::หมั่นสร้างบุญ บูชาเทวดาประจำตัว ชีวิตจะพบแต่เรื่องดี::

ในห้อง 'บุญ-อานิสงส์การทำบุญ' ตั้งกระทู้โดย สุชีโว, 23 พฤษภาคม 2014.

  1. สุชีโว

    สุชีโว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2013
    โพสต์:
    154
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +579
    [​IMG]

    หมั่นบูชาเทวดาประจำตัว ชีวิตจะพบแต่เรื่องดี
    โดย ธ. ธรรมรักษ์


    คนบางคนนั้น เวลาที่อยู่ในช่วงที่วิบากกรรมไม่ดีนั้นส่งผล ก็จะรู้สึกว่า
    ตนเองนั้นพบกับความเดือดร้อนหรือต้องเจอกับเคราะห์กรรมใดๆ
    ที่หนักและรุนแรงน้อยบ้างหนักบ้าง แตกต่างกันตามที่การกระทำที่ทำมา
    แต่มีหลายครั้งที่ ดูเหมือนจะไม่รอดแน่ แต่ทำไมถึงรอด และผ่านเคราะห์
    กรรมนั้นมาได้อย่างหวุดหวิด หลายท่านเคยสงสัยในเรื่องนี้หรือไม่
    บางคนก็อาจจะรู้หรือนึกเอาว่า ต้องเป็นเพราะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือเทวดา
    ประจำตัวคอยช่วยเหลือ หรือแม้แต่เวลาที่จะมีความสุขใดๆ ก็มักจะคิดว่า
    เป็นเพราะเทวดาประจำตัวของท่านนั้นบันดาลมาให้

    เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง เพราะทุกคนนั้นมีเทวดาประจำตัวแน่นอน แต่เป็นแค่
    ส่วนหนึ่ง ซึ่งเราต้องรู้ก่อนว่า เรื่องดีๆ ที่เกิดขึ้นหรือเรื่องร้ายที่เกิดขึ้นนั้น
    เหตุมาจากกรรมที่เราทำไม่ได้มาจากอำนาจของเทวดาแต่ประการใด
    ถึงแม้ท่านจะมีความศักดิ์สิทธิ์มีฤทธิ์มีอำนาจก็จริง แต่ท่านไม่มีหน้าที่จะ
    มาเบี่ยงเบนกรรมของผู้ใดทั้งสิ้น

    ไม่มีใครใหญ่เกินกรรม

    ไม่ว่าเทวดาหรือใครทั้งนั้น แม้แต่พระพุทธเจ้าของเรายังต้องยอมรับกรรม
    ทั้งดีและไม่ดี จนพระพุทธองค์หลุดพ้นจากการเวียน ว่าย ตาย เกิดไปแล้ว
    กรรมทั้งหมดจึงยุติเพราะไม่รู้ว่าจะไปส่งผลให้กับใคร
    เทวดาท่านทำเพียง จะช่วยในการดลใจให้ทำดีหรือไม่ให้ทำความชั่ว
    หรือคอยอวยพรให้เราพบกับสิ่งที่ดีดีในชีวิต ปกป้องดูแลไม่ให้
    ดวงวิญญาณอื่นมาทำร้ายเราโดยไม่มีเหตุผล สำหรับเทวดาที่เราเข้าใจกันว่า
    เป็นเทวดาประจำตัวนั้นจริงๆ แล้ว ท่านไม่ได้อยู่คอยติดตามตัวเราหรือ
    สิงอยู่ในตัวเราอย่างที่หลายคนๆ เข้าใจ

