เรื่องเด่น เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๖๘

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 20 มิถุนายน 2025 at 22:07.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    22,256
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,781
    ค่าพลัง:
    +26,645
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๖๘


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    22,256
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,781
    ค่าพลัง:
    +26,645
    วันนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ ๒๐ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ เมื่อวานหลังจากที่ทำการบันทึกเสียงแล้ว พวกเราก็มาครบถ้วนทุกคน จึงได้ทำการเช็คอินกันจนเรียบร้อย แล้วถ่ายรูปหมู่ร่วมกัน แต่ว่าตอนเช็คอินนั้น น้องหนูคนสวยซึ่งทำหน้าที่อยู่ตรงเคาน์เตอร์ ไม่ทราบว่าคุณเธอตาลายหรือว่าอย่างไร ? กระผม/อาตมภาพจะเดินทางไปยัง "เมืองหลานโจว" คุณเธอดันอ่านว่า "ลอนดอน" เกือบที่จะทำข้อมูลส่งกระเป๋าของกระผม/อาตมภาพ ซึ่งทางคณะทัวร์ฝากเอาไว้ไปลอนดอนเสียแล้ว..!

    เมื่อได้ตั๋วมาเรียบร้อยและถ่ายรูปหมู่ร่วมกันแล้ว กระผม/อาตมภาพก็อาศัยช่อง Fast Track เพื่อที่จะผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองของประเทศไทย ออกไปขึ้นเครื่องที่ประตู D8 แต่ทุกครั้งที่ใช้ช่อง Fast Track ก็เหมือนกันหมด ก็คือมักจะช้ากว่าช่องธรรมดาทุกครั้งไป..!

    โดยเฉพาะครั้งนี้ เจ้าหน้าที่ผู้หญิงตรงเครื่องเอ็กซเรย์ ให้กระผม/อาตมภาพไปยืนกางแขนกางขาในท่าที่น่าเกลียดมาก เพื่อที่จะตรวจดูว่าได้พกเอาสิ่งที่ต้องห้ามขึ้นเครื่องไปหรือไม่ ? เจ้าหน้าที่ผู้ชายพอเห็นเข้าก็ตะโกนบอกว่า "ไม่ต้อง พระให้ผ่านทางช่องนี้" ว่าแล้วก็ชี้ให้ผ่านประตูเอ็กซเรย์ปกติไป กระผม/อาตมภาพค่อยโล่งใจหน่อย นึกว่าระเบียบใหม่ของเขาบังคับทุกคนต้องไปยืนกางแขนถ่างขาอยู่ในท่านั้น ถ้าหากว่ามีพระสัก ๔ - ๕ รูปเดินทางพร้อมกัน ก็จะไปเป็นภาพที่ทุเรศมากเลยทีเดียว..!

    เมื่อไปถึงหน้าประตูขึ้นเครื่องแล้ว ก็ต้องรอแล้วรอเล่า เนื่องเพราะว่าฝนตกหนักแบบไม่เกรงใจใคร เครื่องบินต้องบินวน ลงไม่ได้ จึงดีเลย์ไปถึงชั่วโมงกว่า..! เมื่อเครื่องบินลงมาแล้ว พวกเราก็ยังต้องรออยู่อีกพักใหญ่ กว่าที่ผู้โดยสารจะลงมาจนหมด และทางเจ้าหน้าที่ได้ทำความสะอาดเบื้องต้นและเตรียมเครื่องให้เรียบร้อย จึงได้ให้พวกเราขึ้นเครื่องได้

    ในระหว่างที่เขากำลังเตรียมเครื่องกันอยู่นั้น บรรดาผู้โดยสารซึ่งรอมานานมากแล้วส่วนหนึ่ง ก็ไปต่อแถวอยู่ตรงหน้าประตูขึ้นเครื่อง ประมาณกดดันเจ้าหน้าที่ว่า "เราโดนเครื่องดีเลย์มานานแล้ว โปรดรีบทำงานให้เร็วกว่านี้สักหน่อย" ดูแล้วก็เป็นอะไรที่ค่อนข้างจะขำมาก

    ครั้นเมื่อขึ้นเครื่องไปแล้ว ปรากฏว่าทางเจ้าหน้าที่คงจะเกรงว่ากระผม/อาตมภาพไม่เคยเดินทางมาก่อน จึงได้ให้คำแนะนำทุกอย่าง แต่กลายเป็นว่าทำให้ช้าลงไปอีก เนื่องเพราะว่าผู้โดยสารทางด้านหลังมีเป็นจำนวนมาก..!
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    22,256
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,781
    ค่าพลัง:
    +26,645
    เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว เครื่องก็ทะยานขึ้นจากท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ มุ่งตรงไปยังท่าอากาศนานาชาติกวางโจวไป๋หยุน ซึ่งตั้งอยู่ที่เมืองไป๋หยุน หรือว่าเมืองเมฆขาว พวกเรามาถึงประมาณตี ๑ ของประเทศจีน ซึ่งเวลาเร็วกว่าบ้านเราประมาณ ๑ ชั่วโมง เมื่อทำพิธีตรวจคนเข้าเมืองก็ต้องแล้วแต่เวรแต่กรรม เพราะว่าเจ้าหน้าที่บางคนก็ถามละเอียดเหลือเกิน โดยไม่ได้สนใจว่าคุณจะรู้ภาษาหรือไม่ ?!

