หากต้องการทำพระคาถาเฃินล้านให้ได้ผล ต้องทำให้ครบตามกติกา

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 19 กันยายน 2023.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,129
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,506
    ค่าพลัง:
    +26,341
    IMG_8574.jpeg

    ญาติโยมที่ไม่เคยใช้พระคาถาเงินล้านแล้วอยากจะใช้ ขอให้ทราบว่า คนที่จะทำพระคาถาเงินล้านให้ได้ผล หรือที่เรียกว่า "ทำขึ้น" อันดับแรกเลย...ต้องประกอบไปด้วยศรัทธา คือ ความเชื่อมั่น

    อันดับที่สอง...ต้องมีการสวดภาวนาอย่างสม่ำเสมอ เคยทำวันละเท่าไร ต้องทำวันละเท่านั้น

    อันดับที่สาม...ต้องมีการให้ทานเป็นปกติ เพราะว่าทานเป็นพื้นฐานของโภคสมบัติและความร่ำรวยทั้งปวง

    อันดับที่สี่...ต้องมีสมาธิที่ทรงตัว อาตมาเคยบอกว่าให้ภาวนาวันละ ๑๐๘ จบ ก็เพื่อว่าอย่างน้อย ๆ ในช่วงนั้นกำลังสมาธิของเราจะได้สูงขึ้น

    ดังนั้น...ใครอยากจะทำพระคาถาเงินล้านให้ได้ผล ก็ให้ดูกติกาด้วยว่าเราทำได้ครบถ้วนหรือไม่ ? เราทำด้วยความเคารพศรัทธาหรือทำเพราะอยากรวย ? เรามีความเพียรพยายามปฏิบัติได้สม่ำเสมอทุกวันหรือเปล่า ? เรามีการทำบุญใส่บาตร ถือศีลปฏิบัติธรรมทุกวันหรือเปล่า ? เรามีกำลังสมาธิที่ทรงตัวหรือเปล่า ? ถ้าหากว่ากฎเกณฑ์กติกาเหล่านี้ครบ ท่านทำต่อเนื่องไม่เกิน ๒ เดือน จะเกิดผลแน่นอน

    เรื่องของคาถาเป็นพื้นฐานของอภิญญา คนที่ทำคาถาขึ้น มีสิทธิ์ที่จะฝึกอภิญญาได้สำเร็จ คราวนี้คนที่จะฝึกอภิญญาได้สำเร็จ ต้องเป็นคนที่จริงจังสม่ำเสมอ ไม่ย้อท้อต่ออะไรง่าย ๆ มีความคิดประมาณว่าคนอื่นมี ๑๐ นิ้วเขาทำได้ เราก็ต้องทำได้เหมือนกัน

    เพียงแต่ว่าในรุ่นของเรานั้น เรื่องของคาถาอาคม เรื่องของอภิญญาสมาบัติ ไม่ค่อยได้เห็นปรากฏต่อหน้าต่อตา รุ่นของอาตมาเองยังได้เห็นอยู่มาก เพราะว่ายุคนั้นครูบาอาจารย์รอบบ้านเลย บ้านอยู่ที่กำแพงแสน เลยมานิดหนึ่งก็เป็นหลวงปู่อินทร์ วัดสระพัง หลวงปู่แตง วัดดอนยอ หลวงปู่เต๋ วัดสามง่าม หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม หลวงพ่อน้อย วัดธรรมศาลา หลวงปู่เพิ่ม วัดกลางบางแก้ว

    ถ้าหากว่ามาทางด้านกาญจนบุรี ก็มีหลวงพ่อลำใย วัดทุ่งลาดหญ้า หลวงพ่ออุตตมะ วัดวังก์วิเวการาม ไปทางสุพรรณบุรี ก็มีหลวงพ่อแดง วัดทุ่งคอก หลวงพ่อมุ่ย วัดดอนไร่ เป็นต้น