    เพราะการเกิดเป็นเทวดาตามที่ได้กล่าวมานั้น
    จะต้องบำเพ็ญบุญกุศลคุณงามความดีมากมายกว่าจะได้ไปบังเกิด
    ในภพภูมิที่เป็นสุขอย่างนั้น แล้วลองนึกภาพตามดูว่าถ้าจะให้
    เทวดาเหล่านั้นท่านต้องมาคอยตามดูแลเป็นองครักษ์คอยพิทักษ์
    ปกปักรักษาคนที่เป็นมนุษย์อยู่ตลอดเวลา ก็คงจะเป็นไปไม่ได้เพราะ
    ตัวท่านเองก็ต้องเร่งสร้างบุญบารมีและมีกิจหน้าที่เหมือนกันเพื่อ
    ที่จะเลื่อนขั้นไปสู่ภพภูมิที่ดีกว่า อย่างที่บอกแล้วว่าเทวดาท่าน
    ก็ต้องมีหน้าที่คือ เทวดาบางองค์ท่านต้องมีหน้าที่ไปเฝ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์
    ไปเฝ้าวัด เฝ้าพระพุทธรูป ศาลหลักเมือง ไปคุ้มครองผู้ปฏิบัติธรรมและ
    มีคุณงามความดีที่ต้องปกป้องรักษา หรือถ้าไม่มีหน้าที่
    ท่านก็ต้องบำเพ็ญบุญบารมีไปหรืออาจจะไปเที่ยวสวรรค์เล่น

    ก็เป็นเรื่องของท่านและที่สำคัญภพภูมิของท่านหรือสวรรค์ของท่านนั้น
    อยู่สูงกว่ามนุษย์ ครูบาอาจารย์หลายท่านกล่าวต้องกันว่า
    ร่างกายของมนุษย์นั้นเหม็นมาก
    เพราะกินสัตว์ทุกประเภทและทำผิดศีลมากมาย เทวดาที่มีบุญบริสุทธิ์นั้น
    ไม่อยากเข้าใกล้ และอยู่กับคนที่เหม็นไม่ได้แน่นอน ต้องอยู่ให้ห่างมากที่สุด
    เท่าที่จะมากได้ จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีเทวดามาสิงในร่างกายคน
    แต่หลายคนเชื่อว่า ยังไม่แน่ใจว่าเทวดาประจำตัวนั้นมีจริงหรือเปล่า

    ขออย่าพึงปฏิเสธหรือยอมรับให้ยึดหลักกาลามสูตรของพระพุทธองค์
    เป็นที่ตั้ง อย่าเพิ่งเชื่อในเรื่องใดๆ ขอให้พิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง
    ถ้าเราพูดกันถึงเรื่องเหนือธรรมชาติแบบนี้ คนที่จะตอบเราได้ดีที่สุดก็คือ
    ตัวเราเองครับ ว่าเรามีความรู้สึกหรือเคยได้สัมผัสสิ่งแปลกๆ ที่เกิดขึ้นใน
    ชีวิตแต่หาที่มาไม่เจอ หรือเรื่องเหนือธรรมชาติที่วิทยาศาสตร์นั้นยังพิสูจน์
    ไม่ได้ อย่าลืมนะครับว่า วิทยาศาสตร์นั้นเป็นแค่ศาสตร์ชนิดหนึ่งที่มี
    หลายศาสตร์มากมายทั่วโลก ที่พยายามจะตอบปัญหาของธรรมชาติให้คน
    ได้รู้ได้เข้าใจ ถึงที่ไปที่มา แต่มีเรื่องราวมากมายที่วิทยาศาสตร์นั้นยังตอบ
    ไม่ได้ หรือหาเหตุผลไม่ได้

