เรื่องเด่น อดีตที่ผ่านพ้น ตอนที่ ๕๓ : หลวงปู่มหาอำพัน

ในห้อง 'อดีตที่ผ่านพ้น' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 10 กันยายน 2019.

  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,269
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,519
    ค่าพลัง:
    +26,354
    53.jpg
    อดีตที่ผ่านพ้น ตอนที่ ๕๓ : หลวงปู่มหาอำพัน

    จากห้าสิบกว่าเรื่องที่ผ่านมา ท่านผู้อ่านคงผ่านสายตามาหลายวาระด้วยกัน ที่อาตมากล่าวถึงหลวงปู่มหาอำพัน บางท่านที่ไม่เคยสัมผัสกับหลวงปู่มาก่อน ก็คงจะสงสัยเป็นกำลังว่า อาตมากล่าวถึงผู้ใดกันแน่ ก็ขอเล่าแจ้งแถลงไขไว้ ณ ที่นี้เลย

    หลวงปู่มหาอำพัน (พระภาวนาปัญญาวิสุทธิ์) มีสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ ฝ่ายวิปัสสนาธุระ จำพรรษาอยู่ที่กุฏิ น.๓ คณะเหนือ วัดเทพศิรินทราวาส กรุงเทพฯ ปัจจุบันไม่ต้องไปหาที่นี่ ท่านมรณภาพไปนานแล้ว...!

    อาตมาพบหลวงปู่ครั้งแรก ที่บ้านท่านเจ้ากรมเสริมฯ (พล.อ.ท. ม.ร.ว.เสริม ศุขสวัสดิ์) ซึ่งหลวงปู่ไปฟัง “หลวงพ่อ” สอนธรรมะทุกครั้ง ท่านเล่าให้ฟังภายหลังว่า คุณเฉิดศรี ศุขสวัสดิ์ ซึ่งเป็นภรรยาท่านเจ้ากรมเสริมฯ ได้ถวายหนังสือประวัติหลวงปู่ปานแก่ท่าน...

    พออ่านประวัติหลวงปู่ปานจบ ก็มีความเลื่อมใสต้องการกราบพบ “หลวงพ่อ” จึงสอบถามจากคุณเฉิดศรี ว่าจะไปวัดของ “หลวงพ่อ” ได้อย่างไร คุณเฉิดศรีซึ่งเป็นศิษย์ของหลวงปู่ด้วย จึงกราบเรียนว่า ได้นิมนต์ “หลวงพ่อ” มาที่บ้านเป็นประจำทุกเดือน...

    หลวงปู่ดีใจมากที่ทราบว่า “หลวงพ่อ” มากรุงเทพฯ ทุกเดือน ได้แจ้งความประสงค์ว่า จะไปกราบพบ “หลวงพ่อ” คุณเฉิดศรีจึงส่งรถมารับหลวงปู่ทุกครั้งที่ “หลวงพ่อ” มา ดังนั้น...ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๑๖ หลวงปู่ก็ได้ไปหา “หลวงพ่อ” เป็นประจำ...

    ความมานะ ถือตัวถือตน แม้แต่น้อยหนึ่งก็มิได้มีอยู่ในใจของหลวงปู่ ดังนั้น แม้ว่าท่านจะสูงวัยกว่า “หลวงพ่อ” ๑ รอบ พรรษาแก่กว่าถึง ๑๐ พรรษา ก็ตาม หลวงปู่ก็กราบเท้าของ “หลวงพ่อ” อย่างนอบน้อมสนิทใจ...

    อาตมาเคยถามเรื่องนี้กับหลวงปู่ ท่านกล่าวว่า “พระมหากษัตริย์ยังต้องกราบคนจัณฑาลเพื่อขอเรียนวิชา เราอยากได้ความรู้ ถ้าไปทำตัวใหญ่เป้ง แล้วใครเขาจะกล้าสอนล่ะ...? แล้วนี่ “หลวงพ่อ” ท่านเก่งออกปานนั้น กราบได้รีบกราบเถอะคุณเอ๋ย...”

    หลวงปู่ไปถึงบ้านสายลมก็ดี ไปยังวัด “หลวงพ่อ” ก็ตาม พอกราบพระกราบ “หลวงพ่อ” แล้ว ท่านจะนั่งอย่างสงบเสงี่ยม พูดน้อยแทบนับคำได้ ใครมากราบท่านก็ยิ้มอย่างเดียว...

    อาตมาถามท่านที่กุฏิวัดเทพศิรินทร์ฯ ว่า ทำไมหลวงปู่ไม่คุยเหมือนกับอยู่กุฏิบ้าง หลวงปู่เมตตาตอบติดตลกว่า... “อ้าว...ก็ที่นั่นถิ่นเราซะเมื่อไรล่ะ คุยมาก ๆ คนเขาหมั่นไส้ จะได้ไล่ส่งประไร...”

    แล้วท่านให้เหตุผลที่แท้จริงว่า “ที่นั่นมี “หลวงพ่อ” อยู่ทั้งองค์แล้ว ก็ฟัง “หลวงพ่อ” กันซิ จะมาฟังหลวงปู่ทำไมให้เสียเวลา ให้ไปสอนแข่ง “หลวงพ่อ” จะได้รึ...? อั๊วม่ายล่ะ...!”

    ที่น่าทึ่งอีกอย่างคือ หลวงปู่ป่วยเป็นโรคด่างขาว ท่านเล่าว่าเริ่มเป็นมาตั้งแต่ก่อนบวช ท่านนำรูปสมัยหนุ่ม ๆ มาให้ดู ซึ่งดูแล้วน่ากลัวมาก เพราะว่าลายไปหมดทั้งองค์ หมอหลายท่านพยายามช่วยรักษาจนอ่อนใจก็ไม่ได้ผล...

    แม้ว่าหน้าตาจะดูน่าเกลียดน่ากลัว แต่หลวงปู่ก็ไม่ได้อนาทรร้อนใจ “รูปธรรม นามธรรม” ท่านว่าอย่างนั้น แต่มาภายหลัง ท่านกลับ “ลอกคราบ” กลายเป็นผิวขาวอมชมพู ดูผุดผ่องไปทั้งองค์ “ผู้หญิงเขาอิจฉาแน่ะ...เขาอยากผิวสวยแบบนี้ แหม..อีตอนเป็น “หลวงตาด่าง” ไม่ยักมีใครอยากได้บ้าง...!”

    อาตมามีวาสนาผูกพันกับหลวงปู่แต่ปางบรรพ์ ได้กราบพบท่านตั้งแต่ยังเป็น “หลวงตาด่าง” อยู่ นึกชอบใจว่าท่านยิ้มสวย อีกอย่างก็คือ หลวงปู่เกิดปีเดียวกับพ่อ เลยยึดท่านเป็น “พ่อ” มาตั้งแต่บัดนั้น ที่สำคัญคือ ความสบอัธยาศัยซึ่งกันและกัน ซึ่งหลวงปู่บอกภายหลังว่า “คนรู้ใจกันนี่ดีมาก ไม่ต้องพูดกันนาน...”

    ครั้งแรกอาตมาขอนวดท่าน หลวงปู่บอกว่า “แล้วแต่คุณจะเมตตา...” อาตมาเลยกลายเป็นหมอนวดประจำองค์ท่านไปเลย ภายหลังอาตมาไปเป็นทหาร จึงห่างเหินหลวงปู่ไปพักหนึ่ง พอออกจากราชการ อาตมาก็ไปกราบท่านถึงกุฏิเป็นครั้งแรก...

    เดินส่งเดชเข้ามาทางเมรุ กะว่าถ้าหาไม่เจอก็จะถามคนแถวนี้ดู เดินเรื่อยมาถึงหอเก็บอัฐิท่านเจ้าคุณนรฯ ถามคนทำความสะอาดว่า “หลวงปู่องค์ขาว ๆ ท่านอยู่กุฏิไหนครับ...?” เขาชี้ข้ามไหล่อาตมา ตอบว่า “นั่งอยู่นั่นไง...!”

    จุดไต้ตำภูเขาเลยทีเดียว มาถามหาหลวงปู่ที่หน้ากุฏิของท่านเอง อาตมารีบเข้าไปกราบเท้าท่านด้วยความดีใจ หลวงปู่บอกว่า “เอาธูป – เทียนนี่ไปไหว้ท่านเจ้าคุณนรฯ ก่อน...” อาตมารับธูป – เทียนมา แล้วไปจุดบูชาที่หอเก็บอัฐิหน้ากุฏินั่นเอง...

    ตั้งแต่นั้นมา อาตมาก็ไปหาหลวงปู่ที่กุฏิทุกอาทิตย์ โดยแบ่งเวลาวันอาทิตย์ไปหาหลวงปู่ครึ่งวัน ไปหาแม่ครึ่งวัน อาทิตย์ไหนตรงกับงานวัด หรือ “หลวงพ่อ” มาบ้านสายลม ก็ไปพบหลวงปู่ที่นั่นเลย ไม่ต้องแวะมาที่กุฏิ...

    การไปกราบหลวงปู่บ่อย ๆ ได้เห็นปฏิปทาของท่านเข้า อาตมายิ่งเคารพรักสนิทใจ หลวงปู่ท่านช่างเมตตาคนทุกคนอย่างเหลือเกิน ไม่มีการเลือกที่รักมักที่ชัง ที่อัศจรรย์คือ ความจำที่เป็นเลิศของท่าน...