    ครูบาอาจารย์ทั้งหลายเหล่านี้ ส่วนใหญ่แล้วท่านได้อภิญญาสมาบัติ ทำอะไรให้เห็นต่อหน้าต่อตาบ่อย ๆ คำว่าบ่อย ไม่ใช่ว่าท่านทำอวด ท่านแอบทำ แต่คนก็มักจะรู้

    อย่างหลวงพ่ออินทร์ ท่านเป็นพระที่ค่อนข้างจะเคร่งครัด เวลาเดินทางไปกิจนิมนต์ ถ้าหากว่าญาติโยมเอารถมารับ หรือเอาม้ามาให้ขี่ ท่านจะจำไว้ว่าระยะทางประมาณกี่กิโลเมตร เมื่อกลับมาท่านจะเดินจงกรมใช้หนี้ ท่านให้พวกอาตมาช่วยกันทำทางเดินจงกรมยาว ๒๕ วา ก็คือ ๕๐ เมตร เดินไปกลับ ๑ รอบจะได้ ๑๐๐ เมตร ไปกลับ ๑๐ เที่ยวได้ ๑ กิโลเมตร ถ้าหากว่าญาติโยมเอารถมารับไปไกล ๒๐ - ๓๐ กิโลเมตร บางทีท่านก็ต้องเดินจงกรมกันครึ่งค่อนคืน

    วันดีคืนดีชาวบ้านเห็นไฟลุกท่วมฟ้าอยู่ทางวัด ก็คว้าถังน้ำคว้าอะไรวิ่งไปจะช่วยกันดับไฟ ปรากฏว่าไปถึงไม่มีอะไรเลย พอไปตะโกนเรียก หลวงพ่ออินทร์ท่านเปิดโบสถ์มาถามว่า "เอะอะอะไรกันวะ ? กูกำลังสวดมนต์อยู่" ญาติโยมบอกว่า "หลวงพ่อ..เมื่อกี้เห็นไฟลุกท่วมโบสถ์ท่วมวัดเลย" ท่านบอกว่า "พวกมึงตาฝาด " หมดเรื่องหมดราวไปเลย

    ลักษณะนั้นแสดงว่าท่านเพ่งกสิณไฟแล้วขยายเป็นปฏิภาคนิมิต คราวนี้ปฏิภาคนิมิตของกสิณไฟ จะเป็นเปลวไฟลุกโชติช่วงไปหมด บางคนตกใจคิดว่าไฟไหม้ ทั้งที่ตัวเองอธิษฐานเอง ถึงกับโดดกุฏิหนีก็มี..!

    ในเมื่อเป็นเช่นนี้ คนสมัยก่อนเห็นเป็นปกติ พอถึงเวลาบวชเรียน ไปขอครูบาอาจารย์เรียนวิชา ก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ไม่ยาก ถ้าหากว่าเราอ่านขุนช้างขุนแผน ตอน พลายแก้วบวชเณร ไม่ทราบว่ามีใครจำได้ไหม ? ที่เขาว่า

    "จะกล่าวถึงพลายแก้วแววไว
    เมื่อบิดาบรรลัยแม่พาหนี
    ไปอาศัยอยู่ในกาญจนบุรี
    กับนางทองประศรีผู้มารดา

    อยู่มาจนเจ้าเจริญวัย
    อายุนั้นได้ถึงสิบห้า
    ไม่วายคิดถึงพ่อที่มรณา
    แต่นึกตรึกตรามากว่าปี

    อยากจะเป็นทหารชาญชัย
    ให้เหมือนพ่อขุนไกรที่เป็นผี
    จึงอ้อนวอนมารดาได้ปรานี
    ลูกนี้จักใคร่รู้วิชาการ

    พระสงฆ์องค์ใดวิชาดี
    แม่จงพาลูกนี้ไปฝากท่าน
    ให้เป็นอุปัชฌาย์อาจารย์
    อธิษฐานบวชลูกเป็นเณรไว้

