เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๖๖

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 15 พฤษภาคม 2023.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,385
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,528
    ค่าพลัง:
    +26,366
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๖๖


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,385
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,528
    ค่าพลัง:
    +26,366
    วันนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ ๑๕ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ เป็นครั้งแรกในรอบปีที่กระผม/อาตมภาพตรวจงานก่อสร้างพิพิธภัณฑ์วัดท่าขนุนเอง ซึ่งจ่ายเงินไปแล้วประมาณ ๕๐ ล้านบาท ยังมีแต่โครงเปล่า ๆ เพราะว่าข้าวของทุกอย่างส่วนใหญ่ซื้อแล้ว แต่ทางด้านผู้รับเหมายังไม่ได้เคลื่อนย้ายมา เพราะว่าต้องรอให้โครงสร้างทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ถึงจะได้เคลื่อนย้ายมาดำเนินการติดตั้ง

    คราวนี้ในส่วนสำคัญก็คือพระพุทธรูปแก้วใสที่จะมาเป็นประธานในห้องพุทธประวัติ ส่วนใหญ่แล้วบรรดาช่าง ตลอดจนกระทั่งผู้จบวิศวกรโครงสร้างต่าง ๆ มักจะมีความหวาดระแวงเป็นพื้น ก็คือทำอะไรต้องเผื่อไว้ก่อนว่าอาจจะชำรุดเสียหาย ดังนั้น..จึงต้องการให้ทางเราเสริมบันไดใหม่ เพื่อความแข็งแรงในการอัญเชิญพระพุทธรูปแก้วขึ้นไปยังจุดที่ติดตั้ง

    คราวนี้ถ้าให้เขาทำอย่างนั้นบันไดของเราก็บรรลัยหมด..! กระผม/อาตมภาพก็เลยบอกว่าไม่ต้อง ต้องการเมื่อไรให้บอก เดี๋ยวให้พระเราช่วยกันยกขึ้นไปเอง..! เหมือนกับการสร้างศาลาหลังนี้ ถ้าหากว่าปล่อยเขาทำเต็มที่ตามที่ออกแบบเอาไว้ ราคาน่าจะเพิ่มมาอีกหลายล้านบาท..! เพราะว่าเทพื้นด้วยการผูกเหล็ก ๓ ชั้น โดยใช้เหล็กข้ออ้อย ๖ หุนเป็นแกน ใช้เหล็กข้ออ้อย ๓ หุนเป็นคอม้า ก็เลยโดนกระผม/อาตมภาพด่าจมดินไปเลยว่า "มึงจะเทพื้นไว้เลี้ยงไดโนเสาร์ใช่ไหม ?"

    ก็คือพื้นศาลาติดอยู่กับพื้นอยู่แล้ว ทำอย่างไรก็ไม่ทรุดไปกว่านี้ แล้วจะทำโครงสร้างให้แข็งแรงไปขนาดนั้นทำอะไร ? ถ้าหากว่าทำฐานเสาหรือตัวเสาแข็งแรงแบบนั้น กระผม/อาตมภาพจะไม่ว่า สรุปว่าตกลงให้เขาผูกเหล็กเทโครงตามแบบแค่ ๒ จุด ก็คือที่ตั้งพระประธานข้างหลังกระผม/อาตมภาพนี่ กับที่ตั้งมณฑปพระพุทธรูปสามกษัตริย์เท่านั้น นอกนั้นก็คือทำตามที่กระผม/อาตมภาพสั่ง ประหยัดไปได้หลายล้านบาท เพราะว่าเหล็กราคาแพงมาก

    ของบางอย่าง บุคคลที่ศึกษามาแล้วพลิกแพลงใช้งานไม่เป็น ต้องบอกว่าเสียแรงที่เรียนมา ได้แต่ไปแบบเถรตรงเท่านั้น คนจีนโบราณเขาบอกว่า "เรียนรู้ตามที่อาจารย์สอนถือว่าเก่ง แต่ถ้าจะให้ยอดต้องพลิกแพลงใช้งานได้ หรือว่าจะให้เยี่ยมก็คือบัญญัติใหม่ไปเลย..!" ถ้าถามว่าทำตามตำราอย่างเดียวไม่ดีหรือ ?...ก็ดี ปลอดภัยดี แต่ไม่ได้มีความจำเป็นที่จะต้องทำขนาดนั้น

