"เอากายนี้เป็นสนามรบ" : องค์หลวงปู่น้อย ญาณวโร

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย Nana nora, 22 มิถุนายน 2023.

  1. Nana nora

    Nana nora สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    386
    กระทู้เรื่องเด่น:
    5
    ค่าพลัง:
    +68
    055.jpg

    #เอากายนี้เป็นสนามรบ

    “…อย่าเป็นทุกข์กับมัน ดูแลรักษามันเป็นไปเท่าที่จะดูแลรักษามันได้ ปัญญามันต้องเกิดนะลูกนะ ไม่ใช่ว่าเวลาเจ็บไข้ได้ป่วยแล้ว การภาวนามันไม่มี ภาวนาไม่ได้ต้องให้ร่างกายดีจึงจะภาวนาได้ อันนี้คนขาดปัญญาคนคิดผิดแล้ว ก็ภาวนายังไม่ถึงไหน แต่ถ้าคนภาวนาเป็นจะรู้เลยจะหาวิธีออกจากนี่สิ่งปฏิกูลเน่าเหม็นคือร่างกายนี้เวลามันเจ็บไข้ได้ป่วย ก็ใช้ร่างกายนี้นั่นแหละเป็นกรรมฐานอันเอก พระอริยบุคคลที่ท่านทรงมรรคทรงผลหรือจิตของท่านเป็นหนึ่งอยู่ตลอดนี่ ท่านเอากายนี้เป็นสนามรบ ถ้าเวลามันเจ็บไข้ได้ป่วยถ้าเวทนามันเกิดนั่นแหละสติปัฏฐานสี่เกิดแล้ว กาย เวทนา จิต ธรรรม ท่านจะใช้ตัวนี้พิจารณากายเหมือนหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ใช้กายนี้พิจารณาเมื่อท่านอาพาธอยู่ที่ถ้ำเขาสาริกา นครนายก ท่านก็ใช้กายนี้พิจารณาจนท่านบรรลุพระอนาคามี จิตสอดรู้สอดเห็นไปหมดในไตรโลกธาตุเพราะท่านสร้างบารมีเป็นพระโพธิญาณ เวลาหลวงปู่หลวงตารูปนั้นคิดนึกตรึกตรองอะไรที่เป็นวัดอยู่ที่ข้างล่าง หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต จะทราบหมด
    เห็นไหมก็เพราะเอากายนี้เป็นสนามรบ ก็ท่านอาพาธไง พอฉันภัตรเข้าไปแล้วมันไม่ยอมย่อย เข้าไปยังไงมันก็ออกมาอย่างงั้นเพราะพรtก็ตายเยอะแล้วใช่ไหมล่ะ ท่านก็รู้ว่าท่านจะเป็นศพต่อไปนั่น ท่านก็พิจารณากายนี้คือสติไม่ห่างกาย สติกำลังปัญญาอยู่ในกายนี้ตลอดๆ จนมันดับทั้งโลกอยู่ที่ถ้ำเขาสาริกา

    ถ้ามันดับทั้งโลกนี้ จิตนี้มันเหมือนจะทิ้งร่างกายนี้เลยนะ ถ้ามันดับทั้งโลกนี่ มันเหมือนจะไม่สนใจกับร่างกายนี้เลย แต่ถ้ามันรวมใหญ่มันยังเหลืออยู่นะ แต่มันจะเกิดนิพพิทาความเบื่อหน่ายไปตามกำลังจิตที่มันพิจารณาไตร่ตรองแล้วสมเหตุสมผลของมัน แต่ถ้ามันดับทั้งโลกเนี่ยมันจะขาดสะบั้นไปเลย ระหว่างนึกตรึกตรองคือใจนี่ ใจตัวที่มันยึดมั่นถือมั่น มันจะขาดสิ้นไปเลยเนี่ยถ้ามันดับทั้งโลกนะหลวงปู่ผ่านมาเป็นอย่างงั้นสมัยเป็นผ้าขาวนี่ เวลาที่มันอาพาธหนักมันก็ใช้ร่างกายนี้เป็นสนามรบ เวลามันใช้ร่างกายนี้เป็นสนามรบมันก็ดับไปเลยทั้งที่มีสติจ่ออยู่ เล็กเข้าๆหัวใจกิ่วเข้าๆขาดสะบั้นผ่างออกจากกัน...เงี้ยบ

