เทวดาในโบสถ์

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย danetkung, 7 พฤษภาคม 2013.

  1. danetkung

    danetkung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    1,063
    กระทู้เรื่องเด่น:
    5
    ค่าพลัง:
    +15,273
    เทวดาในโบสถ์

    จาก หนังสือ เรื่องจริงอิงนิทาน เล่ม 1


    ตานี้มาพูดถึงเรื่องในเขตวัดบางนมโคอีกสักเรื่องหนึ่ง เทวดาในโบสถ์ เอ๊ะ เอากันว่าผีในโบสถ์ดีกว่า เพราะเรายกยอดกันให้เป็นผี

    อาตมาเองกับเพื่อนอีก 3 คน ไปเจริญพระกรรมฐานกันในโบสถ์ หลวงพ่อปานก็บอกแล้วนะ ว่าเข้าไปในโบสถ์ละก็ระวังหน่อยนะ ก็กราบเรียนถามท่านว่าในโบสถ์มีผีหรือขอรับ ท่านก็เลยบอกว่าเรื่องผีนี่มันมีทุกแห่ง ที่ไหนไม่มีผีไม่ได้ เพราะมีหลายประเภท เรายกยอดตั้งแต่พระอรหันต์ลงมาจนกระทั่งพวกอสุรกาย หรือเปรต หรือสัมภเวสี เรายกให้เป็นผีหมด ถ้าเป็นผีชั้นดีเขาก็เข้าที่ดีได้ ผีชั้นเลวก็ต้องอยู่ที่เลวๆ เข้าที่ดีไม่ได้ ถ้าหากว่าผีชั้นดีใหญ่นี่ โบสถ์เขาอยู่ได้ ท่านบอก เข้าไปก็ระวังนิดหนึ่ง อันตรายใหญ่น่ะไม่มี เขาจะลองดีพวกเธอ ก็เลยกราบเรียนท่านว่าดีจะได้รู้เสียว่าผีในโบสถ์มี อีตอนนี้ก็เลยเข้าไปนอนกันในโบสถ์ เจริญกรรมฐาน ถึงเวลาสี่ทุ่มก็นอนกัน ตั้งใจว่าตีหนึ่งครึ่งจะลุก ตีหนึ่งครึ่งลุกขึ้นล้างหน้าล้างตาเสร็จ ทำวัตรสวดมนต์แล้ว ถึงเวลาตีสองใกล้เลิก ถึงเวลาตีสองเข้านั่งพระกรรมฐานตามเดิม นี่เราปฏิบัติเป็นปกติก็เข้าไปนอนในนั้น พอถึงเวลาสี่ทุ่มแล้วก็นอนกัน

