เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๒๓ ตุลาคม ๒๕๖๖

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 23 ตุลาคม 2023.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,129
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,506
    ค่าพลัง:
    +26,342
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๒๓ ตุลาคม ๒๕๖๖


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,129
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,506
    ค่าพลัง:
    +26,342
    วันนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ ๒๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ หลายท่านที่อยู่ในกลุ่มไลน์ อาจจะเห็นว่ากระผม/อาตมภาพ เดี๋ยวก็ส่ง"เสบียงบุญ"ชั่วโมงหนึ่ง เดี๋ยวก็ส่งชั่วโมงหนึ่ง เนื่องเพราะว่าวันนี้เป็นวันปิยมหาราช ซึ่งองค์ในหลวงรัชกาลที่ ๕ ทรงมีพระคุณอันยิ่งใหญ่ไพศาลต่อประเทศชาติของเรา จึงอยากที่จะสร้างคุณงามความดีถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระองค์ท่าน

    ในช่วงสมัยรัชกาลที่ ๕ ประเทศไทยของเรา ต้องบอกว่าเกือบจะเจริญที่สุดในเอเชีย อย่างน้อยก็มีรถไฟก่อนประเทศญี่ปุ่น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ เสด็จไปประพาสยุโรป แม้ว่าจุดมุ่งหมายที่แท้จริง ก็คือไปเชื่อมสัมพันธไมตรีกับประเทศมหาอำนาจทางตะวันตก โดยเฉพาะประเทศรัสเซีย เพื่อป้องกันการรุกรานของประเทศอังกฤษและประเทศฝรั่งเศสก็จริง แต่ว่าสิ่งหนึ่งประการใดที่พระองค์ท่านเห็นแล้วว่าของเขาดี ก็ทรงกำหนดจดจำ ให้นายช่างถ่ายแบบมาทำที่บ้านเราเมืองเรา

    อย่างไปฝรั่งเศส เห็นถนนถนนฌ็องเซลิเซ่ ก็เอามาทำถนนราชดำเนิน ซึ่งสมัยนั้นทุกคนก็บ่นกันว่าทำถนนกว้างใหญ่ไพศาลไปทำอะไร แต่มาสมัยนี้ไม่พอให้รถวิ่ง หรือว่าไปเห็นสถานีรถไฟของเยอรมัน ก็เอามาสร้างสถานีรถไฟหัวลำโพงของเรา และโดยเฉพาะในเรื่องของโทรเลข โทรศัพท์ ไฟฟ้า ประปา ตลอดจนกระทั่งกิจการงานด้านไปรษณีย์ ล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นในสมัยของพระองค์ท่านแทบทั้งสิ้น

    วันนี้คณะสงฆ์ของเรามีการจัดให้สอบนักธรรมชั้นตรีสนามหลวง ปรากฏว่าไฟฟ้าดับ เราจะเห็นได้ว่าการพึ่งพาเทคโนโลยี ถ้ามากจนเกินไป บางทีก็ก่อให้เกิดความเดือดร้อนได้ ทางคณะสงฆ์อำเภอทองผาภูมิ จึงต้องใช้วิธีแก้ไขปัญหาหน้างาน ด้วยการใช้เครื่องเสียงสำรอง ตลอดจนกระทั่งกระดานดำ เพื่อที่จะเขียนหัวข้อกระทู้ที่ทางสนามหลวงออกมาให้