    ส่วนกระผม/อาตมภาพนั้นเคยผ่านท่าอากาศยานกวางโจวไป๋หยุนนี้มาสองรอบแล้ว น่าจะมีข้อมูลทุกอย่าง จึงแค่ปั๊มนิ้วมือซ้าย ๔ นิ้ว แล้วขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ก็ให้ถอดแว่น เอียงหน้าทางซ้ายที ทางขวาที เมื่อเครื่องยืนยันว่าลายนิ้วมือถูกต้อง ใบหน้าถูกต้อง ก็รับพาสปอร์ตซึ่งประทับตราเข้าเมืองเรียบร้อยแล้ว ไปยืนรอพวกเราทั้งหมด

    เมื่อมากันครบถ้วนก็เดินหาว่าต้องไปต่อเครื่องตรงไหน ? ซึ่งลูกกิฟท์ (นางสาวอันตรา ลักษณะ) เจ้าของเติมเต็มทราเวล ก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าทางสนามบินกวางโจวไป๋หยุนนี้มีที่นอนและที่อาบน้ำให้ด้วย บอกว่าขอไปเดินหาดูก่อน แต่ว่าพวกเราที่ทำท่าไร้แรงบินกันหมด เนื่องเพราะว่าถ้าเป็นที่เมืองไทยก็เกือบจะตี ๑ แล้ว มองไปเห็นร้านสะดวกซื้อชื่อดังของเมืองไทย อยู่ทางด้านบริเวณขึ้นต่อเครื่องใหม่พอดี หลายคนจึงเดินเข้าไปสำรวจร้านค้า แล้วก็ตะโกนเรียกส่วนใหญ่ว่า "มีที่นอนอยู่ทางด้านนี้" เมื่อมาถึง ปรากฏว่าเป็นเก้าอี้นอน แถมยังมีที่ชาร์จไฟให้ด้วย

    กระผม/อาตมภาพเพิ่งเตรียมตัวเรียบร้อยว่าจะนอน สายตาก็ไปจ๊ะเอ๋เข้ากับสัญลักษณ์ฝักบัว แปลว่าห้องอาบน้ำอยู่ทางด้านนี้เอง ครั้นเดินเข้าไปสำรวจแล้วก็รู้สึกดีมาก เนื่องเพราะว่าเป็นห้องที่ปลอดภัยสุด ๆ มีประตูสองชั้น มีเครื่องทำน้ำร้อนอย่างดี แล้วในขณะเดียวกันก็มีทั้งแชมพูและสบู่เหลวให้ด้วย กระผม/อาตมภาพจึงเปลี่ยนจากนอนมาเป็นจัดการสรงน้ำลอกคราบตัวเองแทน..!

    เสร็จสรรพเรียบร้อยออกมา ญาติโยมหลายท่านก็ยังทำท่างง ๆ ว่า "นี่หลวงพ่อสรงน้ำแล้วหรือ ?" กระผม/อาตมภาพจึงบอกว่า "อาบแล้ว..ประณีตมากด้วย" เนื่องเพราะว่าในสมัยเป็นนักเรียนทหาร ทุกอย่างให้ทำเสร็จลงภายใน ๓ นาที ก็คือไม่ใช่แค่อาบน้ำ แปรงฟัน เข้าห้องน้ำห้องส้วมเท่านั้น ยังต้องแต่งตัวและลงไปจัดแถวรอผู้บังคับบัญชาตรวจอีกด้วย ทำเอาทุกคนตีหน้าประหลาดไปตาม ๆ กัน
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    22,256
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,781
    ค่าพลัง:
    +26,645
    กระผม/อาตมภาพจัดการภาวนาจนครบชุดตามความเคยชิน เมื่อลุกขึ้นมาแล้ว ก็ตั้งใจนึกถึงบรรดาเจ้าที่เจ้าทางทั้งหลาย ปรากฏว่าท่านปู่ท้าวเวสสุวรรณโผล่มาแทน บอกว่า "ไม่ต้องกังวลครับ ผมส่งคนไปรอรับไว้เรียบร้อยแล้ว" เมื่อเป็นเช่นนั้น จึงรู้สึกโล่งใจไปหน่อย เพราะว่ามางวดนี้แบบคนหูหนวกตาบอด ไม่รู้จักเจ้าถิ่นทางด้านมณฑลกานซู่หรือมณฑลซินเจียงเลย ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ถ้าหากว่าวันนี้ต่อเครื่องไปถึงเมืองหลานโจวแล้ว ก็น่าจะมีคนมารอรับตามที่ท่านปู่ท้าวเวสสุวรรณบอก

    กระผม/อาตมภาพจึงได้น้อมจิตขอบพระคุณท่าน พร้อมกับอุทิศส่วนกุศลที่ได้ภาวนาจนครบชุดทั้งหมดนี้ ตามแบบของหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ก็คือให้ตั้งแต่เจ้ากรรมนายเวร ให้เทวดาที่รักษาตัวตนของเรา ให้เทวดาทั้งหลายทั่วสากลพิภพ และพระยายมราช ขอให้ทุกท่านอนุโมทนาและช่วยเป็นสักขีพยานในการบำเพ็ญกุศลของเราในครั้งนี้ด้วย หลังจากนั้นแล้ว ก็รอว่าคณะทั้งหมดจะตื่นเมื่อไร จะได้ทำกิจกรรมของวันนี้กันต่อไป