    พอตื่นมาเวลาตีหนึ่งครึ่ง ไม่ต้องตั้งนาฬิกา เพราะตั้งใจไว้ ที่ไหนได้ล่ะท่านผู้ฟัง สี่องค์ที่นอนเรียงกันน่ะ เอาเสื่อปูนอนเรียงๆ กัน ห่างกันประมาณศอก นอนเรียงกัน แต่พอตื่นขึ้นมาตอนนั้น ไม่เรียงกันเสียแล้ว ปรากฏว่าไปอยู่กันคนละมุมโบสถ์ โน่นนอนห่างกันคนละมุมโบสถ์ แล้วเข้ามารวมกัน ตื่นขึ้นมาแล้วก็ปรารถกันว่านี่ใครนะมาแกล้งเรานี่ ไอ้เรานอนดีๆ นี่ไม่น่าจะแกล้งเราเลยนะ ก็มีเสียงพูดออกมา เสียงฟังชัด แต่เสียงที่พูดนี่ ไม่ใช่เสียงผีไม่ใช่เสียงยักษ์ เป็นเสียงพรหม เพราะเสียงของยักษ์หรือผีนี่ ถ้ายักษ์ เสียงห้าวหาญมาก ผีรู้สึกว่าเสียงไม่ค่อยเต็ม ถ้าเทวดามีเสียงนิ่มนวล ฟังชัด ว่าเป็นเสียงผู้หญิงหรือผู้ชาย ถ้าเป็นพรหมนี่ฟังไม่ออก เสียงของพรหมนี่คล้ายสองเสียงคล้ายเสียงผู้หญิงกับคล้ายเสียงเด็ก จะว่าเป็นหญิงก็ไม่ชัด จะว่าเป็นเด็กก็ไม่ชัด แต่ว่าเสียงที่ร้องออกมา ที่พูดมา เป็นเสียบแบบนี้ พูดแบบดี บอกว่าพวกคุณนี่น่ะ ตั้งใจทำความดีกัน เจริญพระกรรมฐานได้ฌาน บางองค์ก็ทรงสมาบัติ 8 บางองค์ก็ทรงอภิญญาโลกีย์ แล้วกำลังเจริญวิปัสสนาจะเร่งรัดตัดกิเลส ทำไมถึงไม่เคารพในคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้ากล่าวว่าพรหมจรรย์ที่เป็นคนๆ เดียว ไมใช่คนคู่ แต่คุณนอนเรียงกันแบบนั้นนี่เป็นคนคู่ ไม่ใช่คนเดี่ยว ต้องจำว่า เอกายโน อยัง ภิกขเว หมายความว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เอกายโน แปลว่า คนๆ เดียวนะ นี่เราไม่รู้ว่า มัคโค มัคโคแปลว่าทางสายเดียว ต้องเป็นหนึ่งอยู่เสมอ จะเป็นสองไม่ได้ ก็นี่ท่านมาทำความดีในฐานะที่เป็นผู้ทรงพรหมจรรย์อย่างประเสริฐ ทั้งพรหมจรรย์และเทวดายกย่องท่าน ทำไมมานอนเรียงกันเป็นแถว อย่างนี้มันใช้ไม่ได้นี่ ปรับปรุงตัวเสียใหม่ ถ้าจะเอาดีก็ต้องปรับปรุงใจให้มันดี จะทำใจเลวๆ จะฝ่าฝืนคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า แบบนี้มันไม่ถูก เอาเข้าแล้ว โดนเทวดาสอนเข้า หรือว่าโดนพรหมสอนเข้า ก็เป็นบุญ