    ครานั้นทองประศรีผู้มารดา
    ได้ฟังลูกว่าหาขัดไม่
    อันสมภารที่ชำนาญในทางใน
    ท่านขรัววัดส้มใหญ่แลดีครัน

    เจ้าคิดนี้ดีแล้วแก้วแม่อา
    แม่จักพาไปฝากขรัวบุญท่าน
    จะได้รู้การณรงค์คงกระพัน
    ให้เหมือนกันสืบต่อพ่อขุนไกร"

    ฟังแล้วเป็นอย่างไร ? ทำอย่างกับเราเรียน ก.ไก่ ข.ไข่ เรียนอย่างไรเดี๋ยวก็ต้องจบ ป.๔ จบ ป.๖ นั่นก็เหมือนกัน แม่จักพาไปฝากขรัวบุญท่าน จะได้รู้การณรงค์คงกระพัน ให้เหมือนกันสืบต่อพ่อขุนไกร พูดง่าย ๆ ก็คือ คนสมัยนั้นมีความรู้สึกว่าเรื่องของอภิญญาสมาบัติ เรื่องของคาถาอาคม เรียนเมื่อไรก็สำเร็จเมื่อนั้น ไม่เห็นมีอะไรยากเลย..!

    แต่คนสมัยนี้กำลังใจไม่ได้แบบนั้น ในเมื่อกำลังใจไม่ได้แบบนั้น ก็ต้องใช้ความเพียรพยายามมากกว่าปกติ เพราะว่าสมัยโน้นสิ่งที่จะมายั่วยุให้กำลังใจของเราห่างไกลความดี ฟุ้งซ่านไป รัก โลภ โกรธ หลง มีน้อยมาก เอาแค่รุ่นอาตมาเด็ก ๆ ก็แล้วกัน ทั้งปีทั้งชาติกว่าจะมีหนังกลางแปลงมาฉายให้ดูสักทีหนึ่ง กว่าจะมีงานของบรรดา "ผู้ยิ่งใหญ่" ถึงจะมีลิเกให้ดู บางทีทั้งปีไม่ได้ดูอะไรเลย ไม่รู้ว่าจะไปฟุ้งซ่านกับอะไร

    แต่สมัยนี้พวกเรามีโทรศัพท์อยู่กับมือ ก้มหน้าก้มตาดูทั้งวัน กำลังสมาธิจึงรั่วไหลหมด ในเมื่อสมาธิรั่วไหลหมด ก็โทษใครไม่ได้ว่าทำไมฝึกอะไรแล้วไม่สำเร็จเสียที ก็เพราะว่าเรารักษากำลังใจไม่เป็น แล้วแถมยังไปซ้ำเติมด้วยการทำให้รั่วอีก

    ดังนั้น...ในส่วนนี้ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายจะทำให้เกิดผล จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีความจริงจังสม่ำเสมอ โดยเฉพาะทำให้มากเสียหน่อย เพื่อให้กำลังใจของเราทรงตัว ไม่ใช่บางคนมาบ่นกับอาตมาว่า "ว่าคาถาเงินล้านมาเป็นปี ๆ แล้ว ไม่เห็นจะช่วยให้ร่ำให้รวยอะไรเลย" อาตมาถามว่า "โยมว่าวันละกี่จบ ?" บอกว่า "จบเดียว" อาตมาอยากจะบอกว่าจบเห่...!