    แต่ทว่าเรื่องดังกล่าวไม่ได้หมายความว่าไม่ได้มีอยู่จริง
    ขอยกตัวอย่างสักเรื่องหนึ่ง ในเรื่องของการทำสมาธิและพลังจิตนั้น
    ที่ศาสนาพุทธได้ค้นพบและประกาศออกไปเพื่อความสุขจริงของมวล
    สรรพสัตว์ทั้งหลายกว่า 2,500 ปี ถึงประโยชน์สุขมหาศาลที่คนที่
    ปฏิบัติแล้วจะได้รับทั้งทำให้มีจิตใจกล้าแกร่ง เกิดปัญญาแก้ทุกปัญหาได้
    ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง รักษาและฟื้นฟูร่างกายที่เจ็บป่วยได้แบบที่
    พระอริยสงฆ์ท่านใช้รักษาตัวกันบ่อย เชื่อว่าท่านผู้อ่านหลายท่านคงจะ
    เคยได้ยินกันมาบ้างเรื่องแบบนี้วิทยาศาสตร์เพิ่งจะมาค้นพบเมื่อ
    ร้อยกว่าปีนี้ที่ค้นพบว่าการทำสมาธิในขั้นที่ลึกแล้ว จะทำให้อวัยวะภายใน
    ร่างกายทำงานได้ช้าลง
    และดีขึ้น อีกทั้งช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอได้ หัวใจก็แข็งแรง เป็นต้น

    และเรื่องการเกิดของสิ่งมีชีวิต พระพุทธเจ้าค้นพบมานานเป็นพันๆ ปี
    มีบรรจุอยู่ในพระไตรปิฎกเรื่องการเกิดของเหล่าสรรพสัตว์
    นักวิทยาศาสตร์เพิ่งจะมาค้นพบการเกิดของสัตว์ตัวเล็กๆ บางชนิด
    เชื้อโรคต่างๆ เมื่อไม่กี่ปีนี่เอง
    [​IMG][​IMG]

    เรื่องนี้จึงพอจะยืนยันได้อีกเรื่องว่า
    ในบางเรื่องที่เหนือความเข้าใจ
    วิทยาศาสตร์ยังเข้าไปไม่ถึงแน่นอน
    และการมีอยู่ของเทวดาที่อยู่คนละภพภูมิหรือคนละชั้น แล้วการลงมา
    ช่วยเหลือมนุษย์นี่ก็มีความเป็นไปได้ การช่วยเหลือกันข้ามภพ
    ข้ามชาตินั้น ที่สัตว์อีกชั้นหนึ่งไปช่วยสัตว์อีกชั้นหนึ่ง
    (เทวดา ดวงวิญญาณที่เราเรียกว่าผี มนุษย์ สัตว์เดรัจฉาน
    ต่างล้วนเป็นสัตว์ด้วยกันทั้งนั้น แตกต่างที่คำเรียกตามภพภูมิเท่านั้น)

    ก็เหมือนกับการที่เราเป็นมนุษย์อยู่แล้วไปช่วยสัตว์เดรัจฉานอย่างเช่น
    คนไปเก็บแมวหมาจรจัดมาเลี้ยง การไปช่วยช้างเคราะห์ร้ายที่ตกบ่อ
    ให้ขึ้นมาจากหลุมหรือท่อระบายน้ำ หรือการช่วยสร้างสิ่งแวดล้อม
    ให้เหมาะสมกับการอยู่อาศัยของสัตว์หลายๆ ประเภทอย่างนี้เป็นต้น
    คือแม้จะอยู่ภพชาติเดียวกันแต่เป็นการช่วยเหลือต่างภูมิกัน
    คือเราเป็นมนุษย์มีภูมิสูงกว่าสัตว์เดรัจฉานลงไปช่วยมัน
    ซึ่งสัตว์เดรัจฉานเหล่านั้นอาจจะไม่รู้เลยก็ได้ว่านี่เป็นฝีมือ
    ของมนุษย์ที่มาคอยช่วยเหลือเหล่าเทวดาก็เช่นเดียวกันครับ
    ท่านอยู่ในภพภูมิที่ทั้งแตกต่าง
    และอยู่สูงกว่าอาจจะหยิบยื่นความช่วยเหลือให้กับมนุษย์ได้

    เทวดาท่านก็มีสังคมของท่านเหมือนกันในบางชั้นสวรรค์ มีทั้งเพื่อน
    มีสามีภรรยา มีเจ้านาย มีบริวารที่มี
    ความรักผูกพันกัน
    เหล่าญาติหรือคนรู้จักของท่านอาจจะจุติมาเกิดในโลกมนุษย์
    รวมถึงความห่วงใยในญาติที่ครั้งหนึ่งที่ท่านเคยเกิดมา
    เป็นคนก่อนที่จะมาเป็นเทวดาเมื่อเป็นเช่นนั้นท่านก็ยังมี
    กิเลสมีความห่วงหาอาทรเหมือนกับคนเรา

