(เพิ่มรูปสาธิต)คุณยายฐานะยากจนหันมาสะสมบุญขอจับชายผ้าเหลือง,ก่อกองทราย84,000กอง

(รูปประกอบไปเจอมา สวยดี คุณยายไม่ได้ก่อเจดีย์ใหญ่แบบในภาพนี้)คุณยาย(น)คนหนึ่งบ้านอยู่ใกล้วัด ฐานะค่อนข้างยากจนและมีโรคประจำตัวปวดขาเรื้อรังเพราะขาดแคลเซี่ยม เมื่อสามีเสียไปแล้วจึงหันมาสะสมบุญ โชคดีที่บ้านอยู่ใกล้วัด เมื่อทราบข่าวงานบุญแกก็จะมาร่วมงานเสมอ อย่างเมื่อมีพระบวชใหม่ ทั้งๆที่ไม่ใช้ญาติหรือลูกหลานแกก็จะขอจับชายผ้าเหลือง โดยมีโยมผู้ชายจับให้ก่อนเพื่อไม่ให้พระสงฆ์ต้องอาบัติ สิ่งที่คุณยายต้องการนั้นก็คือ ความสุขสบายในชาติหน้า ที่ไม่ต้องมา ตกระกำลำบากเหมือนในชาตินี้อีก ก่อนที่คุณยายท่านนี้จะสิ้นลมไป ก็ได้มาก่อกองทรายไว้ภายในวัดโดยใช้ขันใบเล็กครอบดินทรายแทนเจดีย์ จำนวน84,000 กอง
เพิ่มรูปสาธิต
อุปกรณ์ของคุณยายจะใหญ่กว่าใบนี้นิดหนึ่ง ทำทรายให้เปียกน้ำเมื่อกดลงบนพื้นดินจะได้อยู่ตัว ก็เอาแบบมากดทับกองทรายให้ดูดีขึ้นได้
ก้านมะพร้าวที่คุณยายนับจำนวนไว้เอามาปักลงกองละก้าน ใช้เวลาอยู่นาน3วันเต็ม ใครๆที่ผ่านมาเห็นต่างก็นึกชื่นชมยินดี แม้แต่พระสงฆ์ก็ยังทึ่งในศรัทธาของคุณยายท่านนี้ จนวันนั้นมาถึง คุณยายจากไปด้วยความทรมานจากโรคประจำตัว แต่ชาวบ้านคนที่ทราบข่าวต่างก็นึกกันว่า "จบสิ้นกันเสียที แกคงไม่ลำบากลำบนอีกแล้ว เพราะเสบียงบุญต่างๆของแกนั้น ถ้าเกิดชาติใหม่คงได้เป็นเศรษฐีแน่ๆ"
ขออภัยท่านผู้อ่าน สำหรับข้อความต่อไป หากเป็นเรื่องน่ารังเกียจก็ขอให้ข้ามไปอ่านท่อนท้ายๆ
คุณยายเคยไปรับจ้างซักผ้าขี้ ผ้าเยี่ยวของคนแก่ให้ครอบครัวหนึ่ง เพื่อให้มีรายได้มาใช้จ่าย แกบอกว่าเหม็นมากๆ จนตัวแกเองแทบสลบ เมื่อแก้ห่อผ้านั้นออกมาซัก เพราะคนแก่นั้นเวลาขับถ่ายใส่ผ้านุ่งไม่ได้บอกกล่าวให้ใครทราบ กว่าจะทราบก็ถ่ายใส่ผ้านุ่งไว้นานแล้ว
เมื่อคุณยายท่านนี้เสียชีวิตลง ทางลูกหลานของครอบครัวที่เคยเป็นผู้ว่าจ้างคุณยายให้มาช่วยงานในครั้งนั้น ได้รับเป็นเจ้าภาพงานศพและงานทำบุญอุทิศให้ทั้งหมดอย่างรวดเร็วและเรียบง่าย ซึ่งตรงนี้ก็คงเป็นผลบุญอย่างที่ตอบสนองกันทันตา
เพื่อให้กระทู้สมบูรณ์ขึ้นช่วงท้ายนี้จขกท.จะเพิ่มคำพูดในช่วงเวลาขณะนั้นเพิ่มเติมดังนี้
ผู้ให้ข้อมูล.....โยมดูนั่นเห็นมั๊ย....นั่นคุณยายคนขยัน
ผู้รับข้อมูล.....เอ!...ทำไมแกต้องทำกองทรายจำนวนมาก
ผู้ให้ข้อมูล.....ก็จะให้มันครบจำนวนพระธรรมที่ว่าแปดหมื่นกว่าหน่ะ
ผู้รับข้อมูล......อ๋อ...แล้วกี่วันจะเสร็จละท่าน