    เวลาลูกศิษย์มากราบ นอกจากท่านเรียกชื่อถูกทุกคนแล้ว ยังถามไปถึงคุณพ่อ – คุณแม่ ลูก – หลานอีกด้วย มีกี่คน ชื่ออะไรบ้าง หลวงปู่บอกถูกหมด สั่งใครให้ทำอะไรบ้าง พบหน้าท่านถามเรื่องเก่าทันที ลูกศิษย์เป็นพันเป็นหมื่น ไม่รู้ว่าท่านจำได้หมดอย่างไร ช่างมีอัจฉริยภาพที่สูงล้ำจริง ๆ....

    ความละเอียดรอบคอบของหลวงปู่ ยากจะหาใครมาเสมอเหมือน เรื่องอะไรที่ท่านไตร่ตรองดีแล้วและสั่งให้กระทำ อย่าไปหาข้อบกพร่องซะให้ยากเลย ขนาดทำความสะอาด หลวงปู่ยังตรวจแม้แต่หลังตู้ – ขอบโต๊ะ ใครอย่าคิดตีกินเป็นอันขาด...!

    การใช้เครื่องปรุงอาหาร จำพวก ซอส น้ำปลา เกลือ พริกไทย ท่านจะปิดขวดเรียบร้อยทุกครั้ง พวกขวดซอส ขวดน้ำปลา ท่านจะใช้กระดาษเช็ดปากขวดก่อนทุกครั้งจึงปิดฝา ท่านบอกว่าจะได้ไม่ไหลเลอะเทอะเปรอะเปื้อนทีหลัง...

    ประตู – หน้าต่าง ต้องปิดมิดชิดทุกครั้งก่อนจะออกจากกุฏิไปไหน การไหว้พระนั้น จุดธูปแล้วเอามือป้องเป่าไฟให้ดับ ห้ามสะบัดเด็ดขาด เกรงว่าเศษไฟจะกระเด็นไปไหม้ข้าวของ การดับเทียนให้ใช้กรวยเหล็กที่ทำขึ้นเป็นพิเศษครอบให้ดับ...

    อาบัติเล็กน้อยต่าง ๆ ที่มาในอภิสมาจาริยสิกขา หลวงปู่ทรงไว้ได้อย่างไม่มีที่ติ ซ้ำยังช่วยอบรมสั่งสอน จ้ำจี้จ้ำไชให้อาตมาทรงตามไปด้วย ท่านเกรงว่าอาตมาจะไปทำผิดพลาด เป็นการขายหน้าครูบาอาจารย์ที่อื่น ตัวอย่างคือ...

    อาบัติเกี่ยวกับผู้หญิง หลังห้าโมงเย็นไปแล้ว ถ้าไม่ใช่วันถวายสังฆทาน ซึ่งมีคนอยู่จำนวนมาก หลวงปู่จะงดรับแขกผู้หญิงเลย ยกเว้นคุณพรทิพย์ ที่มาช่วยทำความสะอาด ซึ่งต้องมีคุณรุ่งเรืองอยู่เป็นเพื่อนทุกครั้ง...

    การรับแขกผู้หญิง แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ในที่ลับหูลับตา หลวงปู่ก็จะให้อาตมา หรือลูกศิษย์ผู้ชายอยู่เป็นเพื่อนทุกครั้ง มีหลายวาระที่อาตมาขยับจะไปทำธุระอย่างอื่น แต่ท่านเรียกไว้ทุกที “แหม...คุณก็...อยู่เป็นเพื่อนกันก่อนซิ...”

    เวลาฉันอาหาร ต้องใช้ช้อนกลางทุกครั้ง ป้องกันอาบัติฉันร่วมภาชนะ ผลไม้ทุกอย่าง โยมต้องปอกมาเรียบร้อย อาหารชิ้นใหญ่ ต้องแบ่งเป็นชิ้นเล็กพอคำ ของทุกอย่างต้องทำการประเคนให้เห็นกับตาท่านจึงยอมฉัน...

    เรื่องประเคนอาหารนี่เอง วันหนึ่ง อาตมาไปถึงก็บ่ายสองโมงแล้ว พบหลวงปู่นั่งมองสำรับอยู่องค์เดียว ที่แท้ลูกศิษย์ต่างคนต่างคิดว่า วันอาทิตย์คงมีคนมากแล้ว จึงไม่มีใครมา เมื่อหาคนประเคนอาหารไม่ได้ หลวงปู่ก็ได้แต่นั่งมอง...

    อาตมารีบชงโกโก้ถ้วยใหญ่ถวายหลวงปู่ทันที ท่านรับมาฉันแล้วค่อยยิ้มออก พูดแบบเพลีย ๆ ว่า “ชาติก่อนคงไปแกล้งใครเขาเอาไว้ เลยต้องมานั่งมองสำรับ เป็นหมาเห็นข้าวเปลือกแบบนี้...” อาตมาได้ยินเข้าแทบจะร้องไห้เลย...

    มาถึงตอนป่วยอยู่ที่โรงพยาบาลทหารเรือ หลังจากออกราวด์ในตอนเช้าแล้ว หมอผู้ชายทั้งหลายก็หายหมด เวรวันนั้นล้วนแต่เป็นพยาบาลหญิง หลวงปู่เลยไม่ได้ฉีดยา ๑ วัน ท่านว่า “ถ้าหาหมอผู้ชายไม่ได้ ก็ปล่อยให้หลวงปู่ตายไปเถอะ...!”

    หลังจากท่านเจ้ากรมแพทย์ฯ (พล.ร.ท.พนิต ศรียาภัย) ทราบเข้า จึงสั่งพยาบาลชายประจำตึกนี้ทุกวัน เวรละคน อาตมาเองให้หมอผู้หญิงรักษามานักต่อนัก จึงกราบเรียนถามหลวงปู่ว่า “ทำไมไม่ยอมให้พยาบาลหญิงฉีดยาล่ะครับ...?” หลวงปู่ตอบว่า “ไว้ใจได้หรือคุณ...เกิดตอนนั้นมีจิตกำหนัดขึ้นมา แม้แต่แว่บเดียวก็สังฆาทิเสสนะซิ...!”

    โอ...! ท่านทรงความไม่ประมาทในทุกเวลาจริง ๆ เล่นเอานักเล่นกับไฟอย่างอาตมา แทบมุดตึกหนีด้วยความละอาย...ท่านรักษาศีลด้วยชีวิต แต่อาตมามักจะถือคำว่า “ไม่เป็นไร” ซะเรื่อยเชียว...

    ขนาดเจ้า “หม่าเมี้ยว” แม่ของเจ้า “ใหญ่” และเจ้า “ลิลลี่” แม่ของเจ้า “จู๋จี๋” เป็นแมวเป็นหมาตัวเมียแท้ ๆ ถ้าหลวงปู่จะลงมาฉันข้างล่าง เป็นต้อง “เชิญ” เจ้าสองตัวออกไปให้พ้น และปิดประตูดีแล้วนั่นแหละ ท่านจึงจะลงมาฉัน...

    ความเมตตาของหลวงปู่หาที่เปรียบมิได้เลย กระรอกที่แสนเปรียว จะมาขอผลไม้จากหลวงปู่ทุกเช้า มากันทีละหลาย ๆ ตัว แต่ละตัวอ้วนปี๋เชียว หลวงปู่ให้ทำตะกร้าเล็ก ๆ เอาไว้ สำหรับใส่ผลไม้แก่กระรอกโดยเฉพาะ ผูกไว้บนต้นวาสนาต้นใหญ่ ถึงเวลาบรรดากระรอกจะมาล้วงอาหารไปกินเอง...

    อาหารดี ๆ รสแปลก ๆ มักจะเหลือถึงลูกศิษย์อยู่เสมอ เป็นความกรุณาของท่านที่เห็นว่า ยากนักที่ศิษย์บางคนจะมีกิน แต่ท่านก็พูดไปว่า “เขามารับใช้เรานี่นา จะมีอะไรไปตอบแทนความดีเขาเล่า นอกจากอาหารอร่อย ๆ บ้างเท่านั้น...”

    พระ – เณรในวัด ที่มีอดิเรกลาภน้อย จะได้รับความเมตตาจากหลวงปู่ ให้ลูกศิษย์นำอาหารไปถวายอยู่บ่อย ๆ “กระเพาะเราแค่นี้ จะฉันอะไรได้นักหนาเล่าคุณ...ต้องแบ่งคนอื่นเขาบ้าง “เนกาสี ลภเต สุขัง” กินคนเดียวไม่มีความสุขหรอก”...

    แม้แต่มะม่วงสุกที่ท่านชอบมาก ก็อดไม่ได้ที่จะเหลือถึงลูกศิษย์ทุกครั้ง “ข้าวเหนียวมี มะม่วงหมด ลูกศิษย์อด อาจารย์อิ่ม ใช้ได้ที่ไหน จะอดก็อดด้วยกัน ถ้าอิ่มก็ต้องอิ่มด้วยกันซิคุณ...” เล่นเอาลูกศิษย์กินไปสูดจมูกไป น้ำตามันจะไหลนะซิ...!

    คราวที่ท่านป่วยหนัก อาตมาสั่งแขวนป้ายห้ามเยี่ยม แต่ป้องกันไม่สำเร็จ เพราะว่าทุกคนทราบดีว่าถึงป่วยแค่ไหน ถ้าเข้าไปหา หลวงปู่ก็เมตตาลุกมาคุยด้วยทั้งนั้น ท่านรักษาน้ำใจเขาขนาดนี้ แต่ลูกศิษย์นะซิ บางรายก็ร้ายแสน...

