หลวงพ่อปาน และหลวงพ่อจง สอนธรรมหลวงพ่อฤาษีลิงดำขณะธุดงค์

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Charls, 23 มีนาคม 2010.

  1. Charls

    Charls เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    208
    ค่าพลัง:
    +2,343
    ผมเห็นมีบางท่านได้กล่าวถึงหลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านได้กล่าวถึงหลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอกไว้ในบางกระทู้ จึงขอนำเรื่องราวที่ผมได้อ่านมาบอกต่อครับ เฉพาะที่ไม่ซ้ำกับกระทู้ที่ได้กล่าวถึงประวัติหลวงพ่อจง ไม่ได้มีเจตนาจะซ้ำเติมท่านผู้ใดนะครับ

    "ท่านผู้ฟัง และท่านผู้อ่านทั้งหลาย ตอนที่ ๔ ของเล่มที่ ๑๕ นี้ ก็ยังเป็น วันขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๖ เพราะว่า บันทึกติดต่อกัน สำหรับตอนนี้ ก่อนที่จะมาพูด ก็พอดีเสียงโทรทัศน์บอกถึงเรื่อง ไหลตาย เรื่องไหลตายนี่ มีการแก้กันขนาดหนัก ทั้งทางราชการบ้าง ทางหมอดู หมอพยากรณ์บ้าง ก็ยังไม่พ้นเพราะมันเป็นกฎของกรรม รวมความว่าทุกอย่าง ถ้าเป็นกฎของกรรม ก็ต้องปล่อยไปตามกรรม ไม่มีใครสามารถจะห้ามได้ วันนี้ก็มาคุยถึงเรื่องอะไรดี มาคุยกันถึงเรื่องป่าศรีประจันต์ต่อไป

    <O:p</O:p
    เป็นอันว่า ในตอนที่ ๓ ได้พูดถึงเรื่องของ วันขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๖ วันนี้ก็มาพูดถึง วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ของป่าศรีประจันต์ พอวันรุ่งขึ้น เป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ก็มานั่งปรึกษากัน ๓ องค์ว่า วันนี้ เป็นวันวิสาขบูชา เราจะบูชาพระพุทธเจ้ากันที่ไหน เพื่อนทั้ง ๒ องค์ก็บอกว่า การบูชาที่ไหนก็ถึงพระพุทธเจ้า ถ้าหากว่า เรานึกเห็นท่านเมื่อไร ก็ถึงเมื่อนั้น การเห็น บรรดาท่านพุทธบริษัทบางท่านก็บอกว่า อาจจะเป็น พุทธนิมิต บ้าง อาจเป็นองค์จริงบ้าง ทั้งนี้ ไม่ขอวิจารณ์ ก็ถือว่า ถ้าเห็นภาพพระพุทธเจ้าได้ เป็นใช้ได้ จะเป็นภาพ เป็นพุทธนิมิตก็ตาม ภาพเขียนก็ตาม ภาพปั้นก็ตาม เราถือว่า นั่นคือพระพุทธเจ้า เพราะจิตเราไม่ติดที่รูป จิตเราติดที่พระพุทธเจ้า คือ ธรรมะของพระองค์