    ในส่วนนี้เราต้องเข้าใจว่า นอกจากความศรัทธา ความเลื่อมใสที่มี ยังต้องทำอย่างจริงจังสม่ำเสมอ มีการให้ทานเป็นปกติ สมัยหลวงปู่ปาน ท่านบอกหลวงพ่อฤๅษีฯ ให้ทำทาน หลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านถามว่า "เป็นพระแล้วจะไปให้ทานอะไรได้ ?" หลวงปู่ปานท่านบอกว่า "ใส่บาตรเพื่อนพระ" หลวงพ่อท่านก็เลยใช้วิธีถึงเวลาก็ตักข้าว ใส่บาตรวนไป รูปที่ ๑ ใส่รูปที่ ๒
    รูปที่ ๒ ใส่รูปที่ ๓ รูปที่ ๓ ใส่รูปที่ ๔ รูปที่ ๔ ใส่รูปที่ ๕ รูป รูปที่ ๔ ใส่รูปที่ ๖ รูปที่ ๖ วนกลับมาใส่รูปที่ ๑ ทุกรูปต่างได้ให้ทานด้วยกันทั้งหมด

    แต่คราวนี้วัดท่าขนุนของเรา เมื่อบิณฑบาตมาเราก็เทข้าวรวมกันหมด เท่ากับว่าเราถวายสังฆทานทุกวันอยู่แล้ว เพราะไม่รู้ว่าข้าวส่วนที่เราบิณฑบาตมา รูปใดจะได้ฉัน ต่อให้ตั้งใจว่าให้หลวงพ่อเล็กฉันข้าวของผม ก็อาจจะตักไปไม่ถึง

    เพราะฉะนั้น...ในส่วนนี้ถือว่าเราได้ถวายสังฆทานเป็นปกติ ญาติโยมท่านใดที่ใส่บาตรทุกวัน โอกาสที่ภาวนาคาถาเงินล้านแล้วเกิดผล จะมีมากกว่าคนอื่น เพราะเราทำทานบารมีเป็นปกติ เพียงแต่สำคัญที่ว่า ตอนที่เราภาวนาอยู่ อย่าได้อยากรวย ตอนก่อนภาวนาอยากรวยแค่ไหนก็อยากได้ แต่ตอนภาวนาต้องลืมให้หมด ตั้งหน้าตั้งตาภาวนาอย่างเดียว

    ขอให้สังเกตว่า อาตมาไม่ได้ใช้คำว่า "ท่อง" ไม่ได้ใช้คำว่า "สวด" แต่ใช้คำว่า "ภาวนา" ก็คือใช้พระคาถาเงินล้านแทนคำภาวนาทั้งหมด หายใจเข้าก็ว่าคาถาไป หายใจออกก็ว่าคาถาไป ไม่ต้องไปสนใจว่าคาถาและลมหายใจจะไปลงที่ตรงไหน จะลงฐานที่ ๑ ฐานที่ ๒ ฐานที่ ๓ ก็ช่าง ให้ว่ายาวไปเลย แต่ให้นึกถึงลมหายใจเข้าออกควบไปด้วย กำหนดรู้แค่ว่าเราว่าไปกี่จบแล้ว
    ถ้าหากว่าไม่มั่นใจก็งอนิ้วนับเอา ครบ ๒ มือก็ได้ ๑๐ จบ หรือถ้าหากว่าอย่างของพระของเณร ที่มีลูกประคำอยู่ในมือก็นับเอา หรือบางท่านสมัยนี้ก็เล่นประคำไฟฟ้า ใช้ตัวนับแบบเคาน์เตอร์ กดแก๊ก ๆ ๆ ไปก็มี แต่อันนั้นเสียอยู่อย่างเดียว ถึงเวลาแล้วโชว์ใครไม่ได้ ไม่เหมือนกับลูกประคำ นับไป ๆ แล้วจะลื่น เงา ดูสวยงามมาก

    อาตมภาพสมัยที่ยังอยู่วัดท่าซุง ตั้งหน้าตั้งตาทำพระคาถาเงินล้าน เริ่มตั้งแต่ ๙ จบ ๓๐ จบ ๑๐๘ จบ ๑๒๐ จบ ๓๐๐ จบ ๓๖๐ จบ ๔๘๐ จบ ๙๖๐ จบ จนไปลงที่ ๑,๒๐๐ จบ