    ฟูมฟายน้ำตาอย่างกับเผาเต่า รำพันว่ารักหลวงปู่ ห่วงหลวงปู่ สงสารหลวงปู่สารพัด แต่ส่งแผ่นทองปึกเบ้อเริ่มให้หลวงปู่จารอักขระให้ แม้อาการสาหัสปานนั้น หลวงปู่ก็รับทำให้เขา ดูเอาเถอะ...ระหว่างใจเขากับใจหลวงปู่...

    ออกซิเจนคาจมูกอยู่ก็ไม่วาย มาออกันเต็มหน้าเตียง ไล่เท่าไรก็ไม่ไป “เดี๋ยวซิ...หลวงปู่ยังไม่ยิ้มให้หนูเลย...” ถ้าไม่ติดว่าเป็นผู้หญิงละก็ อาตมาคงเตะให้ทั้ง ๆ ที่ห่มเหลืองอยู่นี่แหละ...! ท่านป่วยจนขยับไม่ไหว ยังเคี่ยวเข็ญเอายิ้มจากหลวงปู่ไปจนได้ คนหนอคน...

    ลูกศิษย์จะยากดีมีจนขนาดไหน หลวงปู่เมตตาเสมอกันหมด ถ้ารับนิมนต์ไว้แล้ว แม้บ้านลูกศิษย์จะสุดโทรมเพียงไร หลวงปู่ก็ต้องไป ขนาดนั่งสวดมนต์บนฟุตบาทก็เอา จะเป็นนายพลเป็นคุณหญิง ยิ่งใหญ่มากจากไหนก็เปลี่ยนใจท่านไม่ได้ทั้งนั้น...

    ความถ่อมตัวของหลวงปู่เกิดจากใจจริง ๆ ไม่ใช่มารยาหลอกกัน ท่านพูดเสมอว่า “แรกบวชใหม่ ๆ ไม่ค่อยจะมีฉัน ตอนนี้ดูซิ...อาหารล้นโต๊ะเลย นี่แหละ...ความดีของสมเด็จพระอุปัชฌาย์ ความดีของท่านเจ้าคุณนรฯ ความดีของ “หลวงพ่อ” แท้ ๆ ทำให้เรามีวันนี้ได้...”

    “สมเด็จพระอุปัชฌาย์ท่านเฝ้าดูมาถึง ๒๑ ปี จึงบอกว่า “ต่อไปนี้ท่านเป็นคู่สวดนะ” ใครมาขอบวช ถ้าไม่รู้จักกับพระในวัดเลย ท่านก็แนะนำว่า “ไปหามหาอำพันเขาซิ เขาอบรมดีนะ” คุณเอ๋ย...ครูบาอาจารย์อย่างนี้จะหาที่ไหน...”

    “ท่านเจ้าคุณนรฯ ท่านบวชทีหลังหลวงปู่ แต่ท่านเก่งนี่...หลวงปู่เลยยกให้ท่านเป็นอาจารย์เลย องค์นี้สุดยอดเลยนะคุณ...พระในกรุงเทพฯ จะหาปฏิปทาอย่างท่านก็แสนยาก โอ๊ย...ปาฏิหาริย์ของท่านเล่าไม่รู้จบหรอก...”

    “หลวงพ่อวัดท่าซุงนะหรือ...? จะมีใครเทียบท่านได้ล่ะ... พระกี่องค์ เทวดากี่องค์ ผีอีกเท่าไหร่ท่านบอกหมดเลย อยากได้ครูบาอาจารย์อย่างนี้มานานแล้ว พวกคุณโชคดีนะ ... อยู่กับครูบาอาจารย์ที่เก่งอย่างนี้ ต้องเอาดีให้ได้นะคุณ...”

    อะไร ๆ ก็เป็นความดีของท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ของท่านเจ้าคุณนรฯ ของหลวงพ่อวัดท่าซุง หลวงปู่กล่าวถึงความดีความเก่งของครูบาอาจารย์อย่างชื่นอกชื่นใจ เทิดไว้เหนือเศียรเหนือเกล้าจริง ๆ ความดีของท่านไม่เคยกล่าวเลย...

    ใครมานิมนต์เอารถราคาแพง ๆ คันโต ๆ มารับ หลวงปู่แทบไม่อยากไป “เรามันพระกระจอก” ท่านว่าอย่างนั้น “ไปนั่งรถคันโตเขาจะว่าบ้าเห่อ” แต่พวกเราทราบดีว่า ท่านทำแบบนี้ เพื่อเปิดโอกาสให้ลูกศิษย์จน ๆ เอาแท็กซี่มารับได้...

    “บวชมาก็ไม่นึกว่าจะเป็นได้ถึงเพียงนี้ ตอนนี้มีลูกศิษย์เป็นนายพลตั้งหลายคน แค่นี้ก็พอแล้วคุณเอ๋ย...ใครจะคิดว่าพระกระจอกอย่างเรา ก็มีนายพลมาไหว้เหมือนกัน...” หลวงปู่พูดยิ้ม ๆ พลางกล่าวต่อว่า...

    “แรก ๆ เรียนไม่สำเร็จ กลับมาก็น้อยใจว่า พรรคพวกเขาเป็นคุณหลวงคุณพระกันหมด เรามัวแต่ต๊อกต๋อยอยู่คนเดียว แต่ตอนนี้เราเป็นคุณพระแล้ว จะเอาอะไรมากกว่านี้ล่ะ...” ท่านหมายถึงตำแหน่งพระภาวนาปัญญาวิสุทธิ์ของท่าน...

    หลวงปู่กล่าวถึงศิษย์ร่วมพระอุปัชฌาย์เดียวกันว่า “ถ้าเป็นพระก็ต้องยกให้ท่านเจ้าคุณนรฯ กับท่านเจ้าคุณสาสน์ฯ ถ้าเป็นฆราวาสก็ต้องอาจารย์กำชัย (ศ.กำชัย ทองหล่อ) อาจารย์กำชัยเป็นอาจารย์สอนภาษาไทยให้สมเด็จพระเทพฯ เชียวนะ...”

    ท่านพูดถึงแต่ความดีของผู้อื่นเสมอ ที่วัดเทพศิรินทร์ฯ นี้ มีธรรมเนียมปฏิบัติสืบ ๆ กันมาอย่างหนึ่งคือ มีการเทศน์ทุกวันอาทิตย์ โดยท่านเจ้าคุณพระสาสนโสภณ (นิรันดร์) เป็นผู้เทศน์ หลวงปู่ไล่ให้อาตมาไปฟังเสมอ...

    “ไปเถอะคุณ...ได้เวลาเทศน์แล้ว ท่านเจ้าคุณสาสน์ฯ เทศน์อย่างนี้เลย” ท่านยกหัวแม่มือชูร่อน อาตมาจึงไปพิสูจน์ และก็เจอดีแทบมุดดินหนี เพิ่งทราบว่าท่านเจ้าคุณสาสน์ฯ ท่านมีดีจริง ๆ และหลวงปู่ต้องทราบจึงให้ไปฟัง...

    วันนั้น...ท่านเจ้าคุณสาสน์เทศน์เรื่อง “ประตูแห่งความเจริญหกประการ” เทศน์เป็นชั่วโมงโดยไม่เลิกสักที อาตมาเป็นคนมีความอดทนน้อย จึงคิดว่า “ไม่เห็นเทศน์เรื่องพระนิพพานสักที อีแบบนี้ เราจะมาทนเมื่อยทำไมวะ...?” เท่านั้นก็ได้เรื่อง...!

    ท่านเจ้าคุณหันขวับมาชี้หน้าอาตมาเลยทีเดียว กล่าวว่า “อย่าโง่ซิ...ทุกอย่างที่พูดมาถ้าคิดเป็น ก็ลงอยู่ในไตรลักษณ์ทั้งนั้นแหละ...” แล้วท่านก็บรรยายเป็นฉาก ๆ ไปเลยว่า อนิจจังไม่เที่ยงแท้อย่างไร ทุกขังเป็นทุกข์อย่างไร อนัตตาไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราอย่างไร ตบท้ายด้วยกลอนว่า...

    สิ่งทุกสิ่งเที่ยงแท้แน่ในโลก
    แต่เป็นโอฆขังรักกักสังขาร
    ใครไม่หลงปลงเห็นเป็นสำคัญ
    เปรียบยวดยานนาวาพาหนะ


    "มีพาหนะแล้วจะไปไหนก็ตามใจคุณ อยากไปพระนิพพานก็ไปซิ เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้…" อาตมากราบลาเปิดแน่บเลย...

    หลวงปู่ท่านสอนลูกศิษย์ให้กราบเท้าคุณพ่อ – คุณแม่ก่อนนอนทุกคน ท่านเล่าว่าตอนเด็ก ๆ คุณแม่ใช้ให้ไปกราบเท้าคุณพ่อก่อนนอน กราบพ่อแล้วจะไม่กราบแม่ก็กระไรอยู่ เลยกราบทั้งพ่อทั้งแม่ตลอดมาตั้งแต่นั้น...

    บางคนโตแล้วบอกว่าอาย ไม่สามารถจะทำได้ เลยถูกดุว่า “ทีเข้าร้านเหล้าเห็นเป็นวีรกรรม ไม่เห็นอายเลย แค่กราบเท้าคุณพ่อคุณแม่กลับอาย อย่างนี้จะใช้ได้เรอะ...?” บรรดาลูกศิษย์ที่บวชกับหลวงปู่ วันลาสิกขา ถ้าคุณพ่อคุณแม่มาด้วย ท่านจะบอกให้กราบเท้าคุณพ่อคุณแม่ต่อหน้าท่านทันทีที่สึกเรียบร้อย...