    คราวนี้ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายสังเกตจะเห็นว่า เมื่อเลขาฯ บอส (พระสมุห์ณัฐพสิษฐ์ ปญฺญาคโม) เลขานุการรองเจ้าคณะอำเภอทองผาภูมิ (๒) นำหัวข้อกระทู้มาถวาย ก็คือ กลฺยาณการี กลฺยาณํ ปาปการี จ ปาปกํ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว กระผม/อาตมภาพสามารถบอกได้ทันทีว่ามาจากสังยุตตนิกาย สคาถวรรค ซึ่งคาดว่าพวกท่านทั้งหลาย บางทีไปเปิดตำรา ยังหากันไม่เจอเลย..!
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,129
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,506
    ค่าพลัง:
    +26,342
    เรื่องพวกนี้ไม่ใช่มาอวดว่ากระผม/อาตมภาพมีความจำดีกว่า หากแต่ว่าเป็นการใส่ใจในสิ่งที่ร่ำเรียนมามากกว่า เพราะว่ากระผม/อาตมภาพมีคติประจำตัวว่า ถ้าเรียนแล้วต้องรู้ รู้แล้วต้องบอกต่อได้ ก็คือนำไปสอนคนอื่นต่อได้ ถ้าหากว่าใครจะถือคติตามนี้ ก็จะต้องยอมเหนื่อยมาก

    เนื่องเพราะว่าการถ่ายทอดความรู้จากรุ่นสู่รุ่น แทบจะไม่เคยปรากฏเลย ที่ลูกศิษย์จะรับความรู้จากครูบาอาจารย์ไปได้แบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย ครูบาอาจารย์ให้ ๑๐๐ เราอาจจะรับได้แค่ ๘๐ แล้วถ้าเป็นครูบาอาจารย์ที่มีการปิดบังวิชาการบางอย่าง ที่ถือว่าเป็นของเฉพาะตัว มอบให้เฉพาะลูกศิษย์ที่เห็นว่า มีความประพฤติเป็นที่เชื่อถือไว้วางใจได้ด้วยแล้ว สิ่งที่เราเรียนรู้ก็ยิ่งน้อยเข้าไปอีก

    กระผม/อาตมภาพจึงมีหลักการที่ว่า ถ้าเราอยากรู้เท่าครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์ถ่ายทอดมา ๑๐๐ เราต้องใช้ความพยายามในการเรียนรู้ ๑๒๐ หรือ ๑๕๐ ไม่อย่างนั้นแล้ว เราก็จะไม่สามารถรับความรู้นั้นได้ครบ ๑๐๐ ตามที่ต้องการ แล้วความรู้นั้นเมื่อเรียนมาแล้ว ก็ยังต้องมีการทบทวนอยู่เสมอ โบราณบอกเอาไว้ชัดเจนแล้วว่า

    เจ็ดวันเว้นดีดซ้อม ดนตรี
    ห้าวันอักขระหนี เนิ่นช้า
    สามวันจากนารี เป็นอื่น
    หนึ่งวันเว้นล้างหน้า หม่นไหม้ หมองศรี

    จะเห็นว่า ในเรื่องของการศึกษาเล่าเรียนวิชาดนตรี ซึ่งสมัยก่อน ใช้วิธีไป "ต่อเพลง" กับครูบาอาจารย์ทีละท่อน ถ้าหากว่าเราทิ้งไปถึงเจ็ดวัน ก็เป็นอันว่าหมดอนาคต..! การศึกษาเล่าเรียนก็เหมือนกัน เพราะว่าสมัยก่อนก็ต้องค่อย ๆ เรียน "อักษรสมัย"
    กระผม/อาตมภาพพูดคำนี้ ท่านทั้งหลายอาจจะไม่เคยได้ยิน ก็จำเป็นที่จะต้องซ้อมท่องซ้อมเขียนและจดจำให้ได้ เพราะว่าถ้าเว้นไปห้าวัน ก็เป็นอันว่าเลือนหายหมด

    สามวันจากนารีเป็นอื่น ไม่ใช่ผู้หญิงเป็นอื่น แต่ผู้ชายเป็นอื่น..! พูดง่าย ๆ ว่าห่างผู้หญิงหน่อยเดียวเท่านั้นก็ไป "แรด" ที่อื่นแล้ว โบราณเขาถึงได้บอกว่า รถไฟ เรือเมล์ ลิเก ตำรวจ นายตรวจ สิบล้อ ไว้ใจไม่ได้สักอย่าง ไปถึงที่ไหนก็มีเมียที่นั่น..!
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,129
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,506
    ค่าพลัง:
    +26,342
    ที่กระผม/อาตมภาพเอาตัวรอดมาได้จนถึงปัจจุบันนี้ มีคติพจน์ประจำใจตัวเอง คือ ถ้าเห็นผู้หญิงหน้าตาพอไปวัดไปวาได้ จะบอกกับตัวเองเลยว่า "นั่นเมียเขา..!" อย่าไปหวังเลยว่าจะเป็นโสด ฉะนั้น..ถ้าหากว่าทุกท่านตั้งใจที่จะรักษาตัวตนของเรา เพื่ออยู่ในสมณเพศให้มั่นคงได้ ก็อาจจะต้องใช้วิธีเดียวกัน

