หลวงพ่อปานกับขรัวอีโต้ผู้ทรงอภิญญา โดยหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย ชนะ สิริไพโรจน์, 17 กรกฎาคม 2014.

  1. ชนะ สิริไพโรจน์

    ชนะ สิริไพโรจน์ ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,891
    กระทู้เรื่องเด่น:
    14
    ค่าพลัง:
    +35,260
    หลวงพ่อปานกับขรัวอีโต้ผู้ทรงอภิญญา
    โดยหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง

    ตอนนี้เป็นเรื่องเบ็ดเตล็ด ขอเล่าถึงเรื่องของหลวงพ่อปาน
    กับอีกคนหนึ่ง คนนี้เป็นฆราวาส ชาวบ้านเรียกกันว่าขรัวอีโต้
    ที่เรียกว่าขรัวอีโต้ก็เรียกตามหลวงพ่อปาน หลวงพ่อปาน
    ท่านเรียกตาคนนี้ว่าขรัวอีโต้ คือเป็นคนแก่ คนอายุไล่เลี่ย
    กับหลวงพ่อปาน มีอีโต้เป็นอาวุธประจำตัว จะไปไหนก็ตาม
    แกจะต้องมีอีโต้ของแกติดตัวไว้เสมอ

    ทีนี้ก็มาเล่ากันถึงเรื่องขรัวอีโต้นี้ที่อยู่จริงจังฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน
    ว่าเขาอยู่ที่ไหน มีพวกมอญจังหวัดปทุม เคยไปรักษาตัวที่วัด
    บางนมโค บอกว่าเคยพบขรัวอีโต้อยู่ที่ภูเขาสาริกา ในเขต
    จังหวัดนครสวรรค์ เขาว่าอย่างนั้น เขาว่าเคยพบอยู่ที่นั่น
    เวลาเขาไม่สบาย เขามาขายของแถวจังหวัดนครสวรรค์
    เขาก็ไปหาขรัวอีโต้ที่เขาสาริกา เขาว่ายังงั้นนะ แต่ฉันเองน่ะ
    ไม่รู้แน่นอนว่าแกอยู่ไหน ขรัวอีโต้นี่ปฏิปทาแปลก ประเดี๋ยว
    จะเล่าให้ฟัง คือว่าตอน ๕ โมงเย็นวันหนึ่ง หลวงพ่อปานท่าน
    เคยขึ้นที่ของท่านประมาณ ๕ โมงเย็น ท่านก็เรียกฉัน ถ้าฉัน
    ไม่อยู่ท่านก็เรียกพระให้มารับท่าน ขนของขึ้นไปบนกุฏิ
    แล้วท่านก็เลยไปนอนที่ป่าช้า

    เวลาประมาณเกือบ ๆ จะ ๒ ทุ่ม ท่านก็กลับ ตอนกลับนี้
    ท่านก็เอานมบ้าง น้ำร้อนบ้าง น้ำตาลบ้าง มาเลี้ยงพระ
    ตอนเลี้ยงพระก็ถือโอกาสสั่งสอนพระไปในตัวเสร็จ
    แล้วก็คุยเรื่องการเจริญพระกรรมฐาน เข้าฌานสมาบัติ
    ฃของท่านว่าท่านไปเที่ยวที่ไหนบ้าง ไปพบอะไรบ้าง
    ใครทำความดี ใครทำความชั่วอะไรที่ไหน โดยเฉพาะ
    อย่างยิ่งพระที่นั่งอยู่นั่นแหละ ท่านก็ชี้เอาในขั้นปัจจุบัน
    ว่าในวันนี้ทำดียังไง ทำชั่วยังไง มันมีผลเป็นประการใด
    สำนักพญายมเขาจดว่ายังไง สำนักของทางสวรรค์เขา
    จดว่าไง ใครทำความดีมีวิมานที่ไหน มีวิมานสวยสดงดงาม
    เป็นประการใด วิมานบอกลักษณะของจิตใจว่ามีอารมณ์
    เป็นบุญ หรือมีอารมณ์เป็นบาปเป็นประการใด

