เรื่องผีๆของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 15 มีนาคม 2023.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,997
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    789_957.jpg
    เรื่องผีๆของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ
    ผีเจ้ายี่


    ท่านผู้ฟังทั้งหลาย วันนี้ก็มาคุยกันเรื่องผีตามเดิม ความจริงก็หลายปีมาแล้วโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องผีนี้เขาไม่ค่อยจะเชื่อกันนัก แต่ว่าคนที่ไม่เชื่อว่ามีผีแต่ว่ากลัวผีนี่มันก็มีอยู่มาก เรื่องผีนี้เขาไม่ค่อยจะเชื่อกันนัก แต่ว่าคนที่ไม่เชื่อว่ามีผีแต่ว่ากลัวผีนี่มันก็มีอยู่มาก มันก็เป็นเรื่องแปลก สำหรับเรื่องนี้เป็นของธรรมดาของคน เพราะคนนี่แปลว่ายุ่ง ถ้าหากว่าจะเชื่ออะไหรือไม่เชื่อก็ตามมักจะไม่ค้นคว้าหาความเป็นจริงสร้างความยุ่งให้แก่ใจท่านจึงเรียกกันว่าคน
    วันนี้ คนพูดก็คนเหมือนกัน แล้วก็คนจอมยุ่งเหมือนกัน แต่ว่ายุ่งแปลก คือว่าถ้าสงสัยอะไรก็พยายามค้นคว้าหาความเป็นจริง หาให้พบให้ได้ ถ้าไม่พบไม่ยอมเลิก นี่ก็ยุ่งอีกเหมือนกัน ยุ่งหา ยุ่งค้น ค้นไปค้นมาก็เลยดันค้นไปเจอะผีเข้า คราวนี้ก็ยุ่งอีก ยุ่งตรงไหน ยุ่งที่ต้องมาเล่าให้ชาวบ้านฟัง ก็มีท่านพลตรี ม.ร.ว. เสริม สุขสวัสดิ์ ปัจจุบันเป็นเจ้ากรมสื่อสารทหารอากาศ คนนี้ก็คนอีกเหมือนกัน พอเล่าให้ท่านฟังแล้ว ท่านก็จำหัวข้อต่างๆ ได้ ท่านก็สร้างความยุ่ง หมายความว่ามาให้คนพูดยุ่ง รวมความว่าต่างคนต่างยุ่ง ก็ดีเหมือนกัน เรียกกันว่าพวกเราเป็นบริษัทยุ่งวันนี้ก็เลยมายุ่งเรื่องผีต่อไป
    สำหรับผีวันนี้ จะเอาเรื่องผีท่านผู้ทรงศักดิ์สักหน่อยมาเล่าสู่กันฟัง คือ ผีเจ้ายี่ ท่านผู้ฟังเคยอ่านประวัติศาสตร์นครศรีอยุธยาบ้างหรือเปล่าก็ไม่ทราบ แต่ว่าคนที่ฟังนี่น่าสังเกตดูให้ดีแล้วจะมีความรู้เรื่องประวัติศาสตร์ดีกว่ าคนพูด ก็เลยไม่ต้องพูดกันละ บางทีจะไม่ต้องอ่าน เพราะว่าวิชาความรู้ของผู้ฟังทุกคนผ่นมหาวิทยาลัยมาแล้ว ผู้พูดก็ผ่านมหาวิทยาลัยเหมือนกันหลายมหาวิทยาลัยผ่านมา แต่ไม่ได้แวะเข้าไปเรียน เดินผ่านไป ไอ้ที่เรีนจริงๆ นี่เป็นมหาวิทยาลัยศาลาวัด ก็เลยใกล้กับผีหน่อย
    วันนี้มาคุยกันถึงเรื่องผีเจ้ายี่ ที่อำเภอสรรค์บุรี จังหวัดชัยนาท เรื่องที่จะพบผีเจ้ายี่ ก็ขอพูดตอนต้นสักนิดหนึ่ง เพราะว่าก่อนที่จะไปพบเจ้ายี่ก็มีเรื่องระหว่างพระจังหวัดชัยนาทกับจังหวัดชัยนาทด้วยกัน ท่านสร้างความยุ่ง ความจริงท่านบวชพระแล้วท่านก็ไม่ละจากความเป็นคน เขาเล่าลือกันว่าพระผู้ใหญ่โกงพระผู้น้อย ทรัพย์สินวัดไหนก็ตามพอมีค่าขึ้นมา มีราคาขึ้นมา ที่มีกรุ พระในกรุของดีๆ ในกรุ พระเก่าๆ มีค่ามีราคา พระที่ท่านถือว่าตัวท่านใหญ่ แต่ความจริงไม่ใช่ตัวใหญ่ ใจใหญ่ ตำแหน่งใหญ่ ก็เลยโกงพระตำแหน่งน้อย พระตัวน้อย พระมีศักดิ์ศรีน้อย เอาเสียหลายวัด บางวัดก็ปล้ำ เขาขัดขืนไม่ปฏิบัติตามความต้องการก็ปล้ำแก้ผ้าแก้จีวรออก เอาผ้าขาวผ้าเขียวมานุ่งให้ เป็นอันถือว่าสึก แต่ถ้าอย่างนั้นเขาไม่ถือว่าสึก พระองค์เดิม พระองค์นั้นมีสมณสัญญาไม่ขาดทำยังไงก็ไม่ขาดจากความเป็นพระนี่เรื่องราวมันมีมาอย่างนี้เขาลือกัน
    ระหว่างนั้น ผู้พูดยังอยู่ในกรุงเทพฯ ฟังข่าวแล้วก็ทนไม่ไหว อยากจะรู้ว่าพระน่ะปฏิบัติตนเป็นยังงั้นจริงๆ รึ นักบวชจัดว่าเป็นปูชนียบุคคล ทำไมถึงทำตนเป็นโจรปล้นทรัพย์สินเขาแบบนั้น สงสัยคิดว่าข่าวนี้จะไม่จริง ครั้นเมื่อไปฟังข่าวเข้าจริงๆ พอเดินทางเข้าเขตชัยนาท ยังไม่ถึงดี นั่งไปในเรือของบริษัทสุพรรณขนส่ง คณะที่นั่งไปในเรือก็มีคนจังหวัดชัยนาทโดยสารไปด้วย เขาถามว่าจะไปไหน ก็บอกว่าจะไปจังหวัดชัยนาท เขาถามว่าทราบเรื่องราวของพระจังหวัดชัยนาทไหม ทราบเหมือนกันแต่ไม่เคยไป กำลังจะไปฟังข่าว เขาก็เลยบรรยายความตามไท้ให้ทราบ เป็นอันว่าเรื่องราวน่าฟังดี พอเดินทางมาถึงอำเภอสรรยาจังหวัดชัยนาทก็ขึ้นเรือตรงนั้น ขึ้นที่แพหน้าอำเภอ คนขายพุทราอยู่ก็เล่าเรื่องราวของพระจังหวัดชัยนาทให้ฟัง ฤดูนั้นเป็นฤดูน้ำมาก ถนนหนทางยังไม่ดี รถวิ่งไม่ได้ นั่งเรือจ้างไปอำเภอสรรค์บุรี นั่งเรือถ่อลัดทุ่ง คนถ่อเรือก็เล่าพฤติการณ์ของพระให้ฟัง เป็นอันว่าฟังแล้วทนไม่ไหว คิดว่าถ้าเป็นจริงอย่างนี้ก็ไม่น่าบูชาแล้วก็สงสัยว่าทำไมนะพระจึงทำอย่างนั้นได้ ต่อมาก็ทราบเรื่องราวว่า พระที่ท่านว่าเป็นผู้ใหญ่ในจังหวัดนั้น ไม่ใช่เจ้าคณะจังหวัดนะ เวลานั้นท่านวัดสมอเป็นเจ้าคณะจังหวัดท่านไม่ได้ยุ่งด้วย แต่พระที่ยุ่งแย่งเจ้าคณะจังหวัดไปทำ ก็สงสัยอีกว่าทำมาจึงแย่งกันได้ สืบไปสืบมาฟังข่าวดู ก็ปรากฏว่าพระใหญ่ในกรุงเทพฯ สนับสนุนการกระทำของพระองค์นั้น เพราะพระองค์นั้นมีใจดี เอาพระทองคำมาให้บ้าง เอาเงินมาให้บ้าง ต้องการทรัพย์สินเท่าไรบอกไป หามาให้ วิธีหามาให้ก็ไปหาพระเก่าๆ พระในกรุขายให้มา ขายได้แล้วก็เอาเงินมาให้ หรือเอาพระในกรุมาให้ตามชอบใจ อันนี้ก็เป็นข่าวเล่าลือเหมือนกัน จริงหรือไม่จริงก็ไม่ทราบ อย่างพึ่งไปโทษท่านนัก เรื่องของข่าว เป็นอันว่าทราบได้ว่า พระที่ทำเป็นการใหญ่ โกงใครต่อใครได้ก็เพราะว่ามีพระใหญ่ในพระนคร คือกรุงเทพฯ ช่วยสนับสนุนอยู่ 2 องค์ เขาว่าอย่างนั้นนะ เป็นเรื่องที่เขาเล่าให้ฟัง ก็ไม่แน่นักหรอก อย่าไปเชื่อนักเลยไอ้เรื่องเล่า แต่ว่าเมื่อเข้ามาในจังหวัดชัยนาทแล้วก็พบปฏิปทาของท่านใหญ่จริงๆ เป็นอันว่าใครฟ้องร้องท่านเข้าไปในกรุงเทพฯ ท่านได้เลื่อนยศขึ้นมาทุกทีนี่ก็เป็นเรื่องอัศจรรย์ แทนที่จะมีความผิดกลับกลายเป็นคนดีไป น่าเห็นใจท่าน น่าโมทนา ทีนี้มาดูความเป็นจริงที่เขาเล่าลือกันว่าวัดต่างๆ ถูกขุดกรุบ้าง แย่งทรัพย์สินบ้าง เพราะวัดมีรายได้ดี จะเข้าไปยึดอำนาจเอาทรัพย์สินส่วนนั้นๆ ถ้าเจ้าอาวาสไม่ยอมก็จับสึกจับถอดบ้าง ก็เป็นเรื่องที่เป็นความจริง คดียังคั่งค้าง ท่านทั้งหลายเหล่านี้ฟ้องเข้าไปก็กลายเป็นเรื่องเงียบไปหมด ฟ้องร้องเข้าไปถึงกรุงเทพฯ ปรากฏว่าเรื่องนี้ไม่มี ไม่เกิดขึ้น พระองค์นั้นได้เลื่อนยศจริงๆในที่สุดก็ได้เลื่อนยศเป็นราชาคณะน่าเลื่อมใสในบารมีของท่าน
    ทีนี้ เรื่องที่เดินทางมาจังหวัดชัยนาทคราวนั้น เรื่องที่กำลังพัวกันกันอยู่มากก็คือ ระหว่างพระองค์ใหญ่กับพระที่อำเภอสรรค์บุรี อำเภอสรรค์บุรีเขาเรียกกันว่าวัดศีรษะเมืองคือหัวเมือง หรือว่าวัดมหาธาตุปัจจุบัน อันนี้เดิมเป็นที่ตั้งด่าน เมืองด่านสมัยโบราณสมัยจังหวัดพระนครศรีอยุธยาเป็นเมืองหลวง เมืองด่านก็มีเมืองชัยนาท เมืองสรรค์บุรี เมืองสุพรรณบุรี เมืองสุพรรณบุรีก็มีเจ้าอ้าย เจ้าอ้ายเป็นพระยาเป็นเจ้าเมือง เป็นนายด่าน เมืองสรรค์บุรีก็เจ้ายี่น้องชายเป็นนายด่าน เมืองชัยนาทก็เจ้าสามพระยาเป็นนายด่าน คือ ด่านกันพม่าและด่านกันสุโขทัย พอไปถึงวัดมหาธาตุหรือวัดศีรษะเมืองเดิม ก็ไปถามเจ้าอาวาส บรรดาประชาชนคนทั้งหลายเข้าทราบว่าพระขึ้นมาจากรุงเทพฯ เขาก็สนใจมานั่งคุยกันประมาณ 200 คนเศษ เล่าพฤติการณ์ให้ฟังว่าพวกเขาถูกข่มเหงอย่างไรๆ บ้าง ก็เลยบอกกับเขาว่าการมานี่ไม่มีอำนาจหน้าที่อะไร นอกจากจะมาฟังข่าวตามความเป็นจริงเมื่อได้รับข่าวแล้วก็ไม่มีอำนาจจะไปทำอะไรใครเหมือนกัน แต่พวกเขาก็บอกว่าสบายใจที่มีพระกรุงเทพฯ มารับฟังข่าวไว้บ้างก็ดีเหมือนกัน ถึงแม้ว่าจะช่วยเหลืออะไรไม่ได้ก็ช่างเถอะ ให้ได้ระบายความเป็นจริงให้ทราบ ก็เห็นใจเขา คนที่มีความกลุ้ม คนที่มีความเดือดร้อนตานี้ เวลาบรรดาประชาชนกลับไปแล้ว