    ๑,๒๐๐ จบต่อวันนี่ไม่ต้องทำอะไรเลย ตั้งแต่ตี ๓ ว่ายาวไปเลิกเอาทุ่มหนึ่ง เพราะว่าไม่ได้เร่งให้จบ ว่าช้า ๆ ตั้งใจเอาคุณภาพ โดยจับลมหายใจเข้าออกไปด้วย

    แต่ในส่วนของ ๓๐๐ จบนี่ ว่าต่อเนื่องอยู่ประมาณ ๓ ปีเต็ม ๆ ได้ นับลูกประคำจนสายขาดไปนับครั้งไม่ถ้วน กำลังภาวนา ๆ อยู่ ประคำสายขาดร่วงกราว ต้องไปไล่ตะครุบลูกประคำคืนมา ได้ครบบ้างไม่ครบบ้าง ก็เอามาร้อยใหม่ นับใหม่ นับจนประคำลูกหวายลื่น ถ้าคนเคยเล่นประคำ ก็จะรู้ว่าประคำลูกหวายจะมีผิวเป็นลอน ๆ แข็งมาก อาตมานับจนลื่นเป็นแก้วไปเลย

    ญาติโยมเห็นก็อยากได้ ขอแบ่งกันไป อาตมาก็ต้องไปหาเส้นใหม่มานับอีก นับจนกระทั่งนิ้วมือตัวเองกลายเป็นเม็ดด้าน ๆ ๒ เม็ด ไม่น่าเชื่อว่าแค่นับลูกประคำจะทำให้ผิวด้านได้ขนาดนั้น แต่ถ้าเราลองนึกดูว่าวันละ ๓๐๐ จบ เช้า ๑๐๐ กลางวัน ๑๐๐ เย็น ๑๐๐ ไม่ด้านก็คงจะไม่ไหว เพราะว่าถ้านิ้วไม่ด้านก็คงจะต้องหน้าด้านแทน เนื่องจากว่าหน้าด้านหน้าทน..! ทำเท่าไรไม่รู้จักเลิก

    แต่ว่าผลของคาถาเกิดชัดมาก เกิดชัดขนาดที่ว่าขึ้นรถทัวร์ที่ท่ารถอุทัยธานี ตอนนั้นรถทัวร์ยังไม่ต้องตีตั๋วที่ท่ารถ ให้ขึ้นไปตีตั๋วบนรถได้ มีพระอื่นนั่งไปด้วยทั้งหมด ๓ รูปด้วยกัน เขาเก็บรูปข้างซ้าย เก็บรูปข้างขวา แล้วก็ไม่สนใจที่จะเก็บอาตมา เดินหนีไปเฉย ๆ

    เข้ามาทำธุระที่กรุงเทพฯ นั่งรถแท็กซี่ก็มีแต่บอกว่า "ถวายครับ" "นิมนต์ครับ" "ไม่รับเงินครับ" บางงานนี่ตั้งแต่อุทัยธานียันกรุงเทพฯ กลับจาก กรุงเทพฯ ไปยันอุทัยธานี เสียค่ารถอยู่ ๓ บาท..! ไปเสียให้รถสองแถวที่วิ่งจากท่าน้ำมโนรมย์ไปวัดท่าซุง จริง ๆ แล้วเขาก็ไม่เอาหรอก แต่อาตมายัดให้เขา บอกว่า "ขอหน่อยเถอะ..ไม่ได้จ่ายเงินเลยเดี๋ยวอาตมาคลั่งตาย..!"

    แล้วความคล่องตัวก็เกิดขึ้นมาก ที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า ถ้าใครทำขึ้น เงินจะไม่ขาดมือ ซึ่งก็ไม่ขาดจริง ๆ อาตมาตั้งใจแกล้งเลย ทุ่มครึ่งควักกระเป๋าซื้อน้ำปานะเลี้ยงพระทั้งวัด เลี้ยงจนหมดไม่เหลือสักสลึงเดียว..สบายใจ ตอนนี้กูสามารถแกล้งพระคาถาได้..! ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่า ถ้าทำคาถาขึ้นเงินจะไม่ขาดมือ ตอนนี้ขาดแล้วโว้ย..!

