เรื่องเด่น อารมณ์เบื่อหน่ายวันละนาที

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย โพธิสัตว์ ชาวพุทธ, 1 ธันวาคม 2022.

  1. โพธิสัตว์ ชาวพุทธ

    โพธิสัตว์ ชาวพุทธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    5,297
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,273
    ค่าพลัง:
    +9,528
    43117.jpg


    ⚜️อารมณ์เบื่อหน่ายวันละนาที⚜️

    รวมความว่าเมื่อเห็นว่าร่างกายมีสภาพอย่างนี้ก็เกิด นิพพิทาญาณ คือความเบื่อหน่าย ตอนนี้เป็นตอนที่ ๑ ของพระพุทธเจ้าท่านนะ เพราะว่ามหาสติปัฏฐานสูตรหวังอนาคามีเป็นเบื้องต้น และหวังอรหันต์เป็นขั้นสุดท้าย หวัง ๒ อย่าง ไม่ได้หวังโสดาบันหรือสกิทาคามี ในเบื้องแรกก็เกิดนิพพิทาญาณ ความเบื่อหน่าย เบื่อตรงไหนล่ะ เบื่อที่ร่างกายประคบประหงมขนาดไหนก็ตาม มันก็แก่ทุกวันในที่สุดมันก็ตาย ความไม่ทรงตัวความเปลี่ยนแปลงความเสื่อมไปของร่างกายเป็นอย่างนี้ และปกติของร่างกายก็เต็มไปด้วยของสกปรกโสโครก อุจจาระปัสสาวะก็ดี น้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง ก็ตาม ทั้งหมดนี้มันเป็นของโสโครก เป็นของน่าเกลียด ตอนนี้เป็นอสุภสัญญา เมื่อเป็นอย่างนี้เกิดความรังเกียจเกิดขึ้น ความเบื่อก็เกิด ในเมื่อความเบื่อเกิดจิตจะยับยั้งก็จะเริ่มเกิด ในระยะที่ความเบื่อเกิดขึ้น ญาณในวิปัสสนาญาณ ๙ เกิดขึ้น เรียกว่านิพพิทาญาณ คือความเบื่อหน่าย อันนี้เป็นสมุฏฐานของพระอนาคามี

    ค่อยๆ คิด ค่อยๆ ทำนะ อย่าจู่โจมเกินไป จู่โจมมากเกินไปบอกว่าเบื่อร่างกาย เบื่อร่างกาย เห็นเจ๊งมาหลายรายแล้ว เบื่อถึงที่สุดๆ ก็เจ๊งไปเลย ต้องค่อยๆ ทำ ค่อยๆ คิด ดูตามความเป็นจริงว่าร่างกายของเราในเมื่อจิตวิญญาณมันยังอยู่ ส่วนไหนมีไหมที่มันมีการทรงตัว ดูตั้งแต่ปลายนิ้วขึ้นมา นิ้วมีการทรงตัวไหม นิ้วยาวเท่าเดิมแต่การเปลี่ยนแปลงของนิ้วมันมีอยู่ มันพองขึ้นบ้างมันเหี่ยวไปบ้าง ดูเบื้องสูงมีสภาพทรงตัวไหม นั่นก็คือผม ผมมีสภาพไม่เน่าแต่ผมก็มีสภาพไม่ทรงตัว เพราะว่ามันยาวขึ้นทุกวัน ถ้ายาวเกินพอดีเราก็ต้องตัดผมเพื่อให้พอดี อันนี้ไม่มีการทรงตัวเหมือนกัน ครั้นไปดูหนัง หนังนี่ก็มีสภาพไม่ทรงตัว ถ้าทรงตัวจริงๆ เราอาบน้ำขัดสีฉวีวรรณสะอาดแล้วไม่ต้องทำใหม่ อันนี้เราต้องสร้างความสะอาดให้มันใหม่ทุกวันทุกเวลา หนังก็มีสภาพไม่ทรงตัวมีความเสื่อมไปเป็นปกติเพราะอาศัยที่ร่างกายมีความเสื่อมไปทุกขณะไม่ทรงตัว พระพุทธเจ้าทรงแนะนำว่าให้สร้างนิพพิทาญาณ คือความเบื่อหน่าย

    ในเมื่อดูร่างกายของเราไม่ทรงตัวมีความเสื่อมไปเป็นปกติ อันนี้เรียกว่า กายภายใน ในมหาสติปัฏฐานสูตร เป็นกายานุปัสสนาว่ากันเรื่องกาย ท่านให้ดูกายในกายคือกายของเรา กายเรามีสภาพเสื่อมอย่างนี้ ต่อไปก็ดูกายภายนอกคือกายคนอื่น กายคนอื่นมีสภาพเสื่อมไหม ในที่สุดมันก็เสื่อมเหมือนกัน ในเมื่อเห็นเราก็เสื่อมเขาก็เสื่อม เราจะหวังเอาตัวเราเป็นที่พึ่งของเรา มันจะเป็นที่พึ่งไม่ได้เพราะมันเริ่มจะสลายตัว เอาร่างกายคนอื่นเป็นที่พึ่งก็พึ่งไม่ได้เพราะมีความไม่ทรงตัวเหมือนกัน มีความเสื่อมเหมือนกัน ในเมื่อร่างกายของเรา ร่างกายของเขา กายภายใน กายภายนอก คำว่ากายภายในคือร่างกายของเรา กายภายนอกคือร่างกายของคนอื่น มีสภาพเหมือนกันอย่างนี้ ก็หาความเป็นจริงสร้างความเบื่อ ค่อยๆ คิด

    วันหนึ่งถ้าจะเบื่อสักนาทีก็ใช้ได้ ไหวไหม ถ้าจิตรู้สึกมีความเบื่อด้วยกำลังของนิพพิทาญาณจริง วันหนึ่งนาทีเดียวใช้ได้ ให้มีความรู้สึกตามความเป็นจริงนั่งมองตั้งแต่เท้าถึงศีรษะ ศีรษะถึงเท้า ดูว่าความเสื่อมมันมีอย่างนี้ ความแก่มันเข้ามาใกล้เต็มทีแบบนี้เราไม่ต้องการร่างกายที่มีอาการอย่างนี้ต่อไปอีกเพราะมันมีแต่ความทุกข์เป็นอริยสัจ เห็นความสกปรกโสโครกของร่างกายเป็นสมถะภาวนา เห็นร่างกายมีสภาพของความเสื่อมไม่ทรงตัวนี่เป็นวิปัสสนาภาวนา อธิบายไว้ด้วยนะเดี๋ยวจะไม่รู้ว่าตอนไหนเป็นสมถะหรือวิปัสสนา ในเมื่อความเบื่อเกิดขึ้นถึงที่สุดเราไม่สามารถจะยับยั้งมันได้จิตยอมรับนับถือธรรมดาก็เกิดขึ้นนั่นคือตัวปัญญา อันนี้ปัญญาใหญ่ เห็นความเสื่อมของร่างกายเป็นตัวปัญญา เป็นวิปัสสนา เป็นตัวปัญญาอย่างกลาง เป็นปัญญาของพระอนาคามี

    ในขั้นสุดท้ายเห็นว่าร่างกายไม่ทรงตัวแน่จิตวางเฉย มันจะเฉยจริงๆหรือไม่เฉยมันก็จำเป็นต้องเฉยถ้าความแก่มันจะเกิดขึ้นใครจะห้ามความแก่ได้ ความป่วยไข้ไม่สบายเกิดขึ้นใครจะห้ามความป่วยไข้ไม่สบายได้ ถ้าความตายมันจะมีขึ้นใครจะห้ามความตายได้ ในเมื่อปัญญามีความเข้าใจตามความเป็นจริงว่าทุกสิ่งทุกอย่างนี้ใครห้ามมันไม่ได้ มันต้องเป็นไปตามกฎของธรรมดา ในที่สุดจิตทราบว่าสู้ร่างกายไม่ได้ร่างกายต้องทรงสภาพตามความเป็นจริงของเขาจิตก็ยอมรับ คำว่า จิตยอมรับ ในที่นี้จิตเริ่มมีปัญญาสูงมากนี่ตัวสูงนะ ยอมรับนับถือกฎของธรรมดา รู้ตามความเป็นจริงรู้ทุกวัน แล้วก็ไม่เผลอว่าร่างกายของเราจะไม่ทรงสภาพอยู่อย่างนี้ มันจะต้องเดินเข้าไปหาความแก่ทุกวัน ความทรุดโทรมมันจะมีกับร่างกายทุกวัน อาการอย่างนี้เป็นธรรมดาของมัน

    มันอยากจะเป็นเชิญเป็นไปในขณะที่ทรงร่างกายอยู่ โรคภัยไข้เจ็บก็มารบกวนเป็นของธรรมดา ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ร่างกายมันเป็นโรคนิทัง มันเป็นรังของโรค อันนี้ถือว่าเป็นธรรมดาของร่างกาย คือมันจะป่วยได้เพราะมีร่างกาย ถ้าไม่มีร่างกายมันก็ไม่ป่วย แต่ถือว่าธรรมดาของมันเป็นอย่างนี้ เราก็วางเฉยในอาการของมัน ถ้ามีทุกขเวทนาก็รักษาเพื่อระงับทุกขเวทนา ถ้ารักษาไม่หายมันจะตายก็ตามใจมัน อันนี้เป็นสังขารุเปกขาญาณ ในที่สุดเมื่อร่างกายจะพังคือจะตาย จิตใจก็ยังวางเฉยถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาของร่างกาย มันต้องตายไปในที่สุดอย่างนี้เหมือนกัน


    หนังสือ คำสอนหลวงพ่อวัดท่าซุง ๖๐ หน้า ๑๓๕ - ๑๓๗
     

แชร์หน้านี้

Loading...