    คราวนี้ย้อนกลับมาใหม่ว่า การเรียนของเราไม่ใช่เรียนไปอย่างเดียว ต้องมีการทบทวนด้วย ไม่อย่างนั้นแล้วความรู้จะหล่นหายหมด ท่านทั้งหลายที่อยู่รุ่นเก่าหน่อยก็จะเห็นว่า ทั้งอำเภอทองผาภูมิ อาจจะทั้งจังหวัดกาญจนบุรี ดีไม่ดีก็ทั้งคณะสงฆ์ภาค ๑๔ ด้วย จะมีกระผม/อาตมภาพที่สามารถเฉลยนักธรรมชั้นตรี ชั้นโท ชั้นเอกด้วยปากเปล่าได้ อ่านโจทย์แล้วตอบได้เดี๋ยวนั้นเลย..!

    เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่ารุ่นของกระผม/อาตมภาพ เขาบังคับให้ "ท่องแบบ" คำว่าท่องแบบก็คือต้องจดจำให้ได้ทั้งหมด สมัยหลัง ๆ นี่พวกเรานิยมการ "เก็งข้อสอบ" พอเก็งข้อสอบผิด ก็เป็นอันว่าเรียบร้อย ดังนั้น..การศึกษาที่ดี ควรที่จะศึกษาให้ครบถ้วน ไม่ใช่ไปเก็งว่าออกตรงไหน แล้วอ่านเฉพาะตรงนั้น ส่วนอื่นที่เราไม่ได้เรียน ความรู้ก็จะไม่อยู่ในหัวของเราเลย

    แต่อาจจะมีบางอย่างที่นอกเหตุเหนือผล อย่างเช่นสมัยที่กระผม/อาตมภาพเรียนนักธรรมชั้นเอก เนื่องจากว่าป่วยเป็นมาลาเรีย แม้แต่แรงจะหายใจยังไม่มี จึงไม่ได้ท่องหนังสือ ต้องใช้คาถาท่านปู่พระอินทร์ช่วย แต่คราวนี้ในเรื่องของคาถาท่านปู่พระอินทร์นั้น ท่านต้องมีความรู้อยู่ในหัวบ้าง คืออย่างน้อยต้องอ่านผ่านตามา ไม่อย่างนั้นแล้วท่านจะขาดความมั่นใจ ต้องดูกระผม/อาตมภาพเป็นตัวอย่าง สมัยก่อนในเรื่องของการเรียนนักธรรม ส่วนใหญ่แล้วเขาจะยกบาลีมาเยอะมาก ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ถ้าเป็นส่วนที่เราไม่เคยได้ยินมาก่อน เราอาจจะไม่มั่นใจและไม่กล้าเขียนลงไป

    โดยเฉพาะกระผม/อาตมภาพเป็นคนมีความจำแม่น เมื่อให้บาลีมา ลืมไปว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น หลายต่อหลายวาระ ที่ตรัสเนื้อหาคล้ายคลึงกัน ในเมื่อเขาให้ยกบาลีขึ้นมา ก็เขียนไปด้วยความมั่นใจเลย น หิรุณฺเณน โสเกน สนฺติํ ปปฺโปติ เจตโส ปรากฏว่าไม่มั่นใจตอนท้าย ไปจำบาลีอีกท่อนหนึ่ง ก็เลยแก้ไขตรงท้าย โดยไม่ยอมเชื่อในความรู้ที่ได้รับมาจากการใช้คาถา หรือว่าทิพจักขุญาณ

