หลวงปู่แหวนกับหลวงปูตื้อ สหธรรมิกที่ต่างอุปนิสัย

ในห้อง 'หลวงปู่แหวน' ตั้งกระทู้โดย mahamettayai, 9 ธันวาคม 2013.

  1. mahamettayai

    mahamettayai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    1,199
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +10,673
    หลวงปู่แหวนกับหลวงปูตื้อ สหธรรมิกที่ต่างอุปนิสัย​


    [​IMG]

    หลวงปู่บุญเพ็ง กปฺปโก ได้เมตตาเล่าย้อนความหลังครั้งที่ ท่านปฏิบัติภาวนาอยู่กับ หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม และหลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ

    ในระหว่างพรรษาที่จังหวัดเชียงใหม่นั้น อาตมาได้ภาวนา เดินจงกรม ฝึกฝนตนเองอยู่ ณ วัดสันติธรรม อยู่กับหลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร

    แต่เมื่อออกพรรษา เป็นหน้าแล้ง ก็ได้ไปอยู่บำเพ็ญภาวนา ออกเดินธุดงค์กับหลวงปู่ตื้อ และหลวงปู่แหวน

    หลวงปู่ตื้อ ท่านพูดเก่งมาก ช่างพูดช่างคุย มีอะไรดีๆ ท่านก็นำมาบอกมาเล่าตลอด ไม่เคยปิดบัง และไม่เคยคิดรังเกียจที่จะสั่งสอนลูกศิษย์ลูกหาเลย

    ส่วนหลวงปู่แหวน ท่านไม่พูดอะไรเลยสักคำเดียว สมัยนั้น ท่านไม่พูดกับคนหรอก

    หลวงปู่ตื้อ ท่านเป็นพระที่พูดจริงทำจริง ท่านเอาชีวิตของท่านออกบำเพ็ญภาวนาเพื่อหาทางพ้นทุกข์อย่างแท้จริง ไม่ใช่ออกภาวนาเพื่อหาทางเอาใจญาติโยม ไม่เคยเอาใจใคร

    ถ้าผิดท่านแย้งแบบฝ่ายค้าน หัวชนดังกึกเลย ไม่ยอมท้อ ไม่หวั่นเกรงอะไรเลย แต่ถ้าผิดจากวินัย ท่านไม่เอาด้วย ท่านมีปัญญาพิจารณา ถ้าไม่ควร ท่านก็ไม่พูด ไม่ยุ่งเกี่ยว ท่านออกป่า เอาบาตรคล้องคอ มือซ้ายหิ้วกาน้ำ มือขวาคว้ากลด ออกแน่วเข้าป่าไปเลย

    หลวงปู่แหวนก็เหมือนกันไม่ชอบยุ่งกับคน เข้าป่าเงียบ ใจท่านดุจพญาราชสีห์ เด็ดขาดมากทั้งสองรูป

    รูปหนึ่งท่านพูดไม่หยุด คือหลวงปู่ตื้อ อีกรูปหนึ่งไม่ชอบพูด เงียบสนิท คือหลวงปู่แหวน แต่การปฏิบัติที่ล้ำลึกของครูอาจารย์ทั้งสองท่านนั้นใครไม่อาจรู้ได้ นอกจากตัวของท่านเอง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. mahamettayai

    mahamettayai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    1,199
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +10,673
    ท่านทั้งสองเคยร่วมธุดงค์ไปยังสถานที่ต่างๆ หลายต่อหลายแห่ง ในสมัยที่ยังเป็นพระหนุ่ม

    พระธุดงค์หนุ่มทั้งสองรูปได้ไปพบกันครั้งแรกที่ป่าภูพาน ขณะนั้นหลวงปู่ตื้อ จาริกธุดงค์มาจากพระบาทบัวบก จังหวัดอุดรธานี หลวงปู่ทั้งสององค์ได้สนทนาธรรมแลกเปลี่ยนความรู้กัน เป็นที่ชอบอัธยาศัยถูกใจกันยิ่งนัก

    [​IMG]

    หลวงปู่ตื้อ และหลวงปู่แหวนในสมัยเป็นพระธุดงค์หนุ่ม ท่านมีปฏิปทาที่ตรงกัน แม้บุคลิกภายนอกจะแตกต่างกันอย่างมาก แต่ก็เข้ากันได้ดี ทั้งสองท่านเป็นพระหนุ่มฝ่ายมหานิกาย ที่ท่องธุดงค์แต่ลำพังอย่างโดดเดี่ยวกล้าหาญโดยไม่มีครูอาจารย์ฝ่ายกรรมฐานคอยกำกับชี้ทางเลย

