เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๖๖

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 30 เมษายน 2023.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,461
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,534
    ค่าพลัง:
    +26,371
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๖๖


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,461
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,534
    ค่าพลัง:
    +26,371
    วันนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ ๒๙ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๖ กระผม/อาตมภาพตื่นขึ้นมาด้วยความหนาวเหน็บเป็นพิเศษ เพราะว่าอากาศที่นี่แค่ ๘ องศาเซลเซียสเท่านั้น แล้วระบบไฟฟ้าอุ่นเตียงอะไรก็ใช้ไม่ได้เลย แม้กระทั่งน้ำร้อนที่จะอาบ ถ้าหากว่าเปิดเมื่อไร ไฟฟ้าก็จะดับไปด้วย จึงได้แต่ล้างหน้าอย่างเดียวเท่านั้น แล้วออกไปเดินดูฟ้าดูดินทางด้านนอกตั้งแต่ยังไม่ทันจะสว่างดี ปรากฏว่าพี่น้องมุสลิมได้ทำการละหมาดเช้าอยู่แล้ว กระผม/อาตมภาพเพิ่งจะได้พบเสียงสวดมนต์ที่ไพเราะเป็นอย่างยิ่งของพี่น้องมุสลิมก็ที่นี่เอง

    เมื่อทุกคนตื่นแล้วก็ออกมารอเวลาว่าเมื่อไรอาหารถึงจะมา ปรากฏว่าคุณนวลจันทร์ เพียรธรรม ผู้ก่อตั้งบริษัทเอ็นซีทัวร์ ได้นำมาขนมจีบซาลาเปามาแบ่งให้ก่อน หลังจากนั้นทางเจ้าของเรือถึงได้นำอาหารมาให้ ซึ่งประกอบไปด้วยข้าวต้ม ที่ไม่รู้ว่าจะให้ฉันกับอะไร ? ขนมปังปิ้งก็มีแต่เนยอย่างเดียว แล้วก็มีไข่เจียวกับกล้วยหอม ทางด้านเจ้าของเรือถามว่า "ต้องการอะไรเพิ่มหรือไม่ ?" เมื่อถามว่า "คุณมีอะไรบ้าง ?" เขากลับตอบว่า "ไม่มี" พวกเราก็ยังงงว่าตกลงคุณถามเพื่ออะไรกันวะ ? จึงก้มหน้าก้มตาฉันอาหารไปตามมีตามเกิดอย่างนั้น

    เมื่ออิ่มเรียบร้อยแล้ว พวกเราในลำนี้ที่ประกอบด้วย
    กระผม/อาตมภาพ ดร.พระครูโรจน์ น้องเล็ก (นางสาวจิราพร ซื่อตรงต่อการ) ลูกปุ๊ก (นางสาวสุมาลี ตีรเลิศพานิช) ก็ยกกระเป๋าออกมาวางรออยู่ที่ห้องโถงรับแขก ปรากฏว่ารอแล้วรอเล่า เรือที่จะมารับก็ไม่มา จนกระทั่งเรือลำอื่นมารับคนอื่น ๆ ไปกันจนหมดแล้ว พวกเราทนรอไม่ไหว จึงยกกระเป๋าออกมาตั้งทางด้านนอก ทางเจ้าของเรือเมื่อเห็นเรายกกระเป๋าออกมาตั้งทางด้านนอกแล้ว จึงได้โทรศัพท์เรียกให้เรือที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งมารับ ถ้าหากรู้ว่าต้องรอให้เรายกกระเป๋าออกมาแล้วถึงจะโทรศัพท์เรียกเรือให้ ไม่อย่างนั้นป่านนี้พวกเราก็คงไปได้ครึ่งประเทศแล้ว..!

    เมื่อเขายกกระเป๋าขึ้นเรือให้ ยังมีการเรียกทิปอีก กระผม/อาตมภาพไม่มีแบงค์ย่อย จึงต้องให้ไปคนละ ๒๐๐ รูปี ตกลงว่าตัวเองยกฟรีเพราะเป็นหน้าที่ของเขา ในเมื่อเขาแค่ยกลงเรือให้เท่านั้น แต่ว่ารับค่าแรงไปเสียมากมายทีเดียว

    เจ้าของเรือพายเรือพาพวกเราค่อย ๆ ลัดเลาะไปตามเรือพักต่าง ๆ ตลอดจนกระทั่งร้านค้าลอยน้ำ มีเรือขายสินค้าเข้ามาทักทายและจำหน่ายสินค้าเป็นระยะ แต่ว่าพวกเราก็ปฏิเสธไป เพราะไม่ใช่ของที่ต้องการ ตามที่สังเกตดูก็คือบรรดาบ้านเรือนต่าง ๆ นั้น เขาอยู่กันเป็นปกติอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเมื่อมีนักท่องเที่ยวมาก็เปิดจำหน่ายสินค้าต่าง ๆ หลายร้านก็มีการควบคุมจากทางรัฐบาลด้วย