    อาจคอยดูแลสอดส่องทุกข์สุขโดยการรับรู้ด้วยความเป็นทิพย์เพราะ
    ท่านมีหูทิพย์ ตาทิพย์หรือความรู้สึกอันเป็นทิพย์ เทวดาท่านก็จะรู้ขึ้นเอง
    โดยไม่ต้องมีใครมาบอกว่า เกิดเรื่องร้ายแรงหรือมีเหตุการณ์ใดๆ
    เกิดขึ้นกับญาติมิตรที่รักของท่าน
    เทวดาท่านมีแต่กายทิพย์ไม่มีกายเนื้ออย่างคนเรา การให้ความช่วยเหลือ
    ของท่านส่วนใหญ่จะเป็นการ “ดลจิตดลใจ” หรือโน้มน้าวให้ญาติมิตร
    เหล่านั้นให้เปลี่ยนจิตที่เป็นอกุศล ที่กำลังจะตกไปอยู่ในอบายภูมิให้
    กลับกลายเป็นจิตกุศลและมีความสุขขึ้นได้ เช่น หากญาติมิตรที่กำลัง
    โกรธจัดเพราะเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง ท่านก็แผ่เมตตาส่งบุญกุศลลง
    มาดลจิตใจให้สงบเยือกเย็นลง

    เคยหรือเปล่าครับที่เวลาที่กำลังโกรธใครหรือกำลังร้อนใจอะไรอยู่กับ
    สิ่งนั้นมากๆ จู่ๆ ก็รู้สึกเยือกเย็นลง ได้อย่างน่าประหลาดเช่น
    เมื่อได้ก้าวเข้าไปสู่สถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ
    อย่างเช่นในวัดวาอารามใหญ่ๆ พอเข้าไปแล้ว
    รู้สึกได้ถึงกระแสความอบอุ่นสว่างไสวทำให้จิตที่กำลังขุ่นข้อง
    หมองใจนั้นก็กลับสงบเยือกเย็นลงเป็นลำดับ ซึ่งเป็นเพราะเทวดา
    ที่อยู่ในบริเวณที่แห่งนั้นได้แผ่เมตตาลงมาให้ทำให้รู้สึกสงบเย็นลง
    และค้นพบวิธีการแก้ปัญหาหรือพบกับคนที่จะช่วยเหลือให้รอดพ้น
    ไปได้จากปัญหาเหล่านั้นเรื่องเหล่านี้เป็นการดลใจของเทวดาแน่นอน
    ทั้งดลใจเราและดลใจคนที่

    จะช่วยเราได้ ให้มีความเมตตา มีความพร้อมในเรื่องที่จะช่วยมาเจอกัน
    เรื่องนี้ขอให้ไปดูเรื่องของเชื่อมบุญที่อยู่ในบทต่อไป จะเข้าใจทันทีว่า
    ทำไมต้องเชื่อมบุญกับเทวดา
    (หากต้องการทราบเรื่องรายละเอียดและความเข้าใจที่ลึกซึ้ง
    ในเรื่องเชื่อมบุญ ขอแนะนำว่าลองไปหาหนังสือ “ปาฏิหาริย์เชื่อมบุญ”
    ทั้งเล่มที่ 1 และ 2 ของ ธ.ธรรมรักษ์ ตามร้านหนังสือชั้นนำ
    มาอ่านท่านจะเข้าใจทั้งหมด)

    [​IMG]