    หลวงปู่แหวน ท่านเคยเข้ากราบ ได้ถวายตัวเป็นศิษย์และได้รับคำชี้แนะจากหลวงปู่มั่นมาก่อนแล้ว ในครั้งที่หลวงปู่มั่นท่องธุดงค์อยู่แถวจังหวัดอุดรธานี ครั้งที่หลวงปู่แหวนยังเป็นสามเณรอยู่

    แต่พอหลวงปู่มั่นท่านไปธุดงค์ทางภาคเหนือ หลวงปู่แหวนก็ไม่มีครูบาอาจารย์กรรมฐานคอยชี้แนะท่านอีก ต้องดั้นด้นฝึกฝนปฏิบัติอยู่ตามป่าเขาตามลำพัง ด้วยตัวของท่านเอง

    ทางด้านหลวงปู่ตื้อ ก็ใฝ่ใจปรารถนาอยากจะพบพระอาจารย์มั่นภูริทตฺโต ให้ได้เหมือนกัน เพราะได้ยินกิตติศัพท์เลื่องลือเกี่ยวกับปฏิปทา จริยาวัตร ของพระอาจารย์มั่นมามาก แต่ก็ยังไม่ได้พบท่านสมใจหวังสักที

    ทั้งหลวงปู่ตื้อ และหลวงปู่แหวน ต่างก็ปรารถนาที่จะได้พบและได้รับการชี้แนะจากหลวงปู่มั่น พระอาจารย์ใหญ่สายกรรมฐาน

    หลวงปู่ทั้งสองตกลงกันว่า หากวาสนายังมีคงจะได้พบกับพระอาจารย์ใหญ่สมใจหวัง “เราอย่าเร่งรัดตัวเองและกาลเวลาเลย ถ้าไม่ตายเสียก่อน จะต้องได้สดับธรรมจากพระอาจารย์มั่นเป็นแม่นมั่น ในระหว่างนี้เราควรจะจาริกธุดงค์ไปตามมรรคาของเราก่อน”

    หลวงปู่ตื้อ และหลวงปู่แหวน เริ่มต้นเดินธุดงค์เข้าไปทางฝั่งลาว ทางด้านอำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย พอข้ามแม่น้ำโขงไปแล้วก็พบแต่ป่าทึบ ต้องเดินมุดป่าไปเรื่อยๆ เป้าหมายอยู่ที่เมืองหลวงพระบาง

    ในการเดินทางเท้านั้น ตลอดทางหลวงปู่ทั้งสองได้พบสัตว์ป่าจำนวนมาก อาศัยเดินมุดป่าไปตามรอยช้างไปเรื่อยๆ เพราะสะดวกสบายกว่าบุกเข้าไปในป่าที่รกชัฏ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ธันวาคม 2013
  3. mahamettayai

    mahamettayai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    1,199
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +10,673
    หาเรือข้ามแม่น้ำโขง

    ตอนที่หลวงปู่ตื้อกับหลวงปู่แหวนพบกัน และเริ่มออกธุดงค์ด้วยกันใหม่ๆ ทั้งสององค์ได้มุ่งหน้าข้ามแม่น้ำโขงไปทางสุวรรณเขต ในประเทศลาว และตอนจะข้ามแม่น้ำโขง หลวงปู่ตื้อได้แสดงอะไรบางอย่างให้หลวงปู่แหวนดู

    เรื่องมีอยู่ว่าทั้งสององค์หาเรือข้ามฟากไม่ได้ แม่น้ำโขงก็ไหลเชี่ยวจัด เพราะเป็นคุ้งน้ำไหลผ่านช่องเขาค่อนข้างแคบ หมู่บ้านใกล้สุดก็อยู่ห่างออกไปไม่น้อยกว่าหนึ่งกิโลเมตร มองไม่เห็นเรือนแพอยู่แถวนั้นเลย

    หลวงปู่ตื้อบอกว่า “ท่านแหวนไม่ต้องวิตก เดี๋ยวก็มีเรือมารับเราข้ามฟากไป” แล้วท่านก็ยืนนิ่งหลับตา บริกรรมคาถา เพียงอึดใจใหญ่ๆ ก็ลืมตาขึ้น พูดยิ้มๆ ว่า “เดี๋ยวเรือจะมารับ”

    [​IMG]

    อีกสักพักก็มีเรือหาปลาพายผ่านมา พอเห็นพระหนุ่มทั้งสองรูปยืนอยู่ที่ท่าน้ำ ก็พายเรือเข้ามารับพาข้ามฟาก

    ชายคนนั้นบอกว่า ขณะที่เขาหาปลาอยู่ กลางแม่น้ำรู้สึกสังหรณ์ใจว่ามีพระกำลังรอเรือข้ามฟาก จึงได้พายเรือมาดู ก็พบพระคุณเจ้าทั้งสองจริง นับว่าน่าอัศจรรย์มาก