    “คุณพ่อคุณแม่ คือพระอรหันต์ของลูก ๆ เราต้องเคารพเชื่อฟัง และกตัญญูต่อพ่อแม่ ไม่ว่าจะทำอะไรก็มีแต่ความเจริญ” หลวงปู่ท่านไม่ได้สอนอย่างเดียว ท่านเองทำให้ดูเป็นตัวอย่างด้วย...

    ทุกปี ในวันครบรอบวันมรณภาพของท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ พระอุปัชฌาย์ของท่านก็ดี ของคุณพ่อ – คุณแม่ก็ดี หลวงปู่จะทำบุญเลี้ยงพระ ถวายสังฆทานอุทิศส่วนกุศลแก่ผู้ล่วงลับทุกครั้ง ของที่ทำบุญ ต้องเลือกแล้วว่าดีที่สุดทั้งสิ้น...

    ทุกวันศุกร์อันเป็นวันมรณภาพของท่านเจ้าคุณนรฯ ผู้เป็นทั้งสหธรรมิกและครูบาอาจารย์ หลวงปู่จะจัดถวายสังฆทานมิได้ขาด ทำติดต่อกันมาทุกวันศุกร์ จนกระทั่งหลวงปู่มรณภาพ รวมเป็นเวลาถึง ๑๘ ปี ติดต่อกัน...

    ทุกคืนขณะสวดมนต์ ท่านจะท่องลำดับรายชื่อของบรรดาผู้มีพระคุณต่อท่าน ตั้งแต่ต้นมาถึงปัจจุบัน ตั้งใจอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ล่วงลับไปแล้ว ขอให้ผู้ยังมีชีวิตอยู่มีความสุขความเจริญ รายชื่อเป็นร้อยเป็นพันนั้น มีลำดับก่อนหลังที่แน่นอนตายตัว บางทีท่องไปตั้งครึ่งตั้งค่อนแล้วลำดับผิด หลวงปู่จะเริ่มต้นใหม่ทันที...

    กับหลวงพ่อวัดท่าซุง ซึ่งหลวงปู่ถือเป็นครูบาอาจารย์องค์หนึ่ง ทุกวันเกิดของท่าน หลวงปู่จะจัดของขวัญไปถวาย พร้อมกับกราบเท้า ล้างเท้า เช็ดเท้าให้ท่าน กิริยาอาการนั้นนอบน้อมนุ่มนวล ออกมาจากดวงใจที่บริสุทธิ์จริง ๆ อาตมาเห็นทีไรน้ำตาซึมทุกที แค้นใจที่ตัวเองทำอย่างหลวงปู่ไม่ได้...

    “เรื่องนี้บางทีลูกศิษย์เขาไม่ยอมเข้าใจหรอก ก็ช่างเขาเถอะ...เรากราบครูบาอาจารย์ของเรานี่นา ถ้าเกรงว่าเขาจะว่าเราประจบหลวงพ่อ ก่อนกราบก็ว่า สุปฏิปันโน ภควโต สาวกสังโฆ สังฆังนมามิ ก็หมดเรื่อง...”

    เกี่ยวกับธรรมะต่าง ๆ หลวงปู่จะยอมสอนก็ต่อเมื่อหลีกเลี่ยงไม่ได้จริง ๆ เท่านั้น ท่านบอกว่า “ของจริงนิ่งเป็นใบ้ ของพูดได้ยังไม่จริง” คำสอนก็คือ “ให้รักษาศีลให้บริสุทธิ์ ทำความเคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ให้แน่นแฟ้นจริงจัง แล้วคิดว่าตายเมื่อไร เราจะไปนิพพาน...เท่านี้ก็พอแล้วคุณ”

    เมื่ออาตมาเอาดอกไม้ – ธูป – เทียนแพ ไปกราบลาหลวงปู่เพื่อจะไปบวช หลวงปู่ให้โอวาทว่า “ถ้าบวชน้อยอย่างต่ำต้องเป็นพระโสดาบันให้ได้ ถ้าบวชนานก็เอาพระนิพพานเลยนะ...” อาตมายังจำโอวาทนี้ได้ดีเสมอ นึกขึ้นมาทีไรเห็นภาพตอนนั้นชัดเจนแจ่มใสทุกที...

    หลวงปู่ท่านขยันทำบุญจริง ๆ นอกจากจะถวายสังฆทานทุกวันศุกร์แล้ว ท่านยังใส่บาตรทุกเช้าด้วย อาตมาเคยถามว่า “หลวงปู่ครับ...ทุกวันนี้บุญของหลวงปู่ก็กินไม่ไหวใช้ไม่หมดอยู่แล้ว ทำไมหลวงปู่ยังต้องทำบุญอีกละครับ...?”

    “ไฮ้...คุณนี่...คนเราถ้าขึ้นถึงขอบเหวแล้ว ก็มีแต่รีบ ๆ หนีไปให้ไกลจากมัน มัวแต่นั่งอยู่ตรงนั้น เดี๋ยวมันกลิ้งตุ้บลงไปอีกก็แย่ซิ...” ท่านไม่ยอมประมาทจริง ๆ ขนาดใกล้มรณภาพยังแอบถามอาตมาว่า... “อย่างผมนี่ไปนิพพานแน่นะ...!”

    อาตมาต้องนั่งยันนอนยันว่า “แน่นอนครับ “หลวงพ่อ” และหลวงปู่บุดดาบอกมาเป็นสิบปีแล้ว...” ท่านทำท่าโล่งใจ พลางกล่าวว่า “ไม่มาเกิดเป็นดีที่สุด ผมเบื่อร่างกายนี้เต็มทีแล้ว ไม่รู้ว่ามันจะทุกข์อีกนานเท่าไร...?”

    หลวงปู่เป็นของจริงที่นิ่งเป็นใบ้จริง ๆ ท่านมีความสามารถพิเศษมากมาย แต่น้อยครั้งจะแสดงออก ครั้งหนึ่งอาตมาสงสัยเรื่องการแสดงฤทธิ์ ว่าในขอบเขตของความเป็นพระ เราจะใช้ได้ในโอกาสใดบ้าง

    ประจวบกับหนังสือพิมพ์ลงข่าวว่าชาวนากำลังแย่ เพราะว่าข้าวกำลังขาดฝน หลวงปู่ก็แสดงปาฏิหาริย์ ทำให้ฝนตกซึ่ง ๆ หน้า เป็นการบอกว่า ถ้าเพื่อช่วยเหลือคนหมู่มาก ไม่เกินกฎของกรรมก็ใช้ได้ พร้อมกับกำชับอาตมาไม่ให้บอกใคร...

    นอกจากนั้นแล้ว หลวงปู่ยังมีหูทิพย์อีกด้วย...ถึงจะใส่เครื่องช่วยฟังถึงสองเครื่อง แถมต้องตะโกนซ้ำถึงได้ยิน แต่ถ้าคุยธรรมะผิด แม้กระซิบห่างเป็นวา หลวงปู่ก็ช่วยแก้ให้ถูกได้ เรื่องนี้ท่านบอกกับอาตมาว่า...

    “จะให้ได้ยินเรื่อยไปก็ไม่ไหว บางคนพูดแต่เรื่องเพ้อเจ้อ จะเอาแต่ประโยชน์ตนทั้งนั้น ถ้าไม่ได้ยินเขาก็ไม่รบกวน เอาแค่จำเป็นดีกว่า...” ขนาดอาตมาหัวเราะในใจท่านก็ได้ยิน เรื่องนี้คนไม่เชื่อก็ถามกับหลวงพี่มนตรีดูได้...

    วันนั้น...หลวงพี่มนตรี (พระมนตรี สุมนฺตี) จะดูหนังสือสอบ หลวงปู่ท่านเลยรีบสวดมนต์ชุมนุมเทวดาแบบเร็วปรื๋อเลย เทวดาท่านก็มาพรืดทันใจเหมือนกัน อาตมาเห็นดังนั้นอดขำไม่ได้ เลยหัวเราะหึ...หึ...อยู่ในใจคนเดียว...

    หลวงปู่หยุดสวดมนต์ หันมาพูดกับอาตมาว่า “หัวเราะอะไรคุณ...? เดี๋ยวเลิกสวดมนต์เล่าให้ฟังบ้างนะ...” หลวงพี่มนตรีมองอาตมาแบบงง ๆ เพราะไม่เห็นใครหัวเราะสักคน พอหลังสวดมนต์ อาตมากราบเรียนให้หลวงปู่ฟัง เลยหัวเราะกันครื้นเครง ดูเหมือนหลวงพี่มนตรีจะแอบบันทึกเสียงเอาไว้ด้วย...

    เรื่องของตาทิพย์นั้น ลูกศิษย์คนไหนทำอะไร ท่านจาระไนให้อาตมาฟังเป็นฉาก ๆ และให้ไปสอบถามเอาว่าจริงไหม พี่มุกดาพี่สาวของอาตมา เอาตะกรุดมาถวาย ท่านแบมือทวงทันทีที่เห็นหน้าเลยเชียว...

    ที่ท่านเล่าให้คนอื่นฟังสองเรื่องคือ ท่านเห็นพระกาลมาหา และเห็นพระบรมสารีริกธาตุแสดงปาฏิหาริย์ที่พระธาตุจอมกิตติ “แต่คนอื่นเขาไม่เห็นหรอกนะ” โธ่...ก็เขาทำแบบหลวงปู่ได้ซะเมื่อไรละครับ...!