    ตัววยึดมั่นถือมั่นในกายนี้มันจะไม่มี มีแต่ตัวสติจ่ออยู่ เอ้า...ตายก็ตาย จะรู้ว่ามันเวลามันตายเนี่ยใจมันขาดนี่มันจะเป็นยังไง สติมันก็จะจ่ออยู่ที่ตรงหัวใจดวงนั้นที่มันกำลังกระเพื่อมที่มันจะขาดสะบั้นสุดท้ายบั้นปลายที่ร่างกายมันจะแตกสลายมันก็จ่ออยู่งั้น เพราะความรู้สึกนี้คิดทางด้านอื่นมันก็ดับหมดแล้วนี่มันไม่มีนี่มันก็รวมลงๆมันก็เหลืออยู่ที่ใจอย่างงั้นนี่ก็คือเรียกว่ามันดับทั้งโลก แต่ถ้ามันรวมใหญ่นี้มันก็จะเป็นอีกอย่างก็เหมือนที่ต้นหว้าต้นนั้นที่มันรวมใหญ่ มันจะรวมใหญ่ก็เหมือนโลกธาตุต่างๆไหลรวมกันเป็นหนึ่ง ดินน้ำไฟลมไหลรวมกันนั้นนะเป็นอย่างงั้น มันก็จะทะลุโลกธาตุออกไปแล้วก็สงบนิ่งอยู่ในอวกาศ เรียกว่า อวกาศของจิต เวลามันถอน มันก็เหมือนขึ้นจากเหวจากบ่อ เดี๋ยวเวลาที่มันรวมมันก็รวมเหมือนตกเหวตกบ่อมันเป็นอย่างงั้น นี่ก็คือจิตมันจะลงไปอย่างงั้นในจิตที่มันไม่ยึดร่างกายนะ นี่มันจะเป็นอย่างงี้

    แต่ถ้าเรายังทิ้งร่างกายไม่ได้ มันก็จะเป็นจิตรวมธรรมดาๆยังเป็นมิจฉาสมาธิอยู่ถึงจะรวม ถึงลมขาดหายไปก็ตามมันยังเป็นมิจฉาสมาธิอยู่เพราะมันยังไม่เห็นสนามรบคือร่างกายนี้อยู่ในกฎพระไตรลักษณ์ญาณ มันก็ยังเป็นธรรมชาติธรรมดาของจิตเราจะรู้หรือไม่รู้มันก็รวมกันอยู่งั้น เราไม่ทราบสติเรายังไม่เห็นมัน แต่เมื่อสติเราเห็นมันเราก็จะทราบว่า เอ้า...เอ้า...รวมขาดหายไป อันที่จริงมันก็ขาดหายไปเวลาเราจะหลับเราก็รู้อยู่แล้วนี่ใช่ไหมล่ะแต่สติเราเราไม่รู้เท่านั้นเอง ทีนี่เวลาเราจะหลับสติมันขาดไปนี่ก็เหมือนกับลมมัน ขาดไปนั่นแต่เราไม่ทราบเฉยๆ มันก็เป็นของมันอยู่อย่างงั้นตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว แต่เมื่อเรามีสติกำหนดรู้ดูอยู่ในขณะนั้นจึงจะค่อยเห็นลมค่อยหายไปๆๆแล้วก็ดับเงียบไป อันที่จริงมันเป็นมาตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้วล่ะ แต่เราไม่กำหนดรู้แค่นั้นเองนั้นมันก็ได้แค่นั้น ถ้าเรายังไม่เกิดนิพพิทาความเบื่อหน่าย เอาร่างกายนี้เป็นสนามรบมันก็ได้แค่นั้น ปฏิบัติไปก็ถึงนั้นมันก็ได้แค่นั้น เพราะนั่นคือฐานของจิตมันไม่ได้มีอะไรต่อไปอีก มันดับแล้วดับรูปดับเวทนาสัญญาสังขารทุกสิ่งทุกอย่างเหลือแต่ธาตุรู้แห่งวิญญาณมันอยู่อย่างงั้น ตัวปรุงตัวแต่งมันก็ดับไปๆ มันก็เป็นของมันอยู่อย่างงั้น