    หลวงปู่ตื้อ พูดยิ้มๆ ว่า “โยมได้บุญกองใหญ่แล้วคราวนี้ ที่เอาเรือมารับเราข้ามฟาก ขอให้หมั่นทำความดีไว้ ถ้าจะเลิกจับปลาฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเลยได้ก็จะดีมาก”

    คนหาปลาถามว่า “ถ้าไม่จับปลา แล้วจะให้ข้าน้อยทำมาหากินอะไร?”
    หลวงปู่ตื้อ บอกว่า ทำไร่ทำนาหากินโดยสุจริตก็ดีแล้ว ต่อไปชีวิตครอบครัวจะเจริญรุ่งเรืองอยู่ดีกินดี อาตมาขอให้พร”

    คนหาปลามีความศรัทธาพระธุดงค์ทั้งสององค์เป็นอย่างมาก ต่อมาภายหลังทราบว่าเขาได้เลิกหาปลา แล้วหันมาทำนาทำไร่ เลิกการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ชีวิตครอบครัวเขามีความเจริญรุ่งเรืองทำมาค้าขายขึ้นจนมั่งมีเงินทอง สามารถสร้างวัดได้ ๒-๓ แห่ง
    ทั้งนี้

    คงเป็นด้วยอานิสงส์ผลบุญที่เขาเอาเรือมารับพระภิกษุผู้ครองศีลบริสุทธิ์ข้ามแม่น้ำ ตนเองเชื่อมั่นในพรที่พระท่านให้ และเลิกฆ่าสัตว์ตัดชีวิตโดยแท้จริง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. mahamettayai

    mahamettayai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    1,199
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +10,673
    หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ และหลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม ร่วมเดินทางธุดงค์ไปจนถึงเมืองหลวงพระบาง แต่ก็ไม่ได้ไปด้วยกันโดยตลอด บางช่วงท่านก็แยกกันไป และบางโอกาสก็มาพักปักกลดด้วยกัน รวมทั้งบางโอกาสก็จำพรรษาร่วมกัน

    ทั้งสององค์จัดเป็นคู่อรรถคู่ธรรมที่แปลกมาก กล่าวคือทั้งสององค์ มีอุปนิสัยภายนอกที่แตกต่างกันอย่างมาก แต่ท่านก็ร่วมเป็นสหธรรมิกที่ไปด้วยกันได้เป็นอย่างดี

    ทางด้านหลวงปู่ตื้อท่านเป็นพระที่ชอบพูด ชอบเทศน์ มีปฏิปทาผาดโผน พูดเสียงดัง ตรงไปตรงมาชนิดที่ไม่กลัวเกรงใคร

    ทางด้าน หลวงปู่แหวน กลับเป็นพระที่พูดน้อย เสียงเบา ชอบอยู่เงียบๆ ท่านไม่ชอบเทศน์ มีแต่ให้ข้อธรรมสั้นๆ มีปฏิปทาเรียบง่าย ไม่โลดโผน

    แม้หลวงปู่ทั้งสององค์ท่านมีอุปนิสัยภายนอกที่แตกต่างกัน แต่ท่านก็ร่วมเดินทางและเกื้อกูลซึ่งกันและกันได้เป็นอย่างดี จัดเป็นสหธรรมิกที่มีความใกล้ชิดกันที่สุด

    ในเรื่องนี้หลวงพ่อเปลี่ยน ปญฺญาปทีโปท่านว่า "พวกภูตผีปีศาจกลัวหลวงปู่ตื้อ พวกงูและสัตว์เลื้อยคลานต่าง ๆ กลัวหลวงปู่แหวน ส่วนเรื่องอาหารการขบฉัน หลวงปู่ตื้อ ไม่ชอบฉันกล้วย แต่หลวงปู่แหวนท่านชอบฉันกล้วย หลวงปู่ทั้งสององค์ท่านจึงไปด้วยกันได้เป็นอย่างดี"

    แม้ในภายหลัง เมื่อหลวงปู่มั่นได้เดินทางกลับไปภาคอีสานแล้ว หลวงปู่ทั้งสององค์ก็ยังพำนักอยู่ในภาคเหนือต่อไป จนเข้าสู่วัยชราภาพ สถานที่ที่องค์ท่านทั้งสองพำนักอยู่ก็ไม่ห่างไกลกัน พอไปมาหาสู่และถามไถ่ถึงกันได้ตลอด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ธันวาคม 2013
  5. mahamettayai

    mahamettayai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    1,199
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +10,673
    จากประวัติของหลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ ซึ่งเรียบเรียงโดยอตฺถวโรภิกขุ (พระอาจารย์นาค) แห่งวัดสัมพันธวงศ์ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๕ ได้บันทึกการเดินธุดงค์ของหลวงปู่แหวนที่เกี่ยวเนื่องกับหลวงปู่ตื้อ ดังต่อไปนี้ : -