    <O:p</O:p
    ขณะที่นั่งคุยกันว่า เราจะทำอย่างไรดี เป็นวันวิสาขบูชา เราจะเวียนเทียน เราก็ไม่มีเจดีย์ เราจะบูชาพระพุทธรูป เราก็ไม่มี เราก็บูชานึกถึงพระ จะนั่งกันเฉย ๆ ก็ดูท่ากระไรอยู่ คิดว่าเอาอย่างนี้ดีไหม เราใช้ วิชาตุ่มน้ำ ดีไหม ตุ่มน้ำในห้องของอาตมา สององค์ก็บอกว่า แกก็ใช้วิชาตุ่มน้ำก็แล้วกัน ข้าไม่ต้องหรอก ข้าไม่ต้องเข้าตุ่มน้ำ ถามว่า เราจะไปไหนกันดี เขาก็เลยบอกว่า ทางที่ดีก็ คือ พระจุฬามณี เวลานั้นบรรดาท่านพุทธบริษัท ทั้ง ๒ องค์เขามีความสนใจเรื่อง นิพพาน เพราะว่าทั้ง ๒ องค์นั่นเขาปรารถนา พุทธสาวก แต่อาตมาปรารถนา พุทธภูมิ เรื่องนิพพานยังไม่เข้าใจ ขอพูดด้วยความจริงใจว่า ไม่เข้าใจเรื่องนิพพานจริง ๆ และการไปไหนได้ก็ไปแค่ยัน พรหม ไม่ถึงนิพพาน นี่เรื่องจริงมันเป็นอย่างนี้นะ

    <O:p</O:p
    ก็เป็นอันว่า ตัดสินใจกันว่า ถ้าอย่างนั้น เราไปพระจุฬามณี สององค์ก็บอกว่า ถ้าเราไปที่พระจุฬามณี แล้วเราจะเลยไปไหน ก็คุยกันบอกว่า เราก็ไปแค่จุฬามณีก็พอ เพราะว่าที่พระจุฬามณีนั่น ใช้เวลา ๑ วันของท่าน เท่ากับ ๑๐๐ ปีของเรา เราไปชั่วเวลาประเดี๋ยวเดียว มันก็ ๒๔ ชั่วโมง แล้วไปที่นั่นก็มีแต่ความสดชื่น มีแต่ความเอิบอิ่ม มีแต่ความปลาบปลื้มใจ อารมณ์ มีอารมณ์เป็นสุข ร่างกายเป็นอย่างไร ก็ช่างหัวมันเมื่อไร เรื่องร่างกาย เราไม่เกี่ยว ถ้าเราอยู่กับมัน เราเกี่ยว เราไปจากมัน เราไม่เกี่ยว

    <O:p</O:p
    ก็ตกลงกันบอกว่า ถ้าอย่างนั้น ประเดี๋ยวประมาณสัก ๓ โมงเช้า เราไปกัน ขณะที่นั่งคุยกันอยู่นั่นเอง บรรดาท่านทั้งหลายก็ปรากฏว่ามีเสือลายพาดกลอน ๒ เสือ อาตมาจะไม่เรียกว่า ๒ ตัว ทั้งนี้เพราะว่า จะเป็นการปรามาสครูบาอาจารย์ สองเสือย่างสามขุมเข้ามา ท่าทางดุดัน องอาจมาก ทำท่าคล้ายกับว่าจะกินพวกเรา ทั้ง ๓ คนเห็นเข้า ก็นึกในใจว่า เสือมาแล้ว ทุกวันเราเห็นแต่เพียง เสือปลาบ้าง เสือปลาบ้าง เสือดาวบ้าง แต่วันนี้เจอะลายพาดกลอน แล้วก็ยาวมากใหญ่มาก ถ้าแกจะกินเราก็รู้สึกว่า ๓ คนอิ่มพอดี ๆ ทุกคนตั้งใจเลิกพูด ตอนนี้เลิกพูดแล้ว เพราะอะไรรู้ไหม เพราะว่าทุกคนยังกลัวตายอยู่ ไม่ใช่ไม่กลัวตาย<O:p</O:p
    ก็นึกในใจว่า เวลานี้เสือมา ถ้าเสือทำร้ายเรา เราก็ต้องตาย แต่ความตายของเรามีความหมาย นั่นคือ ถ้าเราตายเวลานี้ เราจะไปอยู่พรหม นี่ผู้พูด ผู้เขียนนะ คิดอย่างนี้นะ อีก ๒ องค์เขาคิดอย่างไรก็ไม่ทราบ อีก ๒ องค์ดูเหมือนว่าจะตั้งใจไปนิพพานเลย แต่ว่าผู้เขียนเอง ไม่เข้าใจเรื่องนิพพาน ก็คิดว่า ถ้าตายเวลานี้เราอยู่พรหม ทำไมจึงจะไปพรหม ถ้าหากว่าเราจะไปชั้นดุสิตไม่ดีหรือ ในเมื่อเราปรารถนาพุทธภูมิ ก็มีความรู้สึกว่า ชั้นดุสิตนี่มีนางฟ้ามาก พระโพธิสัตว์องค์หนึ่ง มีนางฟ้าเป็นบริวาร เป็นหมื่น ๆ ถ้าไปอยู่พรหม เราอยู่คนเดียว พรหมองค์หนึ่ง วิมานหลังหนึ่ง มีพรหมองค์เดียว ไม่มีบริวาร สำหรับบริวารก็มีวิมานคนละหลัง ไม่อยู่ร่วมกัน เราชอบ อารมณ์เป็นสุข

