เจ้าแม่กวนอิม กับทุกๆเรื่องที่คุณทุกคนต้องรู้!

ในห้อง 'ดูดวง และ ทำนายฝัน' ตั้งกระทู้โดย อุ่นทิพย์, 23 กุมภาพันธ์ 2010.

?
  1. มีจริง

    0 vote(s)
    0.0%
  2. ไม่มีจริง

    0 vote(s)
    0.0%
  1. อุ่นทิพย์

    อุ่นทิพย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    23
    ค่าพลัง:
    +254
    [FONT=&quot]เจ้าแม่กวนอิม [/FONT]观世音
    [FONT=&quot]“เจ้าแม่กวนอิม” ([/FONT][FONT=&quot]观世音、观音[/FONT][FONT=&quot]) เป็นพระโพธิสัตว์ของพุทธศาสนาฝ่ายมหายานที่มีผู้รู้จักและศรัทธา มากที่สุด เป็นพระโพธิสัตว์ที่ได้รับการกราบไหว้บูชาจากชาวจีนทั่วทุกมุมโลก และแพร่หลายไปอย่างกว้างขวางในทุก ๆ ที่ที่มีชาวจีนอาศัยอยู่ ในคตินิยมทางสัญลักษณ์วัฒนธรรมมงคลของจีน องค์เจ้าแม่กวนอิม คือ พระผู้ทรงเปี่ยมด้วยความรักความเมตตาต่อสรรพสัตว์ เป็นพระผู้เปี่ยมด้วยความกตัญญู และเป็นสัญลักษณ์แห่งเมตตามหาการุณย์เพื่อโปรดสัตว์ให้หลุดพ้นจากห้วงทุกข์ ดังคำปณิธานของพระองค์ที่ว่า “หากยังมีสัตว์ตกทุกข์ได้ยากอยู่ ก็จะไม่ขอบรรลุพุทธภูมิ[/FONT]

    [FONT=&quot]<o></o>อักษร คำว่า [/FONT][FONT=&quot]“พระโพธิสัตว์” ในภาษาจีนเรียกว่า “ผูซ่า [/FONT][FONT=&quot](菩萨)[/FONT][FONT=&quot]” ส่วนในสำเนียงแต้จิ๋วออกเสียงว่า “ผ่อ สัก” ดังนั้น พระนามของเจ้าแม่กวนอิมจึงมีอยู่ด้วยกันหลายชื่อ ส่วนใหญ่แล้วในสำเนียงจีนกลางจะนิยมเรียกว่า “กวนอินผูซ่า[/FONT][FONT=&quot](观音菩萨)[/FONT][FONT=&quot]” หรือ “กวนซื่ออินผูซ่า[/FONT][FONT=&quot](观世音菩萨)[/FONT][FONT=&quot]” นอกจากนี้ ยังมีอีกบางชื่อที่มีเรียกกัน ได้แก่ “กวนจื้อไจ้ผูซ่า[/FONT][FONT=&quot](观自在菩萨)[/FONT][FONT=&quot]” และ “กวงซื่ออินผูซ่า[/FONT][FONT=&quot](光世音菩萨)[/FONT][FONT=&quot]”<o></o>[/FONT]

    [FONT=&quot]<o></o>แต่กระนั้นก็ตาม สำหรับชาวไทยแล้วจะเรียก เจ้า แม่กวนอิม หรือ พระโพธิสัตว์กวนอิม[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]

    [FONT=&quot]<o></o>เดิมทีนั้นพระนามเดิมที่เรียกเจ้าแม่กวนอิมจะเรียกว่า [/FONT][FONT=&quot]“กวนซื่ออิน หรือ กวนซีอิมในภาษาจีนแต้จิ๋ว [/FONT][FONT=&quot](观世音)[/FONT][FONT=&quot]” แต่เนื่องจากในสมัยราชวงศ์ถัง อักษรคำว่า “ซื่อ[/FONT][FONT=&quot]世[/FONT][FONT=&quot]” ตรงกับชื่อเดิมของถังไท้จงฮ่องเต้ คือ หลี่ซื่อหมิน[/FONT][FONT=&quot](李世民)[/FONT][FONT=&quot]จึง ได้เลี่ยงมาเรียกย่อ ๆ ว่า [/FONT][FONT=&quot]“กวน อินหรือกวนอิมในภาษา จีนแต้จิ๋ว[/FONT][FONT=&quot]观音[/FONT][FONT=&quot]”<o></o>[/FONT]

    [FONT=&quot]ในพุทธศาสนาฝ่ายมหายานที่แพร่หลายในจีน [/FONT][FONT=&quot], ญี่ปุ่น , เกาหลี คำว่า “พระโพธิสัตว์[/FONT][FONT=&quot](菩萨)[/FONT][FONT=&quot]” คิอ ผู้ซึ่งตั้งจิตแน่วแน่ในการบำเพ็ญเพียรเพื่อที่จะเป็นพระพุทธเจ้าต่อไปใน อนาคต จึงมีการสร้างสมบุญบารมีเพื่อโปรดสัตว์โลกให้พ้นจากทุกข์และเรียกกันว่า “พระโพธิสัตว์” คติเกี่ยวกับพระโพธิสัตว์นี้มาจากลัทธิมหายาน ที่มีต้นกำเนิดมาจากประเทศอินเดีย เรียกกันในสันสกฤตว่า “พระอวโลกิเตศวร (Avalokitesvara) ซึ่งแปลว่า “พระผู้เฝ้ามองดูด้วยความเมตตากรุณา” หรือ “พระผู้ทรงสดับฟังเสียงร้องไห้ของสัตว์โลก”<o></o>[/FONT]


    [FONT=&quot]<o></o>ดังนั้น พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ของอินเดียนั้น ก็คือองค์เดียวกันกับ [/FONT][FONT=&quot]“พระกวนอิมโพธิสัตว์” หรือ “เจ้าแม่กวนอิม” พุทธศาสนิกชนให้ความเคารพนับถือด้วยความซาบซึ้งในน้ำพระทัยแห่งมหาการุณย์ ที่พระองค์ทรงโปรดสัตว์ทั่วทั้งไตรภูมิ ให้พ้นจากกองทุกข์[/FONT]



    [FONT=&quot]ในตำนานพื้นบ้านของจีน สันนิษฐานว่าอาจมีเรื่องเล่าขานกันมาตั้งแต่ราชวงศ์ซ่งเหนือ (เป่นซ่ง) นั้นคือ พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์(พระกวนอิมโพธิสัตว์)ในชาติสุดท้ายนั้นมีพระนามเดิม ว่า [/FONT][FONT=&quot]“เจ้าหญิงเมี่ยวซ่าน” ทรงจุติเป็นพระราชธิดาองค์ที่ 3 ของพระเจ้าเมี่ยวจวง หรือเมี่ยวจวงหวัง [/FONT][FONT=&quot](妙庄王)[/FONT][FONT=&quot]กษัตริย์ ผู้โหดร้ายทารุณ ต่อไพรฟ้า ข้าแผ่นดิน พระองค์ทรงมีพระราชธิดาสามพระองค์ได้แก่ เจ้าหญิงเมี่ยวอิน [/FONT][FONT=&quot](妙因公主)[/FONT][FONT=&quot]เจ้า หญิงเมี่ยวเอวี๋ยน [/FONT][FONT=&quot](妙缘公主)[/FONT][FONT=&quot]และเจ้าหญิงเมี่ยว ซ่าน [/FONT][FONT=&quot](妙善公主)[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]

    [FONT=&quot]<o></o>ครั้นเมื่อพระราชธิดาทั้ง 3 เจริญพระชันษาพร้อมที่จะออกเรือน องค์หญิงเมี่ยวอินและองค์หญิงเมี่ยวเอวี๋ยนต่างปรารถนาที่จะเข้าสู่พิธี วิวาห์ คงมีแต่องค์หญิงเมี่ยวซ่านที่ไม่พึงปรารถนาในสิ่งใด ๆ นอกเหนือไปจากพระเมตตาที่ทรงการุณย์ช่วยเหลือสรรพสัตว์ ทรงถือศีลกินเจ และเรียนรู้ในหลักธรรมของพระพุทธศาสนา ทำให้พระราชบิดากริ้วโกรธที่ขัดพระทัย จึงลงโทษทัณฑ์ทรมานพระธิดาเมี่ยวซ่าน นานัปการ จงถึงขั้นสั่งประหารชีวิต แต่กระนั้นก็ไม่อาจกระทำสิ่งใดระคายเคืองพระธิดาเมี่ยวซ่านได้[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]

    [FONT=&quot]<o></o>ต่อมา เจ้าหญิงเมี่ยวซ่าน ได้ถวายตนเป็นพุทธมามกะและทรงหนีออกจากวังเพื่อออกบวช จากนั้นจึงได้มุ่งมั่นประกอบคุณงามความดีและบำเพ็ญศีลภาวนา[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]

    [FONT=&quot]<o></o>ในเวลาต่อมา พระเจ้าเมี่ยวจวง ต้องประสบเคราะห์กรรมที่ได้ทรงกระทำไว้ ทำให้ทรงป่วยด้วยโรคร้ายแรงที่ไม่มีตัวยาใดรักษาได้ นอกจากพระโอสถที่ต้องปรุงจากดวงตาและแขนของผู้ที่เป็นทายาทเท่านั้น ซึ่งพระธิดาทั้ง 2 พระองค์ไม่มีผู้ใดยินยอมกระทำเช่นนั้น เมื่อ ข่าวนี้ล่วงรู้ถึงเจ้าหญิงเมี่ยวซ่าน พระองค์จึงหวนกลับเข้าวัง และให้อภัยต่อการกระทำของพระบิดา และทรงกระทำในสิ่งที่ไม่มีผู้ใดกล้ากระทำนั้นคือ ทรงยอมสละดวงตาทั้งสอง และแขนทั้งสองข้าง เพื่อใช้ปรุงเป็นพระโอสถรักษาพระบิดา จนกระทั้งพระเจ้าเมี่ยวจวง ฟื้นคืนเป็นปกติ[/FONT]

    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]

    [FONT=&quot]<o></o>กล่าวกันว่า ความกตัญญูของเจ้าหญิงเมี่ยวซ่าน สร้างความตื้นตันให้แก่โลกมนุษย์และสรวงสวรรค์ เมื่อพระองค์ทรงบรรลุมรรคผลเป็นพระโพธิสัตว์กวนอิม องค์ศากยมุณี(พระสัมมาสัมพุทธเจ้า)จึงประธานคืนดวงตาพันดวง และแขนพันข้างแก่พระองค์ อันเป็นที่มาของปางปาฏิหาริย์ที่เรียกว่า [/FONT][FONT=&quot]“เจ้าแม่กวนอิมพันเนตร[/FONT][FONT=&quot](千手千眼观音)[/FONT][FONT=&quot]”<o></o>[/FONT]

