หลวงตาเทิดทูนพ่อแม่ครูจารย์มั่น โดยหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย bonizuka, 19 กุมภาพันธ์ 2006.

  1. bonizuka

    bonizuka เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    80
    ค่าพลัง:
    +191

    [​IMG]
    ถ้าพูดถึงเรื่องแบบทางโลก เรียกว่าทุกข์มากที่สุดเวลาเราฝึกทรมานตัวของเรา แต่ทางจิตใจมันต่างกันซี เรื่องท้องของเรานี่แห้งผากๆ อยู่นั้น แต่จิตใจสมบูรณ์พูนผลๆ คิดดูซิเดินบิณฑบาตไปนี่ไม่ถึงบ้านเขา ร่างกายไปไม่ไหวแล้ว นึกว่าจะถึงบ้านเขา ไปถึงแค่กลางทางพักเสียก่อน หมดกำลังไปไม่ได้ แต่จิตไม่เป็นอย่างนั้น จิตเหมือนจะเหาะเหินเดินฟ้าอยู่ภายใน นั่นมันต่างกัน เพราะฉะนั้นจึงต้องบำรุงทางด้านจิตใจให้มากที่สุด เพราะร่างกายนี้มีกำลังทันที เช่นอย่างเราไปออบแอบๆ ไปจะไม่ถึงบ้าน พอฉันมาแล้วม้าแข่งสู้ไม่ได้ พอฉันเสร็จแล้วบึ่งเลยถึงภูเขา ม้าแข่งสู้ไม่ได้ กำลังมันขึ้นทันที เพราะกำลังหนุ่มอยู่นี่ ร่างกายมันมีกำลังวังชา พอได้อาหารเข้าไปเสริมปั๊บกำลังขึ้นทันที เดินนี้เหมือนม้าแข่ง
    นั่นละพยุงใจพยุงอย่างที่ว่านี่ นี่คือพยุงใจนะ ร่างกายนี้กำลังเมื่อไรได้เลยไม่ยาก ฉันมาแล้วดีดผึงเลยไม่ยาก ส่วนจิตใจนี้ โหย ดีดยากนะ จึงต้องได้พยุงๆ อยู่ตลอด ถ้าร่างกายมีกำลังมาก ความเพียรอืดอาด มันดูกันอยู่ตลอดเวลา ถ้าร่างกายมีกำลังมากแล้วความเพียรอืดอาด สติก็ขาดวรรคขาดตอนไม่ติดไม่ต่อ ความเพียรทุกด้านขึ้นอยู่กับสติ แล้วความเพียรก็ไม่สืบต่อกันถ้าอาหารมากเข้าๆ เพราะฉะนั้นจึงต้องได้ดัดกันตลอด เพราะความเพียรของเราดูตลอดเวลา อาหารเป็นเครื่องเสริมความเพียรเท่านั้น ถ้าอาหารมากก็ไปทับความเพียร ความเพียรก้าวไม่ออก ตัดอาหารออกเพื่ออันนี้ก้าว อยู่อย่างนั้น คือทำด้วยการพิจารณา ไม่ได้ทำสักแต่ว่าทำนะ
    ลำบากลำบนขนาดไหนทางด้านจิตใจเราดีขึ้นๆ แสดงว่าได้ผลตลอด ต้องทำอย่างนั้นทำความพากเพียร พระทั้งหลายท่านตั้งใจมุ่งคล้ายคลึงกันนี่แหละ อย่างที่ว่านี่นะ ท่านอยู่ในป่าในเขา คล้ายคลึงกันอย่างนี้ ไม่ค่อยได้รับความสะดวกสบาย คือท่านไม่หาอย่างนั้นหาธรรม หาธรรมต้องเหยียบพวกความแร้นแค้นกันดารนี้ไป ความทุกข์ยากลำบากส่วนอาหารการกิน เหยียบไปๆ เพื่อธรรมก้าวเดิน ไม่เช่นนั้นไม่ได้นะ ก็คิดดูซิลงมาหาพ่อแม่ครูจารย์ทีไร เพราะฉะนั้นท่านถึงเสริมตลอดกับเรา พอเราว่าไปองค์เดียวนี้ เอ้อๆ ขึ้นเลยทันที ท่านมหาไปองค์เดียวนะใครอย่าไปยุ่งท่าน นั่นเอาแล้วนะ ท่านรู้ความตั้งใจของเรา
    กลับมาหาท่านพระหนุ่มๆ อยู่นี้นะ เห็นแต่หนังห่อกระดูกลงมา ท่านรู้แล้วนี่ เต็มเหนี่ยวแล้วนี่ นั่น แต่ท่านไม่พูด มีท่านพูดวันหนึ่งท่านจะเอะใจมากอยู่ นั้นก็ลงมาจากภูเขาเหมือนกัน ระยะนั้นเป็นอะไรไม่ทราบนะ คงจะดีซ่านหรืออะไร หนังห่อกระดูกแล้วยังไม่แล้ว ตัวนี้เหลืองเหมือนทาขมิ้นเลย พอมากราบท่านเอะใจท่าน เฮ้ย ทำไมเป็นอย่างนี้ล่ะ รู้สึกท่านจะตกใจตามประสาโลกนะ คือหนังห่อกระดูกยังไม่แล้ว หมดทั้งตัวนี้เหลืองเหมือนทาขมิ้น แสดงว่าดีซ่าน เพราะการทรมานหนัก ตอบง่ายๆ ไม่ได้นะท่านพูดอย่างนั้น<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    พอท่านว่าอย่างนั้นแล้วเราก็คอยฟังท่านจะว่ายังไง พอกราบเสร็จแล้วนั่ง สักเดี๋ยวท่านขึ้น มันต้องอย่างนี้จึงเรียกว่านักรบ นั่นเห็นไหม ท่านว่านักรบ กลัวเราจะอ่อนเปียก พอท่านว่าอย่างนั้นทีแรก กลัวเราจะอ่อนเปียกท่านก็พยุงขึ้นทันที พ่อแม่ครูจารย์นี่ โอ๋ย จอมปราชญ์สมัยปัจจุบันยกนิ้วให้เลย ความเฉลียวฉลาดรอบคอบทั้งภายนอกภายใน นี่ละธรรมเข้าสู่ใจเป็นอย่างนั้นละ น่าดูน่าชมทุกอย่าง สติปัญญารอบตัวๆ พ่อแม่ครูจารย์มั่นนี่สมัยปัจจุบันนี้ เรียกว่าจอมปราชญ์ในสมัยปัจจุบัน ชี้นิ้วเลย เราผ่านครูบาอาจารย์มา ไม่ได้ประมาทครูบาอาจารย์องค์ใดนะ แต่พอเข้าไปถึงหลวงปู่มั่นนี่แล้วติดเลยเทียว
    เพราะท่านทุกอย่างมีเหตุมีผลประจำๆ เลย ท่านไม่ได้ทำสุ่มสี่สุ่มห้า เหตุผลนี่เป็นทางเดินของธรรม เรียกว่าธรรม เหตุผลรวมกันแล้วเรียกว่าธรรม ท่านก้าวเดินตลอดเวลาด้วยเหตุผลและอรรถธรรม ท่านไม่แยกแยะไปไหน เรียกว่าชีวิตจิตใจของท่านเป็นธรรมล้วนๆ เลย เรื่องความทรมานใครจะไปเกินหลวงปู่มั่น ความทรมานเรามาพูดนี้ขี้ปะติ๋วนะ เราจะไปเทียบกับหลวงปู่มั่นไม่ได้เลย ฟังซิมันคนละโลก ท่านทรมานมากยิ่งกว่าเรา ไปอยู่ในป่าในเขา ที่ไหนที่ลำบากลำบนท่านไปอยู่ทั้งนั้นๆ ฟังซิน่ะ อย่างที่ว่านาหมีนายูงเป็นต้น
