เรื่องเด่น หลวงพ่ออุตตมะ กล่าวเรื่องกสิณ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย นโมพุทธายะ๕, 8 กันยายน 2015.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,239
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,108
    ค่าพลัง:
    +70,445
    [​IMG]

    ***หลวงพ่ออุตตมะกล่าวถึงเรื่องกสิณ***

    ..
    เราต้องเพ่งกสินจนกว่ากสิณจะปรากฏขึ้นมา
    แล้วเราก็รวมกสิณจับจิตทั้งหมดให้มาอยู่ในดวงกสิณ
    เราไม่ต้องกลัวอะไรทั้งสิ้น เพราะจิตเราอยู่ในดวงกสิณ เป็นสมาธิเป็นกุศลจิตอย่างเดียว ด้วยอานุภาพของกสิณ
    ..
    กสิณเราก็จะแข็งขึ้นๆ เราก็พยายามไปทุกวันทุกเวลาให้กสิณเราแข็งขึ้น ไม่ให้แตกออกไป เราจับไว้ด้วยสมาธิ
    แล้วเราก็รวมอารมณ์ทั้งหลาย
    จิตทั้งหลายทั้งที่เป็นอิฏฐารมณ์ (อารมณ์ที่น่าปรารถนา)
    และอนิฏฐารมณ์ (อารมณ์อันไม่น่าปรารถนา) ให้มาอยู่ในกสิณ
    เราก็จะแยกจิตเหล่านี้ที่ไม่ดีต่างๆ
    เราจะดับจิตที่ไม่ดีต่างๆ ลงไป ด้วยอานุภาพของกสิณ
    ..
    กสิณนี้ ไม่ว่าจะเป็นพระภิกษุ หรือเป็นฤาษีเขาก็ปฏิบัติกัน
    กสิณนี้เป็นสมถะ เพราะฉะนั้นที่สำคัญที่สุดเราต้องจับกสิน ๑๐ ประการให้ได้
    เมื่อกสินปรากฏแล้ว เราก็ดึงกรรมฐานอย่างอื่นเข้ามา เช่น
    กายคตาสติ , อานาปานสติ เราก็รวมให้มาอยู่ในกสิณ
    ...
    แต่กสิณนี้ทำได้ยากเหลือเกินที่จะทำให้ดวงกสิณปรากฏขึ้นมาเป็นดวงแก้วขึ้นมาให้อยู่ในตัวเรา
    เราต้องอุตสาหะพยายามกันมากเหลือเกิน
    ต้องทำกันเป็นปีๆ ไม่ใช่แค่เดือนสองเดือน


    จากหนังสือ ๘๔ปี หลวงพ่ออุตตมะ
    หน้า ๕๔๙ ตอน แนวปฏิบัติตามธุดงควัตร
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,239
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,108
    ค่าพลัง:
    +70,445
    ..ความจริงแล้ว เหตุผลแรกที่นำมาโพสลงไว้เป็นบันทึกหลักฐาน เพื่อคนรุ่นหลัง โดยเฉพาะคนที่ปฏิบัติตามแนววิชชาธรรมกายดั้งเดิมที่หลวงพ่อวัดปากน้ำได้สอนไว้ จะร้องอ๋อ ... เพราะ สอดคล้องกับที่มาของการใช้กสินในกายร่วมกับการเจริญมหาสติปัฏฐานสี่ตามแนววิชชาธรรมกาย ที่หากต้องการเดินจิตตามลำดับสมถะ-วิปัสสนา ตามขั้นตอน โดยปลอดภัย ไม่เอาความอยากมากเกินเหตุ( ตัณหา) นำหน้า จนเสีย



    ส่วนเรื่องระยะเวลา ก็ขึ้นกับเหตุปัจจัยหลายอย่าง เพราะต่างคนต่างเหตุ ต่างปัจจัย ตามที่ทุกท่านทราบดีอยู่แล้ว ที่หลวงพ่ออุตตมะท่านกล่าวในที่นี้ คงกล่าวโดยรวมกับคนทั่วไปที่ไม่เคยเริ่ม ไม่เคยมีวาสนาเลย ขอบคุณครับ
     