    โดยปกติแล้ว กระผม/อาตมภาพเรียน มักจะได้คะแนนเต็ม งานนั้นถือเป็น "รอยด่างในชีวิต" เพราะว่าโดนหักไป ๕ คะแนน..! แทนที่วิชาธรรมวิจารณ์ของนักธรรมชั้นเอกจะได้ ๗๐ คะแนนเต็ม ก็เหลือแค่ ๖๕ คะแนนเท่านั้น..!
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,129
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,506
    ค่าพลัง:
    +26,342
    แต่ว่าในเรื่องของการใช้คาถาอาคม หรือตลอดจนกระทั่งสมาธิ สมาบัติ สร้างทิพจักขุญาณให้เกิด ก็เช่นเดียวกัน ต้องการคนขยัน หมั่นซักซ้อมอยู่เสมอ ๆ สมัยก่อน กระผม/อาตมภาพต้องไปนั่งข้างถนนที่หน้าวัดท่าซุง พอถึงเวลาก็หลับตา ทำใจสบาย ๆ วางกำลังใจตามมโนมยิทธิที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านสอนให้ พอเสียงรถยนต์วิ่งมา ก็ถามตัวเองว่า "รถคันนี้สีอะไร ?" เราสามารถที่จะลืมตาดูแล้วได้คำตอบในระยะสั้น ๆ เลย เพราะว่าเดี๋ยวรถก็มาถึงแล้ว

    เมื่อถูก ให้จำอารมณ์นั้นไว้ว่าเราวางกำลังใจแบบไหน ถ้าผิด ไม่ต้องจำ
    เมื่อเราทำบ่อย ๆ จะจำได้ว่าอารมณ์แรกที่ถูกต้องนั้นเป็นอย่างไร แล้วใช้ตรงนั้น ก็จะถูกอยู่เรื่อย ๆ จนกระทั่งประมาณ ๘ ใน ๑๐ ก็คือ ๘๐ เปอร์เซ็นต์ว่าถูก ให้เพิ่มรายละเอียดไปว่า "รถที่วิ่งมาสีอะไร ? คนนั่งมากี่คน ?" เมื่อถูกสัก ๘ ใน ๑๐ ก็เพิ่มอีกว่า "รถที่วิ่งมาสีอะไร ? คนนั่งมากี่คน ? ผู้หญิงกี่คน ? ผู้ชายกี่คน ?" แล้วเพิ่มไปอีกว่า "รถที่วิ่งมาสีอะไร ? คนนั่งมากี่คน ? ผู้หญิงกี่คน ? ผู้ชายกี่คน ? แต่ละคนแต่งตัวอย่างไรบ้าง ?"

    อย่าคิดว่าเราจะได้คำตอบที่ช้าจนกระทั่งพิสูจน์ไม่ทัน เพราะว่าความเป็นทิพย์ที่รายงานมา วูบเดียวเท่านั้นบางทีคำตอบจะเป็นหลายหน้ากระดาษเลย แต่เราจะรู้ครบถ้วนในพริบตา แล้วท้ายที่สุด แม้แต่หมายเลขทะเบียนรถคืออะไรเราก็รู้..!

    แต่ว่าอย่าทดสอบแบบที่กระผม/อาตมภาพทำ เพราะว่ามีกองเชียร์มาก พอรู้ว่าเราไปซ้อม เขาก็ไปยืนเชียร์ พอตอบถูกก็เฮ..! ชอบใจกัน ถ้ากำลังใจเราไม่มั่นคงก็พังบรรลัยหมด เพราะว่าไปยินดียินร้ายกับกองเชียร์ ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายจะเอาดีด้านนี้ ต้องขยันฝึกซ้อมบ่อย ๆ แล้วสิ่งทั้งหลายเหล่านี้จะเป็นสมบัติเฉพาะตัวของเราเอง แต่ถ้าหากว่าขี้เกียจ ก็ยังคงเป็นของกลาง ก็คือใครขยันก็ได้ไป

    สำหรับวันนี้ก็เรียนถวายแก่พระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันจันทร์ที่ ๒๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...