    พระอวโลกิเตศวรในฐานะเป็นพระธยานิโพธิสัตว์


    พุทธศาสนามหายาน ได้จำแนกพระโพธิสัตว์ออกเป็น ๒ ประเภท อันได้แก่ พระมนุษิโพธิสัตว์ และ พระธยานิโพธิสัตว์

    • พระมนุษิโพธิสัตว์ คือพระโพธิสัตว์ในสภาวะมนุษย์หรือเป็นสิ่งมีชีวิตในรูปแบบอื่น ๆ ที่กำลังบำเพ็ญสั่งสมบารมีอันยิ่งใหญ่เพื่อพระโพธิญาณอันประเสริฐ ถ้าตามมติของฝ่ายเถรวาทก็คือผู้ที่ยังเวียนว่ายอยู่ในวัฏสงสารเพื่อบำเพ็ญ ทศบารมี ๑๐ ประการให้บริบูรณ์ เหมือนเมื่อครั้งสมเด็จพระผู้มีพระภาคได้ทรงกระทำมาในอดีต โดยที่ทรงเสวยพระชาติเป็นทั้งมนุษย์และสัตว์จนได้ตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณ เป็นพระศากยมุนีพุทธเจ้า การบำเพ็ญบารมีดังกล่าวนี้เป็นความยากลำบากแสนสาหัส สำเร็จได้ด้วยโพธิจิต อีกทั้งวิริยะและความกรุณาอันหาที่เปรียบมิได้ ต้องอาศัยระยะเวลายาวนานนับด้วยกัปอสงไขย สิ้นภพสิ้นชาติสุดจะประมาณได้
    • พระธยานิโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ประเภทนี้มิใช่พระโพธิสัตว์ผู้กำลังบำเพ็ญบารมีเพื่อแสวงหาดวง ปัญญาอันจะนำไปสู่ความรู้แจ้งเหมือนประเภทแรก แต่เป็นพระโพธิสัตว์ผู้บำเพ็ญบารมีบริบูรณ์ครบถ้วนแล้ว และสำเร็จเป็นพระธยานิโพธิสัตว์หรือพระโพธิสัตว์ในสมาธิโดยยับยั้งไว้ยังไม่ เสด็จเข้าสู่พุทธภูมิ เพื่อจะโปรดสรรพสัตว์ต่อไปอีกไม่มีที่สิ้นสุด พระธยานิโพธิสัตว์นี้เป็นทิพยบุคคลที่มีลักษณะดังหนึ่งเทพยดา มีคุณชาติทางจิตเข้าสู่ภูมิธรรมขั้นสูงสุดและทรงไว้ซึ่งพระโพธิญาณอย่างมั่น คง จึงมีสภาวะที่สูงกว่าพระโพธิสัตว์ทั่วไป พระธยานิโพธิสัตว์มักจะมีภูมิหลังที่ยาวนาน เป็นพระโพธิสัตว์เจ้าที่สำเร็จเป็นพระโพธิสัตว์มาเนิ่นนานนับแต่สมัยพระอดีต พุทธเจ้าองค์ก่อน ๆ สุดจะคณานับเป็นกาลเวลาได้ พระธยานิโพธิสัตว์ที่พุทธศาสนิกชนมหายานรู้จักดี อาทิ พระมัญชุศรี พระอวโลกิเตศวร พระมหาสถามปราปต์ พระสมันตภัทร พระกษิติครรภ์ เป็นต้น


    พระโพธิสัตว์ อวโลกิเตศวรพันหัสต์พันเนตร
    รูปเคารพของพระอวโลกิเตศวรมีอยู่หลายปาง ทั้งภาคบุรุษ ภาคสตรี ไปจนถึงปางอันแสดงลักษณาการที่ดุร้าย ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการปราบมารคือสรรพกิเลส แต่ปางที่สำคัญปางหนึ่งคือปางที่ทรงสำแดงพระวรกายเป็นพันหัสถ์พันเนตร ซึ่งมีเรื่องราวปรากฏในพระสูตรสันสกฤตคือ สหัสภุชสหัสเนตรอวโลกิเตศวรโพธิสัตวไวปุลยสัมปุรณอกิญจนมหากรุณาจิตรธารณี สูตรมหากรุณามนตร์ หรือเรียกสั้น ๆ ว่า มหากรุณาธารณีสูตร (大悲咒) นำเข้าไปแปลในจีนโดยพระภควธรรมชาวอินเดีย ในสมัยราชวงศ์ถัง ได้กล่าวถึงบทสวดธารณีแห่งพระโพธิสัตว์พระองค์นี้ คือ “มหากรุณาหฤทัยธารณี” เนื้อหากล่าวถึงเมื่อครั้งที่พระศากยมุนีสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ โปตาลกะบรรพต ในกาลนั้นพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ได้ขอพุทธานุญาตแสดงธารณีมนตร์อัน ศักดิ์สิทธิ์ไว้เพื่อเป็นที่พึ่งแก่สรรพสัตว์ ซึ่งธารณีนี้ย้อนไปในครั้งกาลสมัยของพระพุทธเจ้านามว่าพระสหัสประภาศานติ สถิตยตถาคต พระพุทธเจ้าพระองค์นั้นได้ตรัสธารณีนี้แก่พระอวโลกิเตศวร และตรัสว่า “สาธุ บุรุษ เมื่อเธอได้หฤทัยธารณีนี้ จงสร้างประโยชน์สุขสำราญแก่สัตว์ทั้งหลายในกษายกัลป์แห่งอนาคตกาลโดยทั่ว ถึง”
    ตามเนื้อความของพระสูตรได้กล่าวว่า ในขณะนั้น เมื่อพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ได้สดับมนตร์นี้แล้ว ก็ได้บรรลุถึงภูมิที่ ๘ แห่งพระโพธิสัตว์เจ้า จึงได้ตั้งปณิธานว่า “ในอนาคตกาล หากข้าพเจ้าสามารถยังประโยชน์สุขแก่สรรพสัตว์ได้ ขอให้ข้าพเจ้ามีพันเนตรพันหัตถ์ในบัดดล” เมื่อท่านตั้งปณิธานดังนี้แล้ว พลันก็บังเกิดมีพันหัสถ์พันเนตรขึ้นทันที และเพลานั้นพื้นมหาพสุธาดลทั่วทศทิศก็ไหวสะเทือนเลื่อนลั่น พระพุทธเจ้าทั้งปวงในทศทิศก็เปล่งแสงโอภาสเรืองรองมาต้องวรกายแห่งพระ โพธิสัตว์ และฉายรัศมีไปยังโลกธาตุต่าง ๆ อย่างปราศจากขอบเขต พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสแก่พระอานนท์ว่า เนื่องจากปณิธานอันยิ่งใหญ่ของพระโพธิสัตว์ หากเหล่ามนุษย์และทวยเทพ ตั้งจิตสวดมหากรุณาธารณี มนตร์นี้คืนละ ๗ จบ ก็จะดับมหันตโทษจำนวนร้อยพันหมื่นล้านกัลป์ได้ หากเหล่ามนุษย์ทวยเทพสวดคาถามหากรุณาธารณีนี้ เมื่อใกล้ชีวิตดับ พระพุทธเจ้าทั้ง ๑๐ ทิศจะยื่นพระกรมารับให้ไปอุบัติในพุทธเกษตรทุกแห่ง
    จากเรื่องราวในพระสูตรนี้ทำให้เกิดการสร้างรูปพระโพธิสัตว์พันหัสถ์พันเนตร อันแสดงถึงการทอดทัศนาเล็งเห็นทั่วโลกธาตุและพันหัสต์แสดงถึงอำนาจในการช่วย เหลือสรรพสัตว์ให้พ้นทุกข์ บทสวดในพระสูตรนี้เป็นภาษาสันสกฤตผสมภาษาท้องถิ่นโบราณในอินเดีย ที่หลงเหลือมาในปัจจุบันมีหลายฉบับที่ไม่ตรงกัน ทั้งในฉบับทิเบต ฉบับจีนซึ่งมีทั้งของพระภควธรรม พระอโมฆวัชระ ฯลฯ ต่อมาได้มีการค้นคว้าและปรับปรุงให้ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์โดย Dr.Lokesh Chandra และตีพิมพ์เผยแพร่เมื่อ ค.ศ.1988 เป็นบทสวดสำคัญประจำองค์พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ที่พุทธศาสนิกชนมหายานสวด กันอยู่โดยทั่วไป