    เป็นอันว่า ผีนี้มีได้ทุกสถานนะ เรื่องตอนนี้นิดเดียว เพราะว่าเรื่องไม่มาก เอามาเล่าให้ฟังว่าพระน่ะ อย่าอวดวิเศษว่าเป็นพระเลย มีผียกบาทาให้พระเสียก็มี อย่างกับเรื่องราวของอะไร ตอนนั้นก็เป็นจ่าเอกนะ เวลานี้ พ.ศ. 2516 นี่ เวลานี้ก็เป็นเรืออากาศโท เรืออากาศโทศุภชัย แหม นามสกุลจำไม่ได้ สมัยนั้นอยู่ อ. ตาคลี แล้วก็เวลานี้ เวลาที่พูดนี้ย้ายไปอยู่สัตหีบแล้ว แกไปบวชอยู่กับอาตมาที่วัดปากคลองมะขามเฒ่า ตอนนั้นขึ้นมาแล้วที่วัดปากคลองมะขามเฒ่านิมนต์ให้ไปช่วย นี่อาตมาเองก็อยากจะดูลีลาของพระในพระพุทธศาสนาน่ะ ที่ชาวบ้านเขาเคารพนับถือน่ะ มีจริยาเป็นยังไงบ้าง ที่เที่ยวไปเที่ยวมาอย่างนี้ไม่ใช่อะไร อยากจะดูพระ แต่ว่าพระที่จะดูนี้ไม่ใช่ดูพระพุทธ พระปั้น พระเครื่อง ดูพระสงฆ์ ว่าพระสงฆ์ที่ชาวบ้านเขาเคารพนับถือขึ้นชื่อลือชาว่าดีน่ะ มีจริยายังไง แต่อันนี้อาตมาจะไม่พูดถึงพระต่างๆ จะพูดถึงแต่พระศุภชัย ลูกศิษย์อาตมาเอง แกเป็นคนไม่ค่อยเชื่อผีเชื่อสาง เพื่อนกันเป็นครู ชื่อว่าครูประจวบ เคยไปเล่าให้ฟังว่าอาตมาเคยคุยเรื่องผีเรื่องสางอะไรบ้าง แกก็รู้สึกว่าไม่เชื่อ นี่แกพูดให้ฟังเอง หาว่าครูประจวบน่ะเป็นคนเชื่อง่าย เป็นคนมีความรู้ แล้วก็เชื่อหลงงมงาย แล้วกัน หาเหตุหาผลไม่ได้ แกเป็นคนดื่มเหล้า ต่อมาคราวหนึ่งครูประจวบพาไปหาอาตมา สมัยนั้นอยู่สำนักวิปัสสนา วัดโพธิ์ หลังจังหวัดชัยนาท แกก็ไปคุยคราวเดียว พอครูประจวบไปส่งแล้วแกก็กลับ ก็นั่งคุยอยู่ตั้งแต่เวลาบ่ายโมงถึงบ่ายห้าโมงเย็น อาตมาก็ไม่ได้คุยถึงเรื่องอะไร ก็คุยถึงเรื่องธรรมดาๆ เพราะว่าคนเขาไปใหม่นี่ จะไปตั้งหน้าตั้งตาสอนกันมันก็ไม่ถูก แล้วเขาก็ไม่ได้มาให้สอน เขามาคุยในฐานะเป็นเพื่อน ดูลีลาที่เขามา อาตมาดูท่าทางแล้วเขาก็ไม่ได้นึกว่าอาตมาเป็นพระ จริยาที่แสดงออกคล้ายๆ เขาเห็นอาตมาเป็นคนธรรมดา แต่เขามีมรรยาทดี จริยาดี มีความเคารพนบนอบในเจ้าถิ่นตามสมควร นี่เรียกว่าเขาเคารพต่อเจ้าถิ่น อาการที่แสดงออกไม่ใช่เคารพพระ ก็ถือว่าเป็นคนใช้ได้ ซึ่งก็ไม่เลวเท่ากับบุคคลหลายคนที่เห็นพระแล้ว กลายเป็นเห็นพระเป็นสุนัขไป จะเห็นพระไม่มีความหมาย จะเห็นพระไม่เคารพในพระก็ไม่เป็นไร บางทีแลเห็นพระไม่ใช่คนไปเสียอีก แสดงอาการเกินคนไป ไอ้นี่ก็เป็นเรื่องของเขา นี่เทียบกันนะ นี่คุณศุภชัย แกไปนั่งคุยตั้งแต่เช้ายันเย็น ก็ไม่ได้คุยเรื่องธรรมะธรรมโมอะไร คุยถึงจริยาต่างๆ ของพระผู้ใหญ่ให้ฟัง ว่าองค์นั้นเป็นยังงั้น องค์นี้เป็นยังงี้ เรียกว่าคุยกันถูกคอ วันนั้นแกลากลับไปเวลาบ่าย 5 โมงเย็น ไปถึงร้านอาหารที่แกกินประจำ เวลานั้นแกยังไม่มีครอบครัว ทุกวันแกเคยสั่งเหล้า ไอ้กวางหรือค่างหรือแม่โขงอะไรก็ไม่ทราบ วันละ 1 แบน ตอนเย็นนี่แกว่า 1 แบนคนเดียว แต่ว่าวันนั้นสั่งก๊งเดียว เจ้าของร้านแปลกใจ ถามว่าคุณจ่า ทำไมถึงเอาก๊งเดียวล่ะ บอกว่าไม่เป็นเรื่องหรอก