  3. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,239
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,108
    ค่าพลัง:
    +70,445
    ความคล้ายของแนวทางเดินกสิณในกาย กับวิชชาธรรมกายดั้งเดิม

    วิธีตั้งมณฑลกสิณด้วยดวงธรรมในกายมนุษย์และกายทิพย์

    (กายโลกีย์คือ การมนุษย์ ทิพย์ พรหม อรูปพรหม)

    ดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ เรียกว่า ดวงปฐมมรรค
    ดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายทิพย์ เรียกว่า ดวงทุติยมรรค
    ดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายรูปพรหม เรียกว่า ดวงตติยมรรค
    ดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายอรูปพรหม เรียกว่า ดวงจตุตถมรรค

    คราวนี้จะใช้เฉพาะกายโลกีย์ทั้ง ๘ (กายที่ไม่ใช่กายธรรม) เพื่อประกอบโลกียฌาน สับกาย ซ้อนกาย เฉพาะกายโลกีย์ สัก ๗ เที่ยว ให้กายใสทุกกาย

    เมื่อ กายใสดีแล้ว

    เข้าตั้งกสิณในดวงทุติยมรรคของกายทิพย์(หรือที่ดวงปฐมมรรคในกายมนุษย์ก็ได้) พอดวงทุติยมรรคใสใหญ่เท่าดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ นึกบริกรรมว่า ปฐวีกสิณัง ดินก็เกิดขึ้นในดวงนั้นเป็นปฐวีกสิณ น้อมจิตนิ่งแน่นเลยดินลงไป

    น้ำก็ผุดขึ้นเป็นอาโปกสิณ

    ไฟก็ซ้อนอยู่ในน้ำเป็นเตโชกสิณ

    ลมซ้อนอยู่ในไฟเป็นวาโยกสิณ

    สีเขียวอยู่ในลมเป็นนีลกสิณ

    สีเหลืองอยู่ในสีเขียวเป็นปีตกสิณ

    สีแดงอยู่ในสีเหลืองเป็นโลหิตกสิณ

    สีขาวอยู่ในสีแดงเป็นโอทาตกสิณ

    แสงสว่างอยู่ในสีขาวเป็นอาโลกกสิณ

    อากาศว่างอยู่ในแสงสว่างเป็นอากาสกสิณ


    แล้วเดินสมาบัติในกสิณนั้น

    หลวงปู่สดท่านเมตตาสอนวิธีการเดินสมาบัติในกสิณ เพื่อตรวจดูภพต่างๆไว้ ว่าเวลาจะเดินสมาบัติในกสิณเหล่านี้ ก็ต้องซ้อนดวงกสิณให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ตามลำดับ แล้วจึงเดินสมาบัติ วิธีเดินสมาบัติต้องใช้ธรรมกายเดิน(ทีนี้ไม่ใช่โลกียฌานแล้ว)


    เวลาจะตรวจดูภพไหนให้เห็นชัด ก็ประกอบดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายระดับนั้นๆ*เป็นสมาบัติ

    ที่ตั้งของดวงธรรมนั้นเป็นกสิณ


    (ตรวจโลกมนุษย์ *ทวีปทั้ง ๔ ในจักรวาลนี้ ก็ใช้ดวงธรรมในกายมนุษย์ ตรวจภพเทวโลกใช้ดวงธรรมในกายทิพย์ ตรวจพรหมโลกใช้ดวงธรรมในกายรูปพรหม ตรวจอรูปพรหมใช้ดวงธรรมในกายอรูปพรหม)


    เดินสมาบัติในกสิณ ใช้กายธรรมเป็นผู้เดินสมาบัติ ตรวจดูให้รู้ตลอด เป็นอยู่กันอย่างไร ฯลฯ ดังนี้เป็นต้น
     