    ที่มา : รวบรวมจากสารานุกรมเสรีวิกิพีเดีย


    ประวัติความเป็นมาในคัมภีร์ฝ่ายมหายาน



    พระไตรปิฎกของพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทไม่มีปรากฏเรื่องราวหรือแม้แต่พระนามของ พระอวโลกิเตศวรอยู่เลย ทว่าในส่วนของนิกายมหายานแล้ว พระอวโลกิเตศวรมีบทบาทปรากฏอยู่มากในพระสูตรสำคัญ ๆ และยังมีเรื่องราวปรากฏในพระสูตรมหายานว่าพระพุทธเจ้าและพระสาวกยังได้เคย ตรัสสนทนาธรรมกับพระโพธิสัตว์พระองค์นี้อยู่บ่อยครั้งทีเดียว ในพุทธศาสนามหายานยกย่องพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ว่าเป็นพระผู้ได้รับ ธรรมจักรมาโดยตรงจากพระพุทธเจ้า และเป็นผู้นำในการรักษาพระพุทธศาสนาและหมุนธรรมจักรต่อไป
    การอุบัติของพระอวโลกิเตศวรนี้สันนิษฐานว่ามีขึ้นภายหลังการเกิดนิกายมหายาน ขึ้นแล้วในราวพุทธศตวรรษที่ ๖-๗ ภายหลังพุทธปรินิพพาน ซึ่งเมื่อตรวจสอบจากวรรณคดีสันสกฤตยุคต้น ๆ ของมหายานอย่าง ชาดกมาลา ทิวยาวทาน หรือลลิตวิสตระ ก็ยังไม่ปรากฏนามพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์แต่อย่างใด แต่มีปรากฏขึ้นครั้งแรกพร้อม ๆ กับพระมัญชุศรีโพธิสัตว์ในพระสูตรปรัชญาปารมิตาซึ่งถือว่าเป็นพระสูตรมหายาน รุ่นเก่าที่สุด และในพระสูตรรุ่นต่อ ๆ มาก็ได้มีเรื่องราวเกี่ยวกับพระโพธิสัตว์พระองค์นี้ปรากฏขึ้นมากมาย
    พระสูตรมหายานกล่าวว่าพระอวโลกิเตศวรประทับอยู่ ณ สุขาวดีพุทธเกษตร คอยช่วยพระอมิตาภะโปรดสรรพสัตว์ที่ตกอยู่ในห้วงทุกข์ และเนื่องจากทรงเป็นพระธยานิโพธิสัตว์จึงมีความเป็นมาอันยาวนานสุดจะคาด คำนวณได้ นับแต่สมัยของ พระวิปัสสีพุทธเจ้า เป็นต้นมาก็ทรงได้โปรดสัตว์มาเป็นลำดับจนถึงบัดนี้ อันเป็นกาลสมัยของพระสมณโคดมศากยมุนีพุทธเจ้า ก็เป็นระยะเวลาเนิ่นนานสุดจะพรรณนา ใน กรุณาปุณฑริกสูตร อธิบายว่า พระอวโลกิเตศวรเป็นพระธรรมกายโพธิสัตว์ สูงกว่าพระโพธิสัตว์สามัญอื่น ๆ และเป็นเอกชาติปฏิพัทธะเช่นเดียวกับพระโพธิสัตว์อารยเมตตรัย กล่าวคือเป็นผู้ที่ยังข้องอยู่กับการเกิดอีกเพียงชาติเดียวก็จะได้ตรัสรู้ อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ กล่าวกันว่าพระอวโลกิเตศวรจะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าภายหลังการ ดับขันธปรินิพพานของพระอมิตาภะ เพื่อเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป ณ แดนสุขาวดี
    นอกจากนี้ในพระสูตรมหายานอื่น ๆ ก็ยังมีปรากฏว่าอธิบายแตกต่างออกไปอีก กล่าวคือ บางพระสูตรกล่าวว่าพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์นั้นแท้จริงแล้วคืออวตารภาคหนึ่ง ของพระอดีตพุทธเจ้า ที่ได้ทรงบรรลุพุทธภูมิเป็นอรหันตสัมมาสัมพุทธะแล้วในอดีตกาลอันยาวไกล ก่อนสมัยพระพุทธเจ้าของเรา แต่ด้วยพระมหากรุณาที่เล็งเห็นสรรพสัตว์ยังตกอยู่ในโมหะอวิชชา ทำให้ต้องทนทุกข์อยู่ในวังวนแห่งสังสารวัฏยากจะหลุดพ้นไปได้ จึงทรงแบ่งภาคมาเป็นพระอวโลกิเตศวรเพื่อโปรดปวงสัตว์ให้เห็นธรรมพ้นทุกข์ ด้วยพระเมตตากรุณา ในบางแห่งก็กล่าวว่าพระอวโลกิเตศวรเป็นพุทธโอรสของพระอมิตาภะที่ทรงบันดาล ด้วยพุทธาภินิหาริย์ให้อุบัติขึ้นมาเพื่อเป็นที่พึ่งแก่โลก แต่ทางฝ่ายทิเบตเชื่อว่าพระอวโลกิเตศวรอุบัติขึ้นมาพร้อม ๆ กับพระนางตาราด้วยอานุภาพของพระอมิตาภพุทธ จากแสงสว่าง (บางแห่งว่าเป็นน้ำพระเนตรจากความกรุณาสงสารสรรพสัตว์) ที่เปล่งออกมาจากพระเนตรเบื้องขวาของพระอมิตาภะได้บังเกิดเป็นพระอวโลกิเตศว รประทับบนดอกบัวที่ปรากฏขึ้นพร้อม ๆ กับมนตร์ โอม มณี ปัทเม หูม ส่วนแสงจากพระเนตรเบื้องซ้ายก่อให้เกิดพระนางตาราโพธิสัตว์ อย่างไรก็ตาม ในพระสูตรอื่นบางแห่งก็มีกล่าวว่าแท้จริงแล้วพระอวโลกิเตศวรก็คือภาคหนึ่ง ขององค์พระอมิตาภะนั่นเอง



    [FONT=&quot]สำหรับ รูปประติมากรรมเจ้าแม่กวนอิมในลักษณะของเพศหญิงที่เป็นที่นับถือกันใน ปัจจุบันนั้น แท้จริงแล้ว เมื่อครั้งศาสนาพุทธแรกเผยแผ่จากอินเดียสู่จีนนั้น รูปลักษณ์ของพระอวโลกิเตศวร(พระโพธิสัตว์กวนอิม)ก็เป็นภาพของพระโพธิสัตว์ เพศชายเช่นเดียวกับในอินเดีย สันนิษฐานว่า คติเกี่ยวกับรูปเคารพพระโพธิสัตว์กวนอิม น่าจะมีมาตั้งแต่สมัยสามก๊กและราชวงค์จิ้น จนกระทั้งถึงสมัยหนานเป่ยเฉา หลักฐานสำคัญก็คือ รูปวาดจิตรกรรมฝาผนังและรูปปฏิมากรรมแกะสลักพระโพธิสัตว์กวนอิมที่ปรากฏอยู่ ในถ้ำม่อเกา [/FONT][FONT=&quot](莫高)[/FONT][FONT=&quot]ที่สร้างขึ้นในช่วง หนานเป่ยเฉานั้น เป็นภาพของพระอวโลกิเตศวร(พระโพธิสัตว์กวนอิม) ที่มีลักษณะแบบเพศชาย มีริมฝีปากหนาและมีหนวดเครา[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]

    [FONT=&quot]<o></o>ส่วน เหตุผลของความเปลี่ยนแปลงจากบุคลิกลักษณะของพระอวโลกิเตศวร(พระโพธิสัตว์กวน อิม)ที่เดิมเป็นเพศชายจนแปรเปลี่ยนเป็นเพศหญิงนั้น นักประติมานวิทยา สันนิษฐานว่า น่าจะมาจากเหตุผล [/FONT][FONT=&quot]2 ประการ<o></o>[/FONT]

    [FONT=&quot]<o></o>ประการแรก นั้นคือ พระโพธิสัตว์กวนอิมเป็นผู้ทรงโปรดสัตว์โลก ผู้ตกทุกข์ได้ยาก และในสมัยโบราณนั้น ผู้หญิงมักได้รับการกดขี่ข่มเหงและทุกข์ทรมานมากกว่าเพศชาย จึงเกิดภาพลักษณ์ในด้านที่เป็นเพศหญิง เพื่อช่วยเหลือสตรีให้หลุดพ้นจากบ่วงกรรม[/FONT]

    [FONT=&quot]<o></o>ประการที่สอง นั้นคือ ผู้หญิงเป็นเพศที่มีความอ่อนโยนและมีจิตใจที่ดีงามกว่าเพศชาย โดยเฉพาะความรักของผู้เป็นมารดา อันเป็นสัญลักษณ์ของความเมตตาการุณย์ต่อบุตร[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]

    [FONT=&quot]<o></o>ดังนั้น จึงเชื่อกันว่า นี้คือเหตุเปลี่ยนแปลงของภาพแห่งลักษณะพระโพธิสัตว์กวนอิมที่แปรเปลี่ยนรูป ลักษณ์เป็นเพศหญิงในที่สุด[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]

    [FONT=&quot]<o></o>ในด้านศิลปกรรมจีน ได้สะท้อนสัญลักษณ์ของพระโพธิสัตว์กวนอิมที่แสดงถึงความเมตตากรุณา อาทิ ภาพเจ้าแม่กวนอิมยืนประทับบนหลังมังกรกลางมหาสมุทร [/FONT][FONT=&quot], ภาพเจ้าแม่กวนอิมพรมน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์จากกิ่งหลิวในแจกัน , ภาพเจ้าแม่กวนอิมประทับนั่งกลางป่าไผ่ , ภาพเจ้าแม่กวนอิมปางประธานบุตร และภาพเจ้าแม่กวนอิมพันมือ เป็นต้น<o></o>[/FONT]

    [FONT=&quot]แต่ไม่ว่าจะแสดงภาพ แห่งเจ้าแม่กวนอิมในลักษณะใด พระองค์ก็ยังทรงเป็นสัญลักษณ์ของพระโพธิสัตว์ผู้เปี่ยมด้วยเมตตากรุณา ที่ประทับอยู่กลางใจของผู้ศรัทธาจนถึงปัจจุบัน[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]

    [FONT=&quot]อ้าง อิงจาก : หนังสือ 108 ลัญลักษณ์จีน [/FONT][FONT=&quot]– ปิยะแสง จันทรวงศไพศาล[/FONT]



    <link href="file:///C:%5CDOCUME%7E1%5Cuser%5CIMPOST%7E1%5CTemp%5Cmsohtml1%5C01%5Cclip_filelist.xml" rel="File-List"><style> <!-- /* Font Definitions */ @font-face {font-family:"Angsana New"; panose-1:2 2 6 3 5 4 5 2 3 4; mso-font-charset:0; mso-generic-font-family:roman; mso-font-pitch:variable; mso-font-signature:16777219 0 0 0 65537 0;} @font-face {font-family:"Browallia New"; panose-1:2 11 6 4 2 2 2 2 2 4; mso-font-charset:0; mso-generic-font-family:swiss; mso-font-pitch:variable; mso-font-signature:16777219 0 0 0 65537 0;} /* Style Definitions */ p.MsoNormal, li.MsoNormal, div.MsoNormal {mso-style-parent:""; margin:0cm; margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:12.0pt; mso-bidi-font-size:14.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-fareast-font-family:"Times New Roman"; mso-bidi-font-family:"Angsana New";} @page Section1 {size:595.3pt 841.9pt; margin:72.0pt 89.85pt 72.0pt 89.85pt; mso-header-margin:35.45pt; mso-footer-margin:35.45pt; mso-paper-source:0;} div.Section1 {page:Section1;} --> </style>
    [FONT=&quot]การบูชาเจ้าแม่กวนอิม[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]

    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]การบูชาที่บ้าน ครั้งแรกให้ไหว้ด้วยดอก บัวสีชมพู หรือขาว [/FONT][FONT=&quot]9 ดอก ธูป 9 ดอก เทียน 2 เล่ม ส้ม สาลี่ อย่างละ 4 ผล เพิ่มผลไม้อะไรก็ได้ (ห้ามมะม่วง มังคุด พุทรา) ขนมเปี๊ยะหรือไหว้พระจันทร์ น้ำชา 4 ถ้วย ซิ่วท้อด้วยก็ได้ ถ้ามีเวลาสวดมนต์ก็ถวายประคำด้วย 1 เส้น[/FONT]

    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>วันธรรมดาก็ น้ำชา ผลไม้ เท่าไหร่ก็ได้[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]การตั้งโต๊ะ ตรงไหน ไว้ที่หิ้งพระก็ได้ แต่ต้องวางไว้ต่ำกว่าพระพุทธรูป สูงกว่าพระสงฆ์ ใกล้มหาเทพได้[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]ส่วนการหันทิศท่านขึ้นกับดวงชะตาราศีเกิดของผู้ บูชา ไปดูให้ดีก่อนตั้ง (ส่วนใหญ่จะตั้งไปทางทิศตะวันออก)[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]บทสวด ตั้งนโม [/FONT][FONT=&quot]3 จบ แล้วสวดบทสวดเจ้าแม่กวนอิม 3 จบแผ่เมตตาต่อสรรพสัตว์ ก็เสร็จแล้ว เพราะจิตบูชาเป็นสำคัญ<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]ถ้าคิดจะตั้งท่านแล้ว คุณเองต้องงดทานเนื้อวัว และห้ามถวายอาหารที่มีเนื้อสัตว์ต่อท่าน ห้ามถวายอาหารคาว มีแต่[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>ผลไม้กับขนม[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]


    หลักปรัชญาและ เหตุผลของการกินเจและมังสวิรัติ

    อ้างอิงจากหนังสือ กินเจและมังสวิรัติให้ถูกวิธี (vegetarian the right way)
    โดย นพ.บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล


    ในบรรดาการดำเนินวิถีสุขภาพแบบองค์รวม การกินเจและการกินมังสวิรัตินับได้ว่าเป็นหนทางสุขภาพที่มีผู้นิยมปฏิบัติ มากที่สุด

    ปรัชญาของการไม่เบียดเบียนสัตว์ร่วมโลก


    หลักการกินเจเผยแพร่ควบคู่ไปกับการนับถือศาสนาพุทธในนิกายมหายาน ด้วยหลักคิดของการไม่ต้องการเบียดเบียนสัตว์โลกด้วยกัน ต้องการส่งเสริมให้ผู้คนละเว้นการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต

    การกินเจเดิมทีเป็นวัตรปฏิบัติของพระสงฆ์มหายานเท่านั้น แต่พุทธบริษัทผู้ศรัทธาก็อาจจะปวารณาตัวที่จะถือศีลกินเจตามไปด้วยในโอกาส อันควร เช่น แม่บ้านหรือผู้สูงอายุบางส่วนอาจกินเจเฉพาะมื้อเช้า บ้างก็ปวารณากินเจตลอดทุกมื้อ ส่วนบุคคลทั่วไปอาจกินเจปีละ 10 วัน (ประเพณีนี้เผยแพร่มาจากชาวจีนแต้จิ๋ว) และปรากฏเป็นที่นิยมมากในประเทศไทยปัจจุบัน

    ส่วนการละเลี่ยงไม่กินเนื้อสัตว์อีกแนวหนึ่งคือการกินมังสวิรัติ มังสวิรัติในโลกมีที่มา 2 ทาง ทางหนึ่งมาจากตะวันออก คือ อินเดีย ในหมู่ผู้ปฏิบัติโยคะ และผู้ถือศาสนาฮินดูส่วนหนึ่ง อีกกระแสหนึ่งมาจากตะวันตก จากชาวเซเว่นเดย์ แอดเวนติสต์ และมอร์มอน ปัจจุบันมีชาวไทยพุทธอีกส่วนหนึ่งเป็นกลุ่มผู้ปฏิบัติธรรมที่เคร่งครัดก็มัก จะกินมังสวิรัติด้วย

    -นักมังสวิรัติจากตะวันตกกล่าวอ้างถึงบันทึกใน สมัยกรีก อียิปต์ และฮิบรู ว่า มนุษย์เราเป็นสัตว์กินผลไม้
    -ปรัชญาเมธีชาวกรีกอย่าง เพลโต โสเครติส และพีธากอรัส ก็กินมังสวิรัติ
    -อารยธรรมอันยิ่งใหญ่ของอินคาตั้งอยู่บนวัฒนธรรมมังสวิรัติ
    -ผู้ดำเนินวิถีแห่งเต๋าซึ่งเรียกว่าเต้าหยินก็กินมังสวิรัติ


    -ในคัมภีร์ "คำอุโฆษแห่งสันติภาพ (The Essene Gospel of Pease)" อันเป็นบันทึกพระดำรัสของพระเยซูมีว่า "มังสะแห่งสัตว์ที่วายชีพอย่างทุกข์ทน จะกลายเป็นหลุมศพแห่งเขาผู้บริโภคมังสะนั้น จงเชื่อฟังสัจจะที่ข้าจะสอนสั่ง ใครลงมือสังหาร กำลังสังหารตัวเขาเอง ใครกลืนกินมังสะของสัตว์ที่ตายอย่างทุกข์ทน กำลังกลืนกินความตายเข้าสู่ร่างของตน"

    น่าสังเกตุว่าผู้กินเจและมังสวิรัติมักเป็นผู้ถือศีลปฏิบัติธรรมอยู่แล้ว มีเมตตาจิตอยู่เป็นทุนเดิม จึงไม่อยากให้การกินเนื้อสัตว์ของตนไปเป็นเหตุเพิ่มอุปสงค์แก่วงการค้าเนื้อ สัตว์

    ผู้กินมังสวิรัติที่มาจากอินเดียยังเสนอว่า แท้ที่จริง พระพุทธเจ้าก็กิน มังสวิรัติเช่นกัน

    เพราะประเพณีชาวเนปาลบริเวณที่เป็นถิ่นฐานของศากยวงศ์ เขาไม่กินเนื้อสัตว์อยู่แล้วเป็นปกติ อย่างไรก็ดีในพุทธบัญัติมิได้กำหนดการกินมังสวิรัติ ก็อาจด้วยเหตุที่ไม่ต้องการให้ตึงเกินไปนักสำหรับกุลบุตรของชาวพุทธที่จะ เข้าบวช ต่อเมื่อมีศรัทธาแล้วจึงค่อยปฏิบัติเอง

    เหตุผลทางสรีรวิทยาว่า แท้ที่จริงคนเราเป็นสัตว์กินอาหารประเภทไหน

    การไม่กินเนื้อสัตว์มีเหตุผลอันสมควรหรือไม่ นอกเหนือจากความเชื่อทางศาสนา แท้จริงแล้วการไม่กินเนื้อสัตว์ของชาวมังสวิรัติและนักกินเจ ก็มีเหตุผลต่างๆอยู่ ถ้าจะมองทางสรีรวิทยา นักวิทยาศาสตร์ฝ่ายมังสวิรัติบอกว่า สัตว์ในโลกนี้แบ่งเป็น 3 ชนิดใหญ่ๆ คือ สัตว์กินเนื้อ สัตว์กินหญ้า และสัตว์กินผลไม้และธัญพืช

    1. สัตว์กินเนื้อ เช่น สิงโต เสือ สัตว์เหล่านี้ธรรมชาติได้สร้างให้ทางเดินอาหารสั้นมาก เนื่องจากเนื้อสัตว์เน่าเปื่อยเร็วมาก แล้วสารจากการเน่าเปื่อยของเนื้อจะกลายเป็นสารพิษ ดังนั้นทางเดินอาหารสัตว์กินเนื้อจึงวิวัฒนาการมาให้สั้น ดูดซึมเฉพาะธาตุอาหาร แล้วถ่ายกากทิ้งโดยเร็วไม่ทันดูดซึมสารพิษจากาการเน่าเปื่อย
    สำคัญเหนื่อสิ่งอื่นใด สัตว์กินเนื้อมีเขี้ยวที่คม มีขากรรไกรที่ทรงพลัง พร้อมกรงเล็บอันคมกริบ ทั้งหมดนี้ออกแบบมาสำหรับล่าเหยื่อโดยแท้

    2. สัตว์กินหญ้าและใบไม้ ได้แก่ ช้าง ม้า วัว ควาย มันต้องกินวันละมากๆ เพื่อเก็บทุกอณูอาหารไปใช้กับร่างกาย มันจึงมีทางเดินอาหารยาวถึง 10 เท่าของลำตัว
    นายแพทย์วิลเลียม คอลลินส์ แห่งศูนย์การแพทย์นิวยอร์ก ไมมอนเดส ทดลองให้เห็นอันตรายของอาหารประเภทเนื้อสัตว์ที่มีต่อสัตว์กินหญ้า โดยเอาไขมันวันละครึ่งปอนด์ไปให้กระต่ายกินทุกวันเป็นเวลา 2 เดือน ก็ปรากฏว่าหลอดเลือดของกระต่ายจับก้อนไขมันไปทั่ว เกิดภาวะหลอดเลือดแข็งตัว

    3. สัตว์กินผลไม้และธัญพืช กลุ่มนี้คือวานร วานรกินผลไม้และลูกนัทเป็นอาหารหลัก คนเราน่าจะอยู่ในกลุ่มสัตว์ประเภทเดียวกับวานร คือสัตว์กินผลไม้และธัญพืช

    ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ว่าด้วยการกินเนื้อ สัตว์มากทำให้เกิดโรค

    เป็นที่รู้กันมานานแล้วว่า ชาวเอสกิโมที่กินเนื้อสัตว์และไขมันมาก มีอายุเฉลี่ยเพียง 27.5 ปี ชนชาวเคิร์กที่เป็นเผ่าเร่ร่อนในรัสเซีย กินเนื้อสัตว์เป็นหลักจะตายเร็วมาก ส่วนใหญ่อายุไม่เกิน 40 ปี

    แต่กลุ่มชนที่กินพืชผักเป็นหลัก กินเนื้อสัตว์น้อยหรือเกือบจะไม่กินเลยอย่างชนชาวฮันซ่าในปากีสถาน ชนเผ่าโอโตมิในเม็กซิโก รวมทั้งชนชาวมอร์มอน และผู้นับถือนิกายเซเว่นเดย์ แอดเวนติสต์ในสหรัฐฯ เหล่านี้ล้วนมีอายุที่ยินยาว ชาวฮันซ่ามีอายุยืน 110-120 ปีทีเดียว

    สถิติขององค์การอนามัยโลกพบว่า ประเทศที่บริโภคเนื้อสัตว์มากจะมีอัตราเจ็บป่วยด้วยโรคหัวใจ หลอดเลือด และโรคมะเร็ง มากกว่าประเทศที่บริโภคพืชผักเป็นหลัก

    มังสวิรัติถือว่า สัตว์ในขณะที่จะถูกฆ่าจะเกิด สารพิษขึ้นชนิดหนึ่งที่ซึมซ่านไปทั่วร่างกาย เมื่อมีผู้บริโภคเนื้อสัตว์นั้น ก็รับเอาสารพิษนั้นเข้าสู่ร่างกายด้วย สารกลุ่มนี้น่าจะเป็นฮอร์โมน แอดรีนาลีน และกลูคากอน ซึ่งเป็นฮอร์โมนสลายร่างกาย (catabolic hormones) สารนี้ถ้ามีมากๆ จะบั่นทอนอวัยวะต่างๆให้เสื่อมเร็ว


    วัน เกิดของตนเอง วันหนึ่งในรอบปีที่จะเจริญวัยเพิ่มขึ้นอีกปีหนึ่งๆ นอกจากจัดของบูชาพิเศษแล้ว ควรถือศีลกินเจ บำเพ็ญทานและฟังธรรม

    [​IMG]




    <hr width="50%">
    คาถาสวด พระนามพระโพธิสัตว์กวนอิม
    นะโม กวงซีอิม ผ่อสัก ( 3 หรือ 5 หรือ 9 จบ)

    พระ แม่กวนอิมพระมหาโพธิสัตว์
    นำโมไต่ซือ ไต่ปุย กิ๊วโค่ว กิ๊วหลั่ง กวงไต๋เหล่งก้ำ กวนซีอิมผ่อสัก ( กราบที่ 1 )
    นำโมไต่ซือ ไต่ปุย กิ๊วโค่ว กิ๊วหลั่ง กวงไต๋เหล่งก้ำ กวนซีอิมผ่อสัก ( กราบที่ 2)
    นำโมไต่ซือ ไต่ปุย กิ๊วโค่ว กิ๊วหลั่ง กวงไต๋เหล่งก้ำ กวนซีอิมผ่อสัก ( กราบที่ 3)
    นำโมฮุก นำโมฮวบ นำโมเจง นำโมกิ๊ว โค่ว กิ๊วหลั่ง กวนซี้อิมฝอสัก ทั่งจี้โต โอม เกียล้อฮวดโต เกียล้อฮวดโต เกียออฮวดโต ล้อเกียฮวดโต ล้อเกียฮวดโต ซำผ่อออ เทียงหล่อซิ้ง ตี่หล่อซิ้ง นั้งหลี่หลั่ง หลั่งหลี่ซิง เจ็กเฉียก ใจเอียง ห่วยอุ่ยติ๊ง นำมอมอออ ป่วย เอี๊ยะปอหล่อบิ๊ก ( กราบ 1 จบ )

    คาถาพระมหาโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร<o></o>
    โอม มา นี ปะ หมี่ ฮง
    (คาถาหัวใจของพระแม่กวนอิมมหา โพธิสัตว์)<o></o>
    <o>
    </o>​
    · โอม มา นี ปะ หมี่ ฮง · หม่า โฮ อี่ ยา นัก · เจ็ด ตู เต็ก ปา ตั๊ก · เจ็ด เต็ก เซ นัก · หมี่ ตา ลี่ โก · สัก อือ วา อือ ทา · ปู ลี สิด ตะโก · นัก ปู ลา นัก · นัก ปู ลี · ติว เตอ บัน นัก · ไน มา หลู่ กี · ซัว ลา เย ซอ ฮอ<o></o>
    (3 จบ)

    บทมหากรุณาธารณีสูตร

    นโมรัตนตรายายะ มโนอารยะ อวโลกิเตศะวะรายะ โพธิสัตตวายะ มหาสัตตวายะ มหากรุณิกายะ โอม สะวะละวะติ ศุททะนะตัสยะ นมัสกฤตวานิมางอารยะ อวโลกิเตศะวะระลันตะภา มโนนิลากันถะ ศรีมหาปะฎะศะมิ สระวาทวะตะศุภัม อสิยูม สะรวะสัตตวะ นโมปวสัตตวะ นโมภะคะ มะภะเตดุ ตัทยะถา โอมอวโลกา โลกาเต กาละติ อีศีลี มหาโพธิสัตตวะ สาโพสาโพ
    มะรามะเรา มะศิมาศิ ฤธะยุ คุรุคุรุฆามัม ธูรูธูรูภาษียะติ มหาภาษียะติ ธาระธาระถิรินี ศะวะรายะ ชะละชะละ มามะภามะละ มุธิริ เอหิเอหิ ศินะศินะ อาละลินภะละศรี ภาษาภาษินการะศะยะ หูลุหูลุมะระ หุลุหุลุศรี สะระสะระ สีรีสีรี สุรุสุรุ พุทธายาพุทธายะ โพธายะโพธายะ ไมตรีเย นิละกันสะตะ ตริสะระณะ ภะยะมะนะ สวาหา สีตายะ สวาหา มหาสีตายะ สวาหา สีตายเย ศะวะรายะ สวาหา นีลากันถิ สวาหา มะละนะละ สวาหา ศรีสิงหะมุขายะ สวาหา สะระวะ มหาอัสตายะ สวาหา จักระอัสตายะ สวาหา ปัทมะเกสายะ สวาหา นีละกันเตปันตะ ลายะ สวาหาโมโผลิศังกะรายะ สวาหา นโมรัตนตายายะ นโมอารยะ อวโลกิเต สะวะ รายะ สวาหา โอมสิทธยันตุ มันตรา ปะทายะ สวาหา
    บทสวดต่าง ๆ เหล่านี้ ถ้าสวดอยู่เสมอจะพ้นจากทุกข์และโรคภัยไข้เจ็บทั้งปวงป้องกันสิ่งอัปมงคลมิ ให้เกิดขึ้น ทั้งจะได้รับการประทานพรจากพระโพธิสัตว์กวนอิมให้ได้รับแต่ความเจริญ รุ่งเรืองประสบโชคลาภและผลสำเร็จตามที่ปรารถนา
    บรรดาพุทธศาสนิกชนผู้นับถือ พระโพธิสัตว์กวนอิมมักดำเนินตามรอยวัตรปฏิบัติของพระโพธิสัตว์ ด้วยการรับประทานอาหารมังสวิรัติ หรืออาหารเจ ควบคู่ไปด้วยเสมอ ถือว่าเป็นบุญกุศลยิ่ง


    คำแปลใจความสำคัญ




    ขอนอบน้อมพระแม่กวนอิมโพธิสัตว์ พระผู้เปี่ยมล้นด้วยเมตตา มหากรุณาอันยิ่งใหญ่ไพศาล ขอได้โปรดบำบัดทุกข์โศก โรคภัยอันตรายทั้งปวง
    ข้าพเจ้าขอนอบน้อมถึงพุทธานุภาพ ธรรมมานุภาพ สังฆานุภาพ พระแม่กวนอิมมหาโพธิสัตว์ ขอได้โปรดขจัดปัดเป่าทุกข์โศกโรคภัยทั้งปวง ให้หมดสิ้นไป
    ขอความสุข สมปรารถนาทุกประการ จงมีแก่ข้าพเจ้า ขอเทพเจ้าเบื้องบน และเทพเจ้าเบื้องล่างทั้งหมด ได้โปรดปัดเป่าให้เวรกรรม และสรรพเคราะห์ทั้งมวล จงหมดสิ้นไป


    การบรรลุธรรม

    1. จะบรรลุธรรม ต้องเป็นคนมีใจมั่นคงไม่ท้อถอย ไม่เลิกกลางคัน
    2. จะบรรลุธรรม ต้องเป็นคนที่มีมหาปณิธาน
    3. จะบรรลุธรรม ต้องเป็นคนที่ไม่ยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวเราของเรา
    4. จะบรรลุธรรม ต้องเป็นคนที่มีจิตเมตตากรุณา
    5. จะบรรลุธรรม ต้องเป็นคนมีความขยันหมั่นเพียร
    6. จะบรรลุธรรม ต้องเป็นที่ถือศีล 5
    7. จะบรรลุธรรม ต้องเป็นคนมีจิตกุศล ทำแต่ความดี หมั่นสร้างบุญกุศล
    8. จะบรรลุธรรม ต้องเป็นคนรู้จักแยกแยะชั่วดี
    9. จะบรรลุธรรม ต้องมีความอดกลั้นอดทน
    10. จะบรรลุธรรม ต้องเป็นคนมีจิตสงบเป็นสมาธิ

    10 ข้อข้างต้นนี้ คือเงื่อนไขปัจจัยการบรรลุธรรมของพระโพธิ์สัตว์ ปัจจัยการบรรลุธรรมเหล่านี้ ชาวโลกมักจะเห็นว่าเป็นเรื่องสุดวิสัยยากจะปฏิบัติ โดยเข้าใจว่าการบรรลุธรรมเป็นเรื่องไกลสุดเอื้อม จึงไม่กล้าก้าวสู่หนทางการบำเพ็ญธรรม ยังมีอีกวิธีหนึ่งที่ปฏิบัติได้ ก็คืออยู่อย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัวปฏิบัติตนเป็นอภิมหา ซื่อสัตย์สุจริต มหากตัญญู มหาเมตตากรุณา ซึ่งอย่างน้อยก็ยังสามารถบรรลุเป็นเทวดาชั้นมหาราชิกา แล้วไปฝึกบำเพ็ญทางจิตต่อที่สวรรค์จนรู้แจ้งเห็นจริง ภายหน้าก็สามารถบรรลุอนุตตรธรรมได้ ดังนั้น อุบาสกอุบาสิกาที่บำเพ็ญอยู่ในบ้าน ไม่ต้องไปกลัวเรื่องการบรรลุธรรมยากขอให้มีความพยายามไม่ย่อท้อ แม้ปฏิบัติยากก็ต้องปฏิบัติ บำเพ็ญยากก็ต้องบำเพ็ญ ถึงจะเป็นหลักประกันแห่งการบรรลุธรรม


    ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกทรงกลมเหมือนผลส้มใบนี้ไม่ว่าจะมีชีวิตหรือไม่มี ชีวิตก็ตาม ล้วนมีความผูกพันธ์กันทั้งสิ้น เวลาเป็นเครื่องกำหนดความเป็นไปของสรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวงและในสิ่งทั้ง หลายเหล่านั้นยังมีลีลาเฉพาะตนอีกด้วย ซึ่งแต่ละลีลายังโยงใยสิ่งหนึ่งไปสู่อีกสิ่งหนึ่งเสมอ ไม่มีแม้แต่สิ่งเดียวที่อยู่อย่างโดดเดี่ยว โดยไม่เชื่อมโยงสัมพันธ์กับสิ่งใดๆเลยได้ สิ่งที่โดดเดี่ยวนั้นมันอยู่ไม่ได้ต้องสลายไปในที่สุดในทันที ดังนั้นทุกๆสิ่งบนโลกและนอกโลกล้วนถูกผูกเข้าด้วยกันด้วยเวลา และลีลา ผูกพันธ์เข้าด้วยกันอย่างกลมกลืนแยกไม่ออกทั้งสิ้น

    องค์สมเด็จพระ สัมมาสัมพุทธเจ้า พระบรมศาสดาผู้รู้แจ้งโลก ได้ค้นพบความลับในข้อนี้ พระองค์ทรงรู้แจ้งแทงตลอดอย่างยิ่ง และด้วยความเป็นเอกเลิศทางปัญญาของพระองค์จึงทำให้โลกรู้ว่า ไม่มีสิ่งใดจะสามารถอยู่ได้อย่างโดดเดี่ยวอย่างไม่แยแสผู้อื่น และอยู่อย่างเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้แต่เพียงผู้เดียว พระองค์ทรงประกาศธรรมะนี้ต่อโลกเมื่อสองพันกว่าปีมาแล้ว แม้เวลาจะผ่านมานานสักปานใดธรรมะของพระองค์ก็ยังทันสมัยและยังใช้ได้อยู่ เสมอมา ข้อศีลข้อวัตรต่างๆที่พระองค์ทรงวางไว้ก็ล้วนแต่เป็นข้อธรรมที่ทำให้เกิดการ อยู่ร่วมอย่างสันติสุข มีความราบรื่นในการดำเนินชีวิต เป็นสิ่งที่เมื่อผู้ใดปฏิบัติตามย่อมอยู่เป็นสุขในทุกที่ ข้อศีลและข้อธรรมที่ควรรู้ควรปฏิบัติเริ่ม แต่ ศีล 5 ธรรม 5 ก็เพื่อความเป็นไปอย่างปกติและเป็นสุขอยู่ทุกเมื่อของทุกชีวิตทุกสรรพสิ่ง ที่มีอยู่ในโลกที่ต้องอยู่ร่วมกันต้องพึ่งพากันและกัน การถนอมรักษาจิตใจและรักชีวิตของกันและกันเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดของ สัมพันธ์ที่เชื่อมโยงนั้น เป็นสิ่งมีค่าเลอเลิศสูงสุดหาสิ่งใดมาเปรียบมิได้ จริงไหมลองคิดกันดูเถิด

    ดู ง่ายๆความสัมพันธ์ระหว่าง แม่-พ่อกับบุตร, คุรุกับศิษฐ์,สหายกับสหาย, บ้านเรากับเพื่อนข้างบ้าน, ประเทศชาติของเรากับอาณามิตรประเทศต่างๆ, และอีกสิ่งที่สำคัญที่ลืมไม่ได้ คือ ธรรมชาติกับชีวิต สัตว์ทั้งหลายทุกๆตัวในโลกนี้ กระทั่งยังรวมไปถึง อากาศ ผืนดิน ผืนป่า แม่น้ำ ทะเล มหาสมุทร หรือแม้แต่ดวงดาว พระอาทิตย์ พระจันทร์ ระบบจักรวาล ล้วนผูกพันธ์กันเชื่อมโยงเป็นเครือข่ายกันทั้งสิ้น สิ่งต่างๆที่กล่าวมาหากพบความเสื่อมเสียวิบัติลงเมื่อใดสิ่งต่างๆที่กล่าวมา ข้างต้นย่อมได้รับผลกระทบโดยทั่วกันเป็นลูกโซ่ จะมากหรือน้อยแล้วแต่เหตุปัจจัยที่เป็นส่วนประกอบของสิ่งนั้นๆ อย่างเหตุการณ์ทางภัยธรรมชาติเป็นต้น สาเหตุหนึ่งเกิดเพราะความไม่เที่ยงที่เป็นไปตามธรรมชาติ แต่อีกสิ่งคือ ความเห็นแก่ตัวของกลุ่มคนหรือตัวบุคคลต่างๆ ที่เขาเกิดมาเพื่อทำชั่วเพื่อการกอบโกย เอาแต่ได้ใครจะเดือดร้อนไม่สนใจเปรียบเหมือนสัตว์นรกหนีมาเกิดก็ว่าได้ แต่ถ้า!เรารู้จักเป็นผู้ให้ เป็นผู้มีศีลธรรมรักษากายและจิต รู้จักละอายใจเมื่อคิดชั่ว และเกรงกลัวต่อการทำชั่วไม่กล้าลงมือกระทำความชั่วนั้นเพราะเชื่อในบาปบุญ คุณโทษ ทุกอย่างก็เป็นความเมตตากรุณาปราณีต่อกัน ถนุถนอมกายใจของตนเองและผู้อื่นมิให้เจ็บช้ำ ให้ความเคารพซึ่งกันและกัน ไม่ทำลายล้างไม่คิดร้ายทำลายใครเพราะสงสารเขาเห็นคนอื่นเปรียบดังเป็นเช่น บุตรอันเป็นที่รักแห่งตน และเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม ทุกคนล้วนมีความเมตตา มีความปราถนาดีที่จะมีให้แก่กัน ความสงบสุขความร่มเย็นย่อมมีขึ้นกับทุกสิ่งที่กล่าวมานี้ ถ้าเป็นอย่างนี้เชื้อแห่งโพธิความเป็นโพธิสัตว์เบื้องต้นย่อมเกิดแก่เราทุก คนได้ เนื่องจากเราเป็นผู้ให้มากกว่าการเป็นผู้ขอ เพราะเราทั้งหลายย่อมไม่คิดร้าย ไม่ทำร้าย ไม่เบียดเบียน ไม่อาฆาตพยาบาทไม่เอารัดเอาเปรียบ ไม่คิดจะทำให้ใครสิ่งใดต้องฉิบหายไป ทุกคนล้วนอยากเห็นผู้อื่นพ้นทุกข์และปราถนาอยากมอบความสุขให้กัน นี่แหละหนทางแห่งการได้เข้าไปสู่แดนแห่งความสงบ สว่าง สะอาด ในโลกที่ยังมีลมหายใจอยู่โดยไม่ต้องรอให้ตายก่อนแล้วค่อยขึ้นสวรรค์ เพียงพิจารณาเท่านี้สวรรค์ก็เกิดขึ้นแล้วในใจเราในทันทีนี่เอง และนี่เองคือความรักแท้จริง รักบริสุทธิ์ รักไม่เสื่อมคลาย รักชนิดสร้างสรร รักแล้วเป็นสุขปราศจากทุกข์ เพราะทุกคนอยากเป็นผู้มอบให้ มากกว่าอยากเป็นผู้เรียกร้องอยากได้ตลอดเวลา

    ฝากท่านทั้งหลายลอง คิดพิจารณากันดูตั้งแต่นี้เดี๋ยวเถิดว่าจริงหรือไม่ ถูกหรือเปล่า? ที่เราบูชาเงินทอง ทรัพย์สมบัติ สังคมหน้าตา ชื่อเสียงเกียตรยศ ทั้งหลายว่านั่นเป็นสิ่งที่ยอดที่สุด ความปลอดภัยเป็นสุข ความร่มเย็นเป็นสุข ความสว่างแห่งกายความสบายแห่งจิตและความเป็นปกติสุข ความปลอดภัยอยู่ทุกเมื่อ จะเกิดได้จากอะไรกันแน่ เพียงท่านยิ้มให้กับใครสักคนหนึ่งอย่างจริงใจสิ่งที่ท่านจะได้รับก็คือรอย ยิ้มเช่นเดียวกัน เมื่อท่านเป็นผู้ให้อย่างจริงใจท่านก็จะได้รับการให้ตอบเช่นกัน และถ้าโลกนี้มีแต่มิตรภาพสัมพันธะจิตอันอ่อนโยน ความซื่อสัตย์สุจริตที่เปี่ยมไปด้วยเมตตากรุณาต่อกัน ย่อมนำสุขแท้มาให้เราและคนที่เรารักและบ้านของเรา โลกของเรามิใช่หรือ เมื่อนั้นไม่ว่าท่านจะนั่ง จะนอน ยืน เดินในที่ใดๆ ทุกที่นั้นย่อมเป็นสุข เป็นปกติปลอดภัย สิ่งเหล่านี้มิใช่หรือที่เราต้องการอย่างแท้จริง ท่านอาจจะเผลอพูดออกมาว่า “สุขจริงหนอ สุขจริงหนอ สุขจริงหนอ” ก็ได้เมื่อวันนั้นมาถึง

    เวลาชีวิตนั้นเหลือไม่ มากพอที่จะมาสร้างลีลาอันโฉดเขลาแล้วเป่าประกาศว่า ขอโอกาสอีกสักครั้ง โอกาสนั้นไม่มีสำหรับคนที่ไม่รู้จักคุณค่าของเวลา และไม่เห็นคุณค่าแห่งความรักความเมตตาไม่มีโอกาสสำหรับผู้มีใจหยาบ

    หาก ท่านขาดสายสัมพันธ์แห่งโพธิ ขาดสิ้นสัมพันธ์รักแท้ที่มาจากความเมตตา ซึ่งเป็นมรดกชิ้นสำคัญที่สุดของมนุษยชาติที่กำลังจะหมดไปในไม่ช้า โลกจะพินาศเร็วกว่าที่คิดชนิดไม่ทันตั้งตัวก็เป็นได้
    เรามาช่วยกันสานต่อ ผูกเชื่อม โยงใยสายสัมพันธ์แห่งความรักอันบริสุทธิ์กันเถิด เริ่มตั้งแต่ตัวเรา ลูกของเรา ญาติของเรา เพื่อนของเรา และผู้คนรอบข้างเรา ที่สุดโลกของเรา เข้าด้วยกันได้หรือยัง ถ้าท่านตอบว่าได้แล้ว ท่านจงเป็นผู้ให้ความรัก ท่านจงเป็นผู้มอบความเมตตานั้นๆ อย่างอ่อนโยนและจริงใจต่อผู้ร่วมสายสัมพันธ์รักนี้เถิด นี่คือสวรรค์บนดินและสวรรค์คนเป็น อย่างแท้จริง


    [FONT=&quot]<o>อนุโมทนาบุญทุกท่านที่อ่านจนจบ ข้อมูลผิดพลาดประการใดขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย ท่านใดมีข้อเสนอแนะ ข้อมูลหรือประสบการณ์ ความรู้ ขอเรียนเชิญ.....</o>[/FONT]

    [FONT=&quot]อุ่นทิพย์จะมาเพิ่มเติมข้อมูลเรื่อยๆ(k)[/FONT]
    ข้อมูลน่ารู้เพิ่มเติม


    เกี่ยวกับเรื่องราวของศิษย์เอกแห่งเจ้าแม่กวนอิมค่ะ
    เจ้าแม่กวนอิม มักจะประทับโดยมีเด็กชายและ หญิงขนาบข้างพระองค์เสมอ ๆนะคะ
    เด็กชาย มีชื่อว่า สุทธนะ เป็นชาวอินเดียและขาพิการนะคะ หน้าตาไม่งามเท่าไหร่ เด็กน้อยนี้ดั้นด้นเดินทางมาจากอินเดียเพือมาขอเรียนพระธรรมคำสั่งสอนจากเจ้าแม่กวนอิมโดยตรงค่ะ ถึงแม้เขาจะขาพิการ แต่ด้วยศรัทธาที่แท้จริง และผ่านการทดสอบจากเจ้าแม่แล้ว เด็กชายสุืทธนะ ก็หายจากขาพิการ พร้อมกับมีหน้าตางดงามเหมือนคนปรกติทั้วไปค่ะ
    ส่วนเด็กหญิงมีชื่อว่า ลุ่งหนู นะคะ ชื่ออาจจะเรียกเพี้ยนกันไปตามท้องถิ่นนะคะ ลุ่งหนูเป็นหลานเจ้าสมุทรนะคะ ที่ท่านเจ้าสมุทรส่งมาถวายไข่มุกราตรีที่จะส่องแสงงดงามเสมอ ๆ เพื่อเป็นการตอบแทนที่เจ้าแม่กวนอิมได้ช่วยชีวิตลูกชายของเจ้าสมุทรไว้นะคะ เมือคราวที่ลูกชายพลาดท่าโดนชาวประมงจับตัวขึ้นฝั่งมาได้นะคะและกำลังจะโดนฆ่าชำแหละเนือขายนะคะ เจ้าแม่กวนอิมได้ส่ง สุทธนะมาทำการซื้อปลาด้่วยเงินทังหมดของเจ้าแม่นะคะ แต่ก็ซื้อไม่ได้นะคะ เพราะคนเกิดทราบว่าถ้าไ้ด้ทานปลาซึ่งเป็นลูกแห่งเจ้าสมุทร คนผู้นั้นจะเป็นอมตะไ่ม่มีวัีนตายค่ะ แต่เจ้าแม่กวนอิมก็สามารถไถ่ชีวิตลูกชายเจ้าสมุทรได้ในที่สุดเนื่องจากท่านได้ แสดงธรรมเทศนาแด่ชาวบ้าน จนพวกเขาซาบซึ้งและตกลงใจที่จะไม่คร่าชีวิตเจ้า ปลาน้อยค่ะ
    ภายหลังเด็กหญิงลุ่งหนู เมื่อไ้ด้ถวายสร้อยไข่มุกราตรีแล้วก็มีความเลื่อมใสในธรรมปฏิบัติแห่งเจ้าแม่กวนอิม จึงได้ปวาราณาตัวเป็นศิษย์แห่งเจ้าแม่ ซึ่งเจ้าแม่ก็ยินดีรัีบเด็กหญิงลุ่งหนูไว้เป็นศิษย์นะคะ โดยมีข้อแม้ว่า เด็กหญิงลุ่งหนูจะต้องเป็นเจ้าของไข่มุกราตรีต่อไปค่ะ
    สั้น ๆ ก่อนนะคะ คุณ ๆ จะเห็นเจ้าแม่กวนอิม ปรากฏร่างเสมอ ๆ พร้อมกับเด็กชายหญิง เด็กชายจะยืนโค้งตัวไปเหมือนย่อเข่าหน่อย เพือรำลึกว่าครั้งหนึ่งเขาเคยขาพิิารนะคะ ส่วนเด็กหญิงก็จะถือสร้อยมุกเสมอ ๆ ซึ่งก็คือไข่มุกราตรีนั้นเองค่ะ
    หวังว่าคงได้รับความรู้นะคะ
    ขอบพระคุณข้อมูลจากสารานุกรมมีเดีย

    ปล.อุ่นทิพย์อัพไฟล์ ทุกคนสามารถ ดาวน์โหลดไฟล์เวิดมาอ่าน ปริ้น บทสวดมนต์ของพระแม่กวนอิมได้นะ:z16

    _heart+love_

    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]​
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • kumim-07.jpg
      kumim-07.jpg
      ขนาดไฟล์:
      73.3 KB
      เปิดดู:
      15,281
    • kaunim.doc
      ขนาดไฟล์:
      114 KB
      เปิดดู:
      405
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มีนาคม 2010
  2. อุ่นทิพย์

    อุ่นทิพย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    23
    ค่าพลัง:
    +254
    อนุโมทนาบุญจร้า:cool:
     
  3. Krisch

    Krisch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    37
    ค่าพลัง:
    +259
    ขออนุโมทนาบุญครับ ขอบคุณสำหรับข้อมูลครับ

    ตอนนี้กำลังรวบรวมปัจจัยสร้างรูปหล่อเจ้าแม่กวนอิม 3 ปาง ถวายโรงเจของวัดแถวลาดพร้าวครับ
     
  4. อุ่นทิพย์

    อุ่นทิพย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    23
    ค่าพลัง:
    +254


    ปางอะไรมั่งหว่า โรงเจอะไรอ่า ลงรายละเอียดๆหน่อยอยากรู้ๆ คริคริ:cool:
     
  5. Krisch

    Krisch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    37
    ค่าพลัง:
    +259
    เด๋วว่าง จัดให้จ้า กะว่าจะสแกนภาพมาลง พอดีมันรวนเมื่อเช้านี้
     
  6. fullmoonsun

    fullmoonsun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    735
    ค่าพลัง:
    +2,321
    anumothana ka
     
  7. อิ่มทิพย์

    อิ่มทิพย์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +34
    ขอขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆมีประโยชน์นะน้องอุ่นทิพย์

    ส่วนตัวก็มีโอกาสไปสักการะท่าน ที่มูลนิธิเทียนฟ้า ดูท่านสงบและเมตตามาก

    ใครว่างๆ ลองไปสักการะท่านดูนะ

    /เซียมซีที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องความแม่นเน้อ..
     
  8. อุ่นทิพย์

    อุ่นทิพย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    23
    ค่าพลัง:
    +254

    /แทคมือไปตำหนักเตาปูนนาว:cool:
     
  9. magnagiled

    magnagiled เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    596
    ค่าพลัง:
    +1,444
    โอย กำลังเหม่อๆ

    เข้ามาเจอรูปแทนตัวของคุณอุ่นทิพย์เข้าไป ใจหายวาบเลย

    ตกใจจริงๆนะครับเนี่ย ถึงว่าเวลาคนไม่มีสติก็จะเป็นเช่นนี้ ตกใจอะไรง่ายๆ

    ผมก็นับถือท่านมาตั้งแต่เด็กแล้วครับ ไม่กินเนื้อวัวเลย

    เวลานึกถึงท่านก็นึกถึงความเมตตาที่เอ่อล้นตลอดเวลาเลย

    อนุโมทนาบุญครับ
     
  10. อุ่นทิพย์

    อุ่นทิพย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    23
    ค่าพลัง:
    +254

    คริคริ ขวัญเอ๋ยขวัญมา:boo:
     
  11. godman

    godman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,006
    ค่าพลัง:
    +2,254
    ส่วนตัวฝันเห็นเจ้าแม่กวนอิมมมาโปรดเรื่องหวย - -* เลข 81 แต่งวดนั้นไม่ได้ซื้อแล้วแถมถูกซะด้วย แค่ปกติผมไม่ชอบเล่นหวยซะด้วย เลยอดไป
     
  12. อุ่นทิพย์

    อุ่นทิพย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    23
    ค่าพลัง:
    +254

    หุหุ มีโชคดีจริงๆ
     
  13. อุ่นทิพย์

    อุ่นทิพย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    23
    ค่าพลัง:
    +254

    คุณพรีมๆสบายดีเป่า :cool:
     
  14. คาคะ

    คาคะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2010
    โพสต์:
    424
    ค่าพลัง:
    +1,533
    ดีจังเลยคะ ตัวข้าพเจ้าก็เหมือนกันคะนับถือมานานแล้วเหมือนกันคะคือไม่กินเนื้อคะ คือตอนที่รู้จักองค์ท่านนั้นยังเป็นเด็กวัยรุ่นอยู่นะคะเห็นรูปเจ้าแม่กวนอิมก็เกิดชอบขึ้นมาก็เช่ามาบูชาไม่ได้คิดอาไรแต่เหมือนเบื้องบนรู้นะคะวันต่อมาได้ฝันนะคะว่าฝันเห็นเจ้าแม่นะคะแล้วก็มีคนมาบอกว่าในฝันนะคะหากจะบูชาเจ้าแม่ก็ให้ถวายเอิ้ลเปิ้ล3ลูกส้ม5ลูกนะคะตั่งนั้นมาก็ทำตามเวลามีเรื่องอารัยทุกใจท่านช่วยเราด้วยมาตลอดนะคะและตั้งใจกับตัวเองแล้วด้วยว่าจะไม่ทานนื้อสัตว์ใหญ่ เช่นวัวควาย ตอนนี้ก็นับถือไหว้มานานแล้วคะ10กว่าปีแล้วคะ นำมาเล่าสู่กันฟัง แล้วก็ไปที่พิษนุโลกนะคะเจ้าแม่องค์ใหญ่สวยมากเลยคะป็นหยกขาวเข้าใกล้ท่านแล้วอฐิฐานจิตนะคะตัวเราจะเย็นสงบ ที่ว่าองค์ขาวใหญ่นี้มีคุณตำรวจท่านนึ่งนะคะสั่งจากเมืองจีนไม่รู้กี่ล้านนะคะมาว่ากันว่าท่านขอพรเจ้าแม่ได้ผลแกเจ็บขาเดินแทบไม่ได้ขอพรเจ้าแม่แล้วขาก็หายเดินได้ปกติแล้วก็ก็เลยแก้บนสั่งทำหยกขาวจากเมืองจีนมาไว้ที่บนเขาพิษนุโลกนะคะและได้มีคนเห็นร่างเจ้าแม่มาประทับที่วัดบนเขาถ่ายรูปให้ดูด้วยคะสวยมากๆๆเลยคะเป็นร่างบางๆๆทะลุเห็นด้านข้างนะคะสวยมากๆๆเลยระคะเป็นบูญตาที่ได้เห็นนะคะตอนนั้นเราไปทำงานที่พิษนุโลกนะคะ คู่ของดาราหลายคนอยู่คะที่ไปไหว้ขอลูกก็มีเยอะคะได้ผลกันทั้งนั้นคะมีรูปให้ดูด้วยนะคะ ตอนนี้ไม่รู้เป็นไงนะคะก็เรื่องนานแล้วนะคะแต่น่าจะคงเหมือนเดิมทุกอย่างนะคะอาจจะเจริญขึ้นกว่าเก่าก็ไม่รู้เหมือนกันนะคะเป็นเรื่องที่ประทับใจไม่มีวันลืมนะคะเดี๋ยวนี้เจ้าแม่ที่ไหนก็มีนะคะแต่ถ้าผ่านไปแถวพิษนูโลกนะคะก็อย่าลืมแวะไว้พระพูทธชินราชและเจ้าแม่บนเขานะคะอะเมซิ่งจริงๆๆเลย
     
  15. อุ่นทิพย์

    อุ่นทิพย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    23
    ค่าพลัง:
    +254

    โอ้ว อ่านแล้วอะเมซซิ่ง อยากเห็นๆจัง:cool::cool:
     
  16. tong5959

    tong5959 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    2,056
    ค่าพลัง:
    +6,083
  17. thep_trione

    thep_trione เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    17
    ค่าพลัง:
    +151
    คุณป้าอุ่นทิพย์ครับ...คุณป้าครับ....... ผมอยากรู้เรื่อง กระสือ กับ กระหัง เอามาโพสต์นะครับ คุณป้า....ครับ รีบๆเอามาลงนะครับ อยากรู้จริงๆ........