    นาหมีนายูงเดินเข้าไปนั้นมันใกล้เมื่อไรวัดธรรมอินทร์น่ะ มีแต่ดงแต่ป่า พวกสัตว์พวกเสือพวกเนื้อเต็มไปหมด ไปบิณฑบาตเอาไม้ลำเท่านี้ละเป็นไม้เท้า เขาวิตกวิจารณ์กลัวแทนท่าน ไปบิณฑบาต มาจากภูเขาท่านก็ค่อยมาของท่านแหละ ทีนี้พวกสัตว์พวกเนื้อพวกเสือเต็ม หมีเต็ม เขาก็เลยทำไม้เท้าให้ สับแล้วให้ท่านเดินไปสักเท้าป๊อกแป๊กๆ แล้วเคาะนั้นเคาะนี้ไป กลัวจะไปเจอหมี ท่านว่างั้นนะ เขาบอกว่ากลัวจะเจอหมี หมีเจอคนมันมักจะทำลายคนเสียก่อน มาตบแล้วกัดแล้วไป ส่วนเสือไม่ได้พบมันแหละท่านว่างั้น เพราะเสือสติดีไม่พบมันง่ายๆ ไม่วิตกวิจารณ์อะไรกับเสือ แต่กับหมีนี้เป็นได้
    เขาทำให้เราก็ถือไปอย่างนั้นแหละ ท่านว่างั้น ท่านไปของท่านอย่างนั้น ลำบากลำบนมากพ่อแม่ครูจารย์มั่น ไปบิณฑบาตบางทีเป็นเดือนฉันแต่ข้าวเปล่าๆ ทั้งนั้น ท่านว่า คือเขาว่ากรรมฐานนี้ท่านฉันถั่วฉันงา เขาไม่มีถั่วมีงาเขาก็ไม่ใส่บาตรให้ มีแต่ข้าวเปล่าๆ เขาเอาข้าวเปล่าๆ ใส่บาตรให้ เราก็ฉันแต่ข้าวเปล่าๆ มันไม่มีถั่วมีงา ความคิดเห็นของเขาเป็นอย่างนั้น เขาว่าพระกรรมฐานท่านฉันแต่ถั่วแต่งา เขาไม่มีถั่วมีงาเขาก็เอาข้าวเปล่าๆ ให้ เป็นเดือน ท่านว่า นั่นเห็นไหมทรมานไหม
    เรื่องความกลัวนี่รู้สึกท่านจะไม่กลัวนะ ไปอยู่ได้หมดเลย ที่ไหนได้หมด มีแต่สถานที่เป็นภัยเกี่ยวกับเรื่องสัตว์ร้าย ท่านอยู่ทั้งนั้นแหละ นี่ละท่านสมบุกสมบันมากขนาดไหน เราอย่าเอามาพูดเลยเรื่องของเรา เมื่อเกี่ยวกับท่านแล้วล้มไปเลยเรื่องเรา ท่านเป็นประจำ แต่ก่อนท่านบุกเบิกกรรมฐานท่านเป็นองค์แรกไปเลย เราเดินตามท่าน ท่านเป็นกรรมฐานท่านเดินหน้า ทุกข์ยากลำบากทุกอย่างอยู่กับท่านหมดนั่นแหละ นั่นละได้ธรรมมาสอน<o:p></o:p>
    แล้วใครที่จะทำ ที่จะกระจายไปกว้างแสนกว้างเหมือนหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นจึงเป็นโรงงานใหญ่ สำหรับผลิตลูกศิษย์ลูกหาทั้งหลายทางด้านอรรถด้านธรรม ให้กระจายออกไปทุกวันนี้ ก็ออกจากหลวงปู่มั่น เทศนาว่าการสั่งสอนบรรดาลูกศิษย์ไปประพฤติปฏิบัติ ได้มรรคได้ผลขึ้นมาธรรมะกระจายออกไป เหล่านี้มีตั้งแต่ลูกศิษย์ท่านอาจารย์มั่นทั้งนั้นนะ ที่แผ่กระจายทั้งฝ่ายธรรมยุตและมหานิกาย เป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่นทั้งนั้นแหละ องค์ท่านนิพพานไปแล้วชื่อเสียงนี้กระฉ่อนทั่วประเทศทั่วโลก เฉพาะองค์ท่านเองท่านไม่ค่อยไปสอนใครละ ถ้าสอนก็สอนพระ พระอยู่กับท่านไม่กี่องค์ ในป่าในเขายิ่งแล้วท่านไม่รับใคร ตอนท่านแก่นี้ท่านคงจะสงสารบ้างก็เลยรับพระมา แต่ก่อนไม่นะ พระไปอยู่กับท่านไม่ได้<o:p></o:p>
    ลูกศิษย์ของท่านองค์ไหนๆ ที่ปรากฏชื่อลือนามเหล่านี้มีแต่เป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่นทั้งนั้นนะ อย่างท่านอาจารย์ขาว อาจารย์คำดี อาจารย์อะไรต่ออะไรๆ ตลอดอาจารย์ตื้อที่ไหนใช่หมดเลย เป็นลูกศิษย์ของท่านทั้งนั้น กระจายออกไปนี้ก็เพราะลูกศิษย์ของท่าน โรงงานใหญ่อยู่ที่นั่นผลิตธรรมให้ลูกศิษย์ลูกหา แล้วก็นำธรรมนี้ออกไปกระจายทั่วโลกเวลานี้ ก็เพราะหลวงปู่มั่นองค์เดียว ปฏิปทานี้เป็นแบบฉบับไม่เคลื่อนคลาดอะไรเลย เดี๋ยวนี้ค่อยหดย่นเข้ามาๆ ภาคปฏิบัติ ก็ยังเหลือแต่เราที่ว้อๆ อยู่นี้กับพระกับเณรทั้งหลาย พระเณรจุดศูนย์กลางจะมาอยู่กับเราเวลานี้นะ ไม่บอกก็เป็นเอง อยู่กับเราคอยฟังเสียงเรา แต่ก่อนทั้งหลายก็อยู่กับหลวงปู่มั่น ทีนี้ท่านล่วงไปแล้ว ก็ถัดลงมาที่ยังเป็นตนเป็นตัวอยู่ก็คือเรา ก็ทราบแล้วว่าเราเป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่น ทีนี้ก็มายึดมาเกาะตรงนี้ละเรื่อยมา<o:p></o:p>
    การปฏิบัติธรรมต้องเอาหนักเอาหนาทนทุกข์ทรมานจริงๆ ถึงจะเป็นไปได้ ถ้าสักแต่ว่าๆ โอ๋ย ไม่ได้เรื่องละ อย่าทำว่างั้นเลย ต้องจริงต้องจังทุกอย่าง เน้นหนักๆ ในธรรม ขอให้ธรรมมีฝังใจเถอะน่ะ จิตมุ่งมั่นต่อธรรมต่อแดนพ้นทุกข์เท่านั้น สิ่งทั้งหลายไม่มีอุปสรรคนะ จะยากลำบากขนาดไหนไม่เป็นอุปสรรค เพราะจิตนี้มุ่งต่อธรรม ผ่านได้ทั้งนั้นๆ ถ้าจิตไม่ได้หลักได้ธรรมแล้วโลเล การประพฤติปฏิบัติโลเลไปเลอะเทอะไป ต่อไปก็ขึ้นไปเหยียบหัวพระพุทธเจ้าเท่านั้นละ หลักธรรมหลักวินัยไม่เหลียวแล นั่นละข้ามเกินธรรมวินัยคือขึ้นเหยียบหัวพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นองค์ศาสดาแทนพระพุทธเจ้า<o:p></o:p>
     

แชร์หน้านี้

Loading...