    <O:p</O:p
    เมื่อตัดสินใจแล้ว ก็เริ่มจับ อานาปานสติ แล้วเสือก็ย่าง ๓ ขุมเข้ามา หลับตานึกถึงภาพพระพุทธเจ้าเท่าที่เคยเห็น เห็นชัดเจนแจ่มใสมาก เห็นตามเดิม ท่านอยู่กับ ลุงพุฒ คือ มหาพุฒ เห็นท่านทรงแย้มพระโอษฐ์ ก็ชื่นใจ คิดว่า เอาละ ช่างมัน คราวนี้กายเนื้อมันจะตาย แต่กายที่ไม่ใช่กายเนื้อเราจะไปพรหม แล้วเสียงลุงพุฒก็ถามมาบอกว่า ไปแค่พรหมน่ะ พอใจแล้วหรือ ก็เรียนท่านบอกว่า ในเมื่อมาจากพรหม ก็ขอไปพรหม ท่านก็บอกว่า ไปชั้นดุสิตไม่ดีหรือ เป็นที่อยู่ของพระโพธิสัตว์ ก็บอกว่า ผู้หญิงมาก และผู้หญิงที่นั่นก็สวยมาก ก็เกรงว่า กำลังใจจะยุ่งกับผู้หญิงมากเกินไป เดี๋ยวกังวลจะมีมาก ก็ขอไปอยู่พรหม ไปอยู่คนเดียว

    <O:p</O:p
    ท่านก็บอก ตามใจ นั่งทำสมาธิไป จิตใจจับที่ภาพพระพุทธเจ้าอย่างเดียว ไม่ไปไหน ก็คิดว่า ร่างกายมันจะเป็นอาหารของเสือเวลานี้ก็ช่างหัวมัน ไม่สนใจแล้ว แล้วก็ประกอบกับความรู้สึกว่า คิดว่าดี ถ้าตายเวลานี้ ดี เราอยู่กับพระพุทธเจ้า อย่างไร ๆ เราก็ไม่ลงนรก จิตใจชุ่มชื่น ต่างคนต่างทำสมาธิกัน อีก ๒ องค์เขานึกอย่างไร อาตมาไม่ทราบ สักพักใหญ่ ๆ เสือก็ไม่กิน พอลืมตาขึ้นมาดู เสือนั่งข้างหน้าเฉย ๆ นั่งมองคนนั้น นั่งมองคนนี้

    <O:p</O:p
    ในเมื่อลืมตาขึ้นมาแล้ว ก็ถามเสือว่า ทำไมแกจึงไม่กินฉันล่ะ เสือขยับหนวด ขยับปาก ก็บอกว่า เสือ ๒ ตัวนี่ไม่กินโว้ย เสือ ๒ ตัวนี่อยากจะรู้ว่า ลูกศิษย์ที่ปล่อยเข้ามาอยู่ป่าศรีประจันต์นี่ มันจะมีกำลังใจขนาดไหน มันจะมีความกล้าหรือมีความกลัว การตัดสินใจผิดหรือตัดสินใจถูก เสียงเสือตัวที่พูดตัวแรก เสียงเหมือนหลวงพ่อปานชัด เสือพูดภาษาคน และเสือที่สองก็พูดเบา ๆ เหมือนเสียงหลวงพ่อจง