    มีเรือท่องเที่ยวจำนวนมากที่พายสวนกับเราไป แม้ว่าเป็นคนแปลกหน้าแต่ว่าพูดภาษาไทยทุกลำ จนกระทั่งกระผม/อาตมภาพเห็นว่าเราออกมาช้ากว่าคนอื่นเขา ถ้าขืนไปจนสุดทาง มีหวังคนอื่นรอกันแย่ จึงบอกให้คนแจวเรือทำการกลับเรือ ตรงมายังฝั่งซึ่งพวกเรามารอกันอยู่ที่นี่แล้วทุกคน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 พฤษภาคม 2023
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,461
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,534
    ค่าพลัง:
    +26,371
    เมื่อขึ้นรถเรียบร้อย ก็วิ่งตรงไปเส้นทางสู่เมืองโซนามาร์ก วิ่งมาได้ประมาณ ๒๐ นาที รถทุกคันก็แวะเข้าร้านเพื่อให้พวกเราซื้อผลไม้ตากแห้งและบรรดาถั่วต่าง ๆ แต่ปรากฏว่าทางร้านพยายามเสนอขายแต่ "หญ้าฝรั่น" ซึ่งเป็นของหายากในบ้านเรา แต่ว่าที่นี่ราคาค่อนข้างจะสูง กระผม/อาตมภาพอาศัยเข้าห้องน้ำของเขา ก็เลยซื้อมะเดื่อตากแห้งมาครึ่งกิโลกรัมในราคา ๘๐๐ รูปี แล้วปล่อยพวกเราต่อรองกันอย่างสนุกสนาน

    กระผม/อาตมภาพเดินออกมาทางด้านนอก เจอฝูงสุนัขจรจัด ซึ่งนอนอยู่ทางชายทะเลสาบร่วม ๑๐ ตัว ทุกตัวตอนแรกเมื่อเห็นกระผม/อาตมภาพก็แทบจะพุ่งเข้ามากัดเลย แต่พอถามว่า "จำกันไม่ได้แล้วหรือ ?" เขาก็ชะงัก แล้วคราวนี้ก็พุ่งเข้ามาใหม่ แต่ว่ามาตะเกียกตะกายจนจีวรแทบจะขาด..! เห็นแล้วก็น่าสงสารที่พวกเขาเกิดมาเป็นหมาที่นี่ เพราะว่าพี่น้องมุสลิมนั้นไม่เลี้ยงหมา ทุกตัวจำเป็นต้องหาอาหารประทังชีวิตกันเอง..!

    เมื่อไปตามน้องเล็กมาให้ถ่ายรูป ทุกคนก็เห็นว่าหมานั้นทำหน้าเศร้าเป็นอย่างมาก

    เมื่อบอกลาพรรคพวกเพื่อนฝูงเก่า ๆ แล้ว พวกเราก็เดินทางเลาะตามขอบทะเลสาบไปเรื่อย ๆ เป็นระยะทางค่อนข้างจะไกล หลังจากนั้นก็วนอ้อมไปทางขวามือ มุ่งตรงไปยังเมืองโซนามาร์ก ระยะการเดินทางนั้นค่อนข้างจะไกลมาก พวกเราจึงไปถึงตอนเวลาเที่ยงกว่า แต่ว่าก่อนช่วงที่จะเข้าเมืองนั้น ก็มีภูเขาหิมะให้ตื่นเต้นกันแล้ว

    พวกเราแวะรับประทานอาหารแล้วก็ต้องรีบเดินทางต่อ เพราะว่ากว่าจะถึงเมืองคาร์กิลซึ่งเป็นจุดหมายของวันนี้นั้น ยังต้องไปอีกหลายชั่วโมง ถ้าหากว่ามัวแต่ไปขี่ม้าชมธารน้ำแข็ง ก็มีหวังถึงที่พักดึกอย่างแน่นอน แต่ปรากฏว่าวิ่งไปไม่ไกล ก็มีด่านตรวจสกัดอยู่ ทางเจ้าหน้าที่แจ้งว่าให้พวกเราย้อนกลับมาทางเดิมทั้งหมด เพราะว่ามีหิมะถล่มปิดทางไปคาร์กิลเป็นระยะทางที่ยาวมาก ทางด้านรถเกรดและเจ้าหน้าที่สามารถที่จะเปิดทางให้รถวิ่งได้แค่ทางเดียวเท่านั้น..!