    “เมื่อสมัยหลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ ยังหนุ่ม ท่านชอบเที่ยวธุดงค์จาริกไปตามสถานที่ต่างๆ ทั้งในประเทศและนอกประเทศ เท่าที่จะสามารถเดินไปได้ สมัยก่อน การคมนาคมยังไม่สะดวก จะไปไหนไม่ต้องกังวลเรื่องรถเรื่องเรือ ทางสะดวกมีอยู่ทางเดียวคือ เดินไปแล้วก็เดินกลับ”

    “ในเขตภาคอิสาน นอกจากอุบลราชธานีแล้ว หลวงปู่แหวนท่านพำนักอยู่ที่อุดรธานีเป็นส่วนใหญ่ เช่นเมื่อครั้งไปตามหาท่านอาจารย์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ที่บ้านค้อ ดงมะไฟ และเคยไปจำพรรษาที่นาหมี นายูง...

    ต่อมาหลวงปู่ ไปจำพรรษาที่พระบาทบัวบก และเมื่อออกพรรษาก็ไปพักที่พระบาทหอนาง หรือพระบาทนางอุษา ซึ่งอยู่คนละฟากเขากับพระบาทบัวบก ส่วนเขตแดนอิสานอื่นก็มีที่ อำเภอท่าลี่ จังหวัดเลย

    เมื่อหลวงปู่กลับมาพักผ่อนหลังจากจาริกไปลาว ทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง ๑๔ วัน ตั้งใจจะเที่ยวตามเมืองต่างๆ จนถึงสิบสองปันนา สิบสองจุไท ทางเหนือ แต่ทหารฝรั่งเศสไม่ให้ไป จึงไปพักที่วัดใต้หลวงพระบางระยะหนึ่ง แล้วก็กลับพร้อมด้วยหลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม”

    “หลังจากพักหายเหนื่อย จึงปรึกษากับหลวงปู่ตื้อ มุ่งเดินทางไปทางภาคเหนือ...เดินไปค่ำไหนก็นอนที่นั่น และไม่มีลูกศิษย์เล็กให้เป็นห่วง

    หลวงปู่ทั้งสองท่านออกจากท่าลี่ จังหวัดเลย ไปออกด่านซ้าย ข้ามป่าเข้าไปอำเภอน้ำปาด ผ่านเขตอำเภอนครไทย ไปถึงอำเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์ แล้วตัดไปอำเภอนาน้อย แพร่ ผ่านหมู่บ้านชาวเขาเผ่าเย้า แล้วลงมาพักกับหมู่บ้านคนเมืองตามคำนิมนต์ จากนั้นจึงเดินทางต่อไปสูงเม่น เด่นชัย เดินไปตามทางรถไฟจนถึงลำปาง

    [​IMG]
    ท่านเจ้าคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์


    ส่วนหลวงปู่ตื้อท่านแยกตัวไปพักที่อำเภอเถิน หลวงปู่แหวนเดินทางต่อไปยังเชียงใหม่ เที่ยวดูภูมิประเทศโดยรอบ ทั้งบนดอยสุเทพและที่อื่นๆ แล้วจึงเดินทางกลับมาพบหลวงปู่ตื้อ ที่ลำปาง”

    หลังจากนั้น ในปี พ.ศ ๒๔๖๔ หลวงปู่ทั้งสองก็แยกทางกัน หลวงปู่แหวน ลงไปกรุงเทพฯ เพื่อรับฟังธรรมอบรมจากท่านเจ้าคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ที่วัดบรมนิวาส แล้วท่านก็จาริกไปพม่าและอินเดีย

    ในตอนหลังทั้งหลวงปู่แหวน และหลวงปู่ตื้อ ได้ไปกราบหลวงปู่มั่น ที่เชียงใหม่ โดยหลวงปู่แหวน ได้ญัตติเป็นธรรมยุตก่อน ต่อจากนั้นทั้งสององค์ก็ท่องเที่ยวธุดงค์ติดตามหลวงปู่มั่น ไปยังที่ต่างๆ ในภาคเหนือติดต่อกันหลายปี

    ����ѵ� ��ǧ������� �Ũ���� 02
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • .png
      .png
      ขนาดไฟล์:
      51.4 KB
      เปิดดู:
      4,287
  6. ผู้ไกล

    ผู้ไกล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    544
    ค่าพลัง:
    +4,752
    อ่านตั้งแต่แรกยันจบได้ความรู้ดี ๆ มากครับ

