใช้คำว่า
    “สัพเพ สัตตา แปลว่า สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง”
    คำนี้มีนัยที่สำคัญมาก
    นั่นคือ ทรงสอนให้เราแผ่เมตตาให้ถึงศัตรูได้ โดยไม่รู้สึกติดขัด


    ให้คิดว่าคนทุกคนเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตที่มาเยือนโลก
    ชาติชั้นวรรณะ เขาสมมติเรียกให้
    เผอิญเกิดบนแผ่นดินไทย ก็เรียก คนไทย
    หากเกิดที่จีน ก็เรียก คนจีน
    เกิดญี่ปุ่น ก็เรียกว่า คนญี่ปุ่น
    แต่ความเป็นคนเป็นสัตว์เท่ากัน
    มีความเสมอกันในการได้ชีวิต
    จริงๆ แล้ว เราก็อยู่ในโลกนี้ได้ไม่นาน...ก็ต้องจากโลกนี้ไปทั้งนั้น

    การมาเกิดจึงไม่ต่างจากการมาเที่ยว
    เมื่อวีซ่าหมดอายุ ก็ต้องรีบกลับ
    ถ้าเราคิดกว้างๆ ได้อย่างนี้
    คือ คิดว่าทุกคนเป็นเพียงสรรพสัตว์เท่านั้น ไม่ได้คิดว่าเป็นศัตรู
    ใจของเราก็จะรู้สึกสบายขึ้น เบาโปร่ง หายใจโล่ง
    เราก็เริ่มจะแผ่เมตตาได้


    ธรรมดามนุษย์เรา เวลาแผ่เมตตาให้คนที่เรารัก
    พลังจิตจะถูกดึงออกไปอย่างแรง
    เหมือนเทน้ำลงไปในที่ลุ่ม
    น้ำจะใหลลงไปที่ลุ่มอย่างรวดเร็ว
    ส่วนการส่งกระแสจิตแผ่เมตตาไปให้คนที่เราเกลียดชัง
    เหมือนเทน้ำให้ไหลไปที่ดอน ย่อมเป็นไปไม่ได้

    อารมณ์ที่ส่งไปถึงคนที่เราเกลียด จึงมักจะติดขัด
    เพราะพลังจิตไม่ยอมเดินทาง
    เนื่องจากมีความคิดว่า จะแผ่เมตตาให้ศัตรูทำไม
    ในเมื่อเขาทำเราเจ็บ
    เมื่อคิดเพียงเท่านี้ คนที่เป็นศัตรู ก็ยังคงเป็นศัตรูอยู่ต่อไป
    และอาจเพิ่มความเป็นศัตรูมากขึ้นทุกครั้ง
    ที่แผ่เมตตาให้คนที่รารักเราชอบ

    เหมือนมีเด็กสองคนยืนอยู่ต่อหน้าเรา
    คนหนึ่งเรารักมาก อีกคนเราไม่รักเลย
    เวลายื่นของให้เด็ก เรายื่นให้เฉพาะเด็กที่เรารัก
    ไม่ยื่นให้คนที่เราชัง เด็กก็รู้สึกต่างกัน
    ทุกครั้งที่เรายื่นของให้เด็กที่เรารัก
    ก็จะเพิ่มความเกลียดชังในใจของเด็กอีกคน
    การอิ่มครั้งที่สองของเด็กคนหนึ่ง
    ย่อมหมายถึงความหิวทวีคูรของเด็กอีกคน

    วิธีแผ่เมตตา ท่านจึงสอนไม่ให้คิดว่า เป็นคนที่เรารักหรือชัง
    หากแต่ให้คิดว่า เป็นสรรพสัตว์ที่เป็นเพื่อนร่วมทุกข์เกิดแก่เจ็บตาย
    ร่วมโลกเดียวกัน ทุกชีวิตเป็นเพียงธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ เท่านั้น
    การคิดเช่นนี้ เป็นการปรับอารมณ์ให้สมดุลกันก่อน
    ปรับให้ถึงธาตุเดิมของชิวิต
    ยกเชื้อชาติศาสนาวัฒนธรรมเผ่าพันธุ์ออกไปก่อน
    เพื่อไม่ให้เกิดความสุดโต่งทั้งรักและชัง
    เหมือนกับการปรับพื้นดินไม่ให้สูงหรือต่ำ
    แต่ปรับให้พื้นทุกตารางนิ้วได้ระดับเดียวกันหมดเสียก่อน
    แล้วจึงเทน้ำลงไป น้ำที่เทลงไปก็จะกระจายไปทุกพื้นที่ได้ง่าย
    ที่ดอนก็ไม่มี ที่ลุ่มก็ไม่เกิดขึ้น
    การแผ่เมตตาก็เช่นเดียวกัน

    การแผ่เมตตาให้คนที่เราเกลียดทำได้ยาก
    แต่จำเป็นยิ่งกว่าแผ่เมตตาให้คนที่เรารัก
    เพราะปัญหาอยู่ที่ความรู้สึกเป็นศัตรู มิใช่ความรู้สึกรัก
    ยิ่งเกลียดมากยิ่งต้องใช้พลังจิตสูง
    แต่ถ้าทำได้แล้ว ก็สบายใจไปตลอดชีวิต
    อาจจะยากเพียงครั้งแรกครั้งเดียว...ครั้งต่อไปก็ง่าย
    ยิ่งเราได้ปฏิบัติเป็นประจำจนเคยชิน...ของยากก็เป็นของง่าย
    ทุกอย่างก็ถือเป็นปกติ ไม่มีอุปสรรคขัดข้อง
    และความรู้สึกเป็นศัตรูหรือโกรธเกลียด อาฆาตพยาบาท...ก็จะหมดไป
    ก็จะเลือนหายไปจากใจเรา...กระทั่งหมดสิ้น


    ในที่สุด คนที่เคยเป็นศัตรูเราก็จะกลับกลายเป็นมิตร...ไม่ช้าก็เร็ว
    การก่อเวรข้ามภพข้ามชาติกัน...ก็จะหมดไป
    ทุกชีวิตก็จะปลอดจากภัยเวรในสงสารวัฏ
    เกิดภพใดชาติใด ก็จะพบแต่คนดี
    มีคนอุ้มชูช่วยเหลือ จะทำให้มีครอบครัวดี มีลูกดี
    มีรูปสมบัติ มีสติปัญญาดี
    เพราะทุกอย่างเริ่มต้นที่ “ทำใจดี” ให้ได้ในวันนี้



    ที่มา : คุณ Ratha
    http://larndham.net/index.php?showtopic=23678

    คัดลอกจาก...คุณคนเคยบาป
    http://www.dhammathai.org/store/talk/view.php?No=192


    ที่มาhttp://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=12004
     
  2. Red-X

    Red-X เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    370
    ค่าพลัง:
    +1,217
    คนบางคนชอบคิดว่าตัวเองอยู่ได้ เติบโตมาได้ ประสบความสำเร็จได้ด้วยตัวของเขาเองล้วน โดยไม่นึกถึงว่ามีหลายชีวิตที่ต้องเสียสละชีวิตที่รักของตนให้กับคนที่ไม่สำนึกบุญคุณ อนุโมทนา สาธุกับจขกท.ด้วยคะ ขอบคุณที่นำเรื่องดี ๆ มาเล่าสู่กันฟังคะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...