    ดังนั้น..วันนี้จึงเป็นเวลาของรถทางด้านโน้นจะวิ่งมา ไม่ใช่รถทางเราจะวิ่งไป จนกว่าจะบ่าย ๓ โมงไปแล้ว พวกเราจึงย้อนกลับมา ทำการเช่าม้าเพื่อขี่ไปชมธารน้ำแข็งกันในราคาตัวละ ๑,๑๐๐ รูปี แต่ว่าม้าที่กระผม/อาตมภาพขี่นั้น ดูท่าว่าจะมีภาวะผู้นำสูงมาก เพราะว่าไม่ยอมให้ตัวอื่นเดินนำหน้า แล้วขณะเดียวกันก็ไม่อยากจะเดินทับรอยตัวอื่น มักจะเปิดเส้นทางใหม่อยู่เสมอ แม้กระทั่งนักท่องเที่ยวคณะอื่นที่นำหน้าอยู่ ก็ยังพยายามที่จะแซงเขาไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 พฤษภาคม 2023
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,461
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,534
    ค่าพลัง:
    +26,371
    เมื่อไปถึงบริเวณธารน้ำแข็ง พวกเราก็ลงไปถ่ายรูปจนกระทั่งเป็นที่พอใจ แล้วจึงได้ขี่ม้าย้อนกลับมาทางเดิม แต่ว่าไม่ได้จ่ายค่าเช่าม้าให้กับทางเจ้าของ เพราะได้รับคำเตือนว่าให้จ่ายกับไกด์ท้องถิ่นของเรา ซึ่งช่วงนี้ไกด์ท้องถิ่นคือคุณมุสตาฟา จ่ายแล้วไกด์จะไปเคลียร์กับทางด้านเจ้าของม้าเอง ไม่เช่นนั้นแล้วเคยมีการจ่ายซ้ำจ่ายซ้อนมา และทางเจ้าของม้าก็รับไปหน้าตาเฉย..!

    พวกเรากลับเข้ามารอเวลาอยู่ในโรงแรมที่รับประทานอาหารกลางวันก่อนเดินทางไป จนกระทั่งได้เวลาบ่ายสามครึ่งก็นำรถตรงไปยังด่านอีก แต่ทางตำรวจยืนยันขันแข็งว่าให้ย้อนกลับทางเดิมเท่านั้น..! พวกเราตั้งใจจะมาหาที่พักกัน เมื่อโทรศัพท์ติดต่อแล้ว มีโรงแรมที่ห่างจากเมืองโซนามาร์กนี้ประมาณ ๘ กิโลเมตรที่ยังว่างอยู่

    แต่ว่าทางด้านผู้ติดต่อประสานงานของเราไม่สิ้นความพยายาม ไปถามเขาอีกรอบหนึ่งว่าจะสามารถเดินทางได้เมื่อไรกันแน่ ? คราวนี้ได้ความจากตำรวจที่เป็นหัวหน้าด่านตรวจว่า น่าจะเปิดให้วิ่งได้ในเวลาประมาณ ๕ โมงเย็น พวกเราจึงทนนั่งตากแดดรอกันอยู่ ยังไม่ทันจะ ๕ โมงเย็น ก็เห็นคนวิ่งกันพึ่บพั่บ แสดงว่าด่านเปิดแล้ว แต่ว่าคนอินเดียก็อยู่ในลักษณะของการแก่งแย่งชิงดี ต่างคนต่างไป ดังนั้น..จึงไปติดกันเป็นอันมากอยู่ทางด้านหน้า เมื่อผ่านไปได้แล้วก็ยังมีการเหยียบแข่งกันไปอีก..!

    ระหว่างทางนั้นก็มีทิวทัศน์ภูเขาหิมะงาม ๆ ซึ่งกระผม/อาตมภาพได้ถ่ายรูปส่งให้พวกเราดูกันเป็นระยะไป แต่คาดว่าเมืองในบริเวณนี้นั้นเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ เพราะว่ามีเครื่องบินรบบินลาดตระเวนอยู่เป็นระยะ ๆ จึงมีการบล็อกสัญญาณโทรศัพท์เป็นระยะไปเหมือนกัน