วันนี้ไปคุยกับพระมา ไปคุยมารู้สึกว่าท่านคุยชอบใจ จะไม่กินเสียเลยมันก็ยังอยาก จะกินมากก็เกรงใจพระ เลยวันนี้ขอสมาทานก๊งเดียว ให้มันมีหล่อคอสักนิดหนึ่ง แล้วก็ตั้งใจจะไม่กินมันเลย จะค่อยๆ ผ่อน คนร้านค้าเขาก็ถามว่าพระองค์นั้นน่ะ ชื่อพระอะไร แกก็บอกชื่ออาตมา เจ้าของร้านก็บอก อ้าว นั่นหลวงน้าฉันเอง ฉันเคารพนับถือท่านมาก เหมือนกับน้าชายของฉัน แหมคุณจ่าไม่ดื่มเหล้าได้ก็ดี ไปคบพระองค์นี้ละได้ดีเขาว่ายังงั้น ฉันนี่นะตั้งร้านค้าขึ้นมา ฟู่ฟ่าขึ้นมาได้เพราะอาศัยท่านสงเคราะห์ แต่ความจริงไม่ใช่อาตมาสงเคราะห์หรอก ไม่ใช่สงเคราะห์ในการหากินนะ บอกเขาไป เขามาหาฤกษ์ตั้งร้านค้า ก็บอกฤกษ์ให้ตามแบบฉบับของคนโบราณ ตำราโบราณ แกก็เลยบอกว่าจะขายอาหารน่ะให้ทำแบบเจ๊ก อย่าดูแบบไทย เจ๊กน่ะเขาขายก๋วยเตี๋ยวชามละ 5 สตางค์ ถ้าเขามีกำไรครึ่งสตางค์ละเขาพอใจ แล้วโดยเฉพาะอย่างยิ่ง อาหารปรุง อย่าเกรงว่าเครื่องจะหมด อย่ากลัวเปลืองเครื่อง ปรุงให้มันอร่อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าของร้านก็ดี คนในร้านก็ดี หน้ายิ้มไว้เสมอ ใครเขาจะยังไงก็ช่าง เราได้สตางค์จากเขา ยิ้มไว้ พูดเพราะๆ เท่านั้นพอ แล้วก็อย่าปล่อยคนที่มานั่งในร้านเก้อ ทักทายปราศรัยตามสมควร เวลาเดินเข้ามา ก็ทักเขา เขาจะกินของๆ เรา จะซื้อของๆ เราหรือไม่ซื้อก็ช่าง เราทักเขาก็แล้วกัน ก็เป็นอันว่าแกไปปฏิบัติตามนั้น คนก็ชอบใจ แกก็เลยบอกว่าอาตมาช่วย เออ จะว่าช่วยก็ได้ แต่ถ้าแกไม่ดีจริงๆ แล้ว เราสอนเขาไปเขาก็ไม่ทำ นี่เพราะอาศัยตัวของเขาดี ไม่ใช่อาตมาช่วย เขาช่วยตัวเอง อย่างพระพุทธเจ้าท่านว่า อัตตาหิ อัตตโน นาโถ ตนแลย่อมเป็นที่พึ่งของตน โกหิ นาโถ ปโรสิยา บุคคลอื่นใครเล่าจะเป็นที่พึ่งได้ อัตตาหิ สทัน เตนะ เมื่อเราฝึกฝนตนดีแล้ว นาถัง ละพะติ จุลละพัง เราจะได้ที่พึ่งที่ผู้อื่นจะพึงให้ได้ด้วยยาก เป็นอันว่าเขาต้องช่วยตัวเอง พระพุทธเจ้าบอกว่า อักขาตาโร ตะถาคะตา ตถาคตเป็นเพียงแต่ผู้บอก บอกแล้ว ถ้าเราไม่ทำจะดีตามท่านพูดไม่ได้ เป็นอันว่าท่านบอกเขาไปแล้ว เขาทำก็ชื่อว่าเขาช่วยตัวเอง เขามีฐานะดีขึ้น แต่เขาบอกว่าอาตมาช่วย ก็ช่างเขา ไม่ได้คิดว่าเป็นบุญเป็นคุณ พ่อศุภชัยคนนี้ ในไม่ช้าแกก็เลิกดื่มเหล้า เลิกดื่มอย่างเด็ดขาด แล้วปีนั้นอาตมาก็ย้ายไปปากคลองมะขามเฒ่า วันเข้าพรรษาพอดี พ่อเทวดาคนนี้ไปบวชที่บ้านสุโขทัย แล้วก็บอกว่าจะมาอยู่ด้วย มาเสียวันเข้าพรรษา จะไล่ไปไหนก็ไล่ไม่ได้แล้ว ไล่ไม่ได้ไล่ไปก็เข้าพรรษาที่ไหนไม่ได้ ก็จำเป็นต้องยอมรับ แล้วเวลาแกบวชก็เหมือนกัน อึกอักไปถึงบ้านแกก็บอกพ่อบอกแม่แกว่าจะบวช พิธีรีตองใดๆ จะไม่เอา กลองยาว แตรวง ปี่พาทย์ มหรสพ ไม่ยอมให้มี เหล้าหยดหนึ่งก็ไม่ยอมให้มี การทำงานใหญ่โตแกก็ไม่เอา เอาข้าวหม้อแกงหม้อธรรมดาๆ แม้แต่ไข่แกก็ไม่ยอมให้ทุบ นี่จอมนักดื่มเหล้าเป็นยังงี้ไปได้