ผู้ให้ข้อมูล......โยมก็ดูเอา...ทำแบบนี้...ไม่เกินสามวันก็คงเสร็จ
ผู้รับข้อมูล......ก็เป็นไอเดียที่ดีนะ เพราะคนสมัยนี้บางคนก็ห่วงเล่นน้ำ บางคนก็มาก่อไว้กองเดียว บางคนก็ทำเท่าจำนวนคนในบ้าน
ผู้ให้ข้อมูล......โยมไม่ไปช่วยแกหรือ เผื่อจะได้บุญ
ผู้รับข้อมูล......อ๋อ...ไม่หล่ะกลัวแกหลง...ไม่รู้ว่าแกจะสวดมนต์ คาถาอะไรไปด้วยรึเปล่า?
ผู้ให้ข้อมูล......ไม่รู้เหมือนกัน...สิ่งไหนดีก็ทำไปเถอะโยม...มันเป็นความเชื่อถือศรัทธา
ผู้รับข้อมูล.......แล้วทรายตรงนั้นมาจากไหน
ผู้ให้ข้อมูล.......ทางผู้ใหญ่และเจ้าอาวาสบริจาคให้ ส่วนคุณยายแกก็มาขออนุญาติทำ(ส่วนที่อยู่ในถังบนรถเข็นน้ำนั้นคุณยายเอามาจากที่บ้าน)
หลังจากนั้นผ่านไป2วัน มีผู้ไปถ่ายรูปที่เสร็จแล้วไว้ในมือถือแต่รูปไม่ชัด ปัจจุบันคงลบรูปทิ้งไปแล้ว จากนั้นนานหลายเดือนคุณยายก็เสียแต่ก็ยังดูแข็งแรงนะ เพียงแต่ว่าข้างในมันพังหมดแล้วเพราะการกินยาหม้อ ยาชุด ฉีดยากับหมอพื้นบ้านมานานหลายปี มีคนเอานมให้แกกินแกก็กินไม่เป็น อีกอย่า่งคืออายุมากแล้วกินไปมันก็ไม่ทัน นี่ก็เป็นอีกอุทาหรณ์หนึ่ง
เป็นเวลาผ่านมาหลายปีแล้วจขกท.ก็ยังไม่เห็นใครมาทำแบบคุณยาย จึงนำข้อมูลมาลงไว้เผื่อว่าคนรุ่นหลังหรือคนในละแวกนั้นเข้ามาอ่านเจอจะได้ริเริ่ม อาจจะทำสวยงามกว่าคุณยายก็ได้ ขอบคุณที่มีคำแนะนำเข้ามา เพื่อจะได้ให้กระทู้สมบูรณ์ขึ้น เพราะจขกท.ตั้งใจนำข้อมูลลงไว้ให้คนละแวกนั้นที่ยังไม่เข้าถึงโซเชียลได้อ่านเจอในอนาคตว่าเคยมีแบบนี้แบบนี้นะ ซึ่งส่วนหนึ่งคนสมัยใหม่ก็คงมองว่าเป็นเรื่องธรรมดาหรืออาจจะละเลยไปด้วยความเคยชิน
สำหรับการจับชายผ้าเหลืองนั้นที่จขกท.ทราบมาจะมีอยู่2ช่วง 2ลักษณะ
ประการแรก "จับแขนนาคเข้าโบสถ์" บางท้องถิ่นนั้นเมื่อเอานาคขึ้นหลังหรือขี่คอชายฉกรรจ์ เวียนขวา รอบโบสถ์ครบ3รอบแล้ว เมื่อจะเข้าประตูโบสถ์ก็จะตบบนขอบประตูเป็นการบอกโบสถ์และลงจากหลังคนที่ขี่คอมา เพื่อให้พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย จับแขนนาคต่อๆกันไป เดินตามนาคเข้าไปในโบสถ์เพื่อถวายสักการะพระอุปัชฌาย์ ขอบรรพชา ต่อไปตามลำดับ การจับแขนนาคนั้น(หรือจะจับชายเสื้อของนาคต่อๆกันก็ได้ เพราะบางทีนาคพนมมือไหว้พร้อมดอกบัว หรือถือพานเทียนแพเดินเข้าไป) ยังไม่ผิดศีล เพราะยังไม่ได้บวช บางคนก็ไม่ได้ทำ ซึ่งก็เป็นที่น่าเสียดาย เพราะนานๆได้บวชที เป็นครั้งหนึ่งในชีวิต ของลูกผู้ชาย