    เมื่อวิ่งมาได้จนกระทั่งถึงสถานที่แห่งหนึ่ง ปรากฏว่ารถติดกันยาวเหยียดอยู่ที่นี่ เมื่อ
    กระผม/อาตมภาพเดินลงไปดูถึงได้เห็นสิ่งที่น่าตกใจ ก็คือมีหิมะถล่มมาปิดทางจนมิด แต่ที่โชคดีที่สุดก็คือรถของเราทั้ง ๓ คันนั้นอยู่ในบริเวณฝั่งนี้ทั้งหมด เนื่องเพราะว่าคันที่นำหน้านั้น อีกเพียง ๔ คันก็จะวิ่งหลุดไปแล้ว ถ้าหากว่าหลุดล่วงหน้าไปก่อน ก็ไม่สามารถที่จะติดต่อประสานงานกันได้ เหตุเพราะว่าบริเวณนี้นั้นไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ พวกเราจึงพลิกวิกฤตเป็นโอกาส ลงไปถ่ายรูปบ้าง ถ่ายวิดีโอกันบ้าง รอจนกระทั่งทางเจ้าหน้าที่นำรถมาเกรดเปิดทางชั่วคราวให้ กว่าจะเสร็จก็ผ่านไปประมาณ ๑ ชั่วโมง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 พฤษภาคม 2023
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,461
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,534
    ค่าพลัง:
    +26,371
    เมื่อผ่านไปได้ทุกคนก็เหยียบกระจาย เพราะว่าเวลาก่อนจะถึงเมืองคาร์กิลนั้นยังอีกหลายชั่วโมงเหลือเกิน ที่ไหนที่มีรูปภาพสวยงามเพียงพอที่จะถ่าย ก็แทบจะไม่เหลือความน่าสนใจอีกแล้ว แต่สิ่งที่น่าตกใจก็คือว่าระยะทางหลายกิโลเมตรนั้น พวกเราต้องวิ่งไปในซองแคบ ๆ ซึ่งเป็นน้ำแข็งทั้งสองฝั่ง แปลว่าหิมะได้ถล่มลงมาปิดทางเป็นระยะทางหลายกิโลเมตรตั้งแต่เดือนเมษายน ที่เขาบอกก็คือประมาณช่วงสงกรานต์ จนป่านนี้ก็สามารถเคลียร์ทางให้แค่รถวิ่งได้คันเดียว จึงได้กำหนดให้ว่า วันนี้รถทางโน้นวิ่งมาจนหมดแล้ว รถทางด้านนี้จึงจะวิ่งสวนไปได้ เป็นต้น

    พลขับของเราเหยียบกระจาย แทบจะบินไป โดยไม่ได้สนใจว่าผู้โดยสารจะกระเด้งกระดอนเมารถกันขนาดไหน..!? กระผม/อาตมภาพไม่สามารถที่จะถ่ายภาพได้ จึงใช้วิธีถ่ายวิดีโอให้เห็นว่า พวกเรามุดเข้าไปในซองน้ำแข็งแคบ ๆ เป็นระยะทางที่ยาวไกลเท่าไร..!

    จนกระทั่งเวลาเกือบจะค่ำแล้ว จึงมาถึงด่านตรวจเมืองคาร์กิล ซึ่งเราจะต้องกรอกข้อมูลรายละเอียดต่าง ๆ ในการเดินทางให้เขา แต่ไม่ทราบเหมือนกันว่าเจ้าหน้าที่ด่านตรวจกินยาผิดหรืออย่างไร ยังกรอกไม่ทันจะเสร็จก็บอกว่าพอแล้ว เก็บเอกสารทั้งหมดไป แล้วปล่อยพวกเราเดินทางผ่าน แม้กระทั่งตอนที่มาเจอด่านที่สองในตอนค่ำมากแล้ว ก็อยู่ในลักษณะเดียวกัน จนระแวงสงสัยว่าโดนเจ้าแม่นภิสราเทวีเขกกบาลเอาหรืออย่างไร ?

    พลขับของเราขออนุญาตเพิ่มพลังด้วยการดื่มชานมกะลัมไจ พวกเราก็เลยพลอยได้เข้าห้องน้ำห้องท่าและดื่มชาตามไปด้วย หลังจากนั้นก็บินไปท่ามกลางความมืด จนกระทั่งมาถึงโรงแรมที่พักของเราในเวลาเกือบจะ ๕ ทุ่มของทางด้านนี้ เมื่อเข้าที่พักเสร็จเรียบร้อย สิ่งแรกที่กระผม/อาตมภาพทำก็คือ มาบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนนี้ ในเวลาประมาณ ๕ ทุ่มของอินเดีย ซึ่งก็คือเที่ยงคืนครึ่งของบ้านเรา..!

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันเสาร์ที่ ๒๙ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๖
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 พฤษภาคม 2023
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...