    การดลใจของเหล่าเทวดาก็ยังมีหลายระดับขึ้นอยู่กับฤทธิ์ของเทวดาเอง
    และก็กิเลสที่อยู่ในตัวคนๆนั้นด้วยหากเป็นคนมีกิเลสหนาโทสะมากๆ
    ถูกความมืดในจิตครอบงำเสียเต็มแน่นทำให้เห็นผิดได้อย่างรุนแรงอย่างนี้
    เทวดาก็ไม่อาจดลใจช่วยอะไรไม่ได้เหมือนกันดุจดังความดีหรือแสงสว่าง
    จะไม่สามารถแทรกลงไปกรรมชั่วหรือความมืดมิดได้
    ขอยกตัวอย่างในเรื่องของเทวดาท่านดลใจ ที่เกี่ยวข้องกับอริยบุคคล

    ในสมัยพุทธกาลอีกสักหนึ่งเรื่องครับเรื่องราวนี้เป็นเรื่องของ
    อนาถบิณฑิกเศรษฐี ซึ่งความจริงแล้วท่านมีนามเดิมว่า “สุทัตตะ”
    แต่เพราะความใจบุญชอบทำทานแก่คนยากคนจนมากจึง
    ได้ชื่ออนาถบิณฑิกเศรษฐี นี้มาซึ่งแปลว่า
    “เศรษฐีผู้มีก้อนข้าวให้คนยากไร้” ท่านมีกองคาราวานสินค้าเดินทางไป
    ทั่วชมพูทวีป ค้าขายอย่างตรงไปตรงมาสร้างบุญกุศลมาโดยตลอดวันหนึ่ง
    ท่านก็ได้ไปค้าขายที่เมืองราชคฤห์และได้พบกับน้องเขยของท่านนามว่า
    ราชคฤห์เศรษฐี (ในบางคัมภีร์ ผู้รู้กล่าวว่าท่านเป็นเพื่อนกัน)
    ทุกครั้งที่ท่านเดินทางไป

    ก็จะต้องไปพักกับคนผู้นี้เสมอ ภายหลังได้ทราบว่า
    น้องเขยผู้นี้จะนิมนต์พระภิกษุสงฆ์โดยมีพระพุทธเจ้าทรง
    เป็นประธานมาฉันภัตตาหารที่บ้านก็เกิดความดีใจมาก
    อยากจะนมัสการพระพุทธเจ้า
    ในทันที แต่เพราะพระพุทธองค์ยังทรงประทับอยู่ในป่าสีตะวัน
    ยังไม่สะดวกจะให้ใครเข้าพบ น้องเขยจึงได้บอกให้ไปพักผ่อนรอก่อน
    ในวันถัดไปด้วยความตื่นเต้นดีใจที่จะได้พบพระพุทธองค์
    ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ถึงกับหลับแล้วตื่นถึง 3 ครั้งในคืนนั้น
    พอครั้งสุดท้ายที่ตื่นขึ้นมา
    จู่ๆ ท่านก็เดินออกไปนอกเมืองไปยังป่าสีตวัน ทั้งๆ ที่ยังเป็นเวลามืดและ
    ประตูเมืองก็ยังไม่เปิดเสียด้วยซ้ำ
    แต่เพราะเหล่าโอปปาติกะ (เทวดาพวกหนึ่ง) ช่วยกันเปิดประตูเมือง
    ให้ท่านเศรษฐีเดินออกไปข้างนอกเมืองได้และทำ
    ให้เห็นว่าเวลานั้นเป็นเวลารุ่งสางแล้วแต่พอพ้นประตูเมือง
    ท้องฟ้าก็กลายเป็นเวลามืดอย่างเดิมอีก