    ทางด้านมโนมยิทธิ อันเป็นการถอดกายทิพย์ไปภพภูมิต่าง ๆ ซึ่งเป็นวิชาของหลวงพ่อวัดท่าซุงนั้น หลวงปู่ก็ทำได้ดี ตอนบวชใหม่ ๆ อาตมาคิดถึงหลวงปู่มาก หลวงปู่ก็เมตตาไปหาด้วยกายทิพย์ถึงสองวาระด้วยกัน ทั้งกลางวันและกลางคืน...

    ขณะที่ป่วยอยู่ที่ ร.พ. ทหารเรือ เมื่อทราบว่า พล.ร.ท.ประเสริฐ ท้วมเริงรมย์ ลูกศิษย์เก่าแก่คนหนึ่งมาป่วยอยู่ใกล้ ๆ หลวงปู่พอดีมีอาการปวดข้อด้วยโรคเก๊าท์เดินไม่ได้ ท่านเลยถอดกายทิพย์ไปเยี่ยม...

    พอดีหมอมาตรวจประจำวัน พอจับชีพจรเข้า นต.นพ.สุรเสน ตวงวรนันท์ก็แทบจะช็อกตาย...เพราะว่าถ้าทรงสมาธิสูงเท่าใด ชีพจรก็เต้นอ่อนลงเท่านั้น ยิ่งเป็นฌานสี่เต็มกำลังละก็ เหมือนคนตายดี ๆ นี่เอง จะเหลือเพียง “ลมละเอียด” นิดเดียวเท่านั้น...

    อาตมาเห็นท่าไม่ดี จึงกระซิบบอกหลวงปู่ว่าหมอมาตรวจ หลวงปู่ทราบดังนั้นก็ดึงกายทิพย์กลับ ลืมตายิ้มหวานกับหมอ พลางกล่าวว่า 'ฝัน' ว่าไปเยี่ยมลูกศิษย์มา” หมองงเป็นไก่ตาแตก เพราะตอนนี้ชีพจรปกติทุกอย่าง...

    หลวงปู่ให้หวยแม่นมากด้วยนะ ที่ทราบเพราะอาตมาอยู่ในเหตุการณ์ด้วย เนื่องจากอาการป่วยของท่านมีแต่ทรงกับทรุด ลูกศิษย์ทั้งหลายต่างก็พยายามช่วยกันทุกทาง พวกพี่มุกดา คุณรุ่งเรือง คุณพรทิพย์ ฯลฯ ก็ปล่อยปลาเป็นการใหญ่...

    พอไปบอกให้หลวงปู่โมทนากุศล ท่านมองหน้าแต่ละคนแล้วถอนใจเฮือก เพราะว่าทุกรายกระเป๋ากลวงแทบทั้งสิ้น เมื่อเขามีมิตรจิต หลวงปู่ก็มีมิตรใจ หยิบรูปท่านเจ้าคุณนรฯ มาเขียนเลขไว้ข้างหลังรูป แล้วส่งให้...

    “อย่าลืมซื้อนะ...” ท่านกำชับ ทุกคนไม่ลืมหรอก แต่ซื้องวดเดียวพอผิดก็เลิกตาม งวดถัดมาออกเจ๋งเป้งไปเลย...! เล่นเอาเต้นผางไปตาม ๆ กัน นั่งบ่นเป็นหมีกินผึ้ง เกี่ยวกับเรื่องบุญมีแต่กรรมบังอะไรทำนองนี้แหละ...

    การรู้วาระจิตของบุคคลอื่น หลวงปู่ก็แสดงความมหัศจรรย์นับครั้งไม่ถ้วน ทุกคนต่างทึ่งกันโดยทั่วหน้า อาตมาขยายรูปหลวงปู่ไว้ ๑ รูป อยากจะขอลายเซ็นเป็นที่ระลึก พอหลวงปู่ไปวัดท่าซุง อาตมาก็ถือรูปย่องเข้าไปหา...

    จะทำอย่างไรดีล่ะ...? การใช้พระนั้น โทษเบาที่สุดก็เป็นทาสเขา ๕๐๐ ชาติเชียวนะ อาตมาลังเลอยู่ หลวงปู่ก็ถามว่า “คุณเอาอะไรมา...?” “รูปของหลวงปู่ครับ” “อือม์...สวยดี แต่ถ้ามีลายเซ็นจะสวยกว่านี้มาก...”

    ท่านว่าพลางคว้าปากกาเมจิกมาเซ็นชื่อให้ พอเรียบร้อยก็ส่งคืนอาตมา ยิ้มพลางพูดว่า “ใช้ได้แล้ว” อาตมากราบก้นโด่งไปเลย ใครเจอเข้าแบบนี้คิดว่าคงเหมือนกับอาตมาทั้งนั้น คือซาบซึ้งจนพูดไม่ออกบอกไม่ถูก...

    หลวงปู่เป็นหนอนหนังสือชั้นยอดเลยทีเดียว ในกุฏิของท่านเนืองแน่นไปด้วยตำรับตำรา ทั้งภาษาไทยและต่างประเทศ ใครซื้อหนังสือมาถวาย จะเป็นประเภทไหนก็ตาม หลวงปู่จะตั้งอกตั้งใจอ่าน จนกว่าจะจบจึงยอมเลิก บางทีถึงตีสองตีสามก็มีอยู่บ่อย ๆ...

    อาตมาชอบหนังสือประเภทลึกลับ หาข้อพิสูจน์ได้ยาก พอเอามาอ่านทีไร หลวงปู่ขออ่านด้วยทุกที หนังสือพิมพ์แต่ละฉบับท่านอ่านทุกคอลัมน์ คราวหนึ่งท่านชี้ให้อาตมาดูรูปสาวโฆษณาชุดชั้นใน พลางกล่าวว่า “ก็มีแต่แบบนี้ มันถึงมีข่าวข่มขืนแล้วฆ่าได้ทุกวัน” อ่านไปอ่านมาท่านถอนใจเฮือก วางหนังสือพิมพ์และพูดว่า “มันมีแต่ทุกข์นะคุณนะ...”

    เมื่อ “หลวงพ่อ” มาบ้านซอยสายลม หลวงปู่จะฟัง “หลวงพ่อ” บรรยายธรรมะทุกวัน ยกเว้นมีเหตุสุดวิสัยจึงยอมขาด ประมาณ ๑๘.๔๕ น. หลวงปู่จะไปถึงพอดี พอนั่งพักสักครู่ “หลวงพ่อ” ก็ลงมาคำทักทาย – ตอบรับ มีประจำคือ “อ้อ...หลวงน้ามาแล้วหรือ...?” หลวงปู่ก็ตอบว่า “ขอรับกระผม” ทุกครั้งไป...

    เมื่อ “หลวงพ่อ” บรรยายธรรม หลวงปู่จะตั้งสมาธิฟังแบบใจจดใจจ่อ อาตมาซึ่งนั่งนวดเท้าให้ท่านสังเกตเห็นว่า ใจของหลวงปู่รวมลงเป็นหนึ่งเดียว สนิทแนบแน่นตลอดเวลาสามสิบนาที พอจบท่านจึงถอนสมาธิเพื่อสมาทานพระกรรมฐาน...

    ปกติของพระทั่วไป เวลาตั้งนะโมฯ ให้สรณาคมน์จะพนมมือ เมื่อถึงตอนให้ศีลจะเอามือลง แต่หลวงปู่ท่านเคารพในศีลถึงขนาดพนมมือรับศีล ๕ กับทุกคนด้วย แถมสมาทานศีลเสียงดังเป็นตัวอย่างแก่ศิษย์ “หลวงพ่อ” อย่างน่าชื่นชม...

    เวลามีผู้ถวายปัจจัยทำบุญ “หลวงพ่อ” จะอธิษฐานจิตให้ทุกครั้ง เพราะว่าพวกเรามักถอด สร้อย แหวน ปากกา นาฬิกา ลงในถาดใส่ของเพื่อเป็นเครื่องหมาย “หลวงพ่อ” เลยเสกให้เรียบร้อย พวกเราพนมมือรับพร หลวงปู่ก็พนมมือรับด้วย พอจบท่านก็ลูบศีรษะ พลางกระซิบกับอาตมาว่า “รับดีใส่เกล้า...”

    “หลวงพ่อ” มอบหมายให้หลวงปู่เป็นผู้รับสังฆทานหลังกรรมฐานทุกครั้ง ปัจจัยที่รับมาหลวงปู่จะถวายให้ “หลวงพ่อ” แล้ว “หลวงพ่อ” ก็กลับมอบถวายหลวงปู่อีกที หลวงปู่พูดแบบชื่นชมว่า “คงไม่มีครูบาอาจารย์องค์ไหนให้เงินลูกศิษย์เป็นล้านอย่าง “หลวงพ่อ” หรอกนะ...”

    ยามที่วัดท่าซุงมีงาน หลวงปู่จะไปร่วมงานทุกที เมื่อมีผู้ถวายปัจจัย หลวงปู่ก็จะถวาย “หลวงพ่อ” หมดทุกครั้ง “หลวงพ่อ” จัดให้หลวงปู่นอนเตียงของท่านเอง แต่หลวงปู่ให้เอาที่นอนลงมาปูบนพื้นแล้วนอน “อย่าตีเสมอครูบาอาจารย์ มันไม่ดี..”