    เมื่อพวกเราตื่นและเข้าห้องน้ำ อาบน้ำอาบท่ากันเรียบร้อยดีแล้ว ทางด้าน"คุณนายสมหวัง (นางสมหวัง งามพฤกษ์วานิชย์)" ก็ถวายอาหารเช้าและมอบอาหารเช้าให้กับทุกคนในคณะ เป็นข้าวเหนียวหมูทอดคนละ ๑ กล่อง ซึ่งเป็นเรื่องอัศจรรย์ว่า แม้จะโหลดมาในกระเป๋าก็ตาม แต่ว่าข้าวเหนียวยังคงนุ่มอยู่ เหมือนเพิ่งนึ่งเสร็จใหม่ ๆ แต่ว่าพวกเราฉันไปกินไปก็เหลียวซ้ายแลขวาด้วยความหวาดระแวง เนื่องเพราะว่าหมูทอดเป็นของที่เขาไม่ให้นำเข้าประเทศ ก็คือเนื้อสัตว์หรือผลไม้อะไรก็ตาม ถ้านำเข้าไปประเทศของเขา ก็เกรงว่าจะนำโรคระบาดเข้าไปด้วย กระผม/อาตมภาพจึงต้องรีบทำลายหลักฐานเสียในเวลาอันรวดเร็ว..!

    หลังจากนั้นก็นอนภาวนา ส่งจิตขึ้นไปกราบพระ จนกระทั่งได้ยินเสียงเรียกว่าประตูขึ้นเครื่องออกแล้ว ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านั้นมีเสียงคนเดินเข้าเดินออกทำงานเป็นจำนวนมาก ก็คือพอเปิดให้ต่อเครื่องได้ บุคคลที่นอนกันระเกะระกะไปหมด เที่ยวบินของใครถึงเวลาก็รีบแห่กันเข้าไป

    ปรากฏว่าประตูขึ้นเครื่องของเราก็คือ B272 โอ้พระเจ้า...แค่ ๓๐ - ๔๐ ประตูก็แย่แล้ว นี่มีเกือบ ๔๐๐ ประตูเลยทีเดียว..! พวกเราจึงต้องผ่านการคัดกรองเข้าไปทางด้านใน เจอการเอ็กซเรย์แบบดุเดือดโหดร้ายเหมือนเดิมในทุกแห่ง ก็คือสงสัยอะไรให้เปิดกระเป๋าให้ดูใหม่ นำย้อนกลับไปเอ็กซเรย์ใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    22,256
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,781
    ค่าพลัง:
    +26,645
    กระผม/อาตมภาพเองขำก็ขำ ฉิวก็ฉิว เนื่องเพราะว่าสิ่งที่ควรสงสัยก็ไม่สงสัย สิ่งที่ไม่ควรสงสัยก็ค้นจนหมด ขนาดชายผ้าสังฆาฏิยังบีบและพลิกดูทีละชั้น เหมือนอย่างกับว่าจะซ่อนอาวุธเข้าไปได้ แต่ว่าพระ ๔ องค์ที่เลี่ยมทองและมีแหนบสำหรับติดตัว เป็นโลหะสเตนเลสทั้งหมด เอาเครื่องกวาดแล้วกวาดอีกก็ไม่ดัง แถมยังคลำหาไม่เจออีกต่างหาก..! ไม่รู้ว่าจะสงสารเขาดี หรือว่าจะสมน้ำหน้าดี หลุดเข้าไปแล้วก็ต้องยืนรอพวกเรา ซึ่งไม่แน่ใจว่าจะมีใครติดขัดอะไรหรือเปล่า ? เนื่องเพราะว่าเจ้าหน้าที่แต่ะคน ไม่ทราบว่ากินรังแตนเป็นอาหารมาหรือว่าอย่างไร ?!

    จนกระทั่งพวกเราผ่านเข้าไปแล้ว คราวนี้ก็เป็นการเดินที่ไกลมาก ๆ ถ้าถามว่าไกลขนาดไหน ? ขนาดอาศัยสายพานเลื่อนช่วยในการเดินยังรู้สึกเหนื่อย จนกระทั่งไปนั่งรออยู่ที่ประตูขึ้นเครื่อง B272 ปรากฏว่าคุณนายสมหวังกับลูกสาว (นางสาวรุจิรา งามพฤกษ์วานิชย์) ที่มาทีหลัง เจ้าหน้าที่เขาขอหยุดพักในการตรวจ ไปกินข้าวครึ่งชั่วโมง เป็นอันว่ารอไปเถอะ..! อิ่มเมื่อไรแล้วจะกลับมาเอ็กซเรย์กระเป๋าและตรวจร่างกายให้ใหม่