    คือหากปราถณาจะบรรลุธรรมเบื้องสูงก็อย่าย่อท้อ

    ต่ออุปสรรคที่จะพบเจอ และการได้เจอกับกัณยาณมิตร

    ในทางธรรมที่ดีถือว่าเป็นความประเสริฐหนึ่งในชีวิต

    ขอบคุณมากครับ
     
  7. mahamettayai

    mahamettayai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    1,199
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +10,673
    ใช่ค่ะ.....ถ้าดูจากข้อวัตรปฏิปทาของครูบาอาจารย์สายกรรมฐานแทบจะทุกองค์
    ท่านมีธรรมที่เป็นไปเพื่อประโยชน์แห่งการขจัดขัดเกลากิเลสของท่านตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้แทบทุกประการ

    อันได้แก่

    "....ความไม่ประมาท เป็นผู้ปรารภความเพียร เป็นผู้มักน้อย เป็นผู้สันโดษ การพิจารณาโดยรอบคอบ

    ความรู้ตัว ความมีมิตรดี และการประกอบกุศลเนืองๆ....”
     
  8. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,216
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,106
    ค่าพลัง:
    +70,438
    มีเรื่องดีๆหลายเรื่อง ที่อาจไม่ได้บันทึกไว้ ถ้ามีโอกาสมากราบหลวงปู่สังข์ ซึ่งท่านเป็นพระหลานแท้ๆของหลวงปู่ตื้อ ที่วัดป่าอาจารย์ตื้อที่อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ ก็ลองกราบเรียนถาม ให้ท่านเล่าให้ฟัง อาจได้อะไรดีๆ มีของแถมด้านจิตภาวนากลับมาอีกด้วยครับ
     
  9. mahamettayai

    mahamettayai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    1,199
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +10,673
    คิดไว้อยู่เหมือนกันค่ะ (ที่ผ่านมา ยังไม่ค่อยทราบข้อมูล) เอาไว้อยากหาโอกาสเหมาะ ๆ ขึ้นไปซักที
    เพราะที่เชียงใหม่ ถ้าออกไปเส้นทางนั้น ตั้งใจว่าจะไปกราบ พระพุทธบาทสี่รอย แล้วก็วัดครูบาอาจารย์สายกรรมฐานอีกหลายๆวัด
    ตั้งแต่วัดป่าดาราภิรมย์ วัดป่าอาจารย์ตื้อ วัดถ้ำผาปล่อง ไม่ทราบว่าถ้าจากเส้นอ.แม่ริม แม่แตง จะเลยไปอ.พร้าว ได้รึป่าว
    เพราะไหนๆ ไปแล้วก็อยากไปวัดดอยแม่ปั๋ง กับวัดป่าอาจารย์มั่นด้วย
     
  10. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,216
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,106
    ค่าพลัง:
    +70,438

    .........ได้ สบายมาก ทางดีครับ


    ไปกราบพระอริยะเจ้าทั้งสามองค์ หลวงปู่สังข์(วัดฯอ.ตื้อ),พระอาจารย์เปลี่ยน(วัดอรัญวิเวก), หลวงพ่อประสิทธิ์(วัดป่าหมู้ใหม่)ที่ตัวอ.แม่แตง ในย่านเดียวกันแล้ว ก็ตัดผ่านเขื่อนแม่งัด ไปทะลุเส้นพร้าวได้ครับ ดูจากแผนที่จะเห็นเส้นทางสองเส้นนี้ขนานกัน

    ( ความจริง ยังมีหลวงปู่อีกองค์ หลบมาภาวนาที่ในป่าอ.แม่แตงนะครับ
    มั่นใจว่าเป็นพระอริยเจ้าอีกองค์ วัดป่าปางกึ๊ด เข้าทางซอยหน้าค่ายนเรศวร
    ใกล้กับไร่ชาระมิงค์ )

    ถ้าจะกราบสามอริยะเจ้าภายในเช้าวันเดียว ต้องแวะวัดป่าหมู่ใหม่ก่อน ท่านให้พบประมาณ 8.30-9.15 น.ตอนเช้า
    (องค์นี้กระดูกบางส่วนเป็นแก้ว,ฟันที่ถอนเป็นพระธาตุ ทั้งที่ยังมีชีวิตนะครับ) แล้วให้รีบออกมากราบพระอ.เปลี่ยน
    ตรงทางเข้าเขื่อนแม่งัดไปประมาณ 3 กม.(รับแขกเวลา 9.00-10.00น) แล้วให้รีบออกมากราบหลวงปู่สังข์(วัดป่าอาจารรย์ตื้อ) ต่อในเวลา 10.30-11.00 น. ตรงกม.41 ก่อนทางเข้าเขื่อนแม่งัด