    วันเกิดของหลวงปู่ธรรมชัย ปี ๒๕๒๘ “หลวงพ่อ” มอบ “ไม้ถือ” แก่หลวงปู่ ให้หลวงปู่แตะศีรษะญาติโยมเพื่อให้พร หลวงปู่ท่านแตะไปพักเดียวก็วาง กล่าวว่า “มันจะเป็นการตีเสมอครูบาอาจารย์ ถ้า “หลวงพ่อ” หรือหลวงปู่ธรรมชัยจะทำก็ไม่เป็นไร ท่านเก่งนี่...แล้วเราเป็นใครล่ะ...? จะให้ทำแบบท่านได้หรือ...?”

    ความอ่อนน้อมถ่อมตนของหลวงปู่ เล่นเอาพระวัดท่าซุงช็อกมาหลายครั้ง เพราะว่ายามพบหน้าหลวงปู่จะไหว้ก่อนทุกที แม้แต่อาตมาที่เพิ่งบวชหลวงปู่ก็ไหว้ เล่นเอาเหงื่อแตกพลั่ก กลัวนรกจะกินกบาล คราวหน้าต้องค่อย ๆ ย่องหลบหลีกเข้าไป พอถึงก็พรวดเข้ากราบเท้าท่านก่อน...เฮ้อ...รอดตัวไปที...

    หลวงปู่ท่านรักษาน้ำใจคนเป็นที่สุด แม้บางคนช่วยทำงานให้หลวงปู่แล้วไม่ได้เรื่อง ก็ไม่เห็นท่านว่าอะไร นอกจากให้พร ใครจะไปจะมา ถวายของนิดของหน่อย ท่านเป็นให้พรทุกครั้ง คนแรกรับพรยังไม่ทันลุก คนที่สองเข้ามา ท่านก็ให้พรอีกรอบหนึ่ง...

    คราวท่านป่วยหนัก เวลาให้พรท่านจะหอบ หายใจไม่ทัน พวกเราขอให้ท่านเปิดเทปให้พรแทน แต่ท่านไม่ยอม บอกว่า “โธ่เอ๊ย...เทปมันจะชื่นใจเหมือนเสียงจริงได้อย่างไร...?” พยาบาลเลยชักแถวมากราบขอพรท่านทุกวัน...

    กับท่านเจ้าคุณนรฯ ที่หลวงปู่เคารพเป็นครูบาอาจารย์องค์หนึ่ง หลวงปู่ท่านมักจะเล่าประวัติ ตอนที่ประกอบด้วยปาฏิหาริย์ของท่านเจ้าคุณนรฯ ให้ฟังเสมอ เรื่องที่เล่าบ่อยคือเรื่องลูกศิษย์ถูกเชือดคอที่ตรอกไข่ ยังเรียกสามล้อมาโรงพยาบาลกลางได้...

    พอท่านไปเยี่ยมลูกศิษย์ เขาเล่าให้ฟังว่า เห็นท่านเจ้าคุณนรฯ อยู่ด้วยตลอดเวลา บอกให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ จนหมอเย็บแผลให้เรียบร้อย และหายดีในเวลาไม่นาน อีกเรื่องคือพลเรือเอกประพันธ์ จารุมณี ไปรับเรือที่อเมริกา ผจญคลื่นยักษ์แต่ฝ่าฟันมาอย่างปลอดภัย ด้วยบารมีท่านเจ้าคุณนรฯ...

    เรื่องลูกศิษย์ถูกยิงเข้าหัวใจ ๕ นัด แต่กระสุนติดอยู่แค่ใต้ผิวหนัง เพราะเรียกนามท่านเจ้าคุณนรฯ คือ “ธมฺมวิตกฺโก” ให้ช่วย หลวงปู่ย้ำว่า “เวลาเกิดอะไรขึ้น ท่องคำว่า “ธมฺมวิตกฺโก” ไว้นะ” ใครมาขอเหรียญท่านเจ้าคุณนรฯ หลวงปู่จะย้ำคำว่า “ธมฺมวิตกฺโก” ให้เขาเหล่านั้นนำไปท่องเสมอ...

    พระแก้วมรกตเป็นมิ่งขวัญประจำชีวิตของหลวงปู่ ท่านมีรูปพระแก้วขนาดเล็กติดย่ามไว้เสมอ เวลานั่งกรรมฐาน ก็จะนำรูปพระแก้วมาเป็นนิมิต ตอนป่วยอยู่โรงพยาบาล หลวงปู่นำรูปพระแก้วไปไว้ที่หัวเตียง กราบไหว้อยู่ทุกวัน...

    ใครมีอะไรขัดข้องมา หลวงปู่จะแนะนำให้บนบานต่อพระแก้วมรกต ของแก้บนคือพริกกับเกลือ และไข่ต้มร้อยฟอง ซึ่งมีผู้บนสำเร็จมามากต่อมากด้วยกัน ไข่ต้มถ้าไม่กินเอง ก็นำไปให้สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เป็นอาหารของเด็ก ๆ เหล่านั้นแทน...

    “ตอนยังแข็งแรงอยู่ เวลาออกพรรษาแล้ว หลวงปู่จะไปไหว้พระปฐมเจดีย์ พระพุทธชินราช พระพุทธชินสีห์ และพระแก้วมรกต ทุกปี ถ้าคุณยังบวชอยู่ ควรไปให้ได้ทุกปีนะ...” อาตมารับคำใส่เกล้า และปฏิบัติตามคำสั่งหลวงปู่มาจนทุกวันนี้...

    วัดสนามรัตนาวาส เป็นวัดที่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวรมหาเถระ) พระอุปัชฌาย์ของหลวงปู่สร้างไว้ หลวงปู่จึงบูรณะซ่อมแซมต่อมา จากวัดที่แทบไม่มีอะไรเลย กลายเป็นวัดใหญ่ที่สวยที่สุดของจังหวัดระยองไป หลวงปู่ท่านเล่าถึงการสร้างวัดนี้อย่างชื่นชมทุกครั้ง...

    ท่านเล่าว่าเงินทุนก้อนแรก มาจากการจัดงานฉลองวันเกิดของท่าน และกลายเป็นงานของท่านที่จะซ่อมจะสร้างไปโดยปริยาย ท่านกล่าวถึงโบสถ์ที่ปูหินอ่อนถึงเพดาน กุฏิ ศาลา ที่ทำด้วยปูนเป็นเปลือกไม้ หลอกตาคนสนิทดีนัก ดูไม่ดีจะนึกว่าเป็นท่อนซุงทุกที...

    ท่านว่าทำปูนเปลือกไม้ตุ๊กแกเกาะไม่ได้ และคนมือบอนก็ไม่มาขีดเขียนด้วย กล่าวถึงบานประตู - หน้าต่างโบสถ์ที่เป็นทองเหลือง สลักลายไทยเป็นท้าวจตุโลกบาล “คุณเอ๋ย...ถ้าได้ลงยาเคลือบเงาละก็...สวยอย่างงี้เลย...”

    เศียรพญานาคที่แกะจากก้อนหินก้อนละ ๔ ตัน เป็นแบบนาคศิลปะขอมของปราสาทหินพนมรุ้ง หลวงปู่ลงทุนบุกไปถึงเขาพนมรุ้ง ถ่ายภาพมาละเอียดยิบ จ้างช่างแกะเป็นราวบันไดขึ้นโบสถ์ ใครมาหลวงปู่ก็อวดเขาอย่างชื่นชม...

    โครงการของหลวงปู่มีอีกมากมาย เช่น ขุดสระน้ำ ปลูกต้นลำพูรอบสระ ทำสวนมะขามหวาน มะม่วงมัน ขนุนพันธุ์ดี เพื่อขายเป็นทุนบูรณะวัด น่าเสียดายหลวงปู่มาด่วนสิ้นไปก่อน จึงไม่ได้เห็นความคิดความอ่านของหลวงปู่เป็นรูปธรรมขึ้นมา...

    เพื่อนสหธรรมิกที่สนิทสนมกับหลวงปู่เป็นอย่างมากคือ หลวงปู่ครูบาธรรมชัย แห่งวัดทุ่งหลวง จังหวัดเชียงใหม่ และหลวงปู่ครูบาไชยวงศ์ แห่งวัดพระพุทธบาทห้วยต้ม จังหวัดลำพูน ทั้งสามองค์รักใคร่ผูกพันกันเหมือนพี่น้องร่วมอุทรเลยทีเดียว...

    งานทำบุญวันเกิดของหลวงปู่ทุกปี หลวงปู่ครูบาทั้งสองต้องมาทำพิธีสืบชะตาต่ออายุให้ พอวันเกิดหลวงปู่ทั้งสองบ้าง ก็ต้องพบหลวงปู่ในงานของท่านเช่นกัน ถ้อยทีถ้อยอาศัย ไปเยี่ยมเยียนกราบกรานกันอยู่เสมอ...

    บรรดาศิษย์ทั้งหลายของหลวงปู่ทั้งสามองค์ ชอบดูหลวงปู่ท่านกราบกรานซึ่งกันและกัน ดูเท่าไรก็ไม่รู้เบื่อ ท่านแสดงความนอบน้อมถ่อมตน ช่างนุ่มนวลชวนมองอะไรปานนั้น กราบแล้วกราบอีก ต่างองค์ต่างยกย่องเคารพในธรรมซึ่งกันและกัน ต่างองค์ต่างลดตัวเป็นผู้น้อย เคารพนบไหว้อีกองค์อย่างนอบน้อมจริงใจ ช่างเป็นภาพประทับใจจริง ๆ เห็นแล้วปลื้มใจเป็นอย่างยิ่ง...โอหนอ...ครูบาอาจารย์ของเรา...