    ปรากฏว่า ๔ ทุ่ม เสียงทุ่มประตูกุฏิ ปัง ๆ ๆ ๆ "หลวงพี่..ลุกไปสวดศพหน่อย เจ้าภาพต้องการด่วน" สวดศพตอน ๔ ทุ่ม นั่งสัปหงกไปสวดไป เสร็จสรรพเรียบร้อย โยมถวายมา ๑๐๐ บาท อย่างไรเงินก็ไม่ขาดมือ ก็คือขาดอย่างไรก็ห้ามข้ามวัน เพราะฉะนั้น...ในส่วนนี้อาตมภาพทำมาจนกระทั่งมั่นใจ

    เมื่อสามสี่วันก่อน เลขาฯ บอส (พระณัฐพสิษฐ์ ปญฺญาคโม) เบิกเงินค่าซื้อเตียงสนาม บอกว่า "จ่ายครบแล้ว เงินเหลือก็เลยเอามาคืนหลวงพ่อ" ท่านบอกว่า "ตอนรับไปผมก็นับดีแล้ว แต่ทำไมใช้แล้วเงินเหลือก็ไม่รู้ ?" แสดงว่าน่าจะทำพระคาถาขึ้นแล้ว หรือไม่ก็หลวงพ่อทำพระคาถาขึ้นเป็นปกติ ขนาดเงินไปอยู่กับคนอื่นยังอุตส่าห์งอกอีก..!

    แต่ถ้าหากว่าทำขึ้นก็เหมือนกับมีเงินมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว แล้วอย่าไปคุยอวดเขา เพราะถ้าหากว่าเราไปคุยอวดเขา ความฟุ้งซ่านเกิดขึ้น สมาธิจะคลายตัว เรื่องเงินงอกจะหายไปเป็นเดือนเลย ต้องตั้งหน้าตั้งตาภาวนาเหมือนเดิม จนกระทั่งสมาธิทรงตัว ผลถึงจะเกิดขึ้นใหม่

    อย่าไปอวดชาวบ้านเขา ทำไม่รู้ไม่ชี้ไว้ เกินมาร้อยหนึ่งเราก็ใช้ร้อยหนึ่ง เกินมาพันหนึ่งก็ใช้พันหนึ่ง ไม่ต้องไปใส่ใจตรงนั้น ของอาตมาเองเกินมาสูงสุด ๑ ล้านบาท..! ไอ้ตัวเล็กส่งเงินมา ลงบัญชีจนหมดแล้วเหลือเงินอีก ๑ ล้านบาท..! ไม่รู้ว่ามาจากไหน เพราะว่าคนเบิกก็ยืนยันว่าเบิกมาพอดี ถ้าหากว่าเกินบ่อย ๆ แบบนี้จะดีมาก...!

    แม้กระทั่งเอาเงินไปฝากธนาคารก็เหมือนกัน ธนาคารนับทีไรก็เกินทุกที แล้วเขาก็จะถามว่า "ใครเป็นคนนับให้ ?" อาตมาก็ได้แต่ "แหะ..แหะ" กลายเป็นว่าไปโทษคนนับ นับผิดทุกครั้ง แต่ความจริงก็คือเงินเกินมาด้วยอานุภาพของพระคาถาเงินล้าน

    แล้วก็มีเกินจนกระทั่งทองคำ เพราะว่านำไปหล่อพระเท่านี้ ๆ หลังจากที่หล่อพระไปแล้ว ชั่งน้ำหนักองค์พระได้เท่านี้ ทองส่วนที่เหลือเขาคืนมาเท่านี้ อ้าว..เอามารวมกันแล้วทำไมเกินมาเป็นร้อยบาท..!? ก็แปลว่าทั้งเงินทั้งทองก็สามารถที่จะเกินได้ แต่ว่าท่านทั้งหลายต้องมีความเพียรพยายามให้สมกับอานุภาพของพระคาถาด้วย