    ดังนั้น..ในเรื่องของการก่อสร้าง ถ้ากระผม/อาตมภาพลงไปดูด้วยตัวเอง ก็คงจะได้ทะเลาะกันทุกวัน ถึงได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมา แล้วตัวเองก็ "เอาหูไปนา เอาตาไปไร่" กูขี้เกียจทะเลาะกับมึง..! คณะกรรมการพิจารณาอย่างไรก็ตามนั้นไป เพราะว่าตั้งงบประมาณเอาไว้แล้ว
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,385
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,528
    ค่าพลัง:
    +26,366
    อีกส่วนหนึ่งก็คือวันนี้ ทางด้านเลขาฯ บอส (พระสมุห์ณัฐพสิษฐ์ ปญฺญาคโม) เบิกงบประมาณในการบูรณะห้องน้ำ ๒๔ ห้องริมห้วย ด้านนั้นขอให้ทำทางเข้าให้ชัด ๆ หน่อย เพราะว่าในช่วงบวงสรวงไหว้ครูประจำปีและเป่ายันต์เกราะเพชร คนจะมาเป็นจำนวนมาก แล้วส่วนใหญ่ก็เป็นคนใหม่ ถ้าป้ายบอกทางไม่ชัดเจน ทางเข้าไม่กว้างขวาง อาจจะไม่มีคนเห็นเลยว่ามีห้องน้ำอีก ๒๐ กว่าห้อง ก็จะมาเข้าแถวรอเฉพาะไม่กี่ห้องที่ข้างศาลา ๑๐๐ ปีฯ นี้ แล้วก็จะทำให้สกปรกได้ง่ายที่สุด

    เพียงแต่ว่าของเก่าบูรณะขึ้นมาแล้ว วันงานก็ต้องจัดพระเณรคอยดูแลไว้ด้วย โดยเฉพาะญาติโยมจำนวนมากใช้ข้าวของแบบว่า "ไม่ใช่ของกู" จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทะนุถนอมอะไรเลย

    สมัยที่กระผม/อาตมภาพอยู่ที่วัดท่าซุง มีพระบางรูปเปิดพัดลม ดึงพรืด ๆ สามทีรวด หลวงพ่อวัดท่าซุงด่ากระจายว่า "ไอ้สันดานขี้ข้า...! ถ้าหากว่าของพังแล้วใครจ่ายเงินวะ ?" คำว่าสันดานขี้ข้าก็คือคนรับใช้ ถึงทำอะไรพัง คนจ่ายก็คือเจ้านาย ก็เลยไม่จำเป็นที่จะต้องไปดูแลรักษาของให้ดี

    หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านซื้อเครื่องเสียง ซึ่งสมัยนั้นก็คือรุ่นเก่าเป็นแบบหลอดทรานซิสเตอร์ ๒ เครื่อง ใช้ที่วัดท่าซุง ๑ เครื่อง ถวายให้วัดยางที่อยู่คนละฝั่งคลองไป ๑ เครื่อง ของวัดยางพังจนกระทั่งซื้อใหม่ไป ๓ เครื่องแล้ว ของวัดท่าซุงเครื่องเดียวยังอยู่เลย กระผม/อาตมภาพแค่ถอดแจ็กเสียบปลั๊ก ด้วยวิธีหมุนแล้วดึง โดนไม้เท้าลงหัวเปรี้ยงเบ้อเร่อ..! ท่านบอกว่า "ทำอย่างนั้นก็หลวมฉิบหายหมด..! ให้เสียบเข้าตรง ๆ ดึงออกตรง ๆ"

    เราจะเห็นว่าพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านใช้ของทุกอย่างด้วยความระมัดระวัง และประหยัดอย่างที่สุด ท่านบอกว่าสิ่งของทุกอย่าง เราได้มาด้วยศรัทธาของญาติโยมที่มีต่อพระพุทธศาสนา ของทั้งหลายเหล่านั้นจึงไม่ได้มีมูลค่าตามราคาท้องตลาด แต่มีมูลค่าเกิดท้องตลาดไปมาก เพราะว่าเกิดจากศรัทธาของญาติโยม ต่อให้เป็นของที่หาง่ายขนาดไหนก็ตาม ก็ต้องใช้อย่างประหยัดและระมัดระวังที่สุด

    พูดง่าย ๆ ว่าอย่าล้างผลาญ ถ้าหากว่ามีเงินเหลือก็จะได้เอาไปช่วยคนอื่น ไม่ใช่มีเงินเท่าไรก็ซื้อแต่ข้าวของใช้ในวัด แล้วก็พังบรรลัยหมด..! ดังนั้น..เรื่องพวกนี้เราต้องพึงสังวรเอาไว้ด้วย ไม่ใช่ว่าอะไรไม่ใช่ของเราก็ใช้ไปเรื่อยเปื่อย ไม่มีการระมัดระวังดูแล
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,385
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,528
    ค่าพลัง:
    +26,366
    โดยเฉพาะค่าไฟฟ้า เมื่อสองวันก่อนกระผม/อาตมภาพจ่ายไป ๕๐,๐๐๐ กว่าบาทต่อเดือน อย่าลืมว่าพระวัดเรามีแค่ประมาณ ๔๒ - ๔๓ รูปเท่านั้น ถ้าเฉลี่ยใช้ไฟเดือนหนึ่ง ๕๐,๐๐๐ กว่าบาท แปลว่ารูปหนึ่งใช้พันกว่าบาท..! แล้วคนทั่วไปจะไหวไหม ? พวกท่านไม่ได้เป็นคนจ่ายเงินก็มักจะไม่รู้ว่าแพงขนาดไหน กระผม/อาตมภาพ ต่อให้ช่วงที่ร้อนที่สุด ก็เปิดพัดลมบ้างเป็นบางครั้งเท่านั้น อย่างที่เคยเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา ก็คือว่า ถ้าเราทำตัวลำบากเข้าไว้ ถึงเวลาทุกอย่างก็จะสบายหมด เพราะว่าไม่มีอะไรลำบากกว่านั้นอีกแล้ว

    กระผม/อาตมภาพยังปรารภกับผู้บังคับบัญชาและเพื่อนฝูง ในงานอบรมเจ้าอาวาสใหม่วันสุดท้ายว่า เจ้าอาวาสใหม่รุ่นนี้กลับวัดเมื่อไรก็เดือดร้อนเมื่อนั้น เพราะว่าอยู่ห้องปรับอากาศมาตลอด ๗ วัน เมื่อเคยชินกับความสบายแล้ว กลับวัดตัวเองไป บางทีอาจจะอยู่ไม่ได้ แล้วก็อาจจะต้องเสียเวลาขวนขวายไปหาเครื่องปรับอากาศมาติดบ้าง ก็แปลว่าค่าไฟจะต้องมากขึ้นไปอีกมาก..!

    ท่านทั้งหลายจะเห็นว่า วัดท่าขนุนของเรามีเครื่องปรับอากาศ ก็คือที่กุฏิต้อนรับพระเถระเท่านั้น แม้แต่กุฏิหรือสำนักงานเจ้าอาวาส เครื่องปรับอากาศมีอยู่ ป่านนี้ก็คงจะพังบรรลัยไปแล้ว เพราะว่า
    กระผม/อาตมภาพไม่เคยไปแตะเลย ถ้าเป็นพวกท่าน ก็เชื่อเลยว่าเปิดกันทั้งวันทั้งคืน..! เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของความประหยัด แต่เป็นการสร้างความเคยชินในด้านที่ไม่ดีให้กับตัวเอง พอถึงเวลาขาดแล้วก็จะอยู่ไม่ได้ เหมือนกับคณะบุคคลที่มาเข้าอบรมที่นี่ เราจะเห็นว่าเขาทนได้วันเดียว รุ่งขึ้นขอย้ายออกแล้ว เพราะว่าไม่มีเครื่องปรับอากาศให้..!

    แล้วก็ไม่มีใครคิดว่าวัดใหญ่ ๆ โต ๆ ชื่อเสียงโด่งดังอย่างวัดท่าขนุนจะไม่มีเครื่องปรับอากาศ ก็เพราะว่ากระผม/อาตมภาพไม่เห็นความสำคัญเลย ตัวเองก็ใช้ไม่ได้อยู่แล้ว ถ้าให้เปิดเครื่องปรับอากาศก็เปิด ๒๗ หรือ ๒๘ องศาเซลเซียส ที่คนเข้ามาแล้วก็บ่น "แบบนี้จะเปิดไปทำอะไรวะ..!?" เพราะว่ากระผม/อาตมภาพโดนเครื่องปรับอากาศเมื่อไรก็คัน โดนพัดลมก็เป็นไข้ ไม่ต้องทำมาหากินอะไรกับชาวบ้านเขาพอดี

    เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ พวกเราฟังแล้วก็สังวรเอาไว้ว่า ทุกวันนี้เราติดสบายเกินไปหรือเปล่า ? ความสบายเป็นตัวบั่นทอนความพากเพียร ความอดทนของเรา ในเมื่อขาดความพากเพียร ความอดทน โอกาสที่เข้าถึงธรรมก็มีน้อย เพราะฉะนั้น..ถ้าหากว่าไม่จำเป็น ก็อย่าไปทำตัวให้สบายมากนัก ไม่อย่างนั้นแล้ว ถึงเวลาเราเองก็ต้องไปวิ่งหาสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ มาอำนวยความสะดวกให้กับตัวเอง ซึ่งก็เป็นรายจ่ายทั้งนั้น

    แล้วถ้าหากว่าท่านทั้งหลาย แค่ค่าไฟอย่างเดียว จ่ายเดือนหนึ่ง ๕๐,๐๐๐ กว่าบาท ก็ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น กระผม/อาตมภาพก็เชื่อว่าน้อยคนที่จะจ่ายไหว

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันจันทร์ที่ ๑๕ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...