    ทุกวันวิสาขบูชา จะเป็นวันที่หลวงปู่แจกรางวัลให้แก่นักเรียนที่เรียนดี ซึ่งท่านทำติดต่อกันมาเป็นสิบ ๆ ปี หลวงปู่บอกถึงจุดมุ่งหมายในการแจกรางวัลว่า “คุณค่าของรางวัลไม่ได้อยู่ที่ราคา แต่อยู่ที่ความภูมิใจของเด็ก ๆ เป็นการกระตุ้นให้เขาขยันหมั่นเพียร และเชื่อมั่นว่าคนทำดีย่อมได้รับผลดีตอบแทน...” สาธุ...

    โรงพยาบาลสงฆ์ สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า มูลนิธิที่เป็นสาธารณกุศล มักจะได้รับการสนับสนุนจากหลวงปู่เสมอ เป็นเงินบ้าง เป็นสิ่งของบ้าง ผู้ที่มักถูกหลวงปู่ใช้ให้นำของไปให้ก็คือ คุณอรสา ณ ระนอง ศิษย์รักท่านหนึ่งของหลวงปู่...

    เกี่ยวกับเงินทองนั้น แม้จะมีไวยาวัจกรจัดการแทน แต่ทุกบาททุกสตางค์ต้องลงบัญชีอย่างละเอียด และออกใบโมทนาบัตรให้ทุกครั้ง และถึงเวลาต้องส่งบัญชีให้หลวงปู่ตรวจสอบเป็นประจำ...

    การนับเงินต้องปิดประตูมิดชิดทุกครั้ง พอทราบจำนวนเงินก็เป็นหน้าที่ของฝ่ายการเงิน ต้องนำไปฝากธนาคารทันที “เอาเงินไว้กับกุฏิมันอันตราย เดี๋ยวขโมยเห็นแค่หลวงตาแก่อยู่คนเดียว ขึ้นมาบีบคอเราตายแหง เอาไปเกลี้ยงนะซิ...”

    หลวงปู่ท่านแทบจะอยู่องค์เดียวมาตลอด ลูกศิษย์ที่มาบวชอยู่กับท่านแค่ ๑๐ วัน ๑๕ วัน หรือ ๓ เดือน ก็สึกกันหมด เห็นมีหลวงพี่มนตรีนี่แหละ บวชอยู่กับท่านนานกว่าเพื่อน และดูแลหลวงปู่จนถึงวาระสุดท้าย...

    ตลอดระยะเวลาหลายปี... อาตมาเคยพบหลวงปู่รับอารมณ์กระทบเพียงครั้งเดียว ครั้งนั้น...หลวงปู่มอบนาฬิกาชนิดตั้งพื้น เรือนสูงประมาณ ๒ เมตร ไว้ประจำในอุโบสถของวัดสนามรัตนาวาส โดยกำหนดสถานที่ตั้งพร้อมเสร็จ ให้ลูกศิษย์นำนาฬิกาไปส่ง แล้วกลับมารายงานผลปฏิบัติด้วย...

    ปรากฏว่าเจ้าอาวาสวัดสนามรัตนาวาส ย้ายที่ตั้งนาฬิกาโดยพลการ พอหลวงปู่ได้ยินถึงกับส่งเสียงดังว่า “อะไรนะ...? ทำแบบนั้นจะใช้ได้ที่ไหนกัน...” ทันใดนั้น หลวงปู่ก็พนมมือไหว้กลางอากาศ กล่าวว่า “แล้วแต่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ท่านเถอะ...” อารมณ์ท่านกลับผ่องใสในทันที...

    อาตมาได้พบสิ่งมหัศจรรย์ทางจิตนี้กับหูกับตาตนเอง อารมณ์กระทบของหลวงปู่ท่าน พอเกิดปุ๊บท่านรู้ตัวทันที และตัดมันลงอย่างฉับพลัน กลายเป็นกระทบแล้วหล่นอยู่ตรงนั้นเอง ผู้ที่มีสติรู้เท่าทันกิเลส ขุดถอนมันจากใจโดยพลันแบบนี้ ต้องทรงสติสมบูรณ์พร้อมขนาดไหน โปรดตรองดูเถิด...!

    สิ่งของต่าง ๆ ที่หลวงปู่จะมอบแก่ผู้อื่น ล้วนแต่คัดเลือกเอาแต่ของที่ดีที่สุดเท่านั้น เป็นความปลื้มใจของผู้ให้และผู้รับ หลวงปู่กล่าวว่า “เราให้แต่ของที่ดีที่สุด เราก็จะได้รับแต่ของที่ดีที่สุด สามีทาน คนให้ก็ชื่นใจ คนรับก็ชื่นใจ...”

    หลวงปู่มักมีสิ่งของเล็ก ๆ น้อย ๆ มอบให้เป็นสินน้ำใจแก่บรรดาศิษย์ที่รับใช้ท่านเสมอ อาตมาเองได้ภาพพุทธประวัติพร้อมอัลบั้ม ๑ เล่ม และปากกาหมึกซึม ๑ ด้าม ท่านว่า “ปากกาของคุณสีมันจางมาก อ่านยาก เอาหมึกซึมนี่ไปใช้ ใช้กับหมึกดำนะ จะได้อ่านชัดตาหน่อย...”

    คราวที่ป่วยเพราะประสาททรงตัวเสียศูนย์ ต้องใช้ไม้เท้าช่วยในการเดิน อาตมาทราบว่าถ้าไปหาหลวงปู่ท่านจะให้ไม้เท้า จึงตะกายจากบ้านแม่เบ็ญที่อู่ทอง มาถึงกุฏิของหลวงปู่ ท่านก็มอบไม้เท้าให้จริง ๆ พร้อมกับบอกว่า “ผมให้คุณเป็นที่ระลึก จะได้จำได้ว่าคุณเคยป่วยขนาดไหน เอาไปวัดด้วยนะ ไม่ต้องคืนผมหรอก...”

    วิชาความรู้ต่าง ๆ ที่หลวงปู่เชี่ยวชาญ และทำแล้วเกิดผลเป็นที่เลื่องลือในหมู่ศิษย์ คือการทำดอกบัวครรภ์รักษา ให้หญิงมีครรภ์ต้มรับประทาน เด็กจะคลอดง่าย เฉลียวฉลาด การสับไม้รักษาโรค การเสกไม้ปักบ้านกันขโมย และคาถาต่าง ๆ...

    หลวงปู่เมตตาถ่ายทอดแก่ศิษย์อย่างไม่ปิดบัง อาตมาทดลองนำไปใช้ได้ผลมาก ตัวอย่างเช่นดอกบัวครรภ์รักษา หลานสาวของหมอเพชร (ท.พ.เพชรไพฑูรย์ จันทร์ชูเชิด) น้ำหนักแปดปอนด์กว่า สามารถคลอดได้โดยปลอดภัย ทั้งที่หมอสูติเตรียมผ่าตัด เพราะเห็นว่าไม่มีทางคลอดตามปกติได้...

    คาถาสะเดาะก้างหรือกระดูกที่ติดคอ อาตมานำไปช่วยเพื่อนพระที่ถูกก้างปลาติดคอมาครึ่งค่อนวัน ทำอย่างไรก็ไม่ออก พอเสกน้ำให้ดื่มแก้วเดียว ไม่ทราบว่าหายไปทางไหน คาถาเรียกเงิน (ฮัดนิ) ก็มีผลน่าอัศจรรย์มาก...

    ปกติแล้ว หลวงปู่ท่านไม่ได้จ้ำจี้จ้ำไช สั่งสอนศิษย์แบบตรง ๆ มากนัก ส่วนมากท่านจะปฏิบัติตนเป็นตัวอย่าง หากใครดูเป็นรับเป็น จะได้สิ่งต่าง ๆ จากหลวงปู่อย่างมหาศาล ผู้ที่เห็นแล้วเอาเป็นแบบอย่างไม่ได้ ก็นับว่าน่าเสียดายมาก...

    มีอยู่วันหนึ่ง หลวงปู่ถูกยุงกัดจนบวมไปทั้งองค์ ผิวขาว ๆ ของท่านมีแต่จุดแดง ๆ เต็มไปหมด อาตมาถามว่าทำไมปล่อยให้ยุงกัดถึงขนาดนี้ ท่านตอบว่า “หนีมันเข้าในมุ้งลวดมานานแล้ว ปล่อยให้มันกินซะบ้าง...”

    ความจริงก็คือท่านลืมกุญแจ กลับจากบ้านสายลมแล้วเข้ากุฏิไม่ได้ เรียกเณรกุฏิใกล้เคียงที่ฝากกุญแจสำรองไว้ก็ไม่ตื่น ท่านต้องนั่งนอกกุฏิให้ยุงกินจนสว่าง...! “ไปแกล้งเขาไว้มาก ถึงเวลาเขาก็มาเอาคืน...” หลวงปู่ว่า...

    ครั้งที่หลวงปู่สั่งให้คุณพรทิพย์ ค้นหารอยเท้าท่านเจ้าคุณนรฯ ที่ท่านมีอยู่จำนวนหนึ่ง อาตมาก็ช่วยหาด้วย คุณพรทิพย์พบรอยเท้า หลวงปู่ท่านให้เป็นรางวัลคนละ ๑ ผืน ส่วนอาตมาพบแผ่นทองคำ มีน้ำหนักถึง ๓ บาท ราคาที่เขียนติดซองแผ่นทองคำคือบาทละ ๔๐๐ บาท...!