  4. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,239
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,108
    ค่าพลัง:
    +70,445
    เมื่ออาศัยคุณของการรวมจิตใจให้มั่นคงในกสิณได้

    แล้วนำกรรมฐานที่น้อมไปสู่การพิจารณาฟอกกิเลสภายในใจเข้ามาร่วม
    ก็จะส่งผลดีเป็นปฏิกิริยาสะท้อนกลับ ส่งเสริมกันและกัน ระหว่างสมรรถนะกสิณและกรรมฐานเพื่อขัดเกลากิเลสกองนั้นๆ


    เช่น เมื่อกำหนดกสิณแสงสว่าง(เป็นต้น) ไว้ภายใน แล้วอธิษฐานให้เห็นเป็นกายคตาสติ ก็จะสามารถเห็นที่ตั้งของอวัยวะภายในต่างๆได้ชัดเจน ทั้งสี กลิ่น การทำงานเชื่อมโยง ส่งผลให้น้อมไปทางอารมณ์วิปัสสนาญาณได้ คือ เห็นการเกิดขึ้น เสื่อมลง ของอวัยวะน้อยใหญ่


    ส่วนการพิจารณานามธรรมละเอียดในใจร่วมกับกสิณภายในนั้น
    เมื่อใดที่จิตติดพันในเวทนาสุข-ทุกข์-ไม่สุขไม่ทุกข์ ก็มีปฏิกิริยาย้อนกลับให้เห็นชัดในลักษณะกสิณภายในได้
    เมื่อใดที่จิตถูกปรุงแต่งด้วยธรรมละเอียดใดๆ การตั้งกสิณไว้ภายใน ก็สามารถใช้เป็นตัวบ่งชี้ เครื่องวัดได้
    เทคนิคในการนำมาใช้เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการเจริญวิปัสสนาของแต่ละท่าน ก็มีรายละเอียดต่างกันไปบ้าง



    เมื่อนำกรรมฐานที่พิจารณากิเลสภายในใจตน มาร่วม ดังตัวอย่าง
    ยื่งมีจิตตานุภาพจากการเจริญกสิณภายใน ก็ยิ่งเห็นการเกิดขึ้น และเสื่อมสลายได้ละเอียดไปอีก ทั้งในส่วนรูปธรรมที่เป็นธาตุ และในส่วนนามธรรม ส่งผลให้ การมีทิฐิมานะ ถือมั่นในสักกายทิฐิจางคลายลงได้ การถือตัวตนเรา-เขาก็คลายลง ส่งเสริมพรหมวิหารสี่ให้เจริญ

    เมื่ออารมณ์วิปัสสนาเจริญ ธรรมฝ่ายอกุศลก็มีผลตอจิตใจน้อยลง อำนาจของกสิณที่นำมาเป็นฐานก็เจริญตาม ด้วยนิวรณ์ขัดขวางก็ถูกกำจัดที่ต้นเหตุไปด้วย

    จนสมถะและวิปัสสนา รวมตัวกันเป็นเนื้อเดียวมากขึ้น เรียกว่า สมถะวิปัสสนากรรมฐาน


    เป็นมีดที่ทั้งคม(ญาณ)และเหนียวแน่นมีกำลังไม่หักง่าย(ฌาณ)
    เป็นเครื่องมือทรงพลังในการสะบั้นอกุศลเครื่องกีดกั้นร้อยรัดดวงจิต ได้ทรงประสิทธิภาพยิ่ง


    เป็นรากฐานของอภิญญาข้อสำคัญที่สุดคือ “อาสวักขยญาณ”
    จุดมุ่งหมายสูงสุด ที่ชีวิตทั้งหลายต้องเข้าถึง
     
  5. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,239
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,108
    ค่าพลัง:
    +70,445
    การเพ่งรูปภายใน( สติปัฏฐานฌาณ)

    การเพ่งอวัยวะน้อยใหญ่ ที่มีอยุ่ตามเป็นจริงที่กาย น้อมนำไปสู่อารมณ์วิปัสสนาได้ง่าย


    ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง อวัยวะน้อยใหญ่ เมื่อเพ่งรวมจิตใจจนเป็นสมาธิแนบแน่นเป็นปฏิภาคนิมิตได้ จะเห็นความจริงของอวัยวะน้อยใหญ่ที่ประกอบเป็นกาย

    เป็นอารมณ์ต่อเนื่องจากกสิณเข้าสู่วิปัสสนาญาณ ที่ไม่ต้องสมมุติสร้างให้เกิดขึ้น
     
  6. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,239
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,108
    ค่าพลัง:
    +70,445
    การเจริญกสิณด้วยรูปภายนอก ไม่ใช่ของแปลก เป็นของมีมาตั้งแต่ก่อนสมัยพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสรู้


    แต่....การเจริญสติปัฏฐานฌาณ หรือการเพ่งภายในกาย เป็นสิ่งที่น่าใส่ใจยิ่ง


    สติ-สัมปชัญญะ จะค่อยๆเจริญขึ้น ไม่ไหลไปตามอารมณ์ได้ง่าย

    มีความสำคัญยื่ง

    และเกิดกรณีพิเศษที่ต้องระวัง กับสื่งทีเรียกว่า "อสัญญีภพ" อันเกิดจาก การที่สติสัมปชัญญะ ไม่ได้
    ถูกอบรมหล่อเลี้ยงไว้ในกายใจด้วยสติปัฏฐาน

    ระหว่างรอยต่อ ของรูปฌาณ และ อรูปฌาณ ถ้าสติสัมปชัญญะไม่ทันเห็นชัดกับลมที่ดับขาดไป

    ให้สังเกตุว่า ระยะเวลาที่จิตตกไปสู่การขาดความทรงจำมั่นหมายใดๆ มีความยาวนานมากขึ้นหรือไม่
    ความว่องไวของสติสัมปชัญญะต่อจิตตนค่อยๆช้าลง มีการจมในอารมณ์อกุศลได้นานขึ้นกว่าจะรู้ตัวหรือไม่



    .........นี่แหละ คือ เหตุผลสำคัญ ที่ต้องค่อยๆบำรุงสติสัมปชัญญะให้เจริญ ควบคู่ไปกับการเจริญกสิณฌาณ
    และการบำเพ็ญสมาธิแบบต่างๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 8 กันยายน 2015
  7. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,239
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,108
    ค่าพลัง:
    +70,445
  8. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,239
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,108
    ค่าพลัง:
    +70,445
    ไม่ว่าสายกรรมฐานไหน ครูท่านสรุปให้ว่า " เอาไปเป็นเครื่องมือประหารกิเลสให้ลดลง
    อย่าหลงจนก่อเวรภัยให้ตนและผู้อ่่น "
     
  9. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,239
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,108
    ค่าพลัง:
    +70,445
    "กสิณของฤาษี กับกสิณของพระพุทธเจ้า"
    จากหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

    @ในตอน.. พาพระมหาเปรียญมาจับผิดหลวงปู่มั่น

    พ่อแม่ครูบาอาจารย์เล่าว่า ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ยังไม่เลิกทิฎฐิที่จะเอาชนะพระกัมมัฎฐานให้ได้...
    ในคราวงานผูกพัทธสีมาพระอุโบสถวัดโพธิสมภรณ์ จังหวัดอุดรธานี ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ท่านไปเป็นประธานในงานนี้ หลวงปู่มั่น ก็ได้รับนิมนต์ไปในงานนี้ด้วย.
    พอตกเย็น ท่านเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ก็พาพระมหาเปรียญจากกรุงเทพฯ ๒-๓ รูป ไปสนทนาธรรมกับหลวงปู่มั่น ทราบกันดีว่าในครั้งนั้น. ต้องการจะให้พระเปรียญที่คงแก่เรียนนั้น ไปไล่ต้อนให้หลวงปู่มั่นจนมุมให้จงได้
    พระมหาเปรียญเหล่านั้นไม่มีใครกราบหลวงปู่มั่นตามธรรมเนียมที่ปฏิบัติกัน คงจะถือว่าพวกท่านเป็นพระของท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ. หรือถือตัวว่าเป็นพระมหาเปรียญผู้แตกฉานในพระไตรปิฎก ส่วนพระป่าที่เอาแต่นั่งหลับตา ไม่น่าจะรู้ธรรมะได้แตกฉานลึกซึ้งเท่า. เบื้องแรกมีการสนทนาไต่ถามทุกข์สุข ทำความคุ้นเคยกันพอสมควรแล้ว พระมหากลุ่มนั้นก็ตั้งปัญหาถามหลวงปู่มั่นว่า...