    นี่ท่านนำคุยตอนนั้น ทำให้พวกพระมีจิตฟูสำหรับพวกที่มี
    ความดี แต่คนที่มีความชั่วก็มีอารมณ์หดหู่ลงไปมาก ก็แสดง
    ว่าเป็นการป้องกันพระของท่านลงนรกได้ดี เพราะการที่ท่าน
    พูดอย่างนี้แหละ พวกฉันถึงมีอารมณ์ฟู ก็คิดกันอย่างเดียวว่า
    จะทำกรรมฐานกันให้เต็มอัตราศึก

    แต่ว่าวันนั้น วันที่ขรัวอีโต้มาท่านไม่ยักขึ้น ๕ โมงเย็นเศษแล้ว
    ท่านก็นั่งเฉย พวกฉันก็คอยดูว่าเมื่อไหร่หลวงพ่อจะเรียก ก็นั่ง
    กันอยู่ไม่ไกล คอยท่าน นี่มันได้เวลานานแล้ว จะให้ท่านเรียก
    ตะโกนโวย ๆ ก็รู้สึกว่าท่าไม่ค่อยดี เมื่อถึงเวลาประมาณ ๕
    โมงเย็นเศษ ๆ ก็เห็นเรือลำหนึ่งเป็นเรือสำปั้นพายมีประทุน
    ครอบ ผ่านมาทางหน้าวัด พอจะเลยเขตวัดก็ปรากฏว่าเรือลำนั้น
    ประทุนไฟไหม้ลุกขึ้น ไฟลุก เจ้าของพายมาคนเดียวโดดน้ำ
    ว่ายน้ำขึ้นมาบนวัด เรือแพของแกไม่สนใจ แกปล่อยลอยไป
    ตามยถากรรม

    ในที่สุดชาวบ้านแถวนั้นก็เก็บเอามาไว้ที่หน้าวัด ช่วยกันดับไฟ
    ในเรือ แล้วก็เอาเรือมาจอด แต่ว่าสำหรับเจ้าของน่ะไม่สนใจ
    กับเรือ ฉันเห็นเรือไฟลุก ไฟไหม้ ฉันก็วิ่งลงไปดู แปลกใจว่า
    ใครหนอ เรืออะไรอยู่ดี ๆ ก็ไฟไหม้หลังคา ก็พอดีพบขรัวอีโต้
    ว่ายน้ำขึ้นมาพอดี พอขึ้นมาบนตลิ่ง แทนที่แกจะทำท่านอบน้อม
    หรือว่ามีอาการนอบน้อมเหมือนชาวบ้านชาวเมืองธรรมดา แกก็
    เดินท่าทางองอาจเหมือนนักเลงโตมาถามว่า นี่ท่านปานอยู่
    หรือเปล่า คนที่ยืนอยู่กับฉันตั้ง ๔๐ คนเศษ ทั้งพระบ้าง
    ไม่ใช่พระบ้าง ทุกคนพอได้ยินเสียงแบบนี้รู้สึกไม่พอใจ
    ทุกคนหน้าเครียดเหมือนกันหมด เพราะว่าไม่มีใครเลยที่
    จะมาเรียกหลวงพ่อปานว่าท่านปาน มีแต่เขาเรียกกันว่า
    ท่านใหญ่ ปกติคนแถวนั้นเรียกกันว่าท่านใหญ่

    สำหรับหลวงพ่อเล็กเป็นพระรองลงมาเขาเรียกว่าหลวงพ่อเล็ก
    แต่หลวงพ่อปานนี่เขาเรียกว่าท่านใหญ่ เป็นยังงั้น ถ้าใช้คำว่า
    ท่านหรือท่านใหญ่ก็เป็นอันว่ารู้กัน ตีความหมายว่าเขาพูดถึง
    หลวงพ่อปาน แต่ว่าขรัวอีโต้แกมาใช้วาจาว่าท่านปานอยู่ไหม
    พวกเราถึงแม้ว่าจะไม่พอใจก็ตาม ก็พูดกับแกดี ๆ บอกว่า
    หลวงพ่อกำลังนั่งอยู่ที่รับแขก โยมต้องการอะไร แกก็บอกว่า
    เดี๋ยวต้องไปถามเขาสักหน่อย ว่าทำไมไอ้เรือของข้าน่ะมา
    หน้าวัดเขาทำไมไฟจึงไหม้ เอ๊ะ นี่มันก็แปลกเหมือนกัน
    พวกเราก็พากันยิ้ม นึกว่าอีตาคนนี้ไม่บ้ามากก็คงเลยบ้านิด ๆ
    เรียกว่าถ้าไม่พอดีบ้า ก็เลยบ้านิด ๆ เรือของแกแกพายของแก
    มาเอง แล้วก็ไฟไหม้หลังคาเรือของแก แกจะไปถามคนบนบกว่า
    ทำไมไฟจึงไหม้เรือแก

    ก็นึกในใจว่าอีตานี่แกชอบกล แล้วแกก็เดินผ่านมา มุ่งหน้ามาหา
    หลวงพ่อปาน ฉันกับคนทุกคนก็ตามแกมาชักไม่ไว้ใจ แกถืออีโต้
    มาด้วย ไอ้เจ้าลิงเล็กนี่ตามปกติเวลาเป็นฆราวาสนี่มันคล่องเหลือเกิน
    เรื่องการตีกันละมันออกหน้า ถ้ามันออกหน้าฉันอยู่หลังรับรองว่า
    เรื่องอาวุธไม่โดนแน่ ถ้าเขาใช้หอกก็ตาม ใช้มีดใช้ไม้ก็ตาม มันมี
    ปืนพกของมัน ตีมีดตีไม้ตีหอกกระเด็นหมด ไอ้เจ้านี่ไวมากเก่งมาก
    ไอ้เจ้านี่มันสะกดรอยสะกดหลังขรัวอีโต้มาเลย เขาบอกว่าวันนี้
    ถ้าไม่ดีกูล็อคคอแน่ ไอ้แก่ ๆ แบบนี้ไม่ถึงครึ่งนาทีหรอก ตาตั้ง
    เขาว่าอย่างนั้น

    เมื่อมาถึงหลวงพ่อปานแล้ว อีตานั่นก็พูดเอะอะโวยวาย
    มาตลอดทาง แกไม่เดินมาเฉย ๆ พอมาถึงแล้วก็เอาอีโต้
    ชี้หน้าพูดว่า หนอยแน่ นักเลงโต แกล้งกันได้นี่หว่า
    หลวงพ่อปานก็ยกมือป้องหน้าถามว่าใคร แกก็บอกว่า
    ข้าเองแหละวะ พวกเราก็ไม่พอใจมากเหมือนกัน
    หลวงพ่อปานป้องหน้าพอเห็นเข้าร้องว่า อ้อ นึกว่าใคร
    ขรัวอีโต้หรอกรึ นี่พวกคุณปล่อยเขาเถอะ คนนี้ไม่ใช่บ้า
    หรอก แกล้งบ้า ไอ้คนบ้าจริง ๆ น่ะมันบ้าไม่มาก ไอ้คนบ้า
    ไม่จริงนี่อาการบ้ามันมากกว่าคนบ้าปกติ แกหัวเราะกั้ก ๆ

    อีตาขรัวอีโต้น่ะ พอหลวงพ่อปานว่าเท่านั้นหัวเราะกั้ก ๆ
    แกเลยบอกว่า นี่พวกพระของท่านนี่สำคัญนะ ผมรู้นะว่า
    ตามมาจะมาล็อคคอผม นี่เขายังไม่รู้ฤทธิ์ขรัวอีโต้นะ
    ประเดี๋ยวจะแสดงฤทธิ์ให้ดู แล้วแกก็วางมีดลง นั่งลงกราบ
    หลวงพ่อปาน ในฐานะที่หลวงพ่อปานเป็นพระ พอแกกราบ
    ลงไปแล้ว หลวงพ่อปานก็ประกาศว่า ขรัวอีโต้ไม่ใช่ใครหรอก
    เพื่อนฉันเอง เขาเก่งนะคนนี้ เก่งกสิณมาก ได้อภิญญาเหมือนกัน
    แต่ทว่าเป็นฆราวาส ถึงแม้ว่าเขาเป็นฆราวาสก็ตามเถอะ แต่จิต
    ของเขาดี ใช้ได้ เรื่องความดีนี่ไม่ใช่จะเอาผ้าเหลืองมาหุ้มห่อ
    กันเฉย ๆ คนที่เอาผ้าเหลืองมาหุ้มห่อตัว โกนหัว โกนคิ้ว แต่
    ไม่ทำความดีก็เลวกว่าฆราวาสที่เขามีดีเสียอีก

    นี่ท่านว่าให้ฟังแบบนี้ แล้วตาขรัวอีโต้ก็คุยโอ่อยู่พักหนึ่ง
    อวดเดชอวดศักดาด้วยประการทั้งปวง เมื่อคุยกันอยู่พัก
    แล้วก็บอกว่า นี่ท่าน พระพวกนี้ท่านไม่รู้จักผม เอาอย่างนี้
    ก็แล้วกัน ประเดี๋ยวผมจะแสดงฤทธิ์ให้ดูสักอย่าง จะให้อีโต้
    ว่ายน้ำ แกว่าอย่างนั้น จะให้อีโต้ว่ายน้ำให้ดู แกก็ลุกขึ้น
    แล้วก็เดินไปที่ท่าน้ำ พวกเราก็ตามกันไปหมด แกก็เหวี่ยง
    อีโต้ไปกลางแม่น้ำ ปุ๋ม มีดอีโต้มันก็จมหายไป อีโต้น่ะมันก็
    มีดเหล็กธรรมดา แถมด้ามก็เป็นด้ามเหล็กอีกด้วย ไอ้เหล็ก
    ม้วน ๆ ที่เขาเรียกว่าบ้อง พอมีดจมลงไปแล้วสักครู่หนึ่ง
    แกก็ตบมือเรียกว่าอีโต้จงขึ้นมาหาข้า ๆ ขี้เกียจไปงมหาเอ็ง
    เท่านั้นแหละมีดโต้มันก็โผล่ผลุงมาตรงที่มันจมลงไป โผล่
    ขึ้นมาเหนือน้ำแล้วก็วิ่งจู๊ดคล้ายกับเรือเร็ว แกเอามือรอไว้
    ใกล้น้ำเจ้าด้ามก็เข้ามาถึงมือพอดี

    แกบอกว่านี่มันเป็นฤทธิ์หนึ่งนะ ฤทธิ์ใหญ่ ๆ มียิ่งกว่านี้แต่ฉัน
    ไม่แสดง บอกว่าจะเป็นการแสดงอวดเจ้าของถิ่น แกพูดแล้ว
    ก็หันหน้ามาดูไอ้ ๒ ลิง คือว่าไอ้ลิงขาวกับลิงเล็ก เพราะเจ้านั่น
    เขาได้อภิญญา เจ้าสองคนมองหน้ากันแล้วก็ยิ้ม แล้วแกก็บอกว่า
    คุณ ๆ ทั้ง ๒ องค์นี่ได้อภิญญาก็จริงนะ แต่ว่ายังเป็นอภิญญาใหม่
    ต้องเล่นให้คล่อง เจ้า ๒ คนนั่นตกใจ ว่าแกมาประเดี๋ยวเดียว
    แกรู้ได้อย่างไร ก็เลยสะกิดกันบอกว่าอย่าไปพูดเลย อย่าไป
    สงสัยนะ แกเป็นเพื่อนของหลวงพ่อนะ เข้าใจว่าอย่างดีที่สุด
    แกก็มีดีคล้ายคลึงหลวงพ่อ สำหรับหลวงพ่อนี่เราไม่มีอะไร
    จะหลบท่านเลยนะ เรื่องการปกปิดความชั่วหรือความดีนี่
    เราไม่มีทางจะปกปิดท่านได้เลย

    ก็ขรัวอีโต้นี่เป็นเพื่อนของหลวงพ่อ ขนาดหลวงพ่อให้อภัยแล้ว
    ก็ต้องดี ถ้าไม่ดีแล้วหลวงพ่อไม่ให้อภัย ต่อมาแกก็กลับคุยกับ
    หลวงพ่อ ตอนกลางคืนแกไปนอนห้องเดียวกับหลวงพ่อ ฉันก็
    นอนอยู่ใกล้ ๆ แก ตอนก่อนค่ำเรียกว่าตอนค่ำใหม่ ๆ แกมีลอบ
    เล็ก ๆ ของแกอยู่ลูกหนึ่ง แกเอาขึ้นไปไว้บนยอดไม้หลังกุฏิ
    หลวงพ่อปาน ถามแกว่าเอาขึ้นไปไว้ทำไม แกบอกว่าดักเงิน
    ดักแบ๊งค์ ตอนเช้าตรู่แกก็ขึ้นไปเอา ปรากฏว่าได้ธนบัตร
    ใบละ ๑๐ บาท ใหม่เอี่ยมอยู่ใบหนึ่ง แกทำอย่างนี้อยู่ ๒ วัน
    พอถึงวันที่ ๓ ฉันก็สงสัย ๆ ว่าธนบัตรใบละ ๑๐ บาท นี่มันจะ
    มาจริง ๆ หรือแกย่องเอาไปใส่ไว้

    ฉัน ๓ องค์ด้วยกันผลัดกันอยู่ยาม คราวนี้จะสอบให้ได้ว่าแก
    เรียกเงินได้จริง ๆ หรือว่าแกโกหก ถ้าเรียกเงินได้จริง ๆ
    ก็เป็นของอัศจรรย์ ก็ผลัดกันอยู่ยามเฝ้ายามว่าเวลาที่แก
    เอาลอบไปไว้นี่แกเอาธนบัตรใส่ไปรึเปล่า สังเกตว่าเวลา
    ที่แกเอาลอบไปไว้แกไม่ได้ใส่ธนบัตร เป็นลอบเปล่า ๆ
    เวลาเช้ามืดเป็นยามของฉัน ๆ อยู่ยามตอนเช้ามืด ก่อนที่
    แกจะมากู้ลอบของแก ฉันก็ย่องขึ้นไปก่อนไปจับเอาลอบ
    ลงมาดูมีธนบัตรใบละ ๑๐ บาทใหม่เอี่ยมมีอยู่จริง ๆ แล้วฉัน
    ก็นำมาเก็บไว้

    สักครู่หนึ่งแกก็มาดูลอบของแก เอาลอบลงปรากฏว่าไม่พบธนบัตร
    เสียงแกด่าพ่อล่อแม่ขรมไปหมด หลวงพ่อปานเปิดหน้าต่างออกมา
    ถามว่าอะไร แกบอกว่าพระของท่านขโมยสตางค์ผม หลวงพ่อปาน
    ก็ถามว่าใครขโมยไป รับปากท่านว่ากระผมเองขอรับ หลวงพ่อถามว่า
    ขโมยของเขาทำไม ก็เลยบอกว่าไม่ได้ขโมย บอกว่าอยากพิสูจน์ดูว่า
    ขรัวอีโต้น่ะดักเงินได้จริง ๆ หรือเปล่า แล้วหลวงพ่อปานก็ถามว่าผลพิสูจน์
    เป็นประการใด ก็กราบเรียนกับท่านว่า เวลาที่ขรัวอีโต้เอาลอบไปไว้
    กระผมก็ขึ้นไปดูไม่มีเงิน แล้วเมื่อคืนนี้ผลัดกันอยู่ยาม ๓ องค์ก็ไม่เห็นว่า
    ขรัวอีโต้เอาสตางค์ไปไว้เวลาไหน นี้ตอนเช้าตรู่ขึ้นไปดูก็ปรากฏว่าพบ
    ธนบัตรใบละ ๑๐ บาท ที่เอาลงมานี้ไม่ได้ตั้งใจขโมย อยากจะลองพิสูจน์
    ดูว่าถ้าแกแน่ใจว่าลอบของแกดักเงินได้จริง ๆ แกก็จะต้องเอะอะโวยวาย
    แต่ถ้าหากว่าแกไม่แน่ใจแกก็จะเฉยเสีย นี่ขรัวอีโต้เอะอะโวยวายด่าแบบนี้
    แสดงว่าการดักเงินเป็นผลจริง หลวงพ่อปานก็หัวเราะ หันมาบอกขรัวอีโต้ว่า
    นี่เขาลองพิสูจน์ความดีของเราน่ะ เราจะเอะอะโวยวายไปยังไง แล้วแกก็เลย
    บอกว่าในเมื่อเขาคิดอย่างนั้นก็ต้องทำอย่างนี้
    ไม่อย่างนั้นเขาจะหาว่าไม่ดีจริง นี่เป็นเรื่องราวของขรัวอีโต้นะตอนดักเงิน

    วันรุ่งขึ้นตอนค่ำ หลวงพ่อปานเรียกฉันเข้าไปบอก เออ คุณ นี่ขรัวอีโต้เขามา
    อยู่กับเรา เขาหาเงินของเขาได้วันละ ๑๐ บาท แล้วเขาก็เอาเงินของเขานี่
    ไปซื้อกับข้าว ซื้อหมู ซื้อเนื้อ เอามาเลี้ยงพวกเราบ้าง เขากินเองบ้าง
    รู้สึกว่าจะอายเขานะ ความจริงเขาเป็นแขกเราน่าจะเลี้ยงเขา นี่เขามาเลี้ยงเรา
    นี่น่าอายเขา เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน พวกเรามันเป็นคนจนไม่สามารถจะดักเงิน
    ดักทองได้ คืนวันนี้เธอไปเอาเบ็ดราวนะ ไม่ทราบว่าหลวงพ่อปานเอามาจากไหน
    เบ็ดราวที่เขาเอาเชือกผูกแล้วเอาเบ็ดผูกเป็นระยะ ๆ ที่เขาดักปลาน่ะ ท่านบอกว่า
    ในห้องมีเบ็ดราวอยู่ราวหนึ่ง เธอเอาไปขึงจากยอดต้นจามจุรีต้นนี้นะ แล้วเอาไป
    ผูกไว้ที่ยอดต้นหางนกยูงต้นโน้น เราจะดักปลาในอากาศเอามาเลี้ยงขรัวอีโต้บ้าง

    ถามขรัวอีโต้บอกอยากกินปลาอะไร ขรัวอีโต้ก็บอกไอ้เรื่องปลานี่มันอยากทุกปลา
    แต่ว่าสิ่งที่ชอบที่สุดมันมีอยู่ ๒ อย่างคือว่าหัวกับพุง อยากจะได้ไอ้ปลาช่อนหรือ
    ปลาชะโดนะไอ้ที่มันพุงใหญ่ ๆ มีไข่เต็มอก ไข่เม็ดใหญ่ ๆ ไข่ฝักใหญ่ ๆ ชอบกิน
    พุงกับไข่ต้มยำ หลวงพ่อปานท่านก็บอกว่าได้ พวกเรานี่ต้องหาปลาเลี้ยงเขานะ
    ก็ชักสงสัยถามว่าหลวงพ่อขอรับพระลงเบ็ดหาปลาได้รึขอรับ ท่านบอกว่า ถ้าปลา
    อยู่ในน้ำ ปลาอยู่ในหนอง ปลาอยู่ในคลอง ปลาอยู่ในบึง อย่างนี้ถ้าเรานำมาเป็นโทษ
    ในทางปาณาติบาต แต่ว่านี่เราลงเบ็ดบนอากาศนี่ ถ้าปลาบินขึ้นมากินเบ็ดของเราเอง
    อย่างนี้เราถือว่าปลาตัวนั้นถึงที่ตาย เราไม่บาป หรือมิฉะนั้นก็เทวดาบันดาลให้ปลา
    ตัวที่ถึงที่ตายมาติดเบ็ดของเรา ท่านว่าอย่างนั้น

    ตอนพูดตอนนี้ไม่ใช่พูดกับฉันคนเดียวนะ พระทั้งวัดกำลังมารวมกันอยู่หน้ากุฏิ
    หลวงพ่อปานพูดแบบนี้แล้วก็สั่งให้ฉันไปหยิบเบ็ดราว ฉันก็ไปหยิบเบ็ดราวมา
    แล้วไปขึงตามท่านว่า พอถึงเวลาเช้า เวลาเช้าตรู่พอแสงทองขึ้น ท่านก็เรียกฉันว่า
    ลิงดำเอ๊ย ไปปลดปลาซีลูก ประเดี๋ยวจะได้ต้มยำเลี้ยงขรัวอีโต้เขา พระทุกองค์
    ที่ได้ฟังต่างคนต่างวิ่งไปดูที่เบ็ด ปรากฏว่ามีปลาชะโดบ้าง ปลาช่อนบ้าง
    ตัวขนาดใหญ่ ถ้าทำเป็นริ้วก็เห็นจะถึง ๗-๘ ริ้ว สัก ๑๐ ตัว ติดห้อยแขวนต่องแต่งอยู่
    รู้สึกว่าปลาขณะไปเห็นยังจะมีชีวิตอยู่ แต่ว่าพอปล่อยเบ็ดลงมาแล้ว พอปล่อย
    หางเชือกลงมา พอลงมาถึงดินก็ปรากฏว่าปลาทั้งหมดตาย เป็นปลาตายสด
    แล้วก็เอามาต้มกินกันเอร็ดอร่อยเหมือนปลาธรรมดา หัวกะพุง ไข่ยังงี้ เป็นที่
    ชอบใจของขรัวอีโต้

    ในขณะที่ขรัวอีโต้อยู่นั้นหลวงพ่อปานท่านสั่งให้ลงเบ็ดทุกวัน หลวงพ่อปาน
    เป็นคนหาปลา ขรัวอีโต้ก็เป็นคนเอาสตางค์จ่ายของอย่างอื่นเอามาผสมกับปลา
    จะแกงอะไรจะต้มอะไร จะผัดแบบไหนก็หาผสมด้วยเงินของแก แต่เนื้อปลา
    พุงปลา หัวปลา ไข่ปลาเป็นของหลวงพ่อปาน พวกพระทุกองค์ก็พลอยกินปลาสด
    ไปตาม ๆ กัน นี่ก็เป็นเรื่องอัศจรรย์ เมื่อขณะที่ขรัวอีโต้อยู่ท่านทำแบบนั้น
    พอขรัวอีโต้กลับไปแล้วฉันขอให้ท่านทำ ท่านไม่ทำ ไม่ทำเพราะว่าไม่มี
    คู่แข่งขันนี่ เรื่องนี้มันไม่ใช่ปลาจริง ท่านบอกว่าใบไม้ทั้งนั้นแหละคุณ
    ปลาที่มาห้อยที่เบ็ดน่ะใบไม้ ฉันเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อสุ่น หลวงพ่อสุ่น
    เวลาคนมาทำโบสถ์ท่านเอาใบไม้ทำปลาไว้ในสระให้คนทำโบสถ์กิน
    แต่นี่ของเราเอาเบ็ดราวขึ้นไปลงบนยอดไม้ จะลงหรือไม่ลง ต้องการ
    เมื่อไรมันก็ได้เมื่อนั้น ถ้าเราคิดอยากจะกินปลาขึ้นมาจริง ๆ ก็เอาใบไม้
    มาอธิษฐานให้มันเป็นปลา จะเป็นปลาอะไรก็ได้ จะกินให้มีรสอร่อย
    ยังไงก็ได้ แต่ว่าอย่าทำเลยนะ อย่าตามใจลิ้นที่มีกิเลส แต่ว่าถึงแม้ว่า
    ท่านไม่ห้ามฉันก็ไม่ทำ เพราะฉันทำไม่ได้ ส่วนเจ้า ๒ ลิงมันทำได้ เจ้า
    ๒ ลิงที่มันเข้าป่ามันทำได้ พอหลวงพ่อปานพูดเท่านั้นมันก็ชวนฉันเข้า
    ป่าช้า เข้าที่อยู่ แล้วมันก็ทำปลาแต่ละแบบ ๆ วางเป็นแถว ท่านบอกว่า
    เป็นของไม่ยากหรอกเป็นของง่าย ๆ มาเห็นมันเข้าก็รู้สึกอิจฉาเหมือนกัน
    คนบวชคราวเดียวกันมีความสามารถไม่เท่ากันนี่ แหมมันน่าอาย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 กรกฎาคม 2014
  2. buakwun

    buakwun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    2,830
    ค่าพลัง:
    +16,613
    เรื่องความดีนี่ไม่ใช่จะเอาผ้าเหลืองมาหุ้มห่อกันเฉย ๆ คนที่เอาผ้าเหลืองมาหุ้มห่อตัว โกนหัว โกนคิ้ว แต่ไม่ทำความดีก็เลวกว่าฆราวาสที่เขามีดีเสียอีก
    กราบในคำสอนของหลวงพ่อ กราบในอภิญญาบารมีของท่านด้วยจิตเคารพศรัทธาอย่างสูง กราบอนุโมทนา สาธุธรรม
     
  3. Tewadhama

    Tewadhama เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2014
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +188
    สังฆัง นะมามิ
     

แชร์หน้านี้

Loading...