    ท่านเศรษฐีตกใจกลัวคิดจะกลับเข้าเมืองตามเดิม แต่ก่อนที่จะกลับ
    ก็มีเสียงของ “สิวกยักษ์” (เทวดาพวกหนึ่ง) มากล่าวเตือนให้
    ท่านเศรษฐีให้ก้าวเดินไปยังข้างหน้าอย่าได้ถอยกลับ เพราะการก้าวไป
    ข้างหน้าแต่ละก้าวนั้นเป็นก้าวย่างที่จะเดินทางไปสู่หนทางที่ประเสริฐ
    พอสิ้นเสียงนั้นความมืดก็หายไป ท่านเศรษฐีก็เดินเข้าไปในป่าต่อไปได้
    พอเดินไปได้สักหน่อยความมืดตามปกติก็เข้าปกคลุมอีก เสียงของ
    สิวกยักษ์ก็ดังก้องขึ้นมาให้ก้าวต่อไปเรื่อยๆ ความมืดก็หายไปอีก
    สลับกันไปอยู่อย่างนี้ ด้วยเหตุที่เกิดความมืดและความสว่างสลับกัน
    หลายครั้งทำให้ท่านเศรษฐีเกิดความท้อใจ

    แต่สิวกยักษ์ ก็กล่าวให้กำลังใจไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเดินทางมา
    จนถึงป่าสีตวันได้เป็นผลสำเร็จ
    ในขณะนั้นเป็นเวลาที่จวนจะรุ่งสางแล้ว พระพุทธเจ้ากำลัง
    เสด็จจงกรมอยู่ เมื่อทรงทอดพระเนตรเห็นอนาถบิณฑิกเศรษฐี
    ก็ทรงประทับนั่งเหนือก้อนหินแล้วกล่าวเชิญให้ท่านเศรษฐีมาเข้าเฝ้า
    ด้วยพระองค์เองโดย พระพุทธองค์กล่าวชื่อ “สุทัตตะ” ได้อย่างถูกต้อง
    ทั้งๆ ที่เป็นการพบกันครั้งแรกสร้างความยินดีและเลื่อมใสในตัว
    พระพุทธองค์แก่ อนาถบิณฑิกเศรษฐี เป็นอย่างมาก

    จากนั้นพระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมพื้นฐานเป็นการเบื้องต้นให้
    เมื่อเล็งเห็นแล้วว่า สุทัตตะมีความเลื่อมใสในธรรมจริงจึงแสดงอริยสัจ 4
    โปรดแด่สุทัตตะ เมื่อได้ฟังธรรมแล้ว สุทัตตะก็เกิดความซาบซึ้ง
    ในพระธรรมก้าวพ้นซึ่งความสงสัยในคำสอนของพระองค์ได้บรรลุ
    เป็นอริยบุคคลมีดวงตาเห็นธรรม บรรลุกลายเป็นพระโสดาบันทันที
    หลังจากนั้นท่านเศรษฐีก็ประกาศปวารณาตนเองเป็นอุบาสกใน
    พระพุทธศาสนา แล้วจึงกราบอาราธนาพระพุทธองค์ไปฉันภัตตาหาร
    พร้อมกับพระภิกษุสงฆ์ในวันรุ่งขึ้น ซึ่งพระองค์ก็ทรงรับโดยดุษณีภาพ
    (หมายความว่า แสดงอาการนิ่งเป็นการยอมรับ) นี่คือเหตุการณ์การพบกัน
    ครั้งแรกระหว่างพระพุทธองค์กับอนาถบิณฑิกเศรษฐี

    ตัวอย่างเรื่องราวนี้ชี้ให้เห็นว่า เทวดาประเภทยักษ์อย่าง
    สิวกยักษ์ได้ทำการดลจิตดลใจของเศรษฐีให้ท่านได้มาพบกับ
    พระพุทธองค์จนได้แสดงธรรมแก่ท่านจนได้บรรลุธรรมในชั้นต้นของ
    พระพุทธศาสนาเป็นการสร้างบุญอันยิ่งใหญ่ซึ่งผลบุญนี้ก็จะตกไปถึง
    สิวกยักษ์ตนนั้นด้วย

    แปลความง่ายๆ ว่า การทำบุญของเทวดาท่านก็จะทำบุญด้วยวิธีนี้ใช้การ
    ดลจิตใจให้กับผู้ที่มีบุญวาสนาที่มีบุญเชื่อมโยงถึงกันจึงเป็นเหตุให้มา
    สร้างบุญใหม่ได้อย่างต่อเนื่อง ส่วนคนที่จิตใจไม่ดีคิดแต่เรื่องอกุศล
    ต่อให้เทวดามีฤทธิ์แค่ไหนก็ไม่อาจช่วยเหลือได้อย่างแน่นอน