    อาตมากราบเรียนให้หลวงปู่ทราบว่า แผ่นทองแบบนี้แหละที่ “หลวงพ่อ” ท่านใช้ทำตะกรุดมหาสะท้อน ตะกรุดนี้มีอานุภาพคือ ใครทำผิดคิดร้ายกับเจ้าของตะกรุด ผลนั้นจะย้อนกลับไปเป็นร้อยเท่าพันทวี โดยที่เจ้าของไม่ต้องทำอะไรเลย...!

    หลวงปู่ทราบดังนั้น จึงมอบหมายให้อาตมานำแผ่นทองไปกราบเท้าขออนุญาต “หลวงพ่อ” ขอความกรุณาทำตะกรุดให้ด้วย “หลวงพ่อ” ซึ่งกำลังป่วยอยู่ พอทราบเจตนาของหลวงปู่ ท่านก็รับทำให้ด้วยความเต็มใจ...

    จากการตรากตรำทำงานหนัก เป็นเหตุให้สภาพสังขารของหลวงปู่ทรุดโทรมลง พอไปกระทบอากาศร้อนจัดที่ระยอง จากการไปตรวจงานที่วัดสนามรัตนาวาส หลวงปู่ก็ป่วยหนักจนต้องเข้าโรงพยาบาลซ่อมเครื่องกันใหม่...

    พล.ร.ท.บรรยงก์ ถาวรามร อดีตเจ้ากรมแพทย์ทหารเรือ ผู้เป็นหมอประจำองค์หลวงปู่ เป็นผู้ติดต่อวิ่งเต้นทุกอย่าง จนหลวงปู่ได้เข้าอยู่ในตึกพิเศษ ๕ และท่านเจ้ากรมแพทย์ทหารเรือในขณะนั้นคือ พล.ร.ท.พนิต ศรียาภัย ได้อำนวยความสะดวกแก่หลวงปู่ทุกทุกประการ...

    อาตมาขอลา “หลวงพ่อ” มาเฝ้าไข้หลวงปู่ ดูเหมือนหลวงปู่จะทราบวาระของท่าน ทั้งที่นอนอยู่บนเตียงก็ยังสอนให้อาตมาเขียนอักษรขอม และถ่ายทอดวิชาเสกดอกบัว และเสกไม้กันขโมยให้ นับเป็นการเรียนวิชาในสถานที่ซึ่งคิดไม่ถึงมาก่อน...

    ตอนที่มีผู้สร้างเหรียญของหลวงปู่ อาตมาก็แน่ใจว่าหลวงปู่จะไปแล้ว เพราะเห็นมามากต่อมากที่พระดัง ๆ ท่าน พอมีรูปแทนองค์ก็ทิ้งขันธ์ไปตาม ๆ กัน พอหลวงปู่ถ่ายทอดวิชาให้อาตมาก็ยิ่งแน่ใจ เลยขยักวิชาสับไม้รักษาโรคเอาไว้ เพราะกลัวว่าถ้าเรียนหมดแล้วท่านจะไปเลย ผลสุดท้ายท่านก็ไป ทั้ง ๆ ที่ยังไม่สอนให้นั่นแหละ...!

    หลวงปู่ถึงป่วยก็ยังรวยอารมณ์ขัน เป็นที่ชื่นชอบของบรรดาพยาบาลเป็นอย่างยิ่ง ทุกเช้า ร.อ.หญิงนัยนา ศิริรัตน์ จะพาน้อง ๆ พยาบาลชาย – หญิง มากราบขอพรหลวงปู่ทุกวัน และนำอาหารมาเลี้ยงอยู่บ่อย ๆ...

    คุณรุ่งเรือง คุณอุกฤษฏ์ และหมอเพชร ผลัดกันมานอนเฝ้าหลวงปู่ เป็นการเบาแรงของอาตมาไปมาก หลวงปู่ท่านย้ำอยู่เสมอว่า “การพยาบาลภิกษุไข้เหมือนอุปัฏฐากพระพุทธเจ้า” แต่อาตมาคิดว่าป้าดวงตาพูดถูก ว่าพวกเราชาติก่อนเป็นหนี้หลวงปู่ ชาตินี้เลยต้องตามมาใช้หนี้มากกว่า...!

    หลวงปู่ให้โอวาทว่า ยามป่วยอย่าทำตัวเป็นคนไข้แบบแย่ ๆ เอาแต่คร่ำครวญถึงอาการของตน ให้เชื่อหมอและให้ความร่วมมือกับหมอทุกวิถีทาง เพื่อเราเองจะได้หายป่วยโดยเร็ว ถ้ากำลังใจเข้มแข็งอาการของโรคก็น้อยลง...

    อารมณ์ขันยามป่วยของหลวงปู่มีมากมาย เวลาอาตมาสรงน้ำให้ท่าน พอราดน้ำ ท่านก็ว่า “นะโมโตเร็ว ๆ นะโมโตเร็ว ๆ...” เหมือนกับตอนอาบน้ำให้เด็ก หลวงปู่ท่านว่า “ก็คุณเล่นจับผมอาบเป็นไอ้หนูไปเลย มันก็ต้องว่าคาถาให้โตเร็ว ๆ บ้างซิ...”

    พออุ้มท่านขึ้นเตียงห่มผ้าให้ ท่านให้เอาผ้าขนหนูห่มอก ๑ ผืน ห่มเท้า ๑ ผืน หลวงปู่บอกว่า “ผืนบนกันปอด จะได้ไม่ไอ ส่วนผืนล่างกันโป๊” อาตมาถึงกับปล่อยหัวเราะพรืดออกมาชนิดเบรกไม่อยู่...

    ถึงวันโกน อาตมาปลงผมให้หลวงปู่ โดยใช้ใบมีดโกนหนวดแบบใบคู่ เป็นการแก้ขัดที่ไม่ได้ติดมีดโกนมา ทำให้ปลงผมได้ช้ามาก หลวงปู่ท่านก็ให้กำลังใจว่า “เอ้า...เพียรเถอะนะพ่อเพียร...” แล้วเล่าให้ฟังว่า...

    มีชายติดฝิ่นคนหนึ่ง ไปขโมยผลไม้แล้วถูกเจ้าของจับได้ พอทราบว่าจะขโมยไปขายเอาเงินซื้อฝิ่น เจ้าของสวนก็ยกต้นหมากให้ ๑ ต้น มีข้อแม้ว่าต้องเก็บเอง ชายขี้ยาแกอยากฝิ่นจนหมดเรี่ยวหมดแรง ปีนขี้นไปไม่ไหว...

    แกเลยเอามีดพับเล็กที่ติดตัวมา ค่อย ๆ ฟันต้นหมากหวังจะให้ล้ม จะได้เก็บผลไปขาย ปากก็ร้องเพลงให้กำลังใจตัวเองว่า “เพียรเถอะนะพ่อเพียร ไม่งั้นเงี่ยนตาย...” การปลงผมคราวนั้นใช้เวลาเกือบชั่วโมง เพราะมัวแต่หยุดหัวเราะกัน...

    อาตมา คุณรุ่งเรือง คุณพรทิพย์ หมอเพชร พี่มุกดา มาลินี และสุมาลี จัดเป็นคนที่โชคดีที่สุดในโลก เพราะว่าหลวงปู่พิมพ์รอยเท้าท่านให้ไว้บูชาคนละ ๑ ผืน พร้อมกับกำชับว่า “อย่าบอกคนอื่นเชียวนะ เดี๋ยวหลวงปู่เดือดร้อน...”

    หลังจากมอบรอยเท้าให้ไว้บูชาไม่นาน หลวงปู่ท่านก็ทิ้งขันธ์ไปเสวยอมตสุขบนแดนนิพพาน ผู้ใดที่ได้พบได้เห็นหลวงปู่นับว่าโชคดีกว่าใคร เพราะนึกออกทันทีว่า หลวงปู่เมตตาต่อตนอย่างไรบ้าง...

    “ขันธ์ห้าตาย หลวงปู่ไม่ตาย” นึกขึ้นยามใดก็ปรากฏภาพหลวงปู่ขึ้นเด่นชัด เป็นการทรงสังฆานุสติเต็มระดับ โดยไม่ต้องเสียเวลาภาวนาใด ๆ ทั้งสิ้น บารมีของหลวงปู่ยังคงตามปกเกศปกเกล้าเหล่าศิษย์อยู่เสมอ...

    คุณความดีของหลวงปู่ บรรยายเท่าไรก็ไม่มีวันหมดสิ้น เป็น “สังโฆ อัปปมาโณ” อย่างแท้จริง เป็นปูชนียบุคคลที่กราบไหว้ได้ทั้งกายทั้งใจ สาธุ... ธรรมใดที่หลวงปู่รู้แจ้งเห็นจริงแล้ว ขอลูกทั้งหลายรู้เห็นธรรมนั้นในชาติปัจจุบันนี้ด้วยเถิด...

    ๕ พฤษภาคม ๒๕๓๓
    พระใบฎีกาเล็ก สุธมฺมปญฺโญ

    ที่มา www.watthakhanun.com
    ภาพประกอบโดย สำนักสงฆ์เกาะพระฤๅษี
    #๖๐ปีพระครูวิลาศกาญจนธรรม
     

แชร์หน้านี้

Loading...