    “ในฐานะที่ท่านมีความชำนาญในสมาธิภาวนา จึงอยากจะถามท่านเกี่ยวกับเรื่อง กสิณ ว่าท่านใช้วิธีเพ่งกสิณอย่างไร เช่น การเพ่งดิน น้ำ ลม ไฟ หรือสีเหลือง แดง ขาว พวกนั้นมันเป็นอย่างไร ? ท่านใช้เพ่งอย่างไร ? ขอให้อธิบายด้วย?”
    ตั้งคำถามเหมือนกับข้อสอบ พระมหากลุ่มนั้นหวังจะให้หลวงปู่มั่น ท่านตกหลุมพราง จะได้เป็นหลักฐานกล่าวได้ว่า หลวงปู่มั่นและศิษย์
    ประพฤติปฏิบัติตนออกนอกรีตนอกรอย ของพระพุทธศาสนา
    ฝ่ายหลวงปู่มั่น ท่านไม่ต้องรอคิดหาคำตอบ ท่านตอบทันทีว่า :-

    “อ๋อ ! นั่นก็กสิณเหมือนกัน ที่เพ่งภายนอกนั้น แต่มันเป็นกสิณของพวกฤๅษีชีไพร
    ส่วนกสิณของพระพุทธเจ้า ท่านให้เพ่งน้อมเข้ามาในกายตน เช่นเพ่งไฟ ก็ไฟธาตุในตน เพ่งน้ำ ก็น้ำเลือด น้ำดี น้ำหนอง น้ำเสลด เพ่งดิน ก็ดูผม ขน เล็บ ฟัน หนังเพ่งลม ก็ลมหายใจเข้าออก ลมระบายออกทางทวาร ลมวิ่งไปในกระเพาะ ลมตีขึ้นเบื้องสูง ลมตีลงเบื้องต่ำ. ส่วนการเพ่งสีนั้น ก็เพ่งในร่างกายของเรานี้เอง สีแดงก็เลือด สีเหลืองก็หนอง สีขาวก็กระดูก สีเขียวก็น้ำดี
    เพ่งให้เป็นธาตุปฏิกูล ความเปื่อยเน่า ความเป็นของไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตนเราเขา... นี่คือ กสิณของพระพุทธเจ้า ผู้ไกลจากกิเลส สำหรับผู้ไปเพ่งอย่างอื่นที่อยู่นอกตัว ยังเพ่งไม่ถูกแน่...”

    เมื่อได้ฟังคำตอบขอหลวงปู่มั่น เช่นนั้นพระมหาเปรียญผู้ถามถึงกับตลึงงัน เพราะไม่คิดว่าจะพลิกผันไปเช่นนี้ แถมยังเป็นสุดยอดของคำถาม
    คำตอบ ซึ่งอ่านในตำราจนจบก็ไม่สามารถหาได้ ทุกองค์ยอมจำนน ไม่มีใครกล้าถามต่อไปอีก....

    หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

    ขอน้อมกราบพระธรรมคำสอนของพ่อแม่ครูบาอาจารย์ด้วยเศียรเกล้า

    kqmrxjv9qa1imefvtxmkhojb8wzif8kjleb0je7_-_nc_ohc-c2az_69xy1gax-lr7vr-_nc_ht-scontent-fcnx3-1-jpg.jpg
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...