    กระผม/อาตมภาพนั่งรออยู่ตรงนั้นจนรู้สึกเจ็บก้น เนื่องเพราะว่ารวม ๆ เวลาทั้งนั่งรอ นอนรอก็เกิน ๑๐ ชั่วโมงเข้าไปแล้ว จนกระทั่งใกล้เวลาปรากฏว่ามีเครื่องมาเทียบงวง จึงค่อยรู้สึกโล่งใจหน่อย เมื่อถึงเวลาเขาก็เรียกขึ้นเครื่อง ซึ่งเป็นการตรวจบัตรอัตโนมัติทั้งหมด แต่รู้สึกว่าไม่ค่อยจะดี เนื่องเพราะว่าถึงเวลาแล้ว ถ้าหากว่าเร็วเกินไปก็ไม่ผ่าน แล้วคนจีนส่วนมากก็จะให้ตรวจสแกนผ่านโทรศัพท์มือถือของตัวเองด้วย จึงทำให้เสียเวลาไปไม่น้อย

    ครั้นขึ้นเครื่องมาได้ เข้าที่นั่งกันเรียบร้อยแล้ว กระผม/อาตมภาพก็ส่งกำลังใจแผ่เมตตาให้แก่เจ้าที่เจ้าทางตั้งแต่เมืองกว่างโจว มณฑลกว่างตง หรือที่คนไทยเรียกว่ากวางตุ้ง แต่หลายต่อหลายคนอ่านตามภาษาอังกฤษว่า "กวางดอง" จนกระทั่งไปถึงมณฑลกานซู่ เมืองหลานโจว เพื่อที่ขอให้ท่านทั้งหลายเหล่านั้นอำนวยความสะดวกให้ด้วย
     
  6. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    22,256
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,781
    ค่าพลัง:
    +26,645
    คราวนี้สามารถที่จะติดต่อเจ้าที่ได้ เห็นหนุ่มอิสลามแต่งตัวชุดขาวสะอาด สวมหมวกทรงกลม ก็คือหมวกซงโก๊ะของอิสลาม มาถึงก็ถอดหมวกกราบอย่างงาม บอกว่า "นายท่านจำกระผมได้ไหมครับ ?" พอได้ยินก็นึกขึ้นมาได้ทันที "อ๋อ..ที่แท้ก็ซาอุด ลูกหัวหน้ามูฮัมหมัด เผ่าทรายทองนี่เอง" ท่านบอกว่า "เทียนหวังก็คิดว่าท่านต้องจำได้แน่นอนอยู่แล้ว จึงส่งกระผมมารับ"

    ถามว่า "คุณเป็นอิสลามฆ่าสัตว์ตัดชีวิตอยู่ทุกวัน แล้วทำไมขึ้นไปอยู่ชั้นจาตุมหาราชได้ ? แล้วดูจากเครื่องแต่งกายนี่เป็นชั้นวชิระ หรือว่าระดับอำมาตย์ชัด ๆ เลย" คุณซาอุดบอกว่า "กระผมเองนั้นไม่ยอมทำบาปทำกรรมตามที่ศาสนาสอน ถ้าหากว่าต้องฆ่าสัตว์ ก็ปล่อยให้น้องทำหน้าที่แทน ตนเองก็เอาแต่ละหมาด สวดสรรเสริญพระเจ้า น่าเสียดายที่ว่ากำลังใจทรงตัวก็จริง แต่ว่าตอนตายนั้นกำลังใจคลายออก จึงต้องมาอยู่รับใช้เทียนหวังท่านอยู่ที่นี่ วันนี้ดีใจมากที่ได้มารับเพื่อนเก่า"

    กระผม/อาตมภาพก็บอกว่า "ขอบใจมากที่ยังไม่ลืมเพื่อนฝูงเผ่าอูฐขาว ก่อนหน้านี้พวกเราเองก็ก่อวีรกรรมเอาไว้ไม่น้อย โดยเฉพาะการต่อสู้กับชาวฮั่น หรือว่าการต่อสู่กับเผ่าอื่น ๆ ก็ฆ่าเขาไปไม่น้อยเลย ยังดีที่ว่าตอนตายไม่ได้คิดถึงบาปกรรมตรงนี้ จึงได้รอดกันมาได้" เมื่อพูดคุยกันเสร็จท่านก็บอกว่า "ให้ใจได้เลยครับ อีก ๓ ชั่วโมงเศษไปเจอกันที่เมืองหลานโจว" กระผม/อาตมภาพจึงคลายกำลังใจออกมา ภาวนาอย่างอื่นแทนไปพักใหญ่

    ผ่านไป ๓ ชั่วโมงเศษ เครื่องบินของเราก็บินเหนือภูมิประเทศ ซึ่งเหมือนกับภูเขาสูง ๆ ต่ำ ๆ แต่เป็นสีเหลืองฟางไปหมด หลายแห่งดูเหมือนกับเขาพยายามทำให้เป็นนาข้าวแบบขั้นบันได ยิ่งนานไปก็ยิ่งแห้งแล้งหนักขึ้นทุกที จนเหมือนอย่างกับเป็นภูเขาทรายล้วน ๆ แต่ว่าบางช่วงก็มีทางสัญจร ซึ่งน่าจะเป็นทางรถยนต์เล็ก ๆ ครั้นเข้าใกล้ตัวเมืองหลานโจว ก็เริ่มมีสีเขียวประปรายขึ้นมาบ้าง จนกระทั่งใกล้ถึงบริเวณสนามบิน ความเขียวก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น