    เมื่อเวลาบวชเข้าจริง แกขอเจริญพระกรรมฐาน เรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมดา ก็สอนแบบฉบับธรรมดาๆ ไม่มีอะไรพิเศษ แกทำร่วมอยู่สัก 15 วัน แกก็ขออนุญาตเข้าไปทำในโบสถ์ ก็บอกไป ตามใจ พอเข้าไปทำในโบสถ์แล้ว กลับออกมาก็บอก แหม ชื่นใจเหลือเกิน ถามทำไม วันนี้เห็นพระเต็มไปหมด ถาม พระพุทธในโบสถ์รึ บอก ไม่ใช่ แกว่ายังงั้น บอก ไม่ใช่ขอรับ โอ้โฮ พระสงฆ์นี่สวยๆ มีพระองค์หนึ่ง มีรัศมีออกจากกายยิ้มแย้มแจ่มใส สวยเหลือเกิน แล้วต่อมา แกก็เห็นอะไรต่ออะไรของแก แล้วบอกว่าอย่าหลงในภาพนะ ถ้าเห็นพระเห็นอะไรก็ตาม ถ้าอยากจะเห็นเสมอละก็ เวลาที่เราเจริญสมาธิอย่าคิดอยากเห็น ถ้าเราคิดอยากเห็นจิตมันซ่าน ปักจิตให้สงบ เมื่อภาพจะปรากฏก็เชิญปรากฏไป เวลาไม่ปรากฏเราก็ไม่สนใจหมดเรื่องกัน ก็เป็นอันว่าแกทำอยู่ในโบสถ์สัก 5 วัน คราวนี้ชักครึ้มแล้ว ต่อมาก็ขออนุญาตเข้าไปทำในป่าช้า ก็อนุญาตให้ไปตามใจเขา