    เออ...แล้วจะบอกว่าเออให้มันสมบูรณ์บริบูรณ์ที่บอกว่าต่อไปมีไหม ไม่มี มัยจะอยู่แค่นั้น เราก็เอาจิตที่มีพละกำลังนั้นออกมานี่เอากายเป็นสนามรบ พิจารณาขันธ์ ๕ ลงสู่พระไตรลักษณ์ญาณ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ร่างกายนี้เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่ใช่เราสักอย่าง ความคิดนึกตรึกตรอง สุข ทุกข์ มันก็ไม่ใช่เราบังคับกันไม่ได้ พอพิจารณาอย่างนี้เนืองๆปั๊บมันก็จะทำปฏิกิริยาในการรวมแบบใหม่ ตอนนี้มันจะรวมแบบมีสติมันจะรวมในกาย มันไม่รวมข้างนอก ตอนนี้มันจะรวมในกายมันจะเห็นกายตัวนี้อยู่ในกฎพระไตรลักษณ์ญาณแล้วมันก็ลงพรึบลงไป ตัวนั้นมันรวมใหญ่ คือเห็นชัดแจ้งเลยแหละแล้วมันก็สิ้นสงสัยของมันภายในปั๊บมันก็จะปรับสภาพของมันปั๊บนั่นเข้าสู่สัมมาสมาธิปั๊บเลย เกิดนิพพิทาความเบื่อหน่าย เบื่อหน่ายในการเกิดเพราะเกิดที่ไหนก็มีเกิดแล้วก็ต้องมีแก่มีเจ็บมีตาย เห็นกามภพ รูปภพ อรูปภพ เป็นเหมือนลักษณะกองขยะมันเป็นของมันอย่างงั้น มันไม่อยากได้อะไรเลยเนี่ย แต่มันก็เป็นเพียงชั่วครู่ชั่วคราว ถ้าสติปัญญาไม่ถึงมันมันก็เสื่อมได้ เพราะเป็นอำนาจจิตศิลาทับหญ้า แต่เราต้องใช้ตัวนี้ เมื่อเห็น ร่างกายนี้เบื่อร่างกายนี้ เมื่อเห็นร่างกายนี้เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เมื่อไรมันเป็นทางเดนเข้าสู่มรรคขั้นต้นปั๊บ

    สติต้องไม่ห่างตอนนี้ก็ต้องทำต่อไปๆๆ ถ้าไม่ทำต่อไปมันก็เสื่อม ดั่งที่ได้ประพฤติมานะ แต่ถ้าทำต่อไปนี้มันจะไม่เสื่อม มันจะค่อยละเอียดเข้าไป ละเอียดเข้าไปเรื่อยๆ ซึมซับเข้าไปเรื่อยๆ มันไม่ถอนออกมา พอที่มันเป็นอย่างนั้นปั๊บ บางคนก็เข้าใจว่าตัวเองบรรลุมรรคผลแล้ว เข้าสู่กระแสธรรมแล้ว ก็เลยเกิดดีอกดีใจ เมื่อเกิดความดีใจเกิดขึ้นปั๊บ มันก็เกิดความเสื่อมเห็นไหมที่พระหลายพรรษาเวลาปฏิบัติไปถึงนี้ปั๊บก็ต้องสิกขาลาเพศเพราะทนไม่ได้

    พระธรรมเทศนา : องค์หลวงปู่น้อย ญาณวโร
    วัดป่าห้วยริน ต.หัวนาคำ อ.กระนวน จ.ขอนแก่น
    ๕ เมษายน ๒๕๖๖ (ตอนเย็น)
     

แชร์หน้านี้

Loading...