    เมื่อเห็นสนามบินหลานโจวจงฉวน กระผม/อาตมภาพก็ทึ่งมาก เนื่องเพราะว่าลักษณะเหมือนกับพญานกกางปีกยื่นหัวไปข้างหน้า ลักษณะแบบนี้ ถ้านับเป็นสัตว์มงคล ก็น่าจะเป็น "ห่านป่า" ของคนจีนนั่นเอง เป็นสนามบินที่สร้างได้งดงามมาก
     
  7. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    22,256
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,781
    ค่าพลัง:
    +26,645
    เครื่องของพวกเราลงแตะสนามบินก่อนเวลาประมาณ ๘ นาที ท่านซาอุดกับบริวารมารอรับอยู่แล้ว ด้วยความที่เป็นเครื่องภายในประเทศ จึงไม่ต้องผ่านระบบการตรวจคนเข้าเมืองอีก แต่ว่าต้องเดินไปรับกระเป๋าที่สายพาน ๑๐ ซึ่งอยู่เกือบสุดสนามบิน ทำเอาทุกคนบ่นอุบไปเลยว่า "ข้าวเหนียวหมูทอดเมื่อเช้านี้ กับข้าวกล่องบนเครื่องบิน ดูท่าจะละลายหายไปหมดแล้ว..!"

    ครั้นเข้าห้องน้ำและรับกระเป๋ามาเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็เดินออกมาทางด้านนอก พบกับมัคคุเทศก์ของเรา ซึ่งพูดไทยแบบไม่แข็งแรง บอกว่าชื่อโบตั๋น แล้วมีมัคคุเทศก์ท้องถิ่น ซึ่งเป็นคนกานซู่อยู่ ๒ คน ก็คือ "อาเหมย" กับ "คังคัง" คุณโบตั๋นบอกว่า "อาเหมยกับคังคังพูดไทยไม่ได้ ดังนั้น..ถ้ามีอะไรก็ให้หนูเป็นล่ามให้ก็แล้วกัน"

    เมื่อสอบถามว่าทำไมสนามบินดูกว้างขวางใหญ่โตและใหม่นัก ? คุณโบตั๋นบอกว่าเพิ่งจะเปิดใช้งานเมื่อเดือน ๔ นี่เอง กระผม/อาตมภาพสะดุ้งเฮือก เนื่องเพราะตอนนี้เป็นเดือน ๖ ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่าเพิ่งเปิดใช้งานมาแค่ ๒ เดือนเท่านั้น เท่ากับว่าพวกเรามาฉลองสนามบินใหม่เอี่ยมของเขาเลย..!

    เมื่อเดินวนแล้ววนอีก ออกมาถึงทางด้านนอก รถบัส ๓๗ ที่นั่งใหม่เอี่ยมก็มารอรับคณะของพวกเรา ซึ่งถ้าหากว่ารวมทั้งมัคคุเทศก์ท้องถิ่นแล้ว ทั้งคณะก็เพิ่งมีแค่ ๑๖ คนเท่านั้น แต่ถ้าหากว่าตัดมัคคุเทศก์ทั้งจากเติมเต็มทราเวล และมัคคุเทศก์ท้องถิ่น ตลอดจนกระทั่งคนขับรถออกไปแล้ว พวกเราก็เหลือ ๑๑ คน ขณะที่ผู้พร้อมที่จะให้บริการมีอยู่ ๖ คน แทบจะเป็น ๑ ต่อ ๓ แต่ว่าไม่ถึง เนื่องเพราะว่า ๖ คน รับใช้ ๑๑ คน ก็อยู่ในระดับ ๑ ต่อ ๒ เศษ ๆ ใครจะเรียกใช้อะไรบอกได้ทุกเวลา..!

    ด้วยความที่พวกเราได้รับอาหารกลางวันมาบนเครื่องบิน ซึ่งกระผม/อาตมภาพนั้นได้ข้าวหน้าไก่รสชาติดีทีเดียว จึงทำให้เว้นในเรื่องของอาหารกลางวันไปได้เลย ดังนั้น..คุณโบตั๋นจึงได้บอกกับโชเฟอร์ให้พาพวกเราวิ่งเข้าไปในตัวเมืองหลานโจว เพื่อตรงเข้าไปยังพิพิธภัณฑ์เมืองกานซู่เสียก่อน

    หลายท่านอาจจะสงสัยว่าเมืองหลานโจวทำไมเป็นพิพิธภัณฑ์กานซู่ ? ก็คือกานซู่นั้นเป็นมณฑล ส่วนหลานโจวเป็นเมืองหลวงของมณฑลกานซู่นั่นเอง พวกเรายิ่งวิ่งเข้าไป ความเขียวขจีสดใสก็มากขึ้นทุกที ๆ กลายเป็นว่าหลานโจวก็คือเมืองสีเขียวท่ามกลางทะเลทรายนั่นเอง
     