    นอกจากเรื่องเทวดาประจำตัวแล้วยังมีเรื่อง “เทวดาเจ้าที่”
    อีกต่างหากด้วยครับ เทวดาเหล่านี้ท่านมีหน้าที่ดูแลสถานที่เหล่านั้น
    ให้ร่มเย็นเป็นสุข ยกตัวอย่างเช่นคนที่เคยไปนอนตามวัดวาอารามต่างๆ
    เพื่อฝึกปฏิบัติธรรมอาจเคยเจอเหตุการณ์ประเภทที่ทำให้รู้สึกว่า
    ถูกกระตุกขาหรือได้ยินเสียงอะไรที่แปลกๆ
    ที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนมาเตือนสติ
    หรือดลจิตใจให้ไปทำอะไรสักอย่างหรือแม้กระทั่งมาสะกิดเตือน
    ก็มีให้เห็นมามากรายแล้ว รูปแบบของการสื่อสารระหว่างคนกับเทวดา
    จึงมีทั้งการดลจิตใจ การปกป้อง ไปจนถึงการสะกิดเตือนตรงๆ
    เรื่องของความเชื่อเกี่ยวกับเทวดาประจำตัวนี้ ไม่ว่าคุณผู้อ่านจะเคยมี
    ความเชื่ออย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุดที่ควรกระทำก็คือ
    หมั่นทำความดีสร้างบุญบารมีเท่าที่ทำได้ทั้งทาน ศีล ภาวนา
    อย่าไปสงสัยในเรื่องของบุญและกรรมจนทำให้จิตใจตกต่ำ
    และหมั่นฝึก “สติ” ของเราเองให้เกิดความเข้มแข็ง สร้างฤทธิ์ทางใจ
    ให้แข็งแกร่ง มีหิริโอตัปปะประทับอยู่ในจิตใจ เป็นการต้านทานบาปและ
    หันมาต้อนรับการทำบุญทั้งปวงจะเป็นการดีที่สุด
    การผูกพันระหว่างมนุษย์และเทวดานั้นเป็นเรื่องที่มีอยู่จริง
    และทุกคนมีเทวดาประจำตัวที่เคยเป็นบรรพบุรุษ พ่อแม่พี่น้อง
    ญาติมิตร สหายที่คอยห่วงใยและพร้อมจะช่วยเหลือเมื่อยามมีภัย
    คอยดลใจให้สร้างกรรมดียิ่งขึ้นไป เพราะท่านเหล่านั้นทราบดีว่า
    บุญนั้นเป็นที่พึ่งได้จริง

    ยิ่งในกรณีที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเคยอธิษฐานจิตให้ผูกพันกันกับอีกฝ่ายหนึ่ง
    ทำให้ต้องมีการติดตามไปเฝ้าดูอยู่ตลอดเหมือนเชือกที่โยงติดกัน
    แต่เมื่อฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดหมดบุญในการอธิษฐานหรือทำการเปลี่ยนแปลง
    ตนเองให้ตกต่ำลงสายใยที่เคยผูกโยงไว้ด้วยบุญก็จะขาดออกจากกัน
    ทางที่ดีที่สุดเพื่อความไม่ประมาท เพราะเราไม่รู้ว่าวิบากกรรมไม่ดี
    จะมาส่งผลเมื่อใด ขอโปรดหันมาทำความดีละเว้นความชั่ว
    เพื่อเป็นการสร้างเกราะป้องกันตัวจากสิ่งเลวร้ายต่างๆ และลด ละ เลิก
    หลีกหนีเว้นในสิ่งที่ไม่ดีไม่งามทั้งหลายจะดีกว่า

    เพราะการเอาแต่นั่งรอให้เทวดาประจำตัวