อย่ายึดติดในขันธ์ห้า...ถ้าอยากเข้าถึงธรรม

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Tawansai, 2 เมษายน 2011.

  1. Tawansai

    Tawansai สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +0
    ร่างกายของเราประกอบไปด้วยธาตุทั้งสี่ อันนี้หลายคนก็รู้อยู่แล้ว เมื่อธาตุใดธาตุหนึ่งในร่างกายของเราต้องดับลง ร่างกายหรือก้อนเนื้อก้อนนี้จะหาประโยชน์ได้ยากอย่างยิ่ง เราลองมาดูกระบวนการดับของธาตุต่าง ๆ ในร่างกายกันดูนะ ๑. เริ่มจากธาตุลม คือธาตุลมจะดับก่อนอันดับแรก เมื่อธาตุลมดับร่างกายทุกส่วนก็ไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ เพราะธาตุลมนี่เองที่เป็นตัวการที่ทำให้ร่างกายนั้นเคลื่อนไหวได้สะดวก ลองสังเกตุคนที่เป็นอัมพฤกอัมพาธเราจะเห็นได้ว่าสาเหตุส่วนใหญ่เป็นเพราะการเคลื่อนไหวของเลือดลมในร่างกายไหลเวียนไม่สะดวก เพราะฉะนั้นเมื่อธาตุลมดับชีวิตก็จบไปด้วยพร้อม ๆ กัน ร่างกายที่เคยเคลื่อนไหวได้ก็แข็งทื่อไม่ต่างอะไรกับท่อนไม้ที่เกลื่อนอยู่ในป่า ๒. เมื่อธาตุลมดับ ธาตุไฟก็ดับตามด้วย ธาตุไฟนี้ทำหน้าที่ควบคุมอุณหภูมิในร่างกาย ให้มีความอบอุ่นอยู่ตลอดเวลาทำให้ไม่ร้อนเกินไปไม่หนาวเกินไป ช่วยให้อาหารที่รับประธานเข้าไปย่อยได้ง่าย เมื่อธาตุไฟนี้ดับเสียแล้ว กายที่เคยอบอุ่นกลับเย็นยะเยือก ผิวที่เคยมีสีแดงอมชมพูกลับกลายเป็นซีดจาง จนไม่น่าดูน่ามองเลย ต่อให้รักกันขนาดไหนถ้าผิวซีดเป็นศพอย่างนี้ก็... ๓.เมื่อลมไฟดับไปแล้ว ธาตุน้ำในร่่างกายก็จะเสีย ตั้งแต่น้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำดี หรือสารพัดน้ำในร่างกายก็จะค่อย ๆ มีกลิ่นเหม็นก่อให้เกิดเป็นแก๊สขึ้นภายในร่างกาย ส่งผลให้ตัวพองขึ้นอืด จากแต่เดิมหุ่นจะเพียวลมขนาดไหนก็ตาม เมื่อตายแล้วก็อืดทั้งนั้น เพราะแก๊สอย่างที่บอกนี้ขยายตัวอย่างรวดเร็วจนมีอาการตึงไปทั้งตัว เมื่อตึงก็ต้องมีทางระบายถ้าไม่ระบายก็จะระเบิดเหมือนลูกโป่ง แต่โชคดีที่ร่างกายของมนุษย์ได้ถูกออกแบบมาอย่างดี มีทางระบายถึงเก้าทางด้วยกันหรือที่เรียกว่าทวารทั้งเก้า มีตา หู จมูก ปาก เป็นต้น น้ำเหลืองหรือน้ำเสียก็ไหลทะลักออกทางทวารทั้งเก้านี้จนหมดตัว ๔. สุดท้ายก็จะเหลือแต่ธาตุดิน ที่มีแต่ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เอ็น และกระดูก เท่านั้น เมื่อกาลเวลาผ่านไป ธาตุดินเหล่านี้ก็จะย่อยสลายกลายเป็นดินตามชื่อของธาตุนั่นเอง เราจะเห็นได้ว่าร่างกายของเรานี้ถ้ามองกันให้ชัด ๆ กันแล้วไม่มีอะไรเลยที่น่าไปลุ่มหลง ไม่มีอะไรเลยที่น่ายินดี ไม่มีอะไรเลยที่น่ายึดติด ทั้งหมดนี้ก็เป็นเพียงของชั่วคราวเท่านั้น หลวงพ่อท่านก็บอกว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเราเรามาแต่กายละเอียดเท่านั้นนะ เพราะฉะนั้นอย่าลืมนั่งสมาธิกันให้มาก ๆ นะ ปล่อยวางทิ้งทุกอย่างวางทุกสิ่งนิ่งอย่างเดียว โดยเฉพาะการปล่อยวางขันธ์ห้านี้ ถ้าวางได้ก็นิ่งได้ ถ้านิ่งได้ก็หยุดได้ ถ้าหยุดได้ก็เข้าถึงธรรมได้ ก็แค่นี้เอง ขอให้ทุกท่านจงมีความเพียรที่จะปฏิบัติธรรม และขอให้ความเพียรนั้นจงเป็นผลสำเร็จ จงเป็นผลสำเร็จ จงเป็นผลสำเร็จ ได้โดยง่ายจงทุกประการเทอญ
     
  2. หมี พลเสน

    หมี พลเสน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    620
    ค่าพลัง:
    +358
    ผมขออนุโมทนาบุญกับท่านเจ้าของกระทู้ด้วยคนครับ สาธุ สาธุ สาธุ
     
  3. ชาย2550

    ชาย2550 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    198
    ค่าพลัง:
    +1,244
    อนุโมทนา สาธุ กับบทความ อันเป็นธรรมแห่งเครื่องเตือนใจครับ
     
  4. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    อนุโมทนาสาธุกับความคิดดีๆนะคับ...
    ขออนุญาติเสริมนิดหนึ่งนะคับ..คือถ้าตัวจิตเค้าปล่อยวางได้จริงในเรื่องไหน ความหมายในที่นี้คือ จิตเค้าเบื่อหน่ายในเรื่องนั้นจริง..ความคิดที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจในเรื่องนั้นจะไม่ขึ้นมาอีก.ถึงแม้ว่าเราจะเห็นหรือนึกเรื่องนั้น
    มา..จิตเค้าจะไม่ยอมรับเค้ามาเก็บ.เหมือนความคิดที่เกิดจากจิตทั่วๆไปครับ...ถึงแม้ว่าพยายามจะจำแต่ก็จะเข้าสู่จิตเราไม่ได้.
    ประมาณนี้คับ และอาการที่เค้าวางได้ในเรื่องนั้นๆ..ก่อนจะวางเรื่องใดได้..จะรุ้สึกถึงความว่าง อาการคล้ายๆว่าตัวเราเบา
    เหมือนๆจะเหาะได้ และมองไปข้างหน้างได้ไกลมากๆ..
    ขอบคุณคับ..คงไม่ว่านะคับที่จะเสริมในจุดนี้..
     

แชร์หน้านี้

Loading...