  8. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    22,256
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,781
    ค่าพลัง:
    +26,645
    หลานโจวเป็นเมืองแคบ ๆ กระหนาบข้างด้วยภูเขากวงหลิงซานด้านหนึ่ง ไป๋ถ่าซานอีกด้านหนึ่ง ตรงกลางก็มีแม่น้ำหวงเหอ หรือแม่น้ำฮวงโหในสำเนียงไทย ไหลผ่านเป็นระยะทางถึง ๔๗ กิโลเมตร จึงไม่สามารถที่จะพัฒนาอะไรได้มาก เพราะว่ารอบข้างล้วนแต่เป็นภูเขาและทะเลทราย จะทำสิ่งหนึ่งประการใดต้องอาศัยมุดดินลงไป คุณโบตั๋นบอกว่าตอนนี้กำลังจัดทำรถไฟใต้ดินกันอยู่ ถ้าหากว่าเสร็จเรียบร้อยแล้ว น่าจะอำนวยความสะดวกให้พวกเราได้มากกว่านี้

    เวลา ๑๕.๕๐ น. ของเมืองจีน พวกเราก็มาถึงพิพิธภัณฑ์เมืองกานซู่ มองไปเห็นคนอย่างกับหนอน ต่อแถวยาวกันเป็นกิโลเมตรก็แทบจะถอดใจ แต่คุณโบตั๋นบอกว่าช่วงนี้คนน้อยมาก ถ้าหากว่าเป็นวันหยุด คนจะไหลมาเทมามากกว่านี้ พวกเราจึงเดินตากแดดร้อนเปรี้ยง ต่อแถวกับเขาเข้าไป แต่ปรากฏว่าของเราเป็นกรุ๊ปทัวร์ และจองเวลาเอาไว้ตอนบ่าย ๓ โมง พวกเรามาเกินเวลา จึงต้องไปทำการสแกนเปลี่ยนตั๋วก่อน ทำให้เสียเวลาไปอีก

    ครั้นเข้าไปด้านในแล้ว คุณโบตั๋นก็พาขึ้นชั้น ๒ ไปเลย เนื่องเพราะว่ามีไฮไลท์ของพิพิธภัณฑ์ ก็คือรูปปั้นหม่าท่าเฟยเอี้ยน ก็คือม้าบินเหยียบนางแอ่นเหิน ซึ่งม้าบินนั้นก็คือม้าสวรรค์ตะวันตก (ซีเทียนหม่า) ซึ่งมีชื่อเสียงเป็นอย่างยิ่งของโบราณสมัยก่อน ส่วนการที่เชื่อว่าม้าสวรรค์ตะวันตกวิ่งเร็วขนาดไล่นกนางแอ่นทัน จึงทำให้บรรดาศิลปินต่าง ๆ ทำการปั้นรูปออกมาได้อารมณ์เป็นอย่างยิ่ง และเป็นรูปที่ศูนย์ถ่วงดีมาก ๆ เพราะว่าจุดที่ตั้งอยู่ก็คือตัวนกนางแอ่นที่มีฐานเล็กนิดเดียว และขาม้าก็เหยียบอยู่บนหลังนกนางแอ่นขาเดียวอีกด้วย..!

    เจ้าม้านั้นกำลังรื่นเริงบันเทิงใจ ใบหน้าบอกความสนุกสนานสุดชีวิต ที่ได้ไล่เหยียบนกซึ่งใครก็บอกว่าบินเร็วที่สุดในโลก..! ส่วนวัตถุโบราณอื่น ๆ นั้น กระผม/อาตมภาพไปพิพิธภัณฑ์ในเมืองจีนแล้วชอบใจมากว่า "เขาไม่หวง" มีปัญญาถ่ายรูป ถ่ายคลิปวีดีโอเท่าไรก็ถ่ายไปเลย ประมาณว่าเชื่อมั่นในระบบป้องกันของตนเองอย่างที่สุด

    ครั้นพวกเราถ่ายเครื่องใช้สำริดโบราณต่าง ๆ ไป จนกระทั่งไปเจอไฮไลท์ชุดใหญ่ ก็คือบรรดาหมู่ม้าศึกต่าง ๆ เกือบจะร้อยตัว ที่เขาจัดเรียงเป็นแถวเป็นแนวเอาไว้ เห็นแล้วแทบจะน้ำลายหก ในความเก่าแก่สวยงามและสมบูรณ์ขนาดนี้..!
     
  9. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    22,256
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,781
    ค่าพลัง:
    +26,645
    จากนั้นก็ขึ้นไปดูเครื่องปั้นดินเผาที่ชั้น ๓ ซึ่งมีนับเป็นพันชิ้น..! ส่วนใหญ่ก็เป็นเครื่องปั้นดินเผา เคลือบบ้างไม่เคลือบบ้าง เขียนสีอยู่ในลักษณะใช้ขดเชือก แบบเดียวกับเครื่องปั้นดินเผาที่บ้านเชียงของเรานั่นเอง แต่ด้วยความที่เรามีเวลาน้อยมาก จึงอยู่ในลักษณะภาษิตจีนที่ว่า "ขี่ม้าชมดอกไม้" หรือที่คนไทยแซวกันว่า "ชะโงกทัวร์"

    แต่กระผม/อาตมภาพก็พยายามถ่ายรูปไปให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เพียงแต่ไม่มีเวลาที่จะส่งเข้าไปในกลุ่มไลน์ให้พวกเราได้เห็น แล้วก็ออกมาทางร้านขายของที่ระลึกตามแบบของเขา แต่ว่าพวกเรานั้นมีภูมิต้านทานดีมาก เนื่องเพราะว่าเวลาไม่พอ จำเป็นที่จะต้องรีบเดินทางต่อไป จึงออกไปยืนรอรถกันอยู่ข้างถนนแทน..!