    เมื่อเขาเข้าไปในป่าช้า ในคืนแรกก็ดี ไปกับมหาชัยสิทธิ์ พอคืนที่สองเริ่มได้ดี เพราะเวลาที่เข้าไปถึงป่าช้าเขาก็เริ่มคุยกันว่าเรานี่ดีนะ เราเป็นพระ เราลงทุนอะไรไม่มากหรอก เป็นพระน่ะเทวดายังไหว้เรา ความจริงเราจะให้เทวดาไหว้เรา มันก็ไม่ยาก ลงทุนไม่กี่สตางค์ เพียงบวชพระเข้ามานิดเดียวเท่านั้น เราเป็นพระเทวดาก็ไหว้ เขาว่ายังงั้น สองคนเขาก็มีความเห็นตรงกัน อีกคนหนึ่งก็รับรองว่าตัวน่ะดี เทวดาไหว้ แต่ว่าที่ไหนได้ พอถึงเวลาเจริญสมาธิ บอกว่าจิตพอสงบนิดเดียว บาทาโผล่มา เห็นเท้านะ เท้ายื่นมาในอากาศ มาใกล้หน้า เฉพาะเท้านี่โตกว่านายศุภชัย หรือมหาชัยสิทธิ์กำลังยืนอยู่เสียอีก สมมติว่าถ้าจะยืนขึ้นนะ เท้านั่นโตกว่า ยาวกว่าตัว เสียงพูดมาว่านี่แน่ะ ซ่นตีนนี่แน่ะ เทวดาไหว้พระ บอกเอาซ่นตีนนี่ไหมล่ะ พระไม่ดีเทวดาไม่ไหว้ เทวดาจะไหว้พระต้องพระดีเท่านั้น เสียงประกาศลงมา แกบอกว่าเสียงประกาศต่อไปอีกว่า จงจำไว้นะ เราน่ะยังไม่ดีพอเท่าที่เทวดาจะพึงไหว้ เทวดาที่เขาจะไหว้เราได้ก็เพียงแค่ภุมเทวดาหรือรุกขเทวดาเท่านั้น เวลานี้คุณธรรมที่ตัวทรงอยู่ได้น่ะ ยังไม่เท่าอากาศเทวดาเขา นี่ดูซ่นตีนของเทวดา อากาศเทวดาบ้าง ยังใหญ่โตกว่าหน้าของท่านตัวท่านอีก ท่านจงทำตัวของท่านให้ดี แล้วบาทานั้นก็หายไป แต่ว่าเสียงยังไม่หาย ว่าต่อจากนี้ไป จงอย่าประมาทในความดี ทำจิตประกอบไปด้วยหิริและโอตตัปปะ มีเมตตาปรานีเป็นปกติ แล้วระงับนิวรณ์ 5 เจริญวิปัสสนาให้เข้าถึงสังโยชน์ 3 ถ้าหากว่าทำได้อย่างนี้เทวดาบางส่วนจะไหว้ท่าน เทวดาบางส่วนจะไหว้ท่านนะ ส่วนมากเขาจะไม่ไหว้ เพราะเขาดีกว่านี้ แล้วเสียงนั้นก็หายไป พอตอนเช้าแกก็มารายงาน เวลาฉันข้าวเสร็จแกก็มารายงานบอก แหม เทวดานี่มรรยาทไม่ดีเลย ถามว่าทำไมล่ะ แกก็เลยบอกว่า เมื่อคืนนี้ผมคุยกับเทวดานี่ ไหว้พระ เราก็ดีนะ ได้บวชเป็นพระ มีโอกาสให้เทวดาไหว้ พอเจริญพระกรรมฐานหน่อยเดียว แหม บาทาเทวดานี้โตกว่าผมตั้งเยอะ ผมยืนขึ้นแล้วก็ยังไม่เท่าบาทาเทวดา แกบอกว่าซ่นตีนนี่แน่ะ เทวดาไหว้พระ ผมงงเลย มหาชัยสิทธิ์ก็เห็น แกก็เห็น ทั้งสองคนมาเล่าให้ฟัง ก็ถามเขาว่ายังไงต่อไป ก็เลยบอกว่าโดนเทวดาสอน ให้มีหิริและโอตตัปปะ แล้วก็ให้ระงับนิวรณ์ 5 ให้ทรงพรหมวิหาร 4 ให้เจริญวิปัสสนาญาณ ถ้าตัดสังโยชน์ 3 ได้เมื่อไหร่เทวดาบางส่วนจะเคารพ แต่ส่วนใหญ่ยังไม่เคารพ เพราะเขาดีกว่านั้น ทีนี้แกเป็นพระบวชใหม่ ยังไม่ได้สอนสังโยชน์ 3 เพราะต้องการให้เจริญสมาธิ แกก็เลยถามว่า สังโยชน์ 3 นี่เป็นยังไง ก็เลยพูดให้ฟังว่าสังโยชน์ 3 เป็นคุณธรรมของโสดากับสกิทาคา แล้วคุณต้องการไหมล่ะ แกก็เลยบอกว่าต้องการ ถามว่าต้องการให้เทวดาไหว้หรือ บอกไม่ใช่ ชักอายเทวดา รู้ตัวเสียแล้วว่าเลวกว่าเทวดาแล้วอีคราวนี้ ต้องปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่เทวดาแนะนำ แล้วจะยังไม่คิดว่าตัวดีกว่าเทวดาต่อไป