    เสร็จสามองค์นี้แล้ว ตัดผ่านทางเข้าเขื่อนแม่งัดฯ ไปจนถึงสามแยกก่อนเข้าประตูเขื่อนประมาณ 500 เมตร ให้เลี้ยวขวา จะมีทางไปทะลุเส้นพร้าวได้ (ถามคนแถวนั้นดู)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 27 ธันวาคม 2013
  11. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,216
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,106
    ค่าพลัง:
    +70,438
    ในเช้าวันหนึ่ง หลวงปู่แหวน กับ หลวงปู่ตื้อ ได้อาศัยบิณฑบาตที่หมู่บ้านชาวป่า มี 4-5 หลังคาเรือน ชาวบ้านพากันมาใส่บาตรด้วยความดีใจ เพราะนานๆ จึงจะมีพระธุดงค์มาโปรดสักที

    ชาวบ้านถามว่า พระคุณเจ้าทั้งสองจะไปไหน หลวงปู่บอกว่าจะมุ่งไปทางเทือกเขาที่มองเห็น แล้วจะลงไปทางสุวรรณเขต (อยู่ตรงข้ามกับมุกดาหาร) ชาวบ้านแสดงอาการตกใจ พร้อมทั้งทัดทานว่าอย่าไปทางโน้นเลย เพราะมียักษ์ปีศาจดุร้ายสิงอยู่ คอยทำร้ายคนและสัตว์ที่ผ่านไปทางนั้น

    หลวงปู่ทั้งสอง กล่าวขอบใจในความหวังดี และบอกว่าท่านทั้งสองได้มอบกายถวายชีวิตให้พระศาสนาแล้ว ขออย่าได้ห่วงตัวท่านเลย แล้วท่านก็ออกเดินทางไปในทิศทางดังกล่าว

    หลวงปู่ออกเดินทางโดยข้ามลำน้ำสองแห่ง แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า ป่าแถบนั้นเงียบกริบ ไม่ได้ยินเสียงสัตว์ต่างๆ เลย แม้แต่นกก็ไม่มี ดูผิดประหลาดมาก

    พอใกล้ค่ำหลวงปู่ทั้งสองก็มาถึงยอดเขาสูงที่มีลักษณะประหลาดมาก คือยอดเป็นสีดำคล้ายถูกไฟเผา รูปลักษณะดูตะปุ่มตะป่ำคล้ายหัวคนบ้าง หัวตะโหนกช้างบ้าง แปลกไปจากเขาลูกอื่นๆ

    หลวงปู่ทั้งสอง เลือกปักกลดค้างคืนข้างลำธารที่มีน้ำใสไหลผ่านอยู่ที่เชิงเขาลูกนั้น ปักกลดห่างกันประมาณ 10 เมตร เมื่อสรงน้ำพอสดชื่นแล้วต่างองค์ก็นั่งสงบภายในกลดของตน ทั้งสององค์ตระหนักในความประหลาดของสถานที่นั้น ไม่ได้พูดอะไรกันเพียงแค่นั่งสงบอยู่ภายในกลด

    ประมาณ 5 ทุ่ม หลวงปู่แหวนก็ออกจากกลดเตรียมจะเดินจงกรม

    หลวงปู่ตื้อออกมาตาม และพูดว่า

    “ผมรู้สึกว่าที่นี่วิเวกผิดสังเกตนะ”

    หลวงปู่แหวนตอบ

    “ผมก็รู้สึกอย่างนั้นเหมือนกัน”

    พูดกันแค่นี้แล้วต่างองค์ต่างก็เดินจงกรมในทางของตน ต่อจากนั้นไม่นานก็มีเสียงกรีดแหลมเยือกเย็นดังลงมาจากยอดเขารูปประหลาดนั้น เสียงนั้นแหลมลึกบีบเค้นประสาทจนรู้สึกเสียวลงไปถึงรากฟันทีเดียว

    หลวงปู่ตื้อถามพอได้ยินว่า

    “ท่านแหวนได้ยินแล้วใช่ไหม”

    หลวงปู่แหวนตอบด้วยเสียงเรียบๆ ว่า

    “ผมกำลังฟังอยู่”

    เสียงกรีดร้องนั้นใกล้เข้ามาทุกที ฟังแล้วน่าขนพองสยองเกล้า ทั้งสององค์คงเดินจงกรมอยู่เงียบๆ ตามปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