ประการที่สอง "ขอจับชายผ้าเหลืองพระบวชใหม่" เมื่อพระบวชใหม่เดินออกมาจากประตูโบสถ์ จะต้องให้มารอที่บันได เพื่อกางร่มต้อนรับ ถึงจะบวชตอนค่ำก็ต้องกางร่ม เป็นธรรมเนียมในบางพื้นที่ (จากนั้นก็รับตามลำดับเช่น ถุงย่ามมาคล้องเพื่อให้ญาติใส่ปัจจัย ตาลปัตรถือไว้หรือรับแล้ววางไว้ก่อน เตรียมรองเท้าใหม่มาไว้ให้ใส่ เตรียมภาชนะมาให้โปรยทาน บาตรนั้นก็ยังคล้องอยู่)ก่อนที่จะทำตามลำดับต่างๆนั้น ก็จะมีบางครอบครัวที่จะทำพิธีขอจับชายผ้าเหลืองพระบวชใหม่ โดยให้พ่อของพระ หรือญาติผู้ชายเป็นผู้จับก่อน หรือแตะที่ชายผ้าจีวรไว้ ให้คนอื่นมาแตะแขนต่อๆกันไป ตามศรัทธา จากนั้นก็กล่าวนะโมสามจบและอธิษฐานกันไป พอสมควร เพื่อทำตามลำดับอื่นๆต่อไป และเพื่อที่พระบวชใหม่จะได้ไปทำธุระส่วนตัวและเตรียมตัวออกบิณฑบาตร หรือตักบาตร เทศน์ฉลอง เรียกขวัญพระ ตามประเพณีของแต่ละท้องถิ่น ในภาคเช้าของวันนั้น
ปล.บางครั้งเพื่อนเยอะนาคยืนถ่ายรูปหน้าโบสถ์นานเป็นชั่วโมง
สวัสดี

 

ประทับใจค่ะ
สาธุ อนุโมทกับการเป็นผู้ขวนขวายในการทำบุญของคุณยายด้วยค่ะ

 

คุณยายไปสบายแล้วดีจัง (ถ้าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง.......แต่เชื่อว่าเป็นเรื่องไม่จริงเพราะมีสิ่งจับผิดอยู่หลายอย่าง)พระเจดีย์84000กองนี่เรื่องใหญ่มาก ข้อ1เป็นไปไม่ได้ที่จะก่อเจดีย์84000กองเสร็จคนเดียวพายใน3วัน ถ้าใช้ขันตักน้ำ1ขันกับเจดีย์84000กองต้องใช่ทรายเป็นจำนวนมาก(คุณยายไม่ใช่ตัวตุ่น คงไม่มีปัญญามุดดินไปขุดทรายขึ้นมา) ส่วนตัวได้เคยก่อมาแล้ว500กองต้องใช้เวลาเกือบครึ่งวัน(กับคนอายุยังไม่แก่) ฉันเชื่อว่าเรื่องนี้เป็นเรื่อง(โกหกขาว)ไม่เนียนเลย เหตุการนี้เป็นการยืนยันได้อย่างดีว่า(หูเบา-ศรัทธา แต่ขาดสติเชื่อคนง่ายก็ทำให้สบายใจได้จริงๆนะคะ(kiss))

 

ขออนุโมทนา กับบุญที่ท่านก่อเจดีย์ทราย 500 กองบูชาพระรัตนตรัย ครับ

 

ขอบคุณสำหรับเรื่องดีๆครับ

 

คงจะก่อกองทรายจริง แต่ก่อกี่กองไม่รู้ คนเขียนข่าวจะขายข่าว เลยเขียนให้เว่อร์ๆไว้รึป่าว?

 

สามวัน 84000 กอง ต้องก่อวันละ 28000 กอง ซึ่งเป็นไปไม่ได้จริง ๆ
และขออนุโมทนากับ ท่านแมวน้ำ 9 ที่ก่อมาแล้ว 500 กอง

 

เพิ่มรูปสาธิต
อุปกรณ์ของคุณยายจะใหญ่กว่าใบนี้นิดหนึ่ง ทำทรายให้เปียกน้ำเมื่อกดลงบนพื้นดินจะได้อยู่ตัว ก็เอาแบบมากดทับกองทรายให้ดูดีขึ้นได้
ก้านมะพร้าวที่คุณยายนับจำนวนไว้เอามาปักลงกองละก้าน

 

บางคนก็ขอจับขอเกาะรถไปด้วยตั้งแต่แห่นาค