เรื่องของภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้น โดย พ.ธรรมรังสี

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย siamblogza, 22 กันยายน 2012.

  1. siamblogza

    siamblogza เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    398
    ค่าพลัง:
    +2,590
    [​IMG]

    เรื่องของภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้น โดย พ.ธรรมรังสี
    โดยคุณ ลูกศิษย์ท่านพ. ธรรมรังสี เมื่อวันที่ 26/7/2548 8:24:53

    หลายปีมาแล้วที่ผมได้เฝ้าบอกท่านทั้งหลายในเรื่องของภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้น และแล้วมันก็เกิดขึ้นจริงๆ ทั้งๆที่ผมเองไม่อยากให้มันเกิดขึ้น แต่คงเป็นเพราะ " กฎแห่งกรรม" กระมัง ? ดังพุทธภาษิตที่ว่า "กัมมุนา วัตตติ โลโก" สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม นั้นแล ผมเองเคยเขียนเตือนผ่านในบทความเรื่อง "ยอดแห่งพระอภิญญา หลวงปู่เทพโลกอุดร" เมื่อหลายปีก่อน ว่า "โลกกำลังจะเกิดวิกฤตอย่างน่ากลัวหลายอย่างทั้งภัยธรรมชาติและภัยจากน้ำมือมนุษย์" แต่ในขณะนั้นผมเองไม่สามารถจะบอกกล่าวอะไรให้มากไปกว่านั้นได้ เนื่องจากเกรงว่าจะมีผู้ที่ไม่เชื่อสบประมาทตัวผม คือ "ไม่บ้าก็เพี้ยน" เป็นแน่ หรือ ผู้ที่เชื่อบางคนก็จะตื่นตระหนกเกินเหตุ แต่ครั้งนี้ไม่บอกคงไม่ได้แล้ว เพราะอะไร เพราะผมรู้เห็นเรื่องนี้มานานหลายปีแล้ว ไม่ใช่แค่จากการศึกษาค้นคว้าหรือได้ยินคำพยากรณ์จากครูบาอาจารย์ แต่เกิดจาก "นิมิตภาวนา" ที่เป็นประสบการณ์ตรงเลยทีเดียว ใครจะไม่เชื่อก็แล้วแต่ ผมมีหน้าที่เพียงนำเสนอเรื่องราวให้ท่านทั้งหลายได้รับไว้พิจารณา เมื่อต้นปี พ.ศ. 2546 ผมเคยเตือนคนคุ้นเคยในกลุ่มผู้ปฏิบัติธรรมกลุ่มหนึ่งว่า "อย่าลงใต้" เขาถามว่า "ทำไมถึงไม่ให้ลง" ผมเพียงแต่บอกว่า "อันตราย" เขาถามต่อไปว่า "จะเกิดอะไรขึ้น" ผมก็บอกไปว่า "คนจะตายกันมาก" มีคนหนึ่งถามว่า "เขามีเพื่อนทำธุรกิจอยู่ทางใต้จะทำอย่างไรดี" ผมบอก "รีบไปรีบกลับ อย่าอยู่นาน" และผมยังฝากให้คนกลุ่มนั้นบอกต่อๆกันไปด้วย ทำไมผมถึงมั่นใจในสิ่งที่ผมพูดถึงขนาดนั้น และผมรู้ได้อย่างไรว่าอะไรจะเกิดขึ้น แม้ปัจจุบันนี้ผมเองไม่สามารถที่จะบอกชี้ชัดลงไปได้ว่า จะเกิดอะไรขึ้นที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไรต่อไปอีกบ้าง แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น เพราะอะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด แต่ผมจะมาบอกพวกท่านทั้งหลายว่า "อย่าประมาท" เลย โดยเฉพาะพวกเราชาวพุทธ นับถือพระพุทธศาสนา และอยู่ใต้ร่มพระบรมโพธิสมภาร บนผืนแผ่นดินแห่ง "สยามประเทศ" อันเป็นแผ่นดินที่อาศัยเกิดอาศัยอยู่อาศัยตายตามวัฏฏะและกฎแห่งกรรม เป็น "มาตุภูมิ" คือ แผ่นดินแม่ของเรา ที่ทรงไว้ซึ่งพระพุทธานุภาพและเต็มเปี่ยมไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์นานาประการ แม้ผมเองจะมั่นใจว่า "ประเทศไทยปลอดภัยที่สุดในโลก"

    แต่ถึงอย่างนั้นเหตุการณ์ต่างๆ ก็ใช่ว่าจะสงบเงียบราบเรียบเสมอไป เพราะไม่ว่าจะเป็นภัยพิบัติชนิดใด จะเกิดขึ้นที่ไหนในโลกก็ย่อมจะส่งผลกระทบต่อทุกชีวิตบนโลกมนุษย์ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม ไม่มากก็น้อยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แล้วเราจะต้องทำอย่างไร จะใช้ชีวิตกันตามปกติตามความเคยชินหรือจะทนทุกข์ทรมานต่อเหตุการณ์ต่างๆ หรือ จะสนใจศึกษาเรียนรู้ในเรื่องของคำสอนทางศาสนาให้มากขึ้น ก็สุดแท้แต่ท่านทั้งหลายจะเลือกเอา ชีวิตมิได้มีแต่ที่เราเห็นจนเคยชินเท่านั้น ถ้าเราลองเปิดใจให้กว้าง เราจะเห็น "สิ่ง" ที่เรามองไม่เห็นด้วยตาเปล่าหรือที่เราคุ้นเคยเท่านั้นสิ่งเหล่านั้นมีอยู่มากมายที่เราเองยังไม่รู้ หากเราไม่ยอมศึกษาด้วยความตั้งใจอย่างแน่วแน่ก็ไม่มีวันที่จะรู้ได้ ผมเองไม่อยากและไม่ชอบเลยในการที่จะอวดอ้างถึงการบำเพ็ญธรรมปฏิบัติธรรม ซึ่งน่าจะเป็นเรื่องส่วนตัวมากกว่าที่จะนำมาเปิดเผยต่อสาธารณชนแต่บางครั้งความจำเป็นในเรื่องของ "มนุษยธรรม" ก็เรียกร้องให้ผมเองต้องนำมาเปิดเผยต่อท่านทั้งหลาย ดังนั้นจึงขอโอกาสท่านผู้รู้ทั้งหลาย อย่าได้ตำหนิติเตียนตัวกระผมเลยผมเองหากทำด้วยกุศลเจตนา หาได้มีอกุศลแอบแฝงไม่

    ผมเองปฏิบัติธรรมมานับเป็นสิบปี เริ่มตั้งแต่อายุ 12 ขวบ ถูกบ้างผิดบ้าง ดีบ้างชั่วบ้าง เป็นเรื่องธรรมดา แต่ก็นับว่ามี "ของเก่า" มากพอดู จึงได้ผลในการปฏิบัติบ้างตามสมควร "สิ่ง" ที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติ หรือ จะเรียกว่าเป็นผลพลอยได้ ก็คือ เรื่องของ "พลังสมาธิ" ที่สะสมมากขึ้นและต่อเนื่อง จนกลายเป็นเรื่องที่เป็นปกติ และมักจะ "เห็น" ในสิ่งที่คนทั่วไปมองไม่เห็น เช่น แสงสีหรือรัศมีของผู้มีบุญว่าสวยงามสว่างสดใสขนาดไหน หรือ ผู้มีบาปหนาจนไร้รัศมีที่ดีงาม หรือ รัศมีที่บ่งบอกว่าคนเช่นไรจะประสบเคราะห์กรรมหรือผลบุญแต่อดีต อันเกี่ยวเนื่องมาจาก "กฎแห่งกรรม" หรือ การเห็นภพภูมิต่างๆ จนเป็นเรื่องปกติ จากที่เคยกลัวผีในตอนเด็ก จนตอนนี้เลิกกลัวไปนานแล้ว กลัวที่สุด คือ
    การกลับมาเกิดใหม่แบบซ้ำๆ ซากๆ นั่นเอง หรือ การเห็นเหตุการณ์ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตแบบดูหนังตัวอย่าง ที่แม้จะดูไม่ละเอียดหรือไม่ทั้งหมด แต่ก็พอที่จะเดาตอนจบได้ว่า จะจบลงอย่างไร ! พระเอกจะแพ้หรือชนะ นางเอกจะรอดหรือไม่ ทุกอย่างที่ผมเห็น ทำให้รู้ว่า "สิ่ง" ที่เห็น ไม่ได้อยู่ที่ " ดวง" แต่อยู่ที่ "กรรม" ทั้งกรรมในอดีตและกรรมในปัจจุบัน ล้วนมีผลต่อผู้กระทำและยังมีผลกระทบต่อผู้อื่นรวมถึงสิ่งอื่นด้วย ไม่น่าเชื่อถ้าจะบอกว่า คำพูดที่ว่า "เด็ดใบไม้สะเทือนถึงดวงดาว" นั้นเป็นเรื่องจริงและเป็นไปได้ตามหลักพุทธศาสตร์รวมถึงหลักวิทยาศาสตร์ด้วย ทุกท่านคงเห็นแล้วว่า การเกิดแผ่นดินไหวส่งผลกระทบอย่างไร น่ากลัวและรุนแรงขนาดไหน จริงอยู่ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสบอก "เหตุแห่งแผ่นดินไหว" ไว้ถึง 8 ประการ

    แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับโลกต่อไปนี้อาจนอกเหนือความคาดเดา หลายๆอย่างที่ผมเห็นมันรุนแรงจนไม่รู้จะบอกอย่างไร แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่มีทางรอดหรือวิธีแก้ไขยับยั้งบรรเทาเบาบางลงไป ก่อนที่ผมจะบอกเตือนในเรื่องของภาคใต้ที่ผ่านมาก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์เลวร้ายต่างๆ ขึ้นตามที่พูด ผมเห็นภาพน้ำท่วมไหลบ่าอย่างมหาศาล ในภาพนั้นผมยืนมองอยู่บนอาคารสูง สูงมากๆ มองเห็นคนตัวเท่ามด ที่กำลังโดนน้ำพัดพาจมหายไปอย่างไม่มีทางช่วย เห็นวิญญาณร้องไห้ทั่วแผ่นดิน ตามด้วยไฟลุกโพลงตามจุดต่างๆ เสียงร่ำไห้โหยหวนชวนน่าเวทนา ผมเองยังไม่หมดกิเลส เมื่อเห็นภาพเหล่านั้นก็ตกใจและตามด้วยความสลดใจอย่างมาก น้ำตาเอ่อไหลอย่างไม่รู้ตัว แต่ก็ตั้งสมาธิกลับเข้าไปใหม่ ทำใจให้เข้มแข็งและกำหนดจิตถามครูบาอาจารย์จากเบื้องบนซึ่งคนที่ใกล้ชิดกับผมจะรู้กันดีว่าครูบาอาจารย์ผมเป็นใคร ผมเองไม่อยากเรียกตัวเองว่าเป็น "สื่อกลางของโลกวิญญาณ" ขอเป็นเพียงแค่ "ผู้สัมผัสหยั่งรู้อย่างผิวเผิน" เนื่องด้วยของเก่าหรือบุญเก่าก็พอจะได้ ได้ถามถึงวิธียับยั้งเหตุการณ์ภัยพิบัติต่างๆ ก็ได้รับคำตอบว่า การสวดมนต์ไหว้พระแผ่เมตตาอย่างธรรมดาคงไม่พอ ต้องสวดบทพิเศษบทสำคัญ เช่น ยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก พระอาการวัตตาสูตร และ การแผ่เมตตาด้วยสมาธิจิต เรียกในทางพระพุทธศาสนาว่า "การแผ่เมตตาเจโตวิมุติ" โดยเมื่อสวดมนต์เสร็จก็นั่งสมาธิจนจิตนิ่งสงบไม่ฟุ้งซ่านไม่ง่วงไม่ขาดสติจะกี่นาทีก็แล้วแต่ แล้วอธิษฐานในใจเป็นภาษาที่เราเข้าใจว่า "ขอสัตว์ทั้งหลายไม่มีที่สุดไม่มีประมาณทั่วแสนโกฏิจักรวาลอนันตจักรวาล จงเป็นผู้มีความสุขกายสุขใจ" อย่างนี้ไปในทุกทิศทุกทางของเรา เริ่มตั้งแต่ศรีษะทะลุขึ้นไปเบื้องบนของเรา ตามด้วยเบื้องล่างที่เรานั่งอยู่ จากนั้นก็เป็นเบื้องหน้าเบื้องหลัง เบื้องขวาเบื้องซ้ายของเราตามลำดับ จบที่การแผ่เข้ามาในตัวและแผ่ขยายพลังแห่งเมตตานั้นออกไปทั่วสากลจักรวาลอีกครั้งหนึ่ง ส่วนเวลาปกติก็ให้ท่องบทคาถาสั้นๆ ในใจหรือสวดเบาๆ ก็ได้ เช่น บทมงกุฎพระพุทธเจ้า หรือ บทอื่นๆ ที่ประกอบไปด้วยพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ เป็นอาทิ จึงจะทำให้เราแคล้วคลาดปลอดภัย ผ่อนหนักเป็นเบาได้ อีกทั้งหากทำกันมากๆ จนขยายวงกว้างออกไปทุกพื้นที่ทั่วประเทศ จะสามารถยับยั้งบรรเทาเบาบางเหตุการณ์วิกฤตต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นได้ด้วย นี้เป็นเรื่องของ " พลังจิต" ที่มีอำนาจเปลี่ยนแปลงโลกได้หากเราได้ศึกษาอย่างถ่องแท้ เชื่อหรือไม่ว่า "กระแสจิต" ที่เลวร้ายจ้องทำลายกันของมนุษย์บางกลุ่มบางคนบางพวก จะส่งผลกระทบที่เลวร้ายต่อโลกมนุษย์ ทั้งๆ ที่เราน่าจะอยู่ด้วยกันอย่างสันติได้ แต่เขาเหล่านั้นก็ไม่ยอมรับฟัง ยังดึงดันและบ้าอำนาจบ้าทำลายบ้าเบียดเบียนกันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด คนที่สร้างสรรค์ก็สร้างสรรค์กันไป คนที่ทำลายก็ทำลายกันไป ท่านเห็น "สัจจธรรม" แล้วหรือยัง ท่านเห็น "อนัตตา" กันบ้างไหม หรือยังจะหลงระเริงกันต่อไป ยังจะหลงงมงายในสิ่งอันเป็นสมมติกันต่อไป
    ยังอยากจะเวียนว่ายตายเกิดกันอยู่อีก ถึงเวลา "ตื่น" กันหรือยัง "ตื่น" จากความหลับใหลในอวิชชาตัณหาอุปาทานกันเสียที เร่งขวนขวายสร้างบุญบารมีกันเถิด อย่าได้ชักช้าหรือปล่อยเวลาให้เสียเปล่ากันเลย หากเราเชื่อในคำตรัสพยากรณ์ของพระพุทธเจ้าในเรื่องของ "พระศรีอารย์" ถึงเวลาที่เราจะต้องเรียนรู้และใส่ใจกันแล้วถึงอนาคตของเราเอง จะรอให้ใครมาช่วยอีกเล่า เมื่อเราเองยังไม่ยอมรู้จักช่วยตัวเองก่อน

    ครูบาอาจารย์ของผมสั่งมาว่า "ให้สร้างพระศรีอารย์ถวายพระเจ้าแผ่นดินแล้วนำไปประดิษฐานยังที่ที่เหมาะสม อาจยับยั้งภัยพิบัติต่างๆได้" ผมเองก็มานั่งวิเคราะห์ดูว่าเพราะอะไรถึงต้องเป็นพระศรีอารย์ ก็เพราะเป็นการดึงพลังจากพระพุทธเจ้าทั้ง 5 พระองค์ประจำภัทรกัปนี้ให้ครบถ้วนทั้ง 5 พระองค์ อีกประการหนึ่งแผ่นดินยุคต่อไปจะอยู่ในความดูแลรับผิดชอบของพระศรีอารย์ ซึ่งในขณะนี้ท่านยังเป็น " พระโพธิสัตว์" อยู่และสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพียงสัญญาณเตือนเท่านั้น หากคนไม่เรียกร้องขอบารมีท่าน ท่านจะลงมาช่วยอย่างเต็มที่ก็ไม่ได้เพราะยังไม่ถึงยุคของท่านและกว่าจะถึงยุคของท่าน หากท่านไม่ยื่นมือเข้ามาช่วย โลกนี้อาจถึงกาลอวสาน ผมไม่ได้ล้อเล่น คนที่หัวเราะเยาะผมอาจจะตายก่อนผมก็ได้ จริงอยู่แม้จะมีพระพุทธพยากรณ์ไว้แล้วว่าพระพุทธศาสนาจะมีอายุถึง 5,000 ปี แต่ใครจะรู้บ้างว่ากว่าจะถึง 5,000 ปีตามพระพุทธพยากรณ์ โลกนี้จะเป็นอย่างไร จะสาหัสขนาดไหน และรู้บ้างไหมว่าพระพุทธศาสนาจะอยู่ในกลุ่มคนเล็กๆ เท่านั้น หากเทียบกับจำนวนคนทั้งโลก และจะมีเหลือสักกี่คนที่รอดชีวิต และถึงรอดชีวิต คิดหรือว่าจะไม่ได้รับผลกระทบ คนอีก 100-500 ปีข้างหน้าไม่ได้สุขสบายอย่างที่เราคิด วิทยาศาสตร์จะถูกทำลายโดยพลังธรรมชาติ แต่ระยะ 50 ปีต่อจากนี้พระพุทธศาสนาจะเจริญขึ้นมาก ไม่ใช่เพราะคนเข้ามาศรัทธาอย่างเต็มใจ แต่หากเป็นเพราะคนส่วนใหญ่ "กลัวตาย" เลยต้องหาที่พึ่งทางใจ

    ผมเองขอบอกกล่าวล่วงหน้าไว้เลย ถ้าผิดจากนี้ขอให้ลงนรกไปเลย เมื่อพระพุทธศาสนาเจริญขึ้นในครั้งนี้ก็จะเจริญอีกทีในอีก 1,000 ปีข้างหน้า ถึงเวลานั้นคนที่ต้องลงมาสร้างบารมีก็ลงมาเกิดเพื่อสร้างบารมีกันอีก และวิทยาศาสตร์จะเจริญขึ้นถึงขีดสุดถึงขนาดที่ว่าไปมาหาสู่กับมนุษย์ต่าวดาวได้ เพราะนักวิทยาศาสตร์ที่คิดค้นในยุคนั้นก็ไปจากยุคนี้นั่นเองกลับไปเกิดใหม่โดยที่ยังมีความรู้เป็นศักยภาพติดไปในจิตวิญญาณนั่นเอง แล้วได้นำไปพัฒนาการต่อตามทักษะความสามารถเฉพาะตัว ถึงแม้จะไม่สามารถที่จะมี "ฤทธิ์อภิญญา" เหาะเหินเดินอากาศได้เช่นคนในสมัยโบราณที่บำเพ็ญเพียรทางจิต แต่ก็สามารถคิดค้นจนก่อให้เกิดเทคโนโลยีขั้นสุดยอดได้ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า "มนุษย์" จะรอดพ้นจากภัยพิบัติเพราะคำว่า "โลก" ในความหมายของพระพุทธศาสนาไม่ว่าจะโลกไหนๆ แปลว่า แตกดับทั้งสิ้น และโลกก็มีอายุขัย มีวันหมดอายุ เราอาจคิดว่ายาวนานเหลือเกิน แต่ถ้าเราเกิดอีกคิดหรือว่าจะพ้นไปจากโลกนี้ได้ และตราบใดที่ยังวนเวียนอยู่ในโลกแน่ใจหรือว่าจะไม่พ้นไปจากภัยพิบัติ พูดไปก็เหนื่อยใจไม่รู้จะพูดยังไง แต่ที่แน่ๆ ผมคนหนึ่งล่ะที่ไม่อยากกลับมาเกิดอีก และทำทุกวิถีทางในการที่จะทำให้ไม่เกิดอีกตามหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าผู้เป็นพระบรมศาสดาเอกของโลก มิใช่ศาสดาองค์อื่นไม่ดีแต่ผมได้เจอองค์ศาสดาเอกที่สุดยอดแล้ว ถ้าท่านศึกษาศาสนาเปรียบเทียบแล้วท่านก็จะเห็นเองผมไม่ได้โฆษณาเชิญชวนเพราะความศรัทธาเป็นเรื่องของท่าน ไม่ใช่ของผม ของใครของมัน

    แต่ก็รู้ๆ กันอยู่แล้วว่า "ประเทศไทย" อยู่รอดมาได้ทุกวันนี้เพราะอะไร นอกเหนือไปจากบารมีแห่งองค์พระมหากษัตริย์ ขอให้มีจิตสำนึกระลึกดูเถิดว่า "บรรพบุรุษ" ของเรานับถือศรัทธาอะไรเป็นสิ่งสูงสุด และลองเปรียบเทียบดูเถิดว่า จะมีที่ใดในโลกนี้ดีเท่ากับประเทศไทยบ้าง แม้จะมีเรื่องวุ่นวายบ้างตามกฎแห่งกรรม แต่ก็ยังนับว่ายังดีกว่าที่อื่นๆ มิใช่หรือ ลองคิดดูเอง

    สิ่งต่างๆเหล่านี้ มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไปเป็นเรื่องธรรมชาติธรรมดา แต่ถ้าปล่อยทิ้งไว้เฉยๆ ให้เรื่องเหล่านี้ทวีความรุนแรงขึ้นจนห้ามไม่อยู่ แล้วใครเล่าจะเป็นผู้รับเคราะห์กรรมนั้น หากไม่ใช่พวกท่านเอง และถ้ายังเวียนว่ายตายเกิดกันอยู่ ก็อย่าได้คิดว่าจะรอดพ้นไปไ ด้ และหากปราศจากคุณธรรม จะรอดพ้นไปได้อย่างไร หากยังแต่มัวเมาประมาทไม่รู้จักจบสิ้น ใครเล่าจะช่วยท่านได้ "เสรีภาพ" จะเกิดขึ้นเองไม่ได้ หากท่านไม่แสวงหา เช่นเดียวกับ "พระนิพพาน" ในทางพระพุทธศาสนา เพราะแม้กระทั่งลมหายใจ ก็ยังต้องอาศัยเรี่ยวแรงและความพยายาม ถ้าไม่เชื่อลองกลั้นลมหายใจดู ว่าเวลาหายใจอีกครั้งต้องหายใจแรงกว่าปกติไหม ต้องพยายามหายใจให้มากกว่าเก่าไหม ถ้าท่านไม่เป็นอย่างที่ผมว่า ผมขอยกนิ้วให้ แต่ขอให้สังเกตจริงๆ ขอให้ยอมรับความจริง แม้การหายใจยังต้องอาศัยความพยายาม แล้วสิ่งอื่นๆ ล่ะ ? ยิ่งภารกิจที่ผมว่าแล้ว จะหนักหนาขนาดไหน การกอบกู้โลกใบนี้ด้วยธรรมะมีได้และเป็นไปได้ หากเราช่วยกันทั้งในทางวัตถุสิ่งของและในทางธรรม วัตถุไม่ได้เลวร้ายแต่คนที่หลงในวัตถุยึดติดในวัตถุจนก่อความเดือดร้อนแก่ผู้อื่นต่างหากที่เลวร้าย เราจะช่วยกันหยุดยั้งกันอย่างไร

    ขอฝากทุกๆ ท่านด้วย ถ้าท่านเป็นผมท่านจะทำอย่างไร ภาระหนักขนาดนี้ผมทำคนเดียวไหวหรือ จะทำสำเร็จหรือ ใครอยากจะช่วยผมผมก็ยินดี เพราะนั่นคือการช่วยตัวท่านเอง ผมเองทำตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายแล้วและจะทำอย่างสุดความสามารถ ใครทำใครได้ ทำอย่างไรก็ได้อย่างนั้น ใช่หรือไม่ ? อย่าให้ผมได้บรรยายถึงภาพที่ผมเห็นเลยว่ามันน่ากลัวขนาดไหน ผมไม่ได้มาหลอกขู่พวกท่าน ถ้าท่านไม่เชื่อ ท่านไปถามกลุ่มคนที่เคยได้ยินได้ฟังเรื่องราวต่างๆ จากผมได้ ผมขอท้า แต่อย่ามาลองดีกับผมเลย เพราะตัวผมเองก็ยังไม่ดีพอ ถ้าดีพอผมคงป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เลวร้ายต่างๆ ได้ เพราะไม่อยากให้มันเกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย ผมไม่ได้เพ้อเจ้อผมรู้ว่าสิ่งที่ผมเขียน "ผมเขียนออกมาจากใจ" ผมอยากจะตะโกนบอกทุกคนบนโลกนี้ด้วยซ้ำไป ว่า "อย่าประมาท" กันเลย ถึงเวลาช่วยกันแล้ว ถ้าท่านไม่ทำใครจะมาทำให้ท่าน ถ้า "มนุษย์" ไม่ทำ จะรอให้"มาทำหรือ ? ตายแล้วไม่สูญ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นสัจจธรรมความจริง "กฎแห่งกรรม" ล้วนเกิดจาก "จิต" ของมนุษย์เป็นทั้งผู้สร้างและทำลาย เราจะเลือกเป็นผู้สร้างหรือผู้ทำลาย อยู่ที่ตัวเราเอง อย่าคิดว่าการทำดีนั้นยาก แต่ยากอยู่ที่เราไม่ยอมลงมือทำต่างหาก อย่าเอาสิ่งไร้สาระมาอ้างแล้วไม่ยอมทำความดี ชีวิตเราจะมีคุณค่าหรือไม่อยู่ที่ "เรากำหนด" มิใช่ใครหรืออะไรมากำหนด แล้วสิ่งที่ดีจะตามมาเองอย่างไม่ต้องสงสัย ดังที่พระพุทธเจ้าพระอรหันต์ทั้งหลายได้กระทำมาแล้วนั่นเอง
     

แชร์หน้านี้

Loading...