    เป็นอันว่าอาตมาก็แนะนำสังโยชน์ 5 ให้ ไม่เฉพาะ 3 เอาแค่ 5 เลย เอาครึ่งหนึ่งของความดีในพระพุทธศาสนา นี่แหละท่านผู้อ่านหรือท่านผู้ฟัง นักบวชในพระพุทธศาสนานี่นะ อาตมาเคยได้ยิน เคยได้ยินพระแก่ๆ เหลาเหย่ไปฉันข้าวด้วยกันตามบ้าน มักจะคุยกันว่า เรานี่ก็ดีนะ เทวดายังเคารพ ก็เคยเตือนท่าน บอกว่าพระคุณเจ้าขอรับอย่าคิดยังงั้นนะ ลูกศิษย์ผมน่ะโดนบาทาเทวดาเข้าให้แล้วนะ แต่ว่าพวกท่านยังเห็นว่า เงินมีค่าสูงกว่าขี้ไก่ละก็ พวกท่านทั้งหลายเทวดาไม่ไหว้หรอก แกก็ถามว่ายังไง ก็เลยบอกว่าถ้าท่านเห็นว่าเงินมีค่าสูงมาก ท่านยังสะสมเงินทองเป็นทรัพย์สินส่วนตัว เงินยังมีเหลือไว้ เพื่อให้กู้ เพื่อให้เขายืม เอาดอกเบี้ยซื้อไร่ซื้อนา คือว่าค้าขายอะไรบางอย่าง เป็นต้นนี่ อย่างนี้เทวดาเขาไม่ไหว้ เขาไหว้แต่เฉพาะพระดี นักบวชเลวน่ะเขาไม่ไหว้ พวกท่านน่ะมีเงินขังเข้าไว้เท่าไหร่หรือเปล่า พระพวกนั้นทราบอยู่ ว่ามีเงินให้กู้ ซื้อนาให้เช่า สร้างห้องแถวให้เช่า ก็เลยพากันนิ่ง ก็เลยบอกว่าถ้ามีทรัพย์สินเพื่อใช้อย่างฆราวาสละก็ อย่าว่าแต่เทวดาไหว้เลย แม้แต่บาทาของเทวดาก็ยังไม่เห็น สัตว์นรกก็ยังไม่ไหว้ เพราะอะไร เพราะความดียังไม่มี ยังเป็นปุถุชนคนที่หนาไปด้วยกิเลสอยู่

    เอาละเรื่องนี้ ขอยุติกันเพียงเท่านี้นะ หาเรื่องอื่นต่อไป
     

แชร์หน้านี้

Loading...