    จนประมาณ ๑๗.๑๐ น.ของเมืองจีน รถก็มารับพวกเรา มุ่งตรงไปยังสถานีรถกระเช้าเพื่อจะขึ้นไป๋ถ่าซาน ซึ่งมีพระเจดีย์สำคัญสีขาวที่สร้างโดยนักพรต มีผู้อุปถัมถ์ก็คือเจงกิสข่านผู้ยิ่งใหญ่ เนื่องเพราะเจงกิสข่านสงสัยว่า ตนเองและนักรบก็เป็นสุดยอดฝีมือ ทำไมถึงตีเมืองหลานโจวเหล่านี้ไม่ได้เสียที ? แล้วมีนักพรตซึ่งน่าจะเป็น "คิวชู่กี่" หรือว่าที่ในบรรดาคอนิยายภายในนามกันว่า "เชี่ยงชุนจื้อ" หรือถ้าเป็นภาษาจีนกลางก็คือ "ฉางชุนจื่อ" ซึ่งเดินทางไปเผยแพร่ลัทธิเต๋า ได้แนะนำว่าให้สร้างพระเจดีย์องค์นี้ขึ้นมา แล้วอานุภาพต่าง ๆ ก็จะหนุนเสริมให้กองทัพมองโกลชนะศึก

    เมื่อเจงกิสข่านกระทำตามแล้วเกิดผลสำเร็จยิ่งใหญ่ สามารถรวบรวมแผ่นดินได้กว้างใหญ่ไพศาลชนิดที่ไม่มีใครทำได้มาก่อน จึงทำให้ผู้คนเชื่อถือในความศักดิ์สิทธิ์ของพระเจดีย์องค์นี้ เดินทางมากราบขอพรกัน แต่ด้วยความที่ว่าต้องข้ามจากฝั่งตัวเมือง โดยสารรถกระเช้า เพื่อที่จะขึ้นไปฝั่งไป๋ถ่าซาน ดังนั้น..จึงทำให้การเดินทางนั้นค่อนข้างที่จะแออัดยัดเยียด

    แต่ด้วยความที่ว่าเรามาเอาเกือบจะหมดเวลาแล้ว ผู้คนจึงค่อนข้างที่จะน้อยมาก เมื่อซื้อตั๋วรถกระเช้าแล้ว เขาให้นั่งคันละ ๖ คน แต่ว่ารถกระเช้าเดินทางช้ามาก ขากลับเขาบอกว่า ๖ โมงครึ่งของทางด้านนี้ก็จะปิด พวกเราไม่สามารถที่จะไปถึงพระเจดีย์ไป๋ถ่าได้ แม้แต่เดินหามุมเพื่อที่จะถ่ายรูปเจดีย์ ก็ไม่สามารถที่จะเดินไปถึง เพราะว่าใกล้เวลารถกระเช้าเที่ยวสุดท้ายแล้ว จึงได้เดินย้อนกลับมาด้วยความเสียดาย
     
  10. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    22,256
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,781
    ค่าพลัง:
    +26,645
    นั่งรถกระเช้าลงมาแล้ว ก็ต้องเดินต่อไปอีกประมาณ ๓๐๐ เมตร เป็นสะพานเหล็กที่มีชื่อเสียงมาก เป็นสะพานแห่งแรกที่สร้างข้ามแม่น้ำหวงเหอ เรียกว่าสะพานจงซานเฉียว ซึ่งก่อนหน้านี้เรียกว่าสะพานหมายเลข ๑ แต่ว่าสมัย ดร.ซุนยัดเซน ได้เปลี่ยนเป็นสะพานจงซานตามชื่อของตนเอง เป็นสะพานสำคัญที่สุด

    เนื่องเพราะว่าสมัยโบราณใช้แพหนังแกะเป่าลมเข้าไปแล้วผูกมัดเย็บให้ดี ทำการขนถ่ายบุคคลข้ามแม่น้ำ ซึ่งอันตรายค่อนข้างสูง หรือบรรดายอดฝีมือที่ชินกับพื้นที่ ก็ใช้หนังแกะตัวเดียวที่เย็บตลอดตัวแล้ว ก็ผูกขาทั้งสี่ข้างและบริเวณลำคอ เป่าลมเข้าไปจนกระทั่งพอง อาศัยกอดว่ายข้ามแม่น้ำหวงเหอที่ค่อนข้างจะเชี่ยวกราก จึงทำให้กองทัพฮั่นไม่สามารถที่จะข้ามแม่น้ำไป เพื่อสู้รบกับพวกนอกด่านได้ง่ายนัก ดังนั้น..จึงมีการสร้างสะพานนี้ขึ้นมาเป็นแห่งแรก แต่ว่าปัจจุบันนี้คงมีเป็นสิบ ๆ แห่งไปแล้ว