    อย่างทุกวันนี้อาตมาใช้ภาวนาตอนเดินบิณฑบาต ก็คือเดินออกจากวัดก็ว่าไปเรื่อย ตอนให้พรญาติโยมก็หยุดชั่วคราว เดินเลยโยมไปก็ภาวนาต่อ ก็เท่ากับว่าวันหนึ่ง ๆ อย่างน้อยก็ได้ภาวนาพระคาถาเงินล้านเป็นชั่วโมง ถ้าใครบอกว่าไม่มีเวลาภาวนานี่ แสดงว่าทำไม่เป็น ขับรถไปก็ภาวนาไปได้ ทำงานทำการอื่นอยู่ก็ภาวนาไปได้ เวลาภาวนา สมาธิทรงตัว งานที่เราทำก็จะดีเป็นพิเศษด้วย

    ส่วนญาติโยมที่อยู่ทางบ้านก็อาศัยโอกาสนี้ พลิกวิกฤตเป็นโอกาส work from home บ้าง ตกงานบ้าง โดนกักตัวบ้าง ก็ภาวนาพระคาถาเงินล้านไปเลย เอาวันละ ๑๐๘ จบเป็นประมาณไปก่อน แบ่งเป็นเช้า ๓๖ จบ กลางวัน ๓๖ จบ เย็น ๓๖ จบ ถ้าหากรู้สึกว่าน้อยไปแล้วเราค่อยมาเพิ่ม ถ้าสมมติว่าเพิ่มเป็น ๑๒๐ จบ ก็เช้า ๔๐ จบ กลางวัน ๔๐ จบ เย็น ๔๐ จบ

    เพิ่มเป็น ๑๕๐ จบ ก็เช้า ๕๐ จบ กลางวัน ๕๐ จบ เย็น ๕๐ จบ เคยทำเท่าไร ต้องทำเท่านั้นสม่ำเสมอทุกวัน ห้ามลดลง แต่ว่าเพิ่มขึ้นได้

    ถ้าท่านสามารถทำอย่างนี้ได้แล้ว มั่นใจได้เลยว่าไม่เกิน ๒ เดือน ผลของพระคาถาเงินล้านจะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ถ้าหากว่าไม่ใช่ลาภผลมาในลักษณะของเงินทอง ก็จะกลายเป็นงานมา พี่ชายของอาตมาภาวนาคาถาวันละ ๙ จบเท่านั้น อาตมาบอกว่า "ทำให้เยอะกว่านี้หน่อย" เขาบอกว่า "ไม่ไหวครับ ทุกวันนี้งานก็จะท่วมตายอยู่แล้ว ถ้าขืนภาวนามากกว่านี้ ก็พอดีงานทับตาย..!"

    เพราะฉะนั้น..ผลของพระคาถาที่ได้มาของแต่ละคน จะมาต่าง ๆ กันไป มาเป็นงาน มาเป็นเงิน มาเป็นลาภลอย แล้วแต่ว่าของเราเองมีวิสัยเดิมมาทางด้านไหน

    แต่ว่าทั้งนี้ ทั้งนั้น และทั้งโน้น ต้องไม่ลืมพระปัจเจกพุทธเจ้าผู้เป็นเจ้าของพระคาถาเงินล้านด้วย เมื่อเช้านี้พวกเราสมาทานศีลไปแล้ว ตอนนี้ก็ไม่ต้องสมาทานใหม่ เราเข้าสู่การภาวนาพระคาถาเงินล้านไปเลย
    ...................................
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. วัดท่าขนุน
    www.watthakhanun.com
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...