เวลาเย็นแล้วสัก 5 โมงเย็น ก็ไปนั่งที่ศาลาการเปรียญของวัดมหาธาตุ มีเด็กตัวเล็กๆ ผู้หญิงบ้างผู้ชายบ้างมาฝึกปั่นจักรยานกัน ขี่จักรยาน ตัวเองนั่งที่ๆ นั่งที่เขาจัดไว้ไม่ได้ ก็ยืน ยืนดูเขาปั่นกันไปปั่นกันมาในบริเวณลานวัด ก็ชอบใจ มานั่งนึกในใจเออเด็กพวกนี้มีความสามารถมากกว่าเรา อายุไม่ทันจะถึง 10 ขวบ ก็สามารถขี่จักรยานได้ ชอบใจนั่งดูเพลินไป ดูไปดูมามันก็ใกล้ค่ำ หรือค่ำแล้วก็ไม่ทราบ บรรดาเด็กทั้งหลายกลับกันหมด แต่ก็มองเห็นอากาศมันยังไม่มืด เลยนั่งอยู่คนเดียว คิดอะไรต่ออะไรเพลินไป ไปดูหลักฐานการขุดทรัพย์ของพระใหญ่โกงพระน้อย มองดูแล้วว่าวัดนี้เป็นวัดที่มีโบราณวัตถุมาก นั่งดูเพลิน ขณะที่นั่งดูอยู่นั่นเองก็ปรากฏผี 2 ผี แต่งตัวเป็นนายทหารโบราณทรงเครื่องเรียกว่าแต่งตัวกันเต็มยศ มีผ้ายก มีเสื้อสวยมากก็แล้วกัน แพรวพราว อีกคนหนึ่งแต่งตัวสวยน้อยลงไปนิด ท่าทางองอาจสมส่วนลักษณะเป็นคนสวย ทั้งคู่เป็นผู้ชายสวย เดินเข้ามาหา ผู้พูดกำลังนั่งอยู่ เมื่อท่านยืนเลยต้องยืนพูด เวลายืนขึ้นไปปรากฏว่าหัวนี่นะ อยู่ต่ำกว่าราวนมของท่านประมาณสัก 4 - 5 นิ้ว รู้สึกว่าท่านทั้งสองนี่ใหญ่โตมาก ก็เลยถามว่านี่เป็นผีหรือเป็นคน แกก็ตอบว่าเป็นผี ก็เลยถามว่าทำไมถึงสวยล่ะ เขาว่าผีนี่ไม่สวยนี่ แกก็ยิ้ม ผีนี่มีทั้งสวยและไม่สวย ก็เลยคุยกันอย่างคนธรรมดา ก็ถามท่านที่แต่งตัวสวยอีกคนหนึ่ง ถามว่าท่านเป็นใคร ท่านก็ตอบว่าผมนี่แหละที่เขาเรียกกันว่าเจ้ายี่ สำหรับคนนี้เป็นทหารคู่พระทัยเป็นพระยาจำไม่ได้เสียแล้วว่าชื่อพระยาอะไร ทั้งสองคนดูหน้าตาดี เป็นคนไม่ดุ ก็เลยถามว่าที่มานี่มาในลักษณะผี หรือรูปร่างใหญ่โตแบบนี้ หรือมาในรูปร่าลักษณะคนที่มีชีวิต ท่านเจ้ายี่ก็ตอบว่าผมมาในลักษณะของคนที่มีชีวิตอยู่ รูปร่างหน้าตาผมแบบนี้แหละครับ ผมทำเหมือน แล้วก็ใหญ่เท่านี้ เลยมานั่งนึกดูว่าโอ้โฮ คนสมัยนั้นนี่ใหญ่จริงๆ เครื่องศาสตราวุธถึงได้ใหญ่ แขนขาใหญ่ นิ้วใหญ่ หน้าตาก็ใหญ่ ใหญ่ทั้งตัว แต่ก็สมส่วน สมลักษณะเป็นผู้ชายสวย ท่าทางองอาจ ถามท่านว่ามาทำไม ท่านก็เลยถามว่ามาทำไมล่ะ ก็เลยบอกว่าอยากจะมารู้เรื่อง เขาว่ากรุที่นี่มีของศักดิ์สิทธิ์มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีพระบรมสารีริกธาตุ จริงไหม ท่านก็เลยบอกว่าจริง ถามว่าคนที่เขามาขุดเอาพระไปนี่ พบพระบรมสารีริกธาตุไหม ท่านก็บอกว่าไม่พบ ถามว่าทำไมจึงไม่พบ ท่านบอกว่าไม่ต้องการให้พบ ถ้าขุดพบแล้วก็นำพระบรมสารีริกธาตุออก จะตายกันหลายคน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระที่เป็นหนัวหน้านั้น ก็ต้องตาย ความจริงก็น่าเสียดายเหมือนกันนะ ท่านยุ่งๆ แบบนี้ก็น่าจะตายเสีย แต่ความจริงก็ไม่ต้องไปทำให้ท่านตายเวลานั้นหรอก เวลานี้กำลังพูดนี่เดือนมกราคม พ.ศ. 2506 วันนี้วันที่ 24 และก็ทราบว่าพระใหญ่องค์นั้นนอนป่วยมาแล้ว 2 ปี หนังข้างด้านหลังน่ะเป็นแผลหมด เหวอะหวะไปหมด นอนพลิกตัวก็ไม่ไหวขยับตรงไหนก็ไม่ได้มันเป็นแผลต้องนอนตะแคงทั้ง 2 ข้าง เป็นการทรมานตน พูดก็ไม่ได้ กินอะไรก็ไม่ถนัด ได้แต่ชี้โบ๊ชี้เบ๊ ยกมือยกแขนยกขาก็ได้ไม่ถนัด เรียกว่ามีอาชีพนอน อันนี้ก็เห็นจะเป็นกรรมเพราะทำลายพระพุทธรูป ทำลายเจดีย์ พระพุทธรูปองค์ใหญ่ๆ ท่านก็ทุบเสีย เอาของข้างใน เจดีย์ก็ขุดเสียมาก ขุดเอามาแล้วได้ทรัพย์สินมากๆ ก็ไม่เคยบูรณปฏิสังขรณ์ปล่อยสภาพไปตามนั้น พระเก่าๆ ที่ได้มาก็ขายไป จ้างเขาทำใหม่คล้ายๆ แบบพระ ปลอมแล้วเอารักทาเข้าไว้ ถ้าใครเขามาถามก็บอกว่าพระเก่า แต่ว่าทารักเข้าไว้ จะได้สวยๆกันเขาดูเนื้อ นี่เป็นวิธีการของท่าน แต่กว่าเรื่องนี้จะเป็นตัวหนังสือพิมพ์ออกมาได้ก็เข้าใจว่าคงจะตายไปนานแล้ว นี่เป็นเรื่องของท่าน ช่างท่านนะ ไม่ต้องมีใครไปทำท่านก็ตายของท่านเองหมดเรื่องไปคือคนเราไม่ต้องไปแช่งกันไม่ต้องไปกลั่นแกล้งให้เขาตายเขาเกิดมาแล้วก็ต้องตาย
    ทีนี้มาว่าเรื่องต่อกันไป ถามท่านว่ามีอะไรดีๆ อีกไหม ท่านบอกว่มีเลยชวนไปดูของดี ก็เดินตามท่านไป สองท่านก็เข้าไปในวิหารเก่ามีพระพุทธรูปเขาปั้นไว้เยอะทำด้วยปูน แต่มีพระองค์หนึ่งคอหักท่านก็ชี้ให้ดูบอกว่าพระองค์นี้คอหัก ท่านช่วยต่อให้ทีเถอะครับ หักมานานแล้ว ความจริงทุนรอนในการต่อน่ะไม่มาก แต่ไม่มีใครเขาสนใจทำ มองดูแล้วก็เห็นจริงตามท่าน ถ้าจะลงทุนก็ปูนสักกะลาเดียว ไม่ถึงกะลาหรอก นิดเดียว เอาปูนซีเมนต์มาละลายน้ำทาๆ เอาคอชนเข้าไปก็สามารถจะติดกันได้ แต่ไม่มีใครเขาทำก็น่าแปลก เป็นเรื่องน่าแปลกจริงๆ พระสงฆ์ในพุทธศาสนานี่ไม่รู้ว่าบวชกันยังไง ถือแต่ความสำคัญของตัวเป็นใหญ่ เรื่องของพระศาสนาแม้แต่พระพุทธรูปองค์เล็กๆ ซึ่งคอหักก็ไม่มีใครต่อให้ นี่จะเรียกกันว่าเขาเป็นพุทธศาสนิกชนนักก็ไม่ค่อยจะได้ ฟังได้หรอก แต่เชื่อไม่ได้ เพราะปฏิปทาไม่เป็นไปตามนั้น เมื่อท่านชี้ให้ดูก็บอกว่านี่ฉันเป็นคนมาใหม่นะ ไม่มีสตางค์ สตางค์ในประเป๋านี้เหลืออยู่ 30 บาท กะเอาไว้ว่าจะเดินทางกลับก็พอเท่านั้นเอง ค่าเรือประมาณ 20 บาทเศษๆ เหลืออีก 10 บาทเป็นค่าอาหาร ท่านหาสตางค์มาช่วยซี ท่านบอกว่าดูที่อกพระองค์นี่ซี พอท่านเจ้ายี่ชี้ให้ดูก็ปรากฏว่ามีเลข 25 ตัวใหญ่มาก ชัดเจน ถามว่าอะไร เลขอะไร ท่านบอกว่าเลขท้าย 2 ตัว ล๊อตเตอรี่นิมนต์ท่านไปซื้อ บอกว่าแหมตั้งแต่บวชมานะ พระเขาห้ามเล่นการพนัน ไม่เคยซื้อล๊อตเตอรี่เลย บอกให้คนอื่นซื้อได้ไหม ท่านก็บอกว่าได้ ถามว่าใครล่ะ ท่านก็บอกชื่อให้ ไม่บอกชื่อในที่นี้นะ ท่านบอกชื่อให้แล้ว ตอนเช้ามาพบเขาก็บอกเลขเขา เขาก็ไปซื้อ 20 บาท ไอ้ 20 บาทนี่นึกว่าเขาจะซื้อล๊อตเตอรี่ 2 ใบ เปล่า เขาไปพิมพ์เอง เขาเล่นห้วยใต้ดินน่ะ ความจริงไอ้หวยบนดินหวยรัฐบาลออกนี่น่ะ เขามีเจ้ามือจ่ายต่างหาก เล่น 20 บาท ปรากฏว่าได้เงิน 1,400 บาทเขาก็เอามาถวายบอกว่าไม่เอาหรอกต้องการให้ไปซ่อมพระองค์นั้นแล้วเขาก็จัดการซ่อมให้ดีน่าโมทนา
    ทีนี้เมื่อดูพระองค์นั้นแล้ว ก็เลยถามว่าที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุอยู่ตรงไหน ท่านก็พาไปที่สถูป คือเจดีย์เก่ารอยเขาขุด ท่านก็ชี้ให้ดูว่าพระบรมสารีริกธาตุอยู่ตรงนี้ พอชี้ให้ดูคล้ายๆ กับไม่มีอะไรบังเลย เห็นชัดถนัด เหมือนกับตั้งอยู่ในอากาศ มีพานทองคำขนาดใหญ่ 1 ลูก ประดับเพชร แล้วก็มีพานทองคำขนาดย่อมกว่านั้น อีก 1 ลูก พานนั้นใหญ่มาก ตั้งซ้อนพานทองคำลูกใหญ่ แล้วก็มีมณฑปทองคำมีผอบใส่พระบรมสารีริกธาตุทองคำประดับเพชร แล้วก็มีสร้อยเพชรเป็นพวงๆ อยู่ 2 สาย มีมีดหมออยู่ 2 เล่ม ฝักทองคำด้ามทองคำ ก็เลยถามท่านว่าพานทองคำนี่ขอได้ไหม ท่านบอกว่าไม่ได้หรอก แล้วเลยบอกว่าเอางี้ก็แล้วกัน ท่านช่วยชุดนะขุดนิดหน่อยก็ถึง แล้วก็เอาพระบรมสารีริกธาตุออกมา ผมถวายมีดกับถวายสร้อยเพชร 2 สายเอาไปขาย ขายได้ราคาเป็นล้านๆ แล้วช่วยทำเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุให้ใหม่ เลยถามท่านว่า ทำไมไม่บอกเจ้าอาวาสท่านทำล่ะ ท่านบอกว่าไม่ได้หรอก เจ้าอาวาสนี่ยังมีความโลภโมโทสันมาก ถ้าได้สมบัติขนาดนี้แล้วเดี๋ยวก็สึก ก็เลยบอกว่าฉันน่ะทำไม่ได้หรอก ฉันไม่ใช่เจ้าของวัดนี้ ไปขุดเข้าเดี๋ยวก็โดนดีเข้า ท่านก็บอกว่าไม่เป็นไรหรอก ผมจะช่วย บอกช่วยก็ไม่ไหวแล้ว ก่อนจะถูกฟ้องก็ตายก่อนแล้ว ท่านถามว่าตายเพราะอะไร บอกว่าตายเพราะไอ้พวกโจรมันจะทุบเอาน่ะซี ได้พานทองคำตั้ง 2 ลูก ได้มณฑปทองคำ ได้ตลับทองคำมีสร้อยเพชรพวงใหญ่ๆ ถึง 2 พวง มีมีดหมอฝักทองคำด้ามทองคำ ไม่ทันจะเอาไปกุฏิ ไม่ทันจะยกก็ตาย เพราะว่าไอ้คนที่มันรู้เข้ามันจะทุบตายแย่งของไป ท่านก็ยิ้ม ท่านก็เลยบอกว่าเมื่อกลัวตายก็ไม่เป็นไรหรอก ถ้ากลัวตายก็เลิกไม่ต้องทำ ถ้าไม่กลัวตายเมื่อไรนิมนต์มาเอาไปได้ แล้วทำเจดีย์บรรจุให้ก็แล้วกัน ก็เป็นอันว่าพับกันไปเรื่องนั้น ที่ยืนคุยอยู่กับท่านนี้ เข้าใจว่ามันไม่มืด อากาศมันสว่าง เห็นอะไรต่ออะไรเหมือนกลางวัน แต่พอดีขณะที่คุยถึงเรื่องนี้ใกล้จะจบเห็นไฟฉาย 5 ดวง เขาฉายมา คน 5 คนเดินไปถือไปฉาย ปรากฏว่าเป็นพวกตำรวจ พอเห็นคนเดินมา ท่านก็บอก พวกตำรวจเขามาตามแล้ว นิมนต์กลับเถอะครับ ผมก็ขอลา วันหลังพบกันใหม่ พอท่านบอกลาเท่านั้นอากาศมืด แปลกที่คุยกับผีไม่มืด ผีมีอำนาจ พอดีพวกตำรวจเขามาถึง ถามว่ามาทำไม เขาบอกมืดมากแล้วครับ ประมาณ 3 ทุ่ม แล้วท่านผู้บังคับกองผสมห่วงท่าน เกรงว่าใครจะทุบให้ผมมาตาม ก็เลยบอกว่าโอ้โฮ ฉันยืนคุยกับผีอยู่ กำลังยืนคุยอยู่เห็นแสงสว่างๆ ดี พอพวกท่านมาเท่านั้นแหละ แกบอกลามือเลย เขาก็บอกว่านั่นน่ะซีครับอากาศมืดแล้ว ท่านผู้บังคับกองกับพวกตำรวจมาคอยอยู่นานแล้ว อยากจะพบท่าน ก็เลยไปหาท่านผู้บังคับกอง ท่านผู้บังคับกองคนนี้คือ ร.ต.อ. บุญสม นามสกุลยังไงจำไม่ได้ เป็นคนใจดีมาก เป็นพุทธศาสนิกดี ตำรวจทุกคนเรียกว่าพ่อ ใครๆ เขาเรียกว่าคุณพ่อ ท่านใจดี เป็นอันว่าผีเจ้ายี่ตอนนี้หมดไปตอนหนึ่ง แต่ยังไม่หมด เลยเล่ากันตอนต่อไป
    ในวันหลังต่อมาเวลาจะไปที่นั่นก็นึกถึงเจ้ายี่ ท่านก็มาเยี่ยมทุกคราว คืนหนึ่งไปนอนอยู่หอสวดมนต์ของวัดมหาธาตุ ตอนหัวค่ำประมาณสัก 3 ทุ่ม นอนอยู่คนเดียวปรากฏว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งมาเดินอยู่ข้างๆ แต่เห็นไม่เต็มตัว เห็นแต่อกไปถึงหน้า ผิวสวยหน้าตาสวย มีหน้าตาอิ่มเอิบ เนื้ออิ่มเนื้อเต็ม เรียกว่าอยู่ในลักษณะของคนสวย เดินวนไปวนมาแล้วก็ยิ้ม ก็คิดว่าใครหนอคนนี้ ไมใช่คนแน่ เป็นผี เครื่องประดับก็สวย ก็เลยบอกเขาว่า นี่ให้เห็นครึ่งตัวทำไมเล่า ขอเป็นเต็มตัวได้ไหม แกเลยทำให้เห็นเต็มตัว ลีลาการเดินสวยมาก แสดงความเป็นผู้ดีอย่างหนัก ก็สงสัย เลยเรียกเขา ความจริงเป็นสาวนะ หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส ถามว่าโยม โยมคือใคร ทีนี้แกก็เลยนั่ง เพราะผีเล่าให้ฟังกำลังนอนอยู่ ขอโทษ แกก็เลยเลิกเดิน นั่งลงมาพนมมือ บอกว่าฉันนี่น่ะ เป็นชายาของเจ้ายี่ อ้าว ยังงั้นหรอกรึ คิดว่าสาวๆ ที่ไหน ถามว่ารูปร่างที่แสดง นี่แสดงในสมัยที่เป็นผีหรือเป็นคน แกบอกว่าแสดงภาพที่เป็นคน บอกว่าเป็นคนนี่ สวยอย่างนี้เชียวรึ แกก็ยิ้ม ถามว่าสวยรึ ตอบว่าสวย แกก็เลยถามอีกทีว่าพระน่ะเป็นผู้หญิงสวยรึ บอกว่าพระน่ะเห็นผู้หญิงไม่สวยหรอก แต่ทว่าเท่าที่พูดว่าสวยเพราะลักษณะท่าทางแบบนี้ชาวโลกเขานิยมกันว่าสวย แกก็เลยยิ้ม ถามโยมซักแบบนั้นทำไม แกก็ว่า ถ้าหากว่าท่านเห็นผู้หญิงสวยละ ฉันก็ไม่อยากรู้จักกับท่านหรอก แล้วก็จะไม่คุยกะท่านต่อไป แต่นี่ท่านพูดว่าชาวโลกเขาชม ก็ยกประโยชน์ให้แก่ชาวโลกไป ไม่เป็นไร แล้วก็นั่งคุยกัน เลยถามว่า โยม เจ้ายี่ไม่มาเรอะ บอกมา ยืนอยู่ข้างหลัง ยังไม่ได้แสดงตัว ก็เลยบอกว่า เชิญท่านแสดงตัวซี ท่านก็ปรากฏตัว บอกว่าโยมทำไมไม่ให้เห็นตัวล่ะ ตอบว่าผมอยากจะสอบใจท่านน่ะซี คิดว่าท่านจะเกี้ยวเมียผมบ้าง ถามว่า อ้าวแล้วก็เพื่อประโยชน์อะไร ท่านก็เลยบอกว่าถ้าเกี้ยวเมียผมเมื่อไรผมก็เลิกคบกับท่านเป็นเสียอย่างงั้นผีส่งเมียมาล่อเสียได้เป็นอันว่าวันนั้นก็คุยกันพอสมควร
    ต่อมาอีกประมาณปีหนึ่ง ก็ขึ้นไปบ่อยๆ นะ ปีที่เริ่มต้นไปน่ะ เป็นปี 2503 ตานี้มาปี พ.ศ. 2504 ชาวบ้านเขาบวชนาคกันเขาก็มานิมนต์ไปสวดนาค ขณะนั้นก็ปรากฏว่าไม่ค่อยสบาย เป็นไข้ ไปนอนอยู่ที่กุฏิพระเทียม พร่ะนะชื่อเทียมนะ พระสงฆ์ ไปนอนอยู่ หัวค่ำปรากฏว่ามีผีตนหนึ่งมายืนอยู่ที่ปลายเท้า รูปร่างหน้าตาดี เอายังงี้ก็แล้วกัน คล้ายๆ รัชกาลที่ 5 มีหนวดเหมือนกัน ทำหน้าสั้นบ้าง หน้ายาวบ้าง ประเดี๋ยวก็หน้ายาวตั้งศอก ประเดี๋ยวก็หน้าสั้นจี๋ เดี๋ยวก็หน้าใหญ่ ทำท่าแบบนี้เห็นท่าจะไม่ดี ข้างๆ วัดมีการบวชนาคกัน ก็เลยเรียกท่านเจ้ายี่ บอกโยมท่านเจ้ายี่ไปไหน เชิญมาหาอาตมาประเดี๋ยว ขอให้มาเดี๋ยวนี้ ท่านกับนายทหารคนสนิทก็มาพร้อมกัน ภาพผีนั้นก็หายไป ท่านถามว่ามีธุระอะไรขอรับ ก็เลยบอกท่านว่า เมื่อกี้นี้มีผีตนหนึ่งมาทำหน้าสั้นบ้าง หน้ายาวบ้าง เวลานี้อาตมาก็ไม่ค่อยสบาย ประเดี๋ยวจะตกใจ ขอโยมอยู่เป็นเพื่อนตลอดคืนนะ ประเดี๋ยวผีพวกนั้นมันจะทำให้ตกใจแล้วก็จะยุ่ง แต่ความจริงถ้าไม่ป่วยไข้ ไม่สบาย ก็ไม่ใช่ของแปลก ผีเป็นของธรรมดา นี่กำลังป่วยอยู่ ท่านก็เลยบอกไอ้เจ้าของงานข้างๆ วัดนี้น่ะตั้ง 4 - 5 รายขอรับ มันกำลังจัดงานบวชพระ มันก็เลยเชิญผมให้ไปช่วยคุมงาน ถ้าไม่ไป มันก็จะมีเรื่องกัน มันกินเหล้าเมายากัน ผมอยู่กับท่านตลอดคืนไม่ได้ บอก เอ ถ้ายังงั้นไม่ได้แล้วโยม โยมก็ไปไม่ได้ เพราะว่าดีไม่ดีอาตมาจะมีอันตรายจากผี ท่านก็ยืนนิ่งประเดี๋ยวหนึ่ง เป็นห่วงอยู่เหมือนกัน ท่านบอกจริงครับ ผมก็ห่วงท่าน เอายังงี้ก็แล้วกัน พวกบ้านผมเขาเก่ง ไม่ต้องกลัวหรอก เดี๋ยวจะให้พวกบ้านผมเขามาเฝ้า มานั่งอยู่ยามคอยป้องกัน ท่านไม่ต้องกลัวนะขอรับ เขาเก่งมาก พอท่านพูดเท่านั้นก็ปรากฏว่าชายา คือ ภรรยาของท่านมา คนเก่าน่ะ รู้จักกันดีแล้ว ท่านก็บอกอ้าวพวกบ้านผมมาแล้ว ผมลาละครับจะไปเที่ยวคุมงาน ก็บอกไปได้โยม โยมผู้หญิงมาแล้วก็ไปได้ เมื่อท่านเจ้ายี่กับท่านทหารคนสนิทไปแล้ว ชายาของท่านก็บอก นิมนต์คุณจำวัดให้สบาย ฉันจะนั่งอยู่ข้างเตียงคุณตลอดคืน รับรองว่าไม่มีผีอะไรมาทำอันตรายคุณได้ เมื่อแกพูดจบก็เลยถามว่า โยมผีเมื่อกี้นี้น่ะเป็นใคร ท่านก็เลยบอกให้ทราบว่าผีเมื่อกี้นี้คือพวกบรรดาเจ้าเมืองเก่าๆ ก่อนพวกฉันมาอยู่ ตั้งแต่สมัยโบราณ คนนั้นแหละเขาเป็นคนตั้งเมืองตรงนี้คนแรก เพราะว่าท่านมาที่นี่คราวไร ท่านก็ไม่เคยบอกให้เขาทราบ บอกแต่พวกฉัน ตานี้พวกเก่าๆ เขาก็มาแสดงตัวให้ปรากฏ ก็เลยบอกว่า ถ้าแสดงตัวแบบคนก็ไม่เป็นไร นี่มาทำหน้าสั้นบ้างหน้ายาวบ้าง ท่านก็เลยบอกว่าเขาล้อเล่นน่ะคุณ บอกล้อแบบนี้ไม่เป็นเรื่อง แกก็บอกว่าคุณกำลังไม่สบาย อย่าคุยมากเลย นิมนต์จำวัดให้สบายเถอะ ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งหมด ฉันจะป้องกันให้ เมื่อท่านบอกยังงั้นก็วางใจ เลยจับอานาปานัสติกรรมฐาน นอนหลับไปภายใน 2 นาที ตื่นขึ้นเช้า เวลาเช้ามืด เวลาได้อรุณ ท่านก็เลยบอกว่าหมดภัยแล้ว ท่านลาละ ก็เป็นอันว่าหมดเรื่องกัน นี่ก็เป็นเรื่องผีที่มีประโยชน์
    ต่อมาปลายปี วัดนั้นเขาจะมีงานประจำปี เขาก็เลยให้ผู้พูดไปเป็นประธานในงานอีก เรื่องมันยุ่งก็ไป ตอนนี้กำลังเป็นไข้จับสั่นพอดีเลย แต่ว่าเวลาที่เขามาเชิญน่ะมันไม่เป็นไข้ ก็รับปากเขาไว้ เขาก็ไปประกาศว่าผู้พูดน่ะจะไปเป็นประธานในงาน ถึงเวลางานเข้าจริงๆ ป่วยไข้ไม่สบายก็เกรงว่าจะเสียสัจจะก็เลยต้องไป เมื่อไปถึงแล้วไข้มันก็แผลงฤทธิ์เป็นวันเริ่มงานพอดี ก็นอนคลุมผ้าอยู่ ขณะที่นอนคลุมผ้าก็บอกหมดละอีคราวนี้ ไม่เอาแต่เฉพาะเจ้ายี่ละ ว่าท่านผู้ใดก็ตามที่เป็นเจ้าผู้ครองนครพระนครนี้มาตั้งแต่สมัยโบราณกาล จนถึงสมัยท่านเจ้ายี่เป็นที่สุด ข้าพเจ้าขอถวายความเคารพ ขอทุกท่านจงเมตตาข้าพเจ้าให้ปลอดภัยด้วยประการทั้งปวง แล้วก็ช่วยงานนี้ให้เป็นไปด้วยดี แล้วก่อนที่จะนอนลงไปก็เห็นวัดนั้นไม่มีรั้วไม่มีกำแพง ก็คิดไว้ในใจว่าวัดนี้ควรจะมีรั้วมีกำแพงเป็นหลักฐานเพราะเป็นวัดในอำเภอ เป็นวัดอยู่ในเขตอำเภอใกล้ๆ กับตัวอำเภอ แล้วก็ติดตลาด ตลาดก็ตั้งอยู่ในเนื้อที่ของวัด วัดควรจะสวย แต่สภาพของวัดเวลานั้นดูไม่ได้เลย กุฏิใครเดินขึ้นไปก็ต้องเดินแบบสุภาพ ถ้าไม่สุภาพก็หล่นใต้ถุน เพราะมันผุไปหมด กุฏิก็โย้ๆ เย้ๆ ใกล้จะพังหมด ก็แปลกใจเหมือนกันเงินทองวัดนั้นก็ดีนี่ แต่วัดไม่ดี มันเป็นเรื่องที่แปลกมาก แปลกจริงๆวัดอยู่ใกล้ไม้ใกล้หินใกล้ปูนใกล้ทรายแต่วัดไม่สวยเพราะอะไรก็ไม่ต้องบอกไม่ต้องพูดกัน

    ในเมื่อนอนบอกเรียบร้อยหมดทุกท่านแล้ว ไม่ได้ออกชื่อทั้งหมดเพราะไม่รู้ว่าใครบ้าง ก็ปรากฏว่ามีทุกท่านมายืนเรียงกันอยู่เป็นแถว ประมาณ 10 ท่านเศษๆ มีเจ้ายี่ยืนท้ายแถว ก็เลยพูดกับท่านว่าโยม คณะโยมทั้งหมดน่ะ อาตมาตั้งใจจะทำรั้วกำแพงวัดนี้เรียกว่าจัดเป็นห้องประมาณ 60 ห้องเศษๆ เอากันแค่ 60 ห้องก็แล้วกัน อาตมาจะบอกบุญกับชาวบ้าน ขอให้โยมช่วยด้วย ทีนี้จำได้ว่าท่านองค์ที่มาทำหน้าสั้นหน้ายาวนั่นแหละเป็นคนพูดคนเดียว บอกได้ขอรับ ผมจะช่วย ถามว่าโยมจะช่วยน่ะ จะหาสักกี่วันจะครบ จะหาเงินสักกี่วัน เอาแค่คนเขารับจะให้ แล้วไปจ่ายกันเวลาตรุษสงกรานต์แล้วขอให้ได้จริง ท่านบอกว่าถ้าประกาศหาละก็ งานนี้มัน 3 วัน 3 คืนขอรับ ได้ภายในงานนี้แหละเรียกว่างานนี้ไม่ทันเลิกจะครบ 60 ห้อง ก็เลยบอกท่านว่า ถ้าโยมช่วยยังงี้ก็เป็นความดี แล้วตอนเดือน 4 เดือน 5 ตอนตรุษสงกรานต์น่ะ ขอให้ชาวบ้านเขามาช่วยให้ครบถ้วน ที่เขารับปากไปแล้ว ท่านก็บอกว่าใจตอนนั้นจริงๆ จะได้มากกว่านี้ จะได้มากกว่า 60 ห้อง ท่านก็ถามว่าจะให้ได้เงินก่อนหรือจะทำก่อน ตอบว่าถ้าเขารับปากจะทำก่อน ถ้ายังงั้นยิ่งดีใหญ่ ผมรับรองว่าได้มากกว่า 60 ห้องแน่ถ้าทำก่อน ก็เลยรับปากท่านว่า อาตมาไม่ว่าทำอะไรก่อนได้เงินเสมอ ท่านก็เลยบอกว่าเอาละขอรับ ผมจะให้ลูกน้องมาควบคุมท่านคือป้องกันอันตราย พอท่านจะกลับก็บอกว่า โยมจะกลับหมดไม่ได้นะ ช่วยคุมงานด้วย งานนี้ให้ได้เงินดีๆ ปลอดภัยจากอันตรายต่างๆ ท่านก็รับคำ แล้วทุกท่านก็ลากลับ ผู้พูดก็หลับ หลับไปสักชั่วโมง ตื่นมาปรากฏว่ามีคนเขามาเยี่ยมประมาณ 12 คน เห็นจะเป็น 12 คน จำได้ยังงั้นนะ ถ้าพลาดก็ขอโทษด้วย ลืมตาขึ้นมาก็เลยพูดเรื่องกำแพงรอบวัด เมื่อพูดจบก็บอกว่า ฉันก็เป็นคนไม่มีเงิน เวลานี้ฉันมีเงินติดตัวอยู่ประมาณ 60 บาท จะว่าไมมีก็ไม่ได้ มันมี แต่ว่าฉันอยากจะทำกำแพงรอบวัดมีรั้วเป็นเหล็ก คิดราคาประมาณห้องละ 350 บาท แต่ความจริงแพงกว่านั้น เอากันเท่านี้ก็แล้วกัน ฉันรับ 1 ห้อง แล้วใครจะรับสักคนละกี่ห้อง ปรากฏว่าคนที่นั่งอยู่นั่น 12 คน ได้ช่วยกำแพง 16 ช่อง 17 ทั้งของผู้พูด ตานี้ เมื่อได้รายชื่อแล้วก็ส่งให้กองอำนวยการเขาโฆษณา ประเดี๋ยวก็มีคนมารับช่อง 2 ช่องเรื่อยๆ จนกว่าจะครบงานปรากฏว่าได้ 60 ห้องเศษ เมื่องานประจำปีผ่านไป พอมีทุนอยู่บ้างก็เลยบอกให้เจ้าอาวาสทำเลย บอกว่าถ้าเงินไม่พอก็ให้ซื้อวัตถุเป็นสินเชื่อ ทำไปถึงเวลาตรุษสงกรานต์จริงๆ ปรากฏว่าได้ประมาณเกือบ 70 ช่อง นี่เป็นอานุภาพของผีนะท่านผู้ฟัง
     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,997
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    (ต่อ)
    ขุดทรัพย์วัดสามกอ

    หวัดสามกอนี่ อยู่ติดกับวัดบ้านแพน เรียกว่าใกล้ๆ กับวัดบางนมโคนั่นเอง ไม่ไกลหรอก ห่างกันประมาณสักกิโลเศษๆ วัดสามกอเขาลือกันว่ามีทรัพย์ ชาวบ้านเขาลือกันว่าบางวันก็เห็นเป็ดเงินเป็ดทองออกมาเดินเล่น คือเป็ดนี่สีมันเป็นเงินเป็นทอง เวลากลางคืนนะ มันเดินเล่นพระก็เคยเห็น พอเดินเล่นแล้วสังเกตดูก็หายเข้าไปที่หลังโบสถ์ เรียกว่าตรงหลังโบสถ์ออกไปห่างประมาณ 1 วา เป็ดก็หายลงไปตรงนั้น เรื่องเป็ดเงินเป็ดทองของวัดสามกอนี่ รู้กันทั่วๆ ไป ชาวบ้านแถวนั้นในสมัยนั้นรู้กันทั่วไป เป็นที่เล่าลือกัน เมื่ออาตมาบวชแล้วก็มีเพื่อนคนหนึ่งชื่อพระพวง เวลานี้ตายไปแล้ว พ่อเจ้าประคุณนี่ไม่ได้สนใจอะไรมาก สมถวิปัสสนาทเหมือนกัน แต่เห็นว่าแกจะทำแต่เป็นเพียงพิธีไอ้เรื่องเอาดีทางสมถวิปัสสนานี่แกไม่สนใจ นัก การศึกษาพระปริยัติธรรมก็เหมือนกัน แกก็เอาแค่พอไปได้ กันชาวบ้านเขาว่า แต่ที่ต้องการความดี ก็คือ 1 งานก่อสร้าง เรื่องงานก่อสร้างนี่พระพวงไม่ขี้เกียจ แล้วก็เป็นคนชอบสวยชอบสะอาด จัดว่าเป็นราคจริต นอกจากนั้นก็มีจิตรักในวิชาไสยศาสตร์ ไอ้คำว่าวิชาไสยศาสตร์นี่น่ะ ไม่ใช่พุทธศาสตร์นัก แกไม่ได้เรียนโดยตรงจากหลวงพ่อปาน เพราะวิชาเลวๆ แบบนี้หลวงพ่อปานไม่สอน มีในตำราก็เยอะ มีดี และสำคัญมาก แต่ว่าไม่สอนใคร ถ้ามันเป็นโทษ พ่อเจ้าประคุณพระพวงนี่แกก็ไปหาที่อื่นซีในเมื่อหลวงพ่อปานไม่สอนให้ แกก็หาที่อื่น เป็นอันว่ามีวิชา หมอวิชาอะไรต่ออะไรของแกเยอะ ทำเลข ทำยันต์ ทำตะกรุดพิสมรว่าไปตามเรื่อง แต่ว่าวิชาสำคัญมีวิชาหนึ่ง ขับผีแล้วก็ขุดทรัพย์ แกบอกว่าทรัพย์มีที่ไหน อาจารย์เขารับรองเลยว่าใช้วิธีกรรมของแกแล้ว ต้องใช้ได้ ต้องขุดได้ ผีกลัว ตกลงกัน อ้อ ไม่ใช่ตกลง นี่เล่าประวัตินะ ใช้คำว่าตกลงมันไม่ถูก ทีนี้วันหนึ่งก็มีคนเขาพูดเรื่องเป็ดเงินเป็ดทองวัดสามกอ แกก็นั่งหลับตาปี๋ตามพิธีกรรมของแก แกดูแล้วเห็นว่าโบสถ์วัดสามกอด้านหลัง หลังโบสถ์คือหลังพระประธานมีทรัพย์มาก แกก็ชวนบรรดามิตรสหายทั้งหลาย อาตมาก็สมัครไปกับเขาด้วย อยากจะไปดูเขาขุดทรัพย์ แต่ความจริงในใจก็รู้เหมือนกันว่าที่นั่นมีทรัพย์มีทองมาก แต่ทว่าการขุดคราวนี้ มีความรู้สึกทางใจว่าไม่มีผล แต่ว่าพ่อเทวดาพวกแกรับรองว่าการขุดคราวนี้ต้องได้ผลแน่นอน ก็เลยไปดูกับแก ขอยืมเรือของคนที่มารักษาโรค เป็นเรือสัมปั้นขนาดใหญ่ที่เขาค้าของสวน ชาวบ้านแถวนั้นเขาเรียกกันว่า เรือสวน เป็นเรือ 2 แจวขนาดใหญ่ มีประทุน มีพระไปด้วยกันสัก 7 องค์เห็นจะได้ แน่แล้ว 7 องค์ทั้งอาตมา ไอ้ชุดของเขาจริงๆ 6 องค์ อาตมาเป็นนักสังเกตการณ์เป็นองค์ที่ 7 เมื่อเรือไปถึงวัดสามกอแล้วก็เอาเรือไปจอดในคลองของวัดสามกอ มันเป็นคลองเล็กๆ มีกอไผ่ทั้งสองข้าง แล้วก็บรรดาคณาจารย์ทั้งหลายพร้อมด้วยอาตมาก็ขึ้นไป มีพระองค์หนึ่งสมัครใจ ชื่อว่าพระแพ สมัครใจเฝ้าเรือ ไม่อยากจะขึ้นไป แกจะกลัวผีหรือยังไงก็ไม่ทราบ เมื่อแกอยู่ในเรือ แล้วอีก 6 องค์เขาก็ขึ้นไป 5 องค์เขาก็ทำพิธีกรรมวงสายสิญจน์ เรียกว่าตั้งท่าตั้งทางเยอะ น่าเสียดายสมัยนั้นไม่มีเครื่องบันทึกเสียง โองการต่างๆ ของเขามากมาย ถ้ามีเครื่องบันทึกก็จะบันทึกไว้ มันก็แปลกดีเหมือนกัน เพราะไม่เคยเห็น ของเขาก็มีผลดีขณะที่ทำอยู่นั่นปรากฏว่าเดือนหงายมีอากาศสว่าง ประเดี๋ยวดาวทั้งหมดหย พระจันทร์หย มืดครึ้มคล้ายฝนจะตก เสียงลมพัดอย่างหนักเสียงอู้อ้าซู่ซ่า คึกคักคล้ายๆ กับคนวิ่งเป็นร้อยๆ คน แล้วเขาก็เลยเอาข้าวสารซัดลงไป ข้าวสารหว่านลงไป อาการอย่างนั้นมันก็หายไป เมื่อหายไปแล้วเขาบอกว่าพิธีกรรมสำเร็จแล้ว ลงมือขุดได้ ข้างบนก็ขุดกัน พระก็ขุด ขุดันใหญ่อยู่หลายองค์ พักใหญ่ลึกลงไปประมาณ 1 เมตร ก็ปรากฏว่าเจอแผ่นหินและแผ่นปูนซีเมนต์นี่แหละเป็นแผ่นใหญ่ปิดอยู่ ก็พยายามขุดตามแผ่นหินไปถึงตามริมๆ แล้วก็งัดขึ้นมา ข้างล่างแทนทีจะเป็นทรัพย์ พบตุ่มใหญ่ แต่กลายเป็นกระดูกผีป่นๆ ทั้งหมด เอามาดูแล้วไม่เป็นเงินไม่เป็นทองเลย ตุ่มเบ้อเร่อเป็นตุ่มแดง ตุ่มมอญน่ะ ตุ่มดิน ดูแล้วเป็นพระดูกผีป่นๆ ทั้งหมด เวลาที่ทำงานกันเห็นจะสิ้นสัก 2 ชั่วโมง เมื่อทำงานเสร็จไม่ได้ทรัพย์ก็กลับเรือ พอมาถึงที่เรือจอดปรากฏว่าเรือไม่มี ไม่รู้ว่าพ่อเจ้าประคุณพระแพแกเอาเรือไปไว้ไหน ก็ต้องเดินกลับ ทางเดินไม่ไกลนัก พอเดินกลับมาถึงวัด ก็ปรากฏว่า อีตอนที่ไปล้างเท้าที่หน้าวัด เห็นเรือลำนั้นมาจอดอยู่แล้วประทุนบู้บี้บุบบิบหมดก็สงสัย นี่มันเป็นยังไง แล้วก็พระแพไปไหน ก็เดินเข้าไปตามหาพระแพ ปรากฏว่าพระแพไปนอนคลุมโปงครางอยู่ ครางอ๋อยเลย แสดงถึงความเจ็บปวดมาก ตอนกลางคืนก็ปล่อยไป พอตอนเช้าก็ไปพยาบาลรักษากันตามหน้าที่ของนักขุดทรัพย์ สำหรับอาตมาน่ะ ทำอะไรกับเขาไม่ได้หรอก เป็นนักสังเกตการณ์เฉยๆ พระพวงเขาก็ปัดเขาก็เป่า บอกว่าไอ้ผีที่เราขับมันน่ะ มันมาเล่นพระแพเวลาขึ้นไปลืมเอาสายสิญจน์วงรอบเรือเข้าไว้มันจะได้ทำอันตรายพระแพไม่ได้
    เมื่อพระแพแกบรรเทาอาการเจ็บป่วยก็ถาม ได้ความยังงี้ คือว่าในขณะที่บรรดาคณะทั้ง 6 องค์ขึ้นไปขุดทรัพย์ ขุดแล้วหรือยังไม่ขุดก็ไม่ทราบ ปรากฏว่าอากาศครึ้ม เมื่ออากาศครึ้มแล้ว พออากาศสว่าง ไอ้ใบต้นไผ่ทั้งสองฟากคลองเล็กๆ มันโอนเข้าหากันประสานกัน แล้วมีเจ้าผีตัวใหญ่ตัวหนึ่งมันก็วิ่งอยู่บนนั้น ถือกระบองยาว ตัวใหญ่มาก วิ่งไปวิ่งมาวิ่งมาวิ่งไป พระแพแกก็นึกว่าเจ้าผีนี่ท่าทางมันจะโดดลงมาแน่ แกก็เลยถอดหลักแจวตั้งท่า คิดว่าถ้ามันลงมาจริงๆ ก็ต้องตีกันละ รายนี้ไม่ต้องใช้คาถานะใช้หลักแจว ใช้หลักแจวเป็นอาวุธ เมื่อมันวิ่งไปวิ่งมาแกก็ตั้งท่าคอยตี ก็พอดีเดี๋ยวหนึ่งมันกระโดดปึ้บลงมาบนหลังคาเรือ บนประทุนเรือ อีคราวนี้เอง ข้างผีก็มีกระบอง พระแพก็มีหลักแจว ก็เลยนวดกัน ตีกันเป็นการใหญ่ ตีไปตีมาต่างคนต่างหลบ ต่างคนต่างไม่มีใครถูกอาวุธ อาวุธของแต่ละฝ่ายไปถูกหลังคาเรือ หลังคาเรือก็เลยพงยับเยิน เป็นอันว่าเมื่อหลวงพ่อป่านทราบ ความจริงท่านทราบตั้งแต่ตอนก่อน ตั้งแต่กำลังเริ่มแล้ว แต่ว่าท่านไม่พูด มาตอนสาย คือว่าตอนบ่ายๆ ท่านก็มาหา คือว่ามาเยี่ยมพระแพ ถามว่าแพเป็นยังไงเล่า ได้ทองเท่าไรมาแบ่งฉันบ้างซี พระแพก็ไม่พูดอะไร ยกมือไหว้แล้วก็ขออภัยที่ทำงานต่างๆ โดยไม่ได้รับอนุญาต ท่านก็ยิ้ม แล้วถามว่าอาจารย์ใหญ่เขาไปไหนล่ะ ไปตามเขามาซิ อาจารย์พวงน่ะ ก็ไปตามพระอาจารย์พวงมา แล้วก็ตามคณะทั้งหมดที่ร่วมงานไปด้วยกัน ท่านก็เลยบอกว่าเป็นพระแล้วทำไมทำใจเลวอย่างนี้ล่ะ นี่ไม่ใช่ใจของพระนะ จิตใจอย่างนี้มันเป็นจิตใจของสัตว์นรก พระน่ะเขาบวชมาเพื่อตัดโลภะ โทสะ โมหะ แต่พวกเราบวชเข้ามาแล้วสะสมโลภะความโลภ โทสะความโกรธ โมหะความหลง อย่างนี้ถ้าตายแล้วก็ไปลงนรกหมด ไอ้เจ้าลิงดำนี่ก็เหมือนกัน แน่ะ หันมาเล่นไอ้เจ้าลิงดำเข้าอีก ไอ้เจ้าลิงดำนี่ก็สำคัญนัก ไม่เอากับเขาหรอกแต่ไปสังเกตการณ์ ความจริงเอ็งก็รู้แล้วใช่ไหมว่าเขาทำไม่ได้ จึงกราบเรียนว่าทราบขอรับ ว่าทำไม่ได้ แล้วทำไมไม่ห้ามปรามเพื่อน ก็กราบเรียนท่านว่า อยากจะดูสมรรถภาพขอรับ เขาคุยว่าเขาเก่ง ถ้าไปห้ามเขาเสียแล้วเขาจะหาว่าเป็นการยับยั้งสมรรถภาพ คือความเก่งกาจของเขา ผมก็อยากจะดู ท่านก็เลยบอกว่า ดีเหมือนกัน แต่ว่าทีหลังถ้าใครเขาจะไปทำอะไร ถ้าพวกเรารู้ละห้ามๆ เขาเสียหน่อยนะ นี่แกไม่ได้ห้ามนี่ แกเสริมตูดเลย ก็เลยกราบเรียนท่านว่า มันอยากคุยเก่งนี่ขอรับ มันคุยว่ามันเก่งจริงๆ พวกผีพวกสางนะสู้มันไม่ได้ มันปราบได้สะเด็ดหมด ผมก็อยากดูว่ามันจะปราบผีหรือว่าผีจะปราบมัน นี่ผมเสียดายอยู่นิดหนึ่งที่ว่า ไอ้ผีที่มันมาปราบพระแพไม่ถูก มันควรจะล่อพระพวง ท่านก็เลยบอกว่า ถ้าแกไม่ไปด้วยก็คงได้ดีแล้ว เลยกราบเรียนท่านว่ากระผมไม่ได้มีอะไรคุ้มกันเขาขอรับ ท่านบอกว่ามี ส่วนที่มีน่ะมีเยอะ แต่แกไม่เห็น คือว่าทั้งพระทั้งเทวดาที่เขารักษาอยู่นั่นแหละคอยคุ้มกัน เพราะบรรดาผีพวกนั้นเป็นพวกเทวดา เป็นบริวารของท้าวมหาราช แล้วตัวแกเองท้าวมหาราชกับพระอินทร์รักษาอยู่ แล้วก็มีพระมีเทวดาหลายองค์รักษาอยู่ พวกนี้ท่านเป็นบริวารของพระอินทร์ จะล่อพวกแกเข้า เขาก็เกรงใจพระอินทร์ นั่นฐานะที่แกอยู่ร่วม ถ้าแกไม่อยู่ร่วมก็คงได้เห็นดีกันแล้ว ไอ้พวกอาจารย์ทั้งหลายแหล่นี่มันจะวิ่งลงเรือไม่ถูก ดีไม่ดีก็จะต้องวิ่งกับบ้าน หรือว่าอาจจะแผ่นดินเป็นน้ำต้องว่ายดินกันมา กว่าจะถึงวัดก็อาจตายเสียระหว่างทางก็ได้ แล้วท่านก็เลยสอนต่อไปว่า จริยาเลวๆ ความรู้สึกเลวๆ อย่างนี้ทีหลังอย่าทำต่อไป ฉันรู้ รู้ตั้งแต่แกเริ่มจะไปทำงานแล้ว ท่านพวกนี่ก็เหมือนกัน ฉันรู้หรอกว่าแกไปหาวิชาเลวๆ อย่างนี้นอกสถานที่ เพราะวิชาแบบนี้ฉันไม่ได้สอนแก แกพยายามดิ้นรน ฉันรู้แล้วว่าเป็นวิชาการสำหรับนำคนลงนรก แต่แกรู้แล้วแกควรจะเป็นปูชนียบุคคล เป็นบุคคลที่ชาวบ้านควรบูชา แต่ไอ้จริยาแบบนี้เป็นจริยาที่ชาวบ้านควรจะสาบแช่ง หมายความว่าไอ้อาการแห่งความโลภ ความโกรธ ความหลง เมาในลาภ เมาในยศ เมาในสรรเสริญ เมาในสุข นี่มันไม่ใช่จิตใจของพระ มันจิตใจของสัตว์นรก ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปนะ ถ้าฉันทราบว่าใครไปเรียนวิชาไสยศาสตร์ที่ที่หนึ่งก็ตาม จะเป็นวิชาด้านดีหรือด้านชั่วก็ตาม ฉันจะขับทันที จะไม่ให้อยู่วัดนี้โดยไม่มีอุทธรณ์ฎีกาใดๆจำไว้นะ
    พอเวลากลางคืนก็ปรากฏว่าตีระฆังใหญ่ ประชุมพระครั้งใหญ่ ต่อจากนั้นไปก็โดนเทศน์กัณฑ์มหาราชคือกัณฑ์พิเศษ ยกเรื่องราวของบุคคลผู้ประกอบไปด้วยความโลภในจิตพระที่มีความโลภลงนรก อีคราวนี้ แสดงนรกให้ปรากฏ แสดงยังไงล่ะ มีคาถาอยู่บทหนึ่ง 4 ตัวที่เคยเล่าให้ฟัง อ้อ หนังสือเล่มนี้ไม่มีเล่าเอาไว้ มีคาถาอยู่ 4 ตัว มันน่าเสียดายจริงๆ 4 คำเท่านั้นแหละ บอกให้ภาวนา บอกคอยดูนะ นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไปจับลมหายใจเข้าออกให้ดี อย่านึกถึงอะไรทั้งหมด อธิษฐานจิตไว้ว่า พระที่บวชเข้ามาในพระพุทธศาสนาประกอบไปด้วยความโลภในทรัพย์สินที่ได้มาโดยไม่ชอบธรรม หรือได้มาโดยชอบธรรมหรือได้ทรัพย์สินมาแล้วโดยชอบธรรม แต่ใช้ไม่ถูกจริยาของพระ โทษอันนี้ไปถึงไหนได้รับทุกขเวทนาเป็นประการใด ตั้งใจไว้เท่านี้นะ แล้วก็ทิ้งอารมณ์นี่เสีย จับลมหายใจเข้าออกแล้วภาวนาคาถาบทนี้อย่างไม่คิดเห็นอะไรทั้งหมด แล้วท่านก็นั่งหลับตาด้วย สั่งให้ทุกองค์หลับตา เวลาผ่านไปประมาณ 15 นาที ท่านก็ให้สัญญาณบอกเลิก ถามว่าเห็นไหม ใครเห็นอะไรบ้างเขียนใส่กระดาษมา ท่านมีกระดาษไปเสร็จมีดินสอไปเสร็จ เขียนมา อย่าตอบเดี๋ยวจะตอบตามกัน พระทุกองค์แยกกันออกไป อย่านั่งใกล้กัน เดี๋ยวจะถามกัน ท่านก็นั่งจ้อง เกรงว่าจะพูดกัน พูดกันก็ไม่ได้ หันหน้ามองกันก็ไม่ได้ ให้ต่างคนต่างเขียน เขียนย่อๆ เมื่อเขียนเข้าแล้วจริงๆ ปรากฏว่าข้อความตรงกัน เป็นอันว่าทุกองค์เห็นพระที่มีความโลภประเภทนั้นลงอเวจีมหานรก ถูกหอกตรึงเคลื่อนไหวไม่ได้ แล้วก็ทุกคนมีไฟไหม้ตลอดเวลา แล้วเสร็จ พอเห็นภาพเท่านี้ก็เลยกราบเรียนถามท่านว่า หลวงพ่อขอรับคาถาบทนี้กระผมขอเรียนได้ไหม อยากจะไปสอนคนอื่นเขา ท่านก็มองหน้า บอกว่า เจ้าลิงดำ เอ็งน่ะ ข้าไม่ให้ฝึกอภิญญานะ คาถาบทนี้ถึงแม้ว่าได้ไปก็ไม่มีประโยชน์ อันนี้ต้องใช้อภิญญาสมาบัติช่วยด้วย ไม่ใช่ว่าคนที่ภาวนาคาถาบทนี้จะทำได้เสมอไป ไม่ใช่ยังงั้นนะ ต้องใช้พลังของอภิญญาช่วย น่าเสียดายที่อาตมาไม่มีโอกาสฝึกอภิญญากับเขา ก็ช่างเถอะ คนอื่นไม่เห็นไม่รู้ด้วยก็ช่าง รู้เองเห็นเองมาแล้วก็สบายใจ นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นไปพวกขุดทรัพย์ก็เลิก ไม่มีในวัดบางนมโค อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา.
     
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,997
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    (ต่อ)
    ผีเฝ้าทรัพย์


    มาว่ากันถึงผีเฝ้าทรัพย์สักนิดหนึ่งนะ สำหรับที่วัดน้อย จังหวัดสุพรรณบุรี วัดของหลวงพ่อเนียม เขามีปริศนาว่าตำบลวัดน้อย มีไก่ต๊อกอยู่ 2 ตัว น้องสาวมีผัว พี่สาวพึ่งสอนย่าง ใครๆ ก็คิดทรัพย์ไม่ออก แต่ว่าลุงของอาตมาเองคิดออก คิดว่าทรัพย์นี่ต้องอยู่ตรงนี้ ท่านก็ยกพวกของท่านไป ตอนนั้นอาตมายังเป็นเด็ก เด็กมาก ยกพวกไป พอถึงที่ตรงนั้นก็บอกกับเจ้าอาวาส บอกว่า ทรัพย์อยู่ตรงนี้ครับ ผมขออนุญาตขุด อยู่ข้างโบสถ์ ถ้าหากว่าผมได้เงินได้ทองได้ของมีค่าอะไรก็ตาม ขอถวายเป็นสงฆ์ครึ่งหนึ่ง ผมขอเอาไปครึ่งหนึ่ง เจ้าอาวาสก็อนุญาต ก็ลงมือขุดกัน ขุดกันไม่ลึกก็เจอะแผ่นหินหรือแผ่นปูนซีเมนต์ยาว กว้าประมาณ ด้านละ 2 วา ขุดไปจนกระทั่งถึงขอบก็ยกขึ้น พอยกขึ้นแล้วปรากฏว่าเห็นตุ่ม ตุ่มมอญ คือตุ่มดินใหญ่ มีทองรูปพรรณเต็ม อีกตุ่มหนึ่งเป็นทองลิ่ม สีเหลืองแช๊ด เป็นทองดีจริงๆ ทุกคนก็ดีใจ เมื่อเห็นแล้วพบแล้วต่างคนก็จะเข้าไปหยิบ ท่านเจ้าอาวาสวัดนั้นก็ดีใจด้วย วิ่งเข้าไปดูเหมือนกัน แต่ว่าทุกคนเมื่อวิ่งเข้าไปใกล้ตุ่ม แต่ว่าถึงตุ่มไม่ได้ เสียงคึกๆๆ มา ที่ไหนได้ พ่อเจ้าประคุณตัวดำใหญ่สูงขนาดยอดไผ่นิดๆ ควงกระบอกคึกๆๆ เข้ามาใกล้ ทุกคนพอเห็นเข้า เจ้าอาวาสก็วิ่งหนีขึ้นบนกุฏิไป คณะของลุงอาตมาก็วิ่งลงเรือ ลงแล้วเสือกเรือออกกลางแม่น้ำ ต่างคนต่างใส่แจวกำลังจะเตรียมหนี แกก็ชี้มือบอก ไม่ต้องหนีหรอกโว้ย มึงอยากได้ทรัพย์มึงเข้ามาเอาซี มันทรัพย์ของมึงเมื่อไหร่หว่า นี่ไม่ใช่ทรัพย์ของมึงนะ ทรัพย์ของคนอื่นเขา เสือกคิดได้แล้วก็มาเอา ไม่บอกเล่าเก้าสิบกันก่อน ของเอ็งจริงๆ น่ะมีอยู่ 2 บาทเท่านั้น แต่ในฐานะที่เอ็งมาเอาโดยไม่ได้ขออนุญาตข้า 2 บาทก็ไม่ต้องเอา ข้าไม่ให้ เอา ใครเก่งจริงเข้ามาใครจะมีคนเก่งที่ไหนล่ะเมื่อใส่แจวแล้วก็ล่อกันพรึ่มๆๆวิ่งหนีเกือบตาย
    เป็นอันว่าเรื่องนี้ก็มีเท่านี้แหละเรื่องเกล็ดเล็กๆคือว่าทรัพย์มีผีเฝ้าน่ะเป็นของจริง ตานี้เทปเหลืออีกนิดเดียว ก็มาต่อกันอีกหน่อย



    ทรัพย์ของวัดเสากระโดงทอง

    เรื่องทรัพย์ใต้ดินนี่ ถ้าเขาไม่ให้จริงๆ ละ บรรดาท่านผู้ฟัง เอาของเขาไม่ได้จริงๆ ทรัพย์รายนี้มีความอัศจรรย์มาก คือว่าเมื่อเวลาประมาณเข้าพรรษาคราวหนึ่งนะ ตอนนั้น อาตมาเป็นพระผู้ใหญ่อยู่สักนิดหนึ่ง เพราะเป็นพระคณาธิการ ปรากฏว่ามีตุ่มเงิน เงินกลมบ้าง เงินยาวบ้าง โผล่ขึ้นที่ใกล้ๆ กับโคกโบสถ์ของวัดเสากระโดงทอง อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ใกล้กับสะพานที่ทอดจากโบสถ์ไปกุฏิ พระเจ้าเณรเถร บรรดาประชาชน เดินผ่านกันตลอดวัน ทรัพย์นั่นปรากฏอยู่ 3 เดือน ทุกคนเห็นหมด แต่ว่าไม่มีใครกล้าหยิบทรัพย์ส่วนนั้น เป็นของอัศจรรย์จริงๆ ก็มีเจ้าอาวาสสมัยนั้นไปนิมนต์พระองค์สำคัญๆ ที่มีความรู้ทางนี้มา พระทั้งหลายเหล่านั้นก็พูดว่าเราทั้งหลายเป็นพระ ไอ้เรื่องทรัพย์สินน่ะไม่ควรจะเข้าไปยุ่ง เพราะว่าถึงแม้จะไม่มีความผิดส่วนอื่น จิตก็เป็นกิเลส นี่พระที่มีความสำคัญน่ะ ท่านคิดกันไปแบบนี้นะ คิดกลัวกิเลสกัน ไม่ได้กลัวทรัพย์ พระเจ้าอาวาสจึงไม่ทำ แล้วก็แนะนำว่า พระอย่าไปยุ่งของเขา แต่สำหรับฆราวาสที่มีโอกาสจะทำได้ แต่ก็ไม่มีใครหยิบ เมื่อครบ 3 เดือนวันออกพรรษา ปรากฏว่าตุ่มลูกนั้นจมลงไปลึก มีร่องโบ๋ลงไป บรรดาประชาชนก็ลองเอาไม้ไปหยั่งดู ว่าลึกลงไปสักแค่ไหน ถ้าจะประมาณ ก็ลึกลงไปประมาณสัก 4 - 5 วา มีคนกล้าๆ เอาพะองทอดลงไป ไปดูซิว่าตรงไหน อีตอนนี้ลงกัน เมื่อลงไปถึงก้นหลุมแล้วปรากฏว่ามีโพรงขนาดตุ่มยาวออกไปอีกไม่ทราบว่าเคลื่อนไปขนาดไหน
    บรรดาท่านศาสนิกชน และท่านผู้ฟังทั้งหลาย เรื่องของทรัพย์วัดเสากระโดงทอง มันก็มีแค่นี้แหละ มันเป็นเรื่องเกล็ด เห็นท่านเจ้ากรมเขียนมาให้พูดก็พูด ความจริงความสำคัญอะไรก็ไม่มี สำหรับวันนี้ก็ขอยุติเพียงเท่านี้ ขอความสุขสวัสดีจงมีแด่ท่านผู้รับฟังทุกท่าน สวัสดี
     
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,997
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    (ต่อ)
    ผีเมืองกรุง


    เมืองกรุงเทพฯ นี่ก็มีผีเหมือนกัน แต่ว่าผีที่ชาวบ้านเขาเล่าให้ฟังนะ ก็ไม่คุยแล้วยังไม่คุยคุยกันเฉพาะผีที่อาตมาพบมาเองดีกว่า
    สมัยนั้น อยู่วัดประยุรวงศาวาส จังหวัดธนบุรี ระหว่างที่ลูกระเบิดลงครึมๆๆ เป็นระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ตอนที่เข้ามาอยู่วัดประยุรวงศ์นั้นก็ใกล้ๆ กับที่ญี่ปุ่นจะขึ้นแล้ว เมื่อญี่ปุ่นขึ้นผ่านไปในไม่ช้า ลูกระเบิดอเมริกาก็มา อเมริกันนี่รู้สึกว่าเป็นคนใจดี แจกเหล็ก ชอบแจกเหล็ก เวลานี้ก็แจกเหล็กที่ญวณยุ่งไปหมด ตอนที่กำลังพูดนี้ อ่านหนังสือพิมพ์บอกว่าเขาเลิกแจกเสียแล้ว แต่ก็ยังไม่แน่นัก มันยังครึ้มๆ เรื่องการรบราฆ่าฟันอยู่ ดีไม่ดีมันเลิกจากญวณด้วยกันมันจะมานวดไทยเข้าให้ อเมริกันก็เห็นจะต้องตั้งหน้าตั้งตาแจกเหล็กต่อไป แต่ทว่านี่มันก็เป็น พ.ศ. 2516 แล้ว โลกน่าจะสงบเสียที น่าจะเหนื่อย ยุ่งกันมาตั้ง 30 ปีแล้ว ตั้งแต่ 85 2485 จนกระทั่ง 2516 นี่มันก็ 30 ปี น่าจะเหนื่อยกันเสียทีนะชาวโลกนะ ตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากินกันดีกว่า เวลานี้แม่หม้ายก็มากแล้ว ผู้ชายตายมาก สาวๆ ก็ร้างเยอะ แย่หน่อย ญี่ปุ่นต้องมาตั้งฮาเร็มสงเคราะห์ สาวๆ อยู่ที่เชียงใหม่ แล้วก็มีคนสมัครมาก ตามธรรมดาของโลก ไม่ว่าใคร ไม่ติใครต่อไป พูดแต่เรื่องผีดีกว่า
    วัดประยุรวงศาวาสก็เป็นวัดที่มีโชควัดหนึ่งในกรุงเทพฯ ปรากฏว่าลูกระเบิดลงวัดคราวหนึ่ง แต่ลงบริเวณหน้าวัด เวลานั้นที่ลูกระเบิดลง เป็นเวลา 11 นาฬิกากับ 15 หรือ 16 นาที จำพลาดๆ ไปนิดก็ขอโทษด้วย ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่ามีนาฬิกาปลุกอยู่เรือนหนึ่ง เวลาระเบิดลงมันหยุดพอดีไม่เดิน ก็เป็นอันว่ารู้เวลาระเบิดลง ก่อนที่ลูกระเบิดลงสัญญาณไซเร็น บอกภัยทางอากาศปรากฏขึ้นตั้งแต่เวลาประมาณ 8 นาฬิกาเศษๆ พระก็ไม่อยู่กุฏิกันไปยืนอยู่กลางลานวัดหน้าโบสถ์หน้าเจดีย์ ก็หน้าด้วย ไปยืนกันอยู่เป็นกลุ่มใหญ่ ทีนี้เมื่อชาวบ้านยืนอยู่ตรงนั้นเขาคงจะคิดว่าพระสงฆ์นี่เป็นพระเครื่อง ก็เลยย่องมายืนรวมกับพระ ตอนนี้ซีคนก็เต็มบริเวณลานวัดไปหมด คอยไปจนกระทั่งเวลาประมาณ 11 นาฬิกา เด็กวิ่งไปบอกว่าเวลานี้ 11 นาฬิกาแล้วครับ นิมนต์ฉันเพล ความจริงอาตมากับเพื่อนๆ ก็มีนาฬิกาพกอยู่ ก็บอกไม่เป็นไร จะฉันเวลาสัก 11 นาฬิกา 30 นาที ตอนนี้ก็ยังไม่เห็นเรือบินมาสักเครื่องหนึ่ง ไอ้สัญญาณบอกหมดภัยก็ยังไม่ปรากฏขึ้น คนก็ยังไม่กล้าเข้าบ้าน เวลา 11 นาฬิกา ประมาณ 10 นาที ก็ดินมาที่ตรอกวัดประยุรวงศ์ ด้านทิศเหนือ ตรงปากตรอกออกไปเป็นบ้านพระยาเทพผลู มาด้วยกัน 3 องค์ ก็มาพบสารวัตรทหาร 3 เหล่ากับตำรวจ 4 คนด้วยกันยืนอยู่ ก็ยืนคุยกัน ถามว่าพวกคุณถ้าระเบิดมันลงคุณจะทำยังไง เขาก็เลยบอก ผมก็หมอบซีครับ บอกเออก็ดีเหมือนกัน ไหนลองหมอบให้ดูซิ สารวัตรทหารบก เขาก็ทำท่าหมอบให้ดู หมอบลงไปแล้ว ตูดมันโด่งขึ้นมาหน่อย เลยบอกนี่ หัวแกปลอดภัยแน่ แต่ตูดไม่ปลอดภัย มันต้องหมอบให้เรียบ เขาถามว่าท่านเคยเป็นทหารรึ ก็เลยตอบว่าผู้ชายทุกคนเป็นทหารทั้งนั้นแหละ ถ้าหากว่าไม่เป็นทหารกองหนุนก็ต้องเป็นทหารกองเกิน เพราะในทะเบีนทหารกองเกินเขามีอยู่นี่ ทุกคนเป็นทหาร ก็เป็นอันว่าพูดกันไม่รู้ภาษาแล้ว พระรวนชาวบ้าน คุยกันไปคุยกันมาก็พอดีเครื่องบินบี 25 บินมา 5 เครื่อง แหงนขึ้นไปดูบนอากาศ เจ้า 4 เครื่องบินเป็นหมู่มาข้างหน้า มันก็บินไปเฉยๆ มันไม่ว่าอะไร บินผ่านไปเฉยๆ บินมาสูง แต่ก็ไม่สูงมากนัก ประมาณสัก 4,000 ฟิต กระมัง ก็ไม่แน่นักนะเดาๆ เอา คิดว่าประมาณสัก 4,000 ฟิต พอจะทิ้งระเบิดได้แม่นยำ เจ้า 4 ลำผ่านไป เจ้าลำที่ 5 ห้อยท้ายไกลหน่อย พอมาถึง ที่ไหนได้ พอตรงหัวมันเปิดท้องปล่อยไข่ลงมา 7 ลูก เวลาระเบิดลงมาได้ยินเสียงแซ๊ด ไอ้หางมันไปตัดกับอากาศ ก็แหงนหน้าขึ้นไปดู เห็นว่าทุกลูกมันยังไกลอยู่ก็ยังยืนกันอยู่ พอมันลงมาใกล้ลงมาๆ ก็ปรากฏว่าอีลูกหนึ่งมันใกล้หัวเต็มที ก็ร้องเอ๊ะ อีลูกนี้ไมดีพวกเราหมอบเถอะ ทุกคนก็หมอบ สารวัตทหารตำรวจก็หมอบ พระก็หมอบ หมอบราบตรงที่ยืนอยู่นั่นมีห้องแถวชั้นเดียวอยู่แถวหนึ่งประมาณ 4 - 5 ห้อง พอหมอบลงไปเท่านั้นเอง เรียกว่าเกือบจะพอดีกัน เสียงเปรี๊ยะ ความจริงใกล้ๆ มันไม่ดังครึม เหมือนไกลๆ เสียงเปรี๊ยะแล้วก็เลยลืมตาขึ้นมาดูเห็นควันกลุ้มไปหมด ก็เลยหลับตาใหม่ กลัวควัน อีกสักครู่หนึ่งลืมตาขึ้นมาใหม่ เห็นควันมันจางก็เลยลุกขึ้น ทุกคนลุกขึ้น แต่ว่าสารวัตรทหารบกลุกไม่ขึ้น เพราะไอ้เชิงชายห้องแถวที่มันพังลงมา มันมาทับหัวเข้า ทับหมวกเหล็ก แกก็ดิ้นอึกอักๆ แกใส่สายรัดคางไว้ด้วย เอาสายรัดคางรัดเข้าไว้คล้องคางไว้ ต้องช่วยกันยกไม้ขึ้นมา เมื่อต่างคนต่างยืนขึ้นเป็นอิสรภาพ ไม่มีใครเป็นเชลยของลูกระเบิด แล้วก็เดินไปที่กลางลานวัด ปรากฏว่าพระทุกองค์ปลอดภัย เห็นจะเป็นพระเครื่องจริงๆ พระทุกองค์ที่ยืนกลางถนนเป็นพระเครื่องหมด พระเครื่องในที่นี้ไม่ใช่หมายความว่าเป็นพระห้อยคอ เป็นพระมีเครื่อง เพราะวิ่งหนีเก่ง พอเสียงระเบิดแซ๊ดๆ ลงมา แหงนหน้าขึ้นมาเห็นท่าว่าจะตรงแน่แล้ว พ่อก็วิ่งแน่บลงไปในคู ลำรางเล็กๆ ในกลางวัดประยุรวงศ์มี เข้าทางกุฎีจีน เป็นลำรางเล็กๆ พอที่เรือจะเข้าได้กว้างประมาณสัก 3 - 4 วา ก็วิ่งลงไปในรางหมด นี่ พระเครื่องจริงๆ ใครจะตายก็เชิญตาย พระเครื่องไม่ตายเพราะมีเครื่อง มีเครื่องตั้งแต่พ่อแม่ให้มา ขับเครื่องวิ่งหนีไปหมด นี่อย่างนี้เรียกว่าพระเครื่องจริงๆ
    เมื่อเห็นว่าพระไม่ตายก็ดีใจ หันไปดูชาวบ้านบ้าง น่าสงสาร เวลานั้นปรากฏว่าพบศพคนประมาณสัก 40 ศพ ก็มีสตรีคนหนึ่งกำลังตั้งครรภ์ เลือดนองไปหมด แต่ก็ยังไม่ตาย สักประเดี๋ยวเดียวก็ปรากฏว่านายควง อภัยวงศ์ ( หลวงโกวิทอภัยวงศ์ ) เวลานั้นเป็นนายกรัฐมนตรี นั่งรถไปถึง พอเห็นเข้าเท่านั้นแหละ ส่งเสียงบัญชาการให้คนของแกช่วยหามคนเจ็บขึ้นรถแก ไอ้คนหนึ่งไปรายงานว่ารถจะเปื้อนเลือดขอรับ แกด่าทันที ไอ้รถเปื้อนเลือดมันล้างได้ คนเจ็บนะมึงมาโอ้เอ้อยู่ยังไง ก็เลยหันไปเล่นเจ้าหน้าที่เทศบาล ว่านี่ไอ้บั้งไอ้บ่าน่ะติดกันไว้ทำไม มายืนมือไขว้หลังอยู่ได้ ทำไมไม่ช่วยคนเจ็บ ช่วยกันเดี๋ยวนี้จะมัวมายืนมือไขว้หลังนี่กินเงินเดือนรัฐบาลกินเงินเดือนราษฎรนี่ เวลาเจ้าของเงินเขามีความทุกข์ไม่มีความกตัญญูกตเวที แหมแกด่ามาก แกพูดเอาคนชอบใจ ตัวแกเองก็ไม่ได้หยุด ช่วยยกคนโน้น ช่วยหยิบคนนี้ เครื่องแบบแกก็เปื้อนเลือดไปด้วย น่ารักจริงๆ นายควง อภัยวงศ์ นี่เป็นคนน่ารัก ไม่ได้กรีดกรายทำตัวเป็นขุนนาง ทำตัวเป็นกุลี ในเมื่อเอาคนเจ็บขึ้นรถแล้ว รถของแกบ้าง รถคนอื่นบ้าง ก็ปรากฏว่าเอไปโรงพยาบาล ปายเสียที่โรงพยาบาลบ้าง หายบ้างก็ตาม ก็ไม่ได้ติดตามเรื่อง ตานี้มาว่ากันถึงว่าคนจะตาย มีอยู่ 2 คน คนของร้านอะไร สหายยนต์ หรืออะไรก็ไม่ทราบมันลงยนต์ๆ ก็ขายเครื่องยนต์นี่แหละ สองคนเดินข้ามมาจากสะพานพุทธ เดินข้ามมาจากฝั่งพระนครมาถึงสะพานพุทธยอดฟ้าตอนกลางแม่น้ำ พอดีเครื่องบินทิ้งระเบิด คนหนึ่งตัดสินใจไม่วิ่งมา แต่อีกคนหนึ่งตัดสินใจวิ่งมาเชิงสะพาน เพราะหลุมหลบภัยมีที่นั่น วิ่งมาลงหลุมหลบภัย ก็พอดีพร้อมๆ กันหรือก่อนหน้าสักนิด ลูกระเบิดก็ลงโครมพอดีตรงหลุมหลบภัยตายหมด คนที่ตัดสินใจไม่วิ่งมาปลอดภัย อันนี้ท่านผู้ฟังก็โปรดทราบว่าเรื่องของคนจะตายห้ามไม่ได้นะ มาเล่าต้นเหตุของผีวัดประยุรวงศ์แล้วก็คงจะทราบ เล่าให้ฟังว่าเขาตายกันเรื่องอะไร ตานี้ มาต่อสัก 10 วันเศษๆ วันหนึ่งก็ยืนอยู่ เวลาเห็นจะสักตี 1 หนึ่งนาฬิกาตอนดึกๆ อาตมาชอบออกเดินเล่น ก็เดินเล่นอยู่เสมอนะไอ้หน้าโบสถ์หน้าเจดีย์ หน้าอะไรต่ออะไรนี่น่ะ เพราะว่ามันเงียบ พระหนีระเบิดกันไปหมด พระในวัดประยุรวงศ์มี 300 องค์ เหลือ 38 องค์ พระตาขาวมีเครื่องใส่เครื่องเปิดไปต่างจังหวัดหมด ไม่ไหว มีทุกข์มีร้อนเข้าจริงๆ เป็นพระเป็นเจ้าก็ยังงั้นแหละ เปิดหมด ผลที่สุดพวกเราก็ต้องอยู่ช่วยท่านเจ้าอาวาสดูแลวัดเรียกว่าเป็นพระเดนตาย38องค์อยู่กัน
    พอตกกลางคืนๆ หนึ่งเห็นตำรวจคนหนึ่งวิ่งอ้าวเข้ามาจากหน้าโบสถ์ อาตมาเดินอยู่ในระหว่างกุฏิ ถนนตามกุฏิ ได้ยินเสียงตึ้กๆ ก็คิดว่าใครมันกวดกัน เลยเดินออกมาดักหน้า ที่ไหนได้ เป็นพ่อเจ้าประคุณตำรวจสถานีบุปผาราม สองคนวิ่งหางชี้เชียว หมวกเหมิกหล่นไม่เก็บ ถามว่าอะไร เขาบอกว่าผีหลอกขอรับ ถามว่าผีที่ไหน ตอบว่าที่หน้าโบสถ์ขอรับ มันหลอก ถามว่ามันทำยังไงล่ะ แกก็พูดอย่างเดียวคางสั่นๆ บอกว่าตัวมันใหญ่จัง ก็เลยบอกเอายังงี้ ไป ไปดูกัน แกก็ไม่ยอมจะไป ก็บอก นี่ เอาปืนมาให้ฉัน กระสุนมีไหม เขาก็ส่งปืนมาให้ บอกกระสุนมีครับเป็นปืนลูกโม่ บอกไป ฉันเดินหน้าประเดี๋ยวเถอะไอ้ผีพวกนี้จะยิงให้สะเด็ด ได้ยินข่าวมาหลายรายแล้วว่ามันดุนัก มันหลอกชาวบ้าน ไอ้ฉันพยายามเดินหาตัวมันน่ะ ไม่พบสักที ไป ไปกะฉัน อีกคนหนึ่งหยิบกระสุนขึ้นมาบรรจุ เขามีปืนยาว บอก เอ้า ถ้าเห็นแล้วไม่ต้องรอหรอก ยิงกบาลมันเลย ไอ้ผีพวกนี้ต้องเอาให้เข็ด ไปเดินดูกันทั่วบริเวณ ผีก็ไม่มี ตามธรรมดาผีน่ะกลัวคนบ้า แต่คนดีนะผีชอบหลอกคนบ้าผีไม่หลอก
    ทีนี้หลังจากวันนั้นเป็นต้นมาก็มีข่าวเรื่อยๆ มีแม่ค้าบ้าง นักเที่ยวบ้าง เด็กๆ บ้าง พวกหนุ่มๆ สาวๆ บางทีก็เอาบริเวณวัดเป็นสถานที่รื่นรมย์ เขาจะทำอะไรกันบ้างก็ไม่ได้ดูเขาหรอก มันนั่งคุยกันมืดๆ ไอ้ที่คนจะเห็นเขาไม่อยากนั่ง ไอ้ตรงไหนคนไม่เห็นเขาอยากนั่ง เป็นเรื่องของเขา เป็นตามธรรมดา คนพูดนี่ก็เหมือนกัน สมัยเมื่อเป็นหนุ่มๆ ก็แบบนั้นแหละ แบบเดียวกัน ไอ้แร้งต่อแร้ง ถ้าจะมาเหม็นสาบกันเองมันก็ไม่ดีเหมือนกันแหละ ก็เป็นอันว่าเป็นธรรมดาของโลก ความสุขใจมันอยู่ตรงนั้น แต่ความทุกข์มันจะตามมาทีหลังเป็นประการใดบ้าง เป็นเรื่องของมันยังไม่ถึงเวลา อีกตรงนี้ว่ากันตรงสุขเสียก่อน แล้วก็ขโมยมาสุขกัน อิสระเสรีมีอยู่เฉพาะในร่างกายของตัว ตัวของเราใครจะมาเป็นใหญ่ ใครจะมาว่าดีหรือไม่ดีเป็นเรื่องของชาวบ้าน นี่มันเรื่องของเรา อ้าวนี่เตลิดเปิดเปิงอีกแล้ว เล่าให้ฟัง
    ตานี้ มาวันหนึ่ง ที่หน้าวัดประยุรวงศ์ เขามีร้าน ร้านอะไรล่ะ ร้านนมสดเคี่ยวเรียกว่าร้านนายชม เรียกว่าชมพาณิชย์ เดิมทีเดียวแกอยู่ 4 แยกบ้านแขก แกซื้อนมสดมา แล้วแกก็เคี้ยว เคี่ยวแล้วก็ขายมีราคาดีมาก ได้กำไรมาก แกก็ขยายร้านมาตั้งที่หน้าวัดประยุรวงศ์ ร้านของแกใหญ่โตด้วยอำนาจแกมีสตางค์ แหมร้านใหญ่โตมากแต่ทำด้วยไม้นะ เป็นอาคารไม้ แกสั่งช่างทำวันเดียวเสร็จ นี่แน่ะ สามารถตั้งโต๊ะคนบริโภคนมสดแกได้ไม่น้อยกว่า หก - เจ็ดสิบคน แล้วก็มีห้องเก็บของห้องปรุงนมสด ห้องเคี่ยวนมสด อะไรต่ออะไรอีกตั้งเยอะ แต่ความจริงมันก็โตมาก ช่างทำตั้งแต่ตอนเช้า ตอนเย็นขนของเข้าได้เลย นี่มีสตางค์เสียอย่างเดียวนึกอะไรมันก็สำเร็จ แต่ไม่แน่นักนะ อย่าไปนึกใจคนเข้า ถ้าไปนึกถึงใจคนเข้า จะไม่สำเร็จ นึกถึงตัวคนอาจจะสำเร็จ นิรมิตตัวคนอาจจะได้ แต่ว่านิรมิตใจไม่ได้แน่ ถ้าเขาไม่พอใจเสียอย่างเดียว เงินไม่มีความหมาย แต่ที่อุทิศกายให้ก็เพื่อเงินจะเงินแลกตัวได้แต่เอาเงินแลกใจไม่ได้
    ตานี้ ร้านนายชมแกมี ตอนต้นแกเก็บสตางค์พระเต็มราคา ต่อมาแกขายดีมากเข้า แกขายได้วันละพันบาทเศษๆ พันห้า พันแปด สองพันก็เคยได้ สมัยนั้นน่ะ ค่าของเงินยังดีอยู่ ก๋วยเตี๋ยว 40 ชามต่อเงิน 1 บาท สองชามห้าสตางค์ ต่อมาแกก็เก็บครึ่งหนึ่ง ต่อมาแกก็ไม่เก็บสตางค์พระเพราะมีรายได้มาก อีตอนไม่เก็บสตางค์พระนี่ซี พระไม่เข้าร้าน เพราะอะไร เพราะว่าอาย เข้าไปแล้วเมื่อฉันจนอิ่มแล้ว ปรากฏว่าเขาไม่เก็บสตางค์ คราวหลังท่านก็อาย ท่านก็เลยไม่เข้าร้าน จะมีอยู่บ้างก็พระที่ไม่รู้เรื่อง ไปแวะตอนเย็น ไปเรียนหนังสือกลับมาแล้วก็เยอะ ต่อมานายชมก็เลยมาถามว่า ท่านมันเป็นยังไงขอรับ พระทำไม่เข้าร้านผม ผมตั้งใจทำบุญ ก็เลยบอกว่าโยมศรัทธามากเกินไป โยมไม่เก็บสตางค์เลยนี่ไม่ไหวหรอก พระเขาก็อาย ถ้าทางที่ดีแกเก็บสักครึ่งหนึ่ง แกก็บอกว่าผมน่ะได้จากฆราวาสมากแล้วนะขอรับ ผมอยากจะทำบุญกับพระ สำหรับพระเท่าไรก็ตามเถอะผมเต็มใจถวาย บอกว่านั่นมันเป็นความดีของโยม โยมมีเจตนาดี แต่พระเองท่านก็สงสารตัวท่านเหมือนกัน ท่านอายท่าน แม้แต่อาตมาเองก็ยังไม่กล้าไปฉันเลย เวลาจะฉันก็ให้เด็กไปซื้อ แกก็บอก แหมไม่น่าจะทำยังงั้น บอก ความจริงมันก็ไม่น่าจะทำหรอกโยม แต่ว่าหนักๆ หลายวันเข้ามันก็เกรงใจ แกก็เลยถามว่าจะทำยังไงล่ะพระจึงจะเข้าร้านได้ ก็เลยบอกกับแกว่ายังงี้ก็แล้วกันโยม ปิดป้ายไว้ว่าพระถวายครั้งหนึ่งเก็บครั้งหนึ่ง ต่อแต่นี้ไปพระจะเข้าร้านมาก แกก็บอกว่า แหม ไอ้ใจผมเองอยากจะถวายทั้งหมด เอาเถอะ ในเมื่อท่านไม่มากันจริงๆ ก็ไม่มีโอกาสได้ทำบุญ ถ้ายังงั้น ผมจะทำป้ายตามที่ท่านว่า แกก็สั่งให้ลูกน้องทำป้ายวันนั้น ก็ปรากฏว่าตอนเย็นพระเต็มร้านตามเดิม แกก็ยิ้มย่องผ่องใสดีใจว่าแกมีโอกาสได้ทำบุญ นี่เรื่องของนายชมนะ จวนจะถึงผีวัดประยุรวงศ์แล้ว เล่าตอนต้นเสียก่อน ไอ้ผีตอนไหนที่ไม่รู้ตอนต้นก็ไม่เล่าให้ฟัง
    แล้วต่อมาวันหนึ่งอาตมาก็มีเพื่อนพระหลายองค์ ประมาณสัก 10 องค์ จากต่างวัดมาเยี่ยม เขามาตั้งแต่ตอนเย็นคุยกันไปยันค่ำ ประมาณสัก 2 ทุ่ม เดือนหงาย เวลาสงครามก็ทราบแล้วนี่ เขาพรางไฟ ไฟมันก็ริบหรี่ๆ ไฟตามถนนก็เอาผ้าไปหุ้มเสียอีกด้วย หุ้มเป็นกระบอกเพื่อไม่ให้แสงออก อะไรก็ตามที่ปรากฏว่าเวลากลางคืนเครื่องบินมาทิ้งระเบิดมันก็ทิ้งถูกจุดหมาย ดีไม่ดีถ้ามืดเกินไปมันก็จุดไฟของมันเอง เอาไฟจุดในอากาศสว่างดีเสียกว่าไฟข้างล่างอีก ความจริงไม่มีความหมายเลย ทำพรางไฟให้พวกกันเองลำบากเปล่าๆ ความจริงไม่น่าจะพราง อีแบบนั้นมันไม่มีผล คนที่อยู่ข้างหลังนี่จะอ่านหนังสือก็อ่านไม่ถนัด แสงไฟจะลอดออกทางหน้าต่างก็ไม่ได้ ตำรวจก็คอยว่า แต่เวลาเครื่องบินมันมา มันจัดไฟของมันเองสว่างจ้าไม่มีใครว่ามันแปลก
    เมื่อบรรดาเพื่อนพระมามาก อาตมาก็เรียกเณรมา 4 - 5 องค์ บอกว่าเณร เอากระติกลูกใหญ่นี่นะ ไปซื้อนมสดที่โยมชม เอาใส่มาให้เต็ม แล้วก็เอากาลูกนี้ใส่น้ำร้อนมาด้วย ให้เขาใส่ใบชามาด้วย อาตมาเป็นคนไม่ติดชา เณรก็ไป พอไปถึงสักครู่หนึ่งแกก็ต่างคนต่างวิ่ง วิ่งเข้ามาเลย อาตมาคุยกับเพื่อนอยู่ แกวิ่งมาถึงก็กระโดดเข้ากลางวงถามว่าอะไรพูดไม่ได้ไปตั้งนาน อึกอักๆ ในที่สุดเณรองค์หนึ่งนึกขึ้นมาได้ เห็นจะกำลังใจดีกว่าเขา บอกว่า ผีหลอกขอรับ ถามว่าผีที่ไหน บอกว่าที่ระหว่างเจดีย์กับรั้วโบสถ์ อันเป็นทางเดินผ่านตรงนั้น เลยประตูเสือออกไปหน่อย ถามว่ามันทำยังไง ตอบว่ามันทำตัวใหญ่ครับ มันนอนเต็มทาง พวกเราก็แปลกใจว่าไม่เคยพบเลย ชวนเพื่อนๆ พร้อมด้วยเณรทั้งหมด บอกไปดูกัน มันผีที่ไหนหว่า ฉันก็นอนดึกๆ ทุกคืนทำไมมันไม่หลอกพวกฉัน ทำไมมันหลอกพวกแก ก็เดินออกไปจากกุฏิ มันก็ไม่ไกล เวลานั้นเป็นเวลาประมาณข้างขึ้นใกล้จะกลางเดือนอยู่แล้ว พระจันทร์สว่างมาก สว่างแจ๋ว เครื่องบินน่าจะมา เพราะว่าไม่ต้องใช้ไฟส่องก็มองเห็น ไปถึงระหว่างเจดีย์กับรั้วโบสถ์ เป็นทางผ่าน เณรแกก็บอกว่าตรงนี้แหละขอรับ เมื่อกี้นี้มันนอนขวางทางผมอยู่ ผมหลีกมันไปก็ไม่ได้ มันพลิกไปพลิกมาตกใจกลัว พอได้สติผมก็วิ่งกลับ พระพวกนั้น เพื่อนจะเป็นการให้กำลังใจเณรว่ามันไม่มีอะไร ก็ตรวจกัน ช่วยกันตรวจ เดินไปเดินมา เอ้า ผีมันอยู่ที่ไหนวะ ไม่เห็นมันมีอะไรนี่ พวกแกตาฝาดไปละมัง ก็ว่ายังงั้น แต่เณรก็ไม่ยอมเชื่อ เพราะแกโดนจริงๆ
    ระหว่างที่เดินกันไป เดินกันมา แสดงว่าผีไม่มีนั่นแหละ เสียงแหวกอากาศวื๊ดๆ มา คล้ายๆ กับเสียงลูกกระสุนปืนแหวกอากาศ หล่นปุ๊ ลงตรงกลางทาง สีขาวๆ โตประมาณเท่าลูกมะพร้าว พวกเราก็ยืนดู เอ๊ะมันลูกอะไร แล้วมันมาได้ยังไง ไม่มีต้นหมากรากไม้ แต่มันแหวกอากาศดังประเดี๋ยว ร้องอึดๆๆ ขึ้นมาคล้ายๆ กับเบ่งตัว มันโตขึ้นทีละนิดๆ ในที่สุดก็เป็นคน กางขากางแขนนอนเต็มทางเลย เรียกว่าเต็มเลย เต็มอีช่องนั้น เต็มหมด พระทุกองค์เณรทุกองค์รวมทั้งอาตมาด้วยที่อวดเก่ง ยืนกันขาแข็งตามๆ กัน ตกใจ ยืนกันสักพักหนึ่ง ไม่มีใครกล้าทำอะไร ไอ้เจ้านั่นก็เบ่งทำตาโต อ้าปากกลอกตาไปตามเรื่อง เห็นชัด มันเป็นคนเราดีๆ นี่แหละ แต่ตัวมันใหญ่มาก แต่มีเณรองค์หนึ่งแกได้สติก่อน แกวิ่งปรื้ด หนีมาก่อน ผลที่สุด ทุกคนก็ได้สติ เดินกลับกันมา เวลาเดินกลับก็หลังเย็นๆ นะ รู้สึกว่าหลังเย็นๆ ไม่ค่อยสบายใจนัก เป็นอันว่าเจ้าผีนี่มีฤทธิ์จริงๆ แต่ในสมัยนั้นไม่มีใครกล้าไปปราบมัน อาตมาที่ทำตัวเป็นคนอวดเก่งน่ะเปล่า เก่งแต่ปากหรอก แต่เนื้อแท้จริงๆตัวเองไม่มีดีอะไรจะเก่ง
    เอาละ บรรดาท่านผู้ฟังทั้งหลาย นี่เหลือเวลาอีก 3 นาที มันก็จะครบชั่วโมงแล้ว เห็นจะพักกันได้ละมัง ก่อนจะพักก็จะขอย้ำไว้สักพักว่าเรื่องผีนี้มีจริง แต่ว่าคนที่จะรู้เรื่องผีได้นี่น่ะ ถ้าจะรู้กันจริงๆ เอาอย่างรู้กันนะ ก็ลองทำยังงี้ซี คือว่าอย่าสนใจกับเรื่องของบุคคลอื่น หมายความว่าเรื่องของคนอื่นใครเขาจะดีจะชั่วยังไงช่าง มาปรับปรุงใจของตัวเอง อันดับแรก ก็มีศีล 5 บริสุทธิ์ ประการที่สองก็ระงับนิวรณ์ 5 ประการ ได้ตามความต้องการ ประการที่สาม ทรงพรหมวิหาร 4 ประการที่สี่ ก็เจริญกสิณ อย่างใดอย่างหนึ่งให้เกิดทิพยจักขุญาณในกสิน 3 อย่าง คือ เตโชกสิณ โอทากสิณ และอาโลกกสิณ เมื่อจับภาพกสิณได้ถึงอุปจารสมาธิ แล้วก็ฝึกดูผีฝึกดูเทวดา นี่ตามหลักสูตรของพระพุทธศาสนานะ ที่บอกอย่างนี้ไม่ใช่อะไรหรอก เพราะว่าแน่ใจเหลือเกินว่าท่านผู้ฟังที่กำลังฟังอาจจะสงสัยว่าผีมันมีจริงไหม ทำไมจะได้เห็นบ้าง จะเห็นได้หรือเปล่า นี่หากว่าท่านทั้งหลายที่รับฟังประสงค์อย่างนั้น ก็ไม่ต้องไปค้นตำราที่ไหน ตำราของพระพุทธศาสนามี แล้วก็มีเพื่อให้ท่านปฏิบัติด้วย ถ้าหากว่าท่านสงสัย และปรารถนาจะเห็นจริงๆ ด้วยตนเองละก็ ลองทำตามนี้นะ จะได้ไม่ต้องไปโทษใครเขา ว่าไอ้ผีสางเทวดามันไม่มี ไม่เมออะไรหรอก ถ้าเกิดมาไม่เคยเห็นผีเลย ถ้าผีมันเก่งจริงหลอกข้าซี อย่างนี้ก็ทราบแล้วใช่ไหมว่าผีกลัวคนบ้า ตามที่อาตมาพูดมาแล้วเมื่อกี้ อีตอนที่ตำรวจถูกผีหลอก อาตมาก็เอาปืนของตำรวจถือเดินหน้าไป นึกว่าผีมาจะยิง ตอนนั้น ผีมันเห็นว่าพระบ้า พระที่ไหนจะมาถือปืนไปเที่ยวยิงผี คนบ้าประเภทนี้ศักดิ์ศรีไม่สมควรกับมันจะหลอก มันก็เลยไม่หลอก มันจะหลอกหรือจะแสดงตัวให้ปรากฏแต่เฉพาะคนดีเท่านั้น แต่ผีเจ้าขาวตามที่กล่าวเมื่อกี้นี้จะเข้าใจว่ามันตั้งใจหลอกก็ไม่ใช่ มาทราบทีหลังว่ามันต้องการอนุโมทนาส่วนกุศล แต่ว่าคนทั้งหลายไมได้ตั้งใจช่วยมัน กลายเป็นกลัวมันเสีย ผลที่สุดมันก็ไม่มีผลอะไร ในขั้นสุดท้ายพวกเราตั้งเค้า เราก็ตั้งเกณฑ์สังฆทาน สร้างพระพุทธรูปแล้วก็ถวายผ้าไตรจีวรกับสงฆ์ในพระพุทธศาสนา อุทิศส่วนกุศลให้ ในที่สุดผีเจ้าขาวก็หายไปจากวัดประยุรวงศ์ นับแต่นั้นเป็นต้นมา
    เอาละท่านผู้ฟังทุกถ้วนหน้า นี่เวลาเต็มชั่วโมงเป๋งพอดี ก็ขอเลิกกันเพียงเท่านี้นะ วันพรุ่งนี้ฟังกันใหม่ สวัสดี
    ขอบพระคุณที่มา :- http://trachupit.ac.th/public/list/data/detail/id/277/menu/400/page/
     

แชร์หน้านี้

Loading...