    <O:p</O:p
    ท่านบอกว่า การตัดสินใจแบบนี้น่ะ ถูกต้องทุกองค์ สององค์นั่นตัดสินใจเมื่อนิพพานตรง เพราะเป็นพุทธสาวก ปรารถนาสาวกภูมิถูกต้อง ต้องทำอย่างนี้ และองค์นี้ปรารถนาพรหม ก็ดี เพราะปรารถนาพุทธภูมิ ตั้งใจไปพรหม รวมความว่า ทุกองค์ตัดสินใจถูก ความกลัวย่อมมีแก่คนทุกคน บุคคลใดถ้ายังไม่เป็นอรหันต์ก็ตาม ยังไม่ใช่พระพุทธเจ้า ยังไม่ใช่ม้าอาชาไนย หรือไม่ใช่พระเจ้าจักรพรรดิ์ต้องกลัว แต่การกลัวของพวกคุณทั้งหมดถูกต้องเป็นการกลัวที่ถูก คือ กลัวเสือจะกิน แต่ก็ไม่กลัวในการที่จะไปเป็นพรหม ไปนิพพาน

    <O:p</O:p
    หลังจากนั้น เสือทั้ง ๒ เสือ ค่อย ๆ คลายตัว เป็นหลวงพ่อปานกับหลวงพ่อจง ในเมื่อกลายเป็นหลวงพ่อทั้งสอง ก็ลุกขึ้นกราบท่านด้วยความเคารพ อิ่มใจ ชื่นใจ น้ำตาไหล ท่านถามว่า ดีใจรึ บอกดีใจขอรับ ถามว่า หลวงพ่อเป็นเสือได้อย่างไร ท่านบอกว่า มันเรื่องของฉันน่ะ ฉันจะเป็นเสือจะเป็นแมว ฉันจะเป็นอะไรมันเรื่องของฉัน ไม่ต้องถาม พวกเธอทำตามคำสั่งได้ดีที่สุด แล้วการกระทำของพวกเธอทั้งหมดนี่ มันไม่พ้นสายตาของฉัน ก็ถามว่า หลวงพ่อส่งตาทิพย์มาดูหรือ ท่านก็เลยบอกว่า งานของฉันมาก ไม่มีเวลาจะดูพวกเธอ แต่เทวดาเขารายงาน เทวดารายงานทุกอิริยาบทที่เธอทำ เธอจะนั่งท่าไหน จะนอนท่าไหน เขาบอกหมด

    <O:p</O:p
    ก็รวมความว่า ไม่พ้นสายตาของท่าน เพราะเทวดาบอก ท่านก็เลยบอกว่าวันนี้เป็นวันวิสาขบูชา ทุกองค์ก็ตั้งใจไปพระมหาจุฬามณีเจดีย์สถานก็แล้วกัน ไปตั้งใจอธิษฐานว่า จะอยู่ที่นี้จนกว่าจะได้อรุณจึงจะลง ถ้าตัดสินใจอย่างนั้น พอได้อรุณปั๊บมันจะเคลื่อนลงทันที เมื่อท่านสอนแบบนั้นแล้ว ท่านก็หายไป เราก็กราบตามหลังท่าน ไม่รู้ว่าท่านไปอย่างไร ร่องรอยก็ไม่มี เงาก็ไม่มี ไม่รู้ว่าหายไปไหน

    <O:p</O:p
    เมื่อหลวงพ่อทั้งสองหายไป พวกเราก็ดีใจ คิดว่า โอ้โฮ…เสือใหญ่นี่จำไว้เลยว่า เสือใหญ่เสือลายพาดกลอนแบบนี้ แล้วก็เข้ามาขนไม่พอง แสดงว่าเสือไม่จริง เป็นเสือปลอม เป็นอันว่า ท่านสอนแนะนำให้ไปพระจุฬามณีเจดีย์สถาน เราก็ไปกัน ก็ตัดสินใจว่า เราไปกันเดี๋ยวนี้ ไม่ต้องตั้งท่าคำว่า เดี๋ยวนี้ ปั๊บ ก็ปรากฏว่า ถึงพระจุฬามณีเจดีย์สถาน เป็นการอวดอุตริมนุสสธรรมไหม ท่านผู้ฟัง หรือท่านผู้อ่าน เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน อธิศีลสิกขา อธิจิตสิกขา อธิปัญญาสิกขา ทำเสียให้ครบถ้วนละก็ จะไม่มีอะไรสงสัย ไม่มีอะไรตำหนิ และก็ไม่มีอะไรจะชม จะเป็นอุเบกขาญาณได้"


    จากหนังสืออ่านเล่น เล่มที่ ๑๕ โดย ส. สังข์สุวรรณ (หลวงพ่อพระราชพรหมยาน หรือหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง) ชื่อตอน ป่า อ. ศรีประจันต์ ตอนที่ ๒ <O:p</O:p
     
  2. Charls

    Charls เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    208
    ค่าพลัง:
    +2,343
    ตอน ป่า อ. ศรีประจันต์ ตอนที่ ๔


    "เวลาประมาณสักตี ๒ เสียงดังโครมโครม ๆ ในธารน้ำไหลในถ้ำ ทุกองค์ตื่นจากที่นอน พอลุกจากที่นอนมาดูที่ธารน้ำไหลปรากฏว่า มีเสือ ๔-๕ ตัว กำลังเล่นน้ำอยู่ ก็นึกในใจว่า เจ้าเสือนี่มันเข้ามาอย่างไร แล้วทำไมถึงมาเล่นน้ำที่นี่ มันจะเล่นแต่น้ำ หรือเล่นเราด้วยก็ยังไม่แน่ ก็มองไปมองมา ดูเสือ เสือก็ทำท่า ทำเหมือนไม่รู้ไม่ชี้ เล่นน้ำกันตามสบาย ๆ เลยทุกคนก็นั่งมองดู ก็คิดในใจว่า การเกิดของคน การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ มันเป็นของไม่ดีอย่างนี้ ถ้าเราพลาดจากความเป็นคน เป็นเทวดา หรือเป็นพรหมก็ยังดี ถ้าไปเกิดในอบายภูมิ ถึงแม้จะเป็นเสือ เป็นสัตว์ที่มีอำนาจมาก ก็มีความลำบากด้วยอาหาร เวลานี้มาเล่นน้ำกันในเวลาดึก

    <O:p</O:p
    แต่ความจริง มันไม่ใช่เวลาอาบน้ำ มันเวลานอนเป็นเวลาพักผ่อนเฉพาะคน แต่เวลากลางคืน เป็นเวลาหากินของเสือ แต่เสือนี่จะมีความสุขหรือความทุกข์ เมื่อคิดไปแล้วก็เห็นว่า เสือมีความทุกข์ เพราะว่าเสือมีความหิว การอาบน้ำแสดงว่า เสือมีความร้อน ความร้อนมันก็เป็นทุกข์ เมื่ออาบน้ำมีความเย็นก็เป็นสุขชั่วคราว ถ้าขึ้นไปจากน้ำประเดี๋ยวก็อาจจะร้อนใหม่ แล้วก็ในที่สุด เสือนี่ก็ต้องแก่ แล้วก็ต้องตาย เช่นเดียวกับเรา เราก็มีสภาพเช่นเดียวกับเสือ
    <O:p</O:p
    ถ้าเวลานี้บังเอิญเสือเห็นเราเข้า เสือจะกินเรา เราก็ตามใจเสือ เราจะไม่ยอมดิ้นให้มันเจ็บ ให้มันเจ็บแค่เสือกัด ประเดี๋ยวมันก็ตาย เมื่อตายเราก็มีความสุขที่ไปของเราก็คือ พรหม อาตมาคิดอย่างนี้นะ แต่ว่ามาถาม ๒ องค์ทีหลัง ๒ องค์ท่านก็บอกว่า ที่ตายของท่าน ท่านตายแล้ว ที่ไปของท่านก็คือนิพพาน มีอารมณ์ต่างกัน พระโพธิสัตว์ ก็สาวกมีอารมณ์ไม่เสมอกัน พระโพธิสัตว์ไม่ค่อยเข้าใจนิพพานนัก อาตมาไม่เข้าใจเลย เวลานั้น เรื่องนิพพาน แล้วก็จิตหวังนิพพานไม่มีอยู่ ต้องการอย่างเดียว คือ เป็นพระพุทธเจ้า

    <O:p</O:p
    พอคิดอย่างนั้นเสร็จ เสือก็ยังไม่เลิกเล่นน้ำ เราก็เลยนั่งสมาธิตรงนั้นคิดในใจว่า ขออุทิศร่างกายให้เป็นอาหารของเสือ เสือจะได้มีความสุข ตั้งใจจับสมาธิปั๊บจิตหลุดออกจากกายไปโน่น ไปป๋ออยู่ดาวดึงสเทวโลก โยมผู้หญิงท่านก็ถามว่า คุณมาทำไม ก็เลยบอกว่า ปล่อยร่างกายให้เสือมันกิน ท่านบอก เสือไม่กินหรอก เสือนี่กินคนไม่ได้ ถาม ทำไมล่ะโยม ก็เสือ ๔ ตัวนี่ ขอโทษท่านนะ ท่านก็ยกมือไหว้ว่า เสือ ๔ องค์ คือ เสือที่ ๑ คือ เสือหลวงพ่อปาน เสือที่ ๒ คือ เสือหลวงพ่อสุข เสือที่ ๓ คือ เสือหลวงพ่อจง เสือที่ ๔ คือ เสือหลวงพ่อจาด

    <O:p</O:p
    ทั้ง ๔ องค์นี่เป็นเพื่อนกัน มาพิสูจน์กำลังใจของคุณว่า มาที่ใหม่นี่ คุณจะกลัวหรือไม่กลัว และว่าคุณจะทำอย่างไร ในเมื่อเห็นเสือมาอยู่ใกล้ ๆ จะทำอย่างไร จะตกใจกลัววิ่งหนีแบบไหน เวลานี้คุณตั้งใจถูกแล้ว คุณจะกลับไปหรือยังล่ะ ก็เลยบอกว่า ถ้าอย่างนั้น ฉันจะลากลับ โยมก็บอก กลับก็ดี ประเดี๋ยวครูบาอาจารย์จะได้แสดงตัว

    <O:p</O:p
    เมื่อกลับลงมาแล้ว ก็ปรากฏว่า หลวงพ่อปานแสดงองค์ก่อน จากเสือในน้ำขึ้นมา พอขึ้นจากพื้นน้ำนั่งปั๊บ เป็นหลวงพ่อปานทันที แล้วก็ หลวงพ่อจงเป็นองค์ที่ ๒ หลวงพ่อจาดเป็นองค์ที่ ๓ หลวงพ่อสุข เป็นองค์ที่ ๔ แล้วก็บอกว่า เออ…ตัดสินใจอย่างนี้ดีนะ อย่าลืมว่า เทวดาท่านสงเคราะห์ จงทำความดีที่เทวดาชอบใจ ถ้าหากว่าเธอสงสัยว่าเทวดาชอบใจอะไรบ้าง ให้ไปถามโยมเธอที่สวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก ถามโยมผู้ชายก็ได้ ถามโยมผู้หญิงก็ได้ พอหลวงพ่อปานพูดจบ เสียงก้องมาจากข้างนอกว่า ตามคำแนะนำที่หลวงพ่อปานสอนน่ะ ถูกต้องทุกอย่างแล้ว ไม่ต้องไปถามใครอีก ก็ไม่ทราบว่าเสียงใคร แล้วก็เงียบไป

    <O:p</O:p
    แล้วท่านก็บอกว่า ท่านก็ขอกลับ หลวงพ่อมาเท่านี้ เตือนเท่านี้ จะกลับนะ จำไว้ว่า ถ้าเสือธรรมดา จะไม่มาเล่นน้ำในเวลากลางคืน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในถ้ำ เสือถ้าจะกินคน ต้องคนนอนที่แจ้ง เพราะว่าเวลาจะกินคนหรือกินสัตว์ เสือจะต้องโดดคาบแล้วก็โดดต่อไป ในถ้ำนี้โดดไม่ได้ เสือไม่เข้ามา จำไว้ให้ดี ไอ้ที่มานี่ก็จะแนะนำ เพราะเกรงว่า จะกลัวเสือ เสือจะไม่หมอบ หรือคลานเข้ามาคาบลากออกไป ที่นี่ถ้ำต่ำ โดดไม่ได้ แล้วท่านก็ลากลับ เมื่อท่านลากลับเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็กราบสถานที่ท่านนั่ง ก็จัดบริเวณที่ท่านนั่งไว้ เอาหินมาวางเรียงรายให้ล้อมรอบว่า ที่ตรงนี้เราจะไม่เหยียบ จะไม่เดินเหยียบลงไป เราจะไม่นั่ง ไม่นอนที่ตรงนั้น เพราะเป็นที่ครูบาอาจารย์ท่านนั่งสอนทั้ง ๔ องค์

    <O:p</O:p
    หลังจากนั้นแล้ว ก็ต่างคนต่างตัดสินใจว่า เราจะนั่งกันตรงนี้ข้าง ๆ นี้ เราฟังคำสอนจากหลวงพ่อปาน หลวงพ่อ ๔ องค์ ท่านมาพร้อมกันในที่ใด เราจะนั่งตรงนั้นจนกว่าจะตลอดรุ่ง เมื่อตัดสินใจเสร็จต่างคนต่างเข้าสมาธิ ต่างคนต่างนั่ง เข้าสมาธิจิตอารมณ์สงัด เวลานั้นไม่เที่ยวแล้ว สงัด ตัดสินใจจัดอารมณ์ดิ่งที่สุด จิตมีอารมณ์สว่างโพลงจนไม่รู้สึกภายนอก เขาเรียกกันว่า ฌาน ๔ อารมณ์เป็น เอกัคตา ดี ตัดสินใจว่า ถ้า ๖ โมงเช้าเมื่อไร เราจะมีความรู้สึกตัว "


    <O:pจากหนังสืออ่านเล่น เล่มที่ ๑๕ โดย ส. สังข์สุวรรณ (หลวงพ่อพระราชพรหมยาน หรือหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง) </O:p
     
  3. ผู้เตือน warn

    ผู้เตือน warn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2010
    โพสต์:
    561
    ค่าพลัง:
    +688
    โมทนา สาธุธรรมะดีๆ ครับ อนุโมทนาด้วยนะครับ ที่ท่านนำมาเผยแพร่ ไห้สาธุชน คนรุ่นหลัง

    ได้ศึกษา ได้เรียนรู้ แนวทางการปฏิบัติธรรม ของพระสมัยก่อน

    ว่าท่าน วางกำลังใจ ทรงกำลังใจกันขนาดไหน

    ท่านถึงได้เข้าถึง คุณธรรม ความดีกันจริงๆ
     

แชร์หน้านี้

Loading...