    ขอบคุณนะครับ คุณป้าอุ่นทิพย์
     
  18. อุ่นทิพย์

    อุ่นทิพย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    23
    ค่าพลัง:
    +254



    กระสือ เป็นชื่อผีชนิดหนึ่งที่ถือว่าเข้าสิงในตัวผู้หญิงและชอบกินของโสโครก คู่กับ "กระหัง" ซึ่งเข้าสิงในตัวผู้ชาย
    ความ เชื่อเกี่ยวกับกระสือ


    กระสือเป็นผีชนิดหนึ่ง เชื่อกันว่าสิงสู่อยู่ในตัวของคนเพศหญิงซึ่งโดยมากมักเป็นยายแก่ ชอบรับประทานของสดคาว มักออกหากินกลางคืนและไปแต่หัวกับตับไตไส้พุง ส่วนร่างกายคงทิ้งไว้ที่บ้าน เวลาไปจะเห็นเป็นดวงไฟดวงโตมีแสงสีเขียวเรืองวาม ๆ

    ใครคลอดลูกใหม่ กลิ่นสดคาวของเลือดจะชักนำให้ผีกระสือมาและเข้าสิงกินตับไตไส้พุงของหญิงที่ คลอดลูกหรือของทารกที่คลอดนั้น เหตุนี้ชาวบ้านจึงมักเอาหนามพุทราสะไว้ที่ใต้ถุนเรือนตรงที่มีร่องมีรู เพื่อป้องกันมิให้กระสือเข้ามา เชื่อกันว่ากระสือกลัวหนามเกี่ยวไส้

    นอกจากของสดของคาวแล้ว กระสือยังชอบรับประทานของโสโครกเช่นอุจจาระเป็นต้น เมื่อรับประทานแล้วเห็นผ้าของใครตากทิ้งค้างคืนไว้ก็เข้าไปเช็ดปาก ผ้านั้นจะปรากฏเป็นรอยเปื้อนดวง ๆ ถ้าเอาผ้านั้นไปต้มกระสือจะรู้สึกปวดแสบปวดร้อนปากทนไม่ไหวจนต้องมาขอร้อง ไม่ให้ต้มต่อไป

    กระสือนั้นเมื่อเจ็บจวนจะตายก็ไม่ตายง่าย ๆ ต้องคายน้ำลายของตนถ่ายเข้าปากลูกหลานคนใดคนหนึ่งไว้ให้สืบทายาทเป็นกระสือ ต่อก่อน ตนจึงจะตายได้โดยไม่ต้องทุกข์ทรมานอีกต่อไป

    การปราบกระสือนั้น ไม่สามารถไล่ผีที่มาสิงสู่ออกจากร่างเหยื่อได้ ว่ากันว่าวิญญาณนั้นได้หยั่งลึกลงในใจของคน ๆ นั้นแล้ว ฉะนั้น การปราบกระสือก็เท่ากับต้องฆ่าคน ๆ นั้นไปเลย





    คติ เรื่องกระสือในต่างประเทศ


    ในแถบมาเลเซียยังมีเรื่องของผีที่มี ลักษณะคล้ายกระสือของไทยด้วย เรียก "ผีฮันตูปินังกาลัน"

    มีเรื่องเล่าว่า ครอบครัวหนึ่งประกอบไปด้วย พ่อ แม่ ลูก วันหนึ่งในตอนกลางคืน ผู้เป็นพ่อได้ออกไปธุระข้างนอกบ้าน ผู้เป็นแม่ปิดประตูอยู่ในห้อง แล้วนางก็หยิบเอาขวดน้ำมันมนต์มาทารอบคอ สักพักหัวกับตัวของนางก็แยกออกจากกันโดยมีตับไตไส้พุงห้อยติดออกมาด้วย เวลาที่ออกหากินจะเห็นเป็นแสงสีเหลือง และมีเสียงดังดุจลมพัดตลอดเวลาที่นางลอยไปเพื่อขับไล่สัตว์เล็กสัตว์น้อยที่ จะเข้ามายุ่งกับพวงไส้ของนาง ผู้เป็นลูกได้แอบเห็นดังนั้นจึงลองเอาน้ำมันมนต์ของแม่มาลองทาดูบ้าง ขณะที่หัวกำลังจะแยกออกจากตัว เด็กน้อยเกิดกลัวจนร้องโวยวายออกมาว่า "ช่วยด้วย หัวของฉันกำลังจะหลุดออกจากตัวแล้ว" จนชาวบ้านละแวกนั้นได้ยินกันทั่ว แต่ไม่มีใครกล้าเยี่ยมหน้าเข้ามาให้ความช่วยเหลือ จนกระทั่งหัวของผู้เป็นแม่ลอยกลับมา เสียงร้องโวยวายก็เงียบลง หลังจากวันนั้น ครอบครัวนั้นก็ย้ายหนีไปจากที่นั่น และไม่มีใครได้พบเห็นอีกเลย

    นอกจากนั้นแล้วที่ญี่ปุ่นก็มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับ ปีศาจที่สามารถถอดหัวหากินได้ในเวลากลางคืน อาศัยอยู่แถบภูเขาบริเวณมณฑลไค จนซามูไรผู้กล้าผู้หนึ่งที่เลิกจากการเป็นซามูไรแล้ว ได้บวชเป็นพระธุดงค์ผ่านไป หัวหน้าปีศาจในร่างมนุษย์ก็ได้นิมนต์ให้ไปพักที่บ้าน ในเวลากลางคืนพระก็ตื่นขึ้นมากลางดึก หวังจะดื่มน้ำโดยไม่รบกวนเจ้าบ้าน ขณะผ่านไปยังห้องที่เหล่าปีศาจนอนกันพบว่า ทั้งหมดเป็นร่างที่ไม่มีหัวแล้ว พระตามไปดูนอกบ้าน พบเป็นหัวปีศาจ 3-4 หัวล่องลอยไปมา ใช้ลิ้นตวัดกินมดปลวกตามพื้น และคุยกันว่าจะกินพระในเวลาก่อนรุ่ง พระเลยลากเอาร่างที่ไร้หัวเหล่านั้นไปซ่อนไว้ เมื่อปีศาจกลับไปดูที่บ้านไม่พบทั้งพระและร่างของตัวเองเลยตกใจและโกรธจัด ทั้งหมดได้รุมทำร้ายพระ แต่ไม่อาจทำอะไรพระได้ เพราะพระเคยเป็นซามูไรมาก่อน ก็ตายลงเมื่อถึงเวลาเช้า แต่หัวของหัวหน้าปีศาจก็ได้กัดติดกับจีวรพระไม่สามารถถอดออกได้ ต่อมา มีโจรผู้หนึ่งได้ขอซื้อหัวปีศาจนี้จากพระ โจรหวังจะใช้หัวปีศาจนี้หลอกผู้คนเอาเงิน แต่ต่อมากลัวปีศาจจะมาเอาคืน เลยทำสุสานฝังให้ ว่ากันว่าสุสานแห่งนี้ยังมีปรากฏจนถึงทุกวันนี้







    อิทธิพล ของความเชื่อเรื่องกระสือ


    ราชบัณฑิตยสถานแถลงว่า ความเชื่อเรื่องกระสือนี้มีอิทธิพลต่อชีวิตประจำวันของคนไทยโบราณหลายประการ ด้วยกัน เป็นต้นว่า

    1. ผลกล้วยที่แกร็นทั้งเครือ จะเรียกว่า "กล้วยกระสือดูด"

    2. คนตะกละกินหรือคนที่กินอย่างสวาปาม จะเรียกว่า "คนตะกละเหมือนผีกระสือ" หรือ "คนกินเหมือนผีกระสือ"

    3. โคมชนิดหนึ่งซึ่งมีที่เปิดปิดไฟได้และมีแว่นฉายแสงไปได้วาบ ๆ เรียกว่า "โคมตาวัว" หรือ "กระสือ"

    4. ไพลชนิดหนึ่งซึ่งเรืองแสงได้ในที่มืด เรียกว่า "ว่านกระสือ"





    อ้าง อิงจาก






    กระหัง ตามความเชื่อพื้นบ้านมีลักษณะเป็นผีผู้ชาย ที่มีอุปนิสัยคล้ายกับกระสือ

    สามารถบินได้ โดยใช้กระด้งฝัดข้าวลักษณะคล้ายปีกโผบิน และนั่งบนสากตำข้าวควบคู่กัน จริงๆแล้วตามความเชื่อ การที่จะเป็นกระหังได้นั้นไม่ยาก การเป็นกระหังเกิดจาก การผิดครู คือ ผิดคำที่สัญญากับครู(อาจารย์ทางเวทมนตร์)เช่น ต้องห้ามกินอาหารที่เป็นบวบ ห้ามเดินลอดสะพาน การผิดครูจะทำให้เกิดเป็นกระหังประเภทหนึ่ง
    ผีกระหัง
    ตามความหมายของพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน
    <table align="center" border="0" width="100%"><tbody><tr> <td>
    </td> </tr> <tr> <td><table class="fontblacksm" align="center" border="0" width="97%"><tbody><tr><td>
    </td></tr><tr><td>ความหมาย

    น. ผีชนิดหนึ่งที่ถือว่าเข้าสิงในตัวผู้ชาย เชื่อกันว่าเดิมเป็นผู้ชายที่เรียนวิชาอาคมแก่กล้าเข้าก็มีปีกมีหาง จะไปไหนก็ใช้กระด้งต่างปีก สากตำข้าวต่างขา สากกะเบือต่างหาง ชอบกินของโสโครก, คู่กับ ผีกระสือ ซึ่งเป็นผีผู้หญิง.
    </td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>

    [​IMG]
    พจนานุกรม ไทย-ไทย อ.เปลื้อง ณ นคร

    คำแปล

    น. จำพวกเดียวกับผีกระสือ.





    ตำนาน ผีกระหัง​
    กระหัง เป็นชื่อผีอีกชนิดหนึ่ง บางทีก็ใช้ชื่อว่า เกาะหาง เชื่อกันว่า ผู้ชายที่ไปเรียนวิชาอาคมแก่กล้ามากเข้า จะมีปีกมีหาง จะไปไหนก็ใช้กระด้งต่างบิน สากตำข้าวต่างขา สากกระเบือต่างหาง ชอบกินของโสโครกเช่นเดียวกับผีกระสือ

    เรื่องของผีกระหังนั้นไม่ค่อยมีคนรู้เรื่องมากนัก เห็นจะเป็นเพราะไม่มีคนเห็นมันบ่อยนั้นเอง รู้แต่ว่ารูปร่างของมันก็เป็นอย่าง คนเรานี่เอง แต่มีหางอยู่ที่ก้น เป็นผีที่หวงก้นมาก ไม่ยอมให้ใครมาลูบก้นเล่นเพราะกลัวว่าจะไปคลำถูกหางของมันเข้า ก็จะรู้ว่ามันเป็นกระหัง ข้อที่แปลกก็คือ ทั้ง ๆ ที่มีหางอยู่แล้ว ก็ยังใช้สากต่างหางอีกชั้นหนึ่ง บางทีหางเดิมของมันจะสั้นไปก็ไม่รู้ ผีกระหังไม่เคย ปรากฏว่าทำร้ายใครให้เป็นอันตรายเลย
    ขออนุโมทนาบุญข้อมูลจากเวปไซต์ shockinside.com
    :cool:

    ถ้าข้อมูลไม่ครบหรือผิดพลาดประการใดก็ขออภัยด้วยจร้า อุ่นทิพย์หวังว่าคุณคงเข้าใจคำว่ากระหังกับกระสือมากขึ้นไม่มากก็น้อย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กุมภาพันธ์ 2010
  19. boriphat

    boriphat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2006
    โพสต์:
    542
    ค่าพลัง:
    +2,124
    อนุโมทนา อุ่นทิพย์ หัด Post กระทู้เองเหรอครับ
    คริๆ
     
  20. อุ่นทิพย์

    อุ่นทิพย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    23
    ค่าพลัง:
    +254

    จร้า เพิ่งหัดโพส คริคริ:cool:
     

แชร์หน้านี้

Loading...