    พวกเราถ่ายรูปกันบริเวณนี้แล้ว ก็เดินย้อนกลับมา นั่งรถไปไม่ถึง ๕ นาที แล้วลงในบริเวณสวนระหัดวิดน้ำโบราณ ซึ่งเป็นการวิดน้ำจากแม่น้ำหวงเหอขึ้นมาเพื่อใช้ในการเกษตร เขายังอนุรักษ์เอาไว้ เป็นระหัดที่ใหญ่โตมโหฬารมาก ๆ

    เมื่อถ่ายรูปกันแล้ว พวกเราก็เดินกันต่อ เพื่อไปบริเวณที่มี "อนุสาวรีย์หวงเหอหมู่ชิน" ก็คือมารดาแห่งแม่น้ำฮวงโห ซึ่งทางประเทศจีนก็สำนึกในบุญคุณ ที่น้ำช่วยให้มีกินมีใช้ สามารถสัญจรได้ ก็เรียกแม่น้ำว่าหวงเหอหมู่ ก็คือแม่น้ำหวงเหอ คำว่า "หมู่" ก็เป็นคำเดียวกับคำว่า "แม่" ของเรานั่นเอง

    พวกเราไปรออยู่เป็นนาน ปรากฏว่าทางพี่วิไล (นางสาวณัฐรดา ภูมิธเนศ) และคุณณรงค์ (นายฑนดล ภูมิธเนศ)ไม่ได้เดินมาด้วย เพราะคิดว่าพวกเราจะย้อนกลับไป ไม่คิดว่ารถมาจอดรออยู่ด้านนี้ พวกเราจึงถ่ายรูปกับหวงเหอหมู่ชินแล้ว ทางด้านคุณโบตั๋นก็ย้อนกลับไป พร้อมกับไกด์ของเติมเต็มทราเวล รับเอาสองผู้เฒ่ามาทางนี้ ความจริงพี่วิไลอายุมากกว่ากระผม/อาตมภาพปีหนึ่งก็จริง คุณณรงค์อายุน้อยกว่า ๑ ปี แต่ว่าด้วยความที่สุขภาพไม่ดี เคยไปตกเจดีย์สูงประมาณ ๓ เมตรมาแล้ว แข้งขาไม่ค่อยจะทำงาน จึงเดินลักษณะเหมือนอย่างกับคนแก่อายุมากกว่านั้นไปหลายปี
     
  11. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    22,256
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,781
    ค่าพลัง:
    +26,645
    พวกเราขึ้นรถแล้วก็มุ่งตรงไปยังถนนคนเดินหลานโจว เพื่อที่ให้ทำการช็อปปิ้ง หรือว่าบางคนที่กินข้าวเย็น ก็จะได้กินข้าวเย็นบริเวณนั้นเลย กระผม/อาตมภาพนิยมเหมือนเดิม ก็คือซื้อของด้วยกล้อง เดินถ่ายรูปไปเรื่อย โดยที่ทางคณะทัวร์นัดว่าเวลา ๒๐.๔๕ น.ของเมืองจีน ให้มายังจุดนัดพบ

    กระผม/อาตมภาพตั้งใจไม่ซื้อแท้ ๆ แต่ว่าเมื่อไปถึงยังท้ายถนน มีร้านที่แต่งอยู่ในสไตล์ทิเบต มีรูปบรรดาตุ๊กตาสัตว์ต่าง ๆ เท่าตัวจริงบ้าง ขนาดเล็กบ้าง แล้วก็ไปหลงเสน่ห์ของหมาป่าทิเบต ถามดูแล้วตัวละ ๖๘ หยวน นับว่าไม่แพง แต่ตอนมาจ่ายเงิน เจอจิ้งจอกเก้าหางตัวเล็ก ๆ ราคา ๑๖๐ หยวน เมื่อถามแล้ว อีกฝ่ายไม่ยอมลดแม้แต่หยวนเดียว แถมยังตีมึนว่าเสียอีกว่าราคา ๒๒๐ หยวนนั้นเราคิดผิด กดตัวเลขในเครื่องคิดเลขให้ดู กระผม/อาตมภาพจึงต้องควักกระเป๋าจ่ายไปแต่โดยดี

    ครั้นพวกเรากลับมาครบถ้วน คณะทัวร์ของเราก็มุ่งตรงไปยังโรงแรมเชอราตัน เมืองหลานโจว ใช้เวลาประมาณ ๑๐ นาทีเท่านั้น เมื่อเข้าไปรับกุญแจแล้ว ปรากฏว่าห้องพักของกระผม/อาตมภาพอยู่ชั้น ๓๐ สูงลิบโลกเลย ด้วยความที่เป็นห้องพักเดี่ยวจึงใหญ่โตมโหฬารมาก แต่ชอบใจที่มีอ่างน้ำสำหรับแช่น้ำร้อนได้ จึงเปิดน้ำร้อนแช่เท้าตัวเอง แล้วทำการบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนเอาไว้ กะว่าส่งไปให้ไอ้ตัวเล็กแล้วก็จะรีบนอน เพราะว่าพรุ่งนี้ต้องเดินทางแต่เช้า ด้วยความที่ประเทศจีนใหญ่โตมโหฬาร ช่วงเช้าทั้งครึ่งวันก็อยู่กับบนรถอย่างแน่นอน..!

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายแก่พระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันศุกร์ที่ ๒๐ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...