    ป่านั้นเงียบสงัดจริงๆ เสียงนกเสียงแมลงก็ไม่มี ครั้นแล้วเกิดพายุปั่นป่วนมาอย่างกระทันหัน ชนิดไม่มีเค้ามาก่อนเลย ต้นไม้โยกไหวรุนแรงราวกับจะถอนรากออกมา อากาศพลันหนาวเย็นวิปริตขึ้นมาทันที พลันปรากฏร่างประหลาดขึ้นร่างหนึ่ง ตัวดำมะเมื่อม สูงราว 7 ศอก มีขนยาวรุงรังคล้ายลิงยักษ์ แต่หน้าคล้ายวัวควาย ตาโปน มือสองข้างยาวลากดิน มันก้าวเข้ามาอยู่ห่างจากหลวงปู่ทั้งสองประมาณ 10 เมตรเห็นจะได้

    สัตว์ประหลาดนั้นส่งเสียงร้องโหยหวนขึ้น พลันพายุนั้นก็สงบลง แสดงว่ามันมีอำนาจเหนือธรรมชาติ สัตว์นั้นส่งกลิ่นเหม็นรุนแรงร้ายกาจเหมือนกลิ่นศพที่กำลังขึ้นอืด มันกระทืบเท้าสนั่นจนแผ่นดินสะเทือน

    หลวงปู่แหวนเล่าในภายหลังว่า ท่านไม่รู้สึกกลัว แต่ขนลุกซู่ซ่าไปหมด เพราะไม่เคยเห็นสัตว์ประหลาดอย่างนั้นมาก่อน ยังไม่รู้ว่าเป็นปีศาจหรือสัตว์อะไรแน่ ท่านได้กำหนดสติไม่ให้ใจคอวอกแวก ทอดสายตาไปยังสัตว์ประหลาดนั้น กำหนดจิตแผ่เมตตาไปยังร่างนั้น สัตว์ร่างยักษ์นั้นหยุดร้อง หยุดส่งกลิ่นเหม็น แสดงว่ารับกระแสเมตตาได้ มันค่อยๆ ทรุดร่างลงนั่งยองๆ เอามือยันพื้นไว้ ทำท่าแสดงความนอบน้อมต่อท่าน


    หลวงปู่ตื้อพูดพอได้ยินว่า

    “ท่านแหวนทำดีมาก”

    พร้อมทั้งเดินมาสมทบ แล้วพูดว่า

    “เขาแบกหามบาปหาบทุกข์อันมหันต์ เขามาหาเรา เพื่อให้ช่วยปลดทุกข์ให้เขานะ เขาสร้างกรรมไว้มาก เมื่อตายจากมนุษย์แล้วต้องมาเป็นปีศาจอสุรกาย ทนทุกข์ทรมานอยู่ที่นี่”

    หลวงปู่แหวนได้กำหนดจิตถามดู ก็ได้ความว่า สมัยเป็นมนุษย์เขามีการกระทำที่มากล้นด้วยตัณหา และความโลภ คือ ละเมิดศีลข้อ 2 และข้อ 3 อยู่เสมอ จึงต้องมาเป็นปีศาจอสุรกาย รับทุกข์อยู่ที่นั่นมากว่าร้อยปีแล้ว

    ปีศาจอสุรกายนั้นดูท่าทางอ่อนลงมาก มันร้องไห้คร่ำครวญน่าสงสาร ขอความเมตตาจากพระคุณเจ้าทั้งสองให้เขาได้พ้นทุกข์ทรมานนั้นด้วยเถิด

    หลวงปู่แหวนได้พิจารณาเห็นว่า เขาสร้างกรรมซับซ้อนเหลือเกินใครจะช่วยเขาได้ พลันหลวงปู่ตื้อตอบมาในสมาธิว่า

    “กรรมเป็นเรื่องสลับซับซ้อนลึกซึ้งอยู่ก็จริง บางทีพระผู้มีศีลบริสุทธิ์และมีบารมีเช่นท่านแหวน ก็อาจจะช่วยให้เขาพ้นทุกข์ได้ ลองอ่านพระคาถาหรือเทศนาธรรมให้เขาฟังดูสิ”

    หลวงปู่แหวนได้กำหนดจิตว่าพระคาถา แล้วเทศนาให้เขาสำนึกบาปบุญคุณโทษ เขาค่อยๆ คลายความกังวลลง ก้มลงกราบด้วยความซาบซึ้ง

    “พระคุณเจ้า ข้าพเจ้าได้กำหนดจิตพิจารณาตามกระแสธรรมของท่านแล้ว เกิดแสงสว่างกับข้าพเจ้าอย่างมหัศจรรย์ และข้าพเจ้าได้เห็นสภาวธรรม คือ ชาติ ชรา มรณะ อันเป็นทุกข์เป็นธรรมดาของสรรพสัตว์ทั้งหลายแล้วพระคุณเจ้า”

    สีหน้าเขาดูสดชื่นขึ้น ก้มลงกราบหลวงปู่ทั้งสององค์ แล้วร่างนั้นก็หายไป
     
  12. นายดอกบัว

    นายดอกบัว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +5,676
    มันก็ยุ่งยากพอควรนะครับ แต่สามารถทำได้โดย
    1.ท่านออกจากตัวเมืองเชียงใหม่ตามเส้นทาง ชม.-ฝาง(เดินทางขึ้นทิศเหนือ) พอไปถึงอ.แม่ริม ก็แวะเข้าด้านซ้ายไปวัดป่าดาราภิรมย์
    2.หลังจากแวะวัดป่าดาราภิรมย์ ก็ให้ออกไปทางเส้นทาง ชม.-ฝาง ต่อ(ขึ้นเหนือ) ก่อนจะถึงบ้านปากทางสลวง อ.แม่ริม จะมีทางให้แวะไปทางด้านซ้ายประมาณ 18 กิโลเมตร(ไปทางทิศตะวันตก) เป็นวัดพระพุทธบาทสี่รอย ซึ่งจะมีช่วงใกล้ๆวัดเป็นทางขึ้นเขา
    3.หลังจากนั้นก็ออกมาตามเส้นทางเดิม ออกไปเส้นทาง ชม.-ฝาง ต่อไปจนถึงอ.แม่แตง เลยไปอีกก่อนถึงแยกเขื่อนแม่งัด หมู่บ้านปากทาง ต้องไปยูเทิร์นที่ 3แยกปากทางเขื่อนแม่งัดกลับมาแล้วเลี้ยวซ้ายซึ่งจะเป็นวัดป่าอาจารย์ตื้อ(ถ้าเดินทางขึ้นเหนือวัดป่าอาจารย์ตื้อจะอยู่ด้านขวามือ)
    4.หลังจากไปวัดป่าอาจารย์ตื้อแล้วก็วกกลับออกมายูเทิร์นกลับไปทางฝางอีก คราวนี้ให้เลี้ยวขวาเข้าไปทางเขื่อนแม่งัดเลยครับ(ทิศตะวันออก) ประมาณ 3 กิโล ตรงข้ามสนามกีฬาเทศบาลเมืองแกน จะมีทางด้านซ้ายไปวัดป่าอรัญญวิเวก (พระอ.เปลี่ยน)
    5.หลังจากออกจากวัดป่าอรัญวิเวกแล้ววกกลับออกมาเดินทางตรงไปทางเขื่อนเลยครับ(ทิศตะวันออก) จนสุดทางจะเขื่อนจะอยู่ด้านซ้าย แต่ทางจะบีบบังคับให้ไปทางขวาออกห่างเขื่อนไปจนสุดจะเจอถนนเส้น ชม.-พร้าว ให้เลี้ยวซ้ายไป จนเริ่มเข้าอ.พร้าว(ซึ่งอยู่ทิศตะวันออก)ก็จะมีป้าย ทางไปวัดดอยแม่ปั๋ง
    6.หลังจากวัดดอยแม่ปั๋งแล้วก็ขับรถขึ้นเหนือไปอีกจะมีทางลัดไปทางซ้ายไปอ.เชียงดาว(กลับมาทิศตะวันตก)ก็ให้ไปตามเส้นทางพร้าว-อ.เชียงดาว ไปจนถึงถนน ชม.-ฝางดังเดิม แต่คราวนี้ให้เลี้ยวซ้ายกลับไปทางอ.เชียงดาว(ลงทิศใต้) พอถึงทางเลี่ยงเมืองก็ให้ไปทางเลี่ยงเมืองที่จะอยู่ด้านขวามือ ไปเรื่อยๆ ดอยหลวงเชียงดาวจะอยู่ขวามือ ไปจนถึงสี่แยกใหญ่จะมีทางบอกว่าไปถ้ำเชียงดาว นั่นแหละให้เลี้ยวขวาที่สี่แยกนั้น เข้าหาดอยหลวงเลย แล้วก็ไปจนสนถนนเส้นนั้นก็จะไปถึงวัดถ้ำผาปล่องครับ
    หลังจากนั้นทางก็ออกมาจากเส้นเดิมแต่เลี้ยวขวา มุ่งตรงเข้าเมืองเชียงใหม่ต่อไป
    เส้นทางขาไป-กลับจะเป็นแบบนี้ครับ
    อ.เมืองเชียงใหม่-อ.แม่ริม-อ.แม่แตง-อ.พร้าว-อ.เชียงดาว-อ.แม่แตง-อ.แม่ริม-อ.เมือง

    ขอบอกว่าถ้าไปวันเดียวกลับบ้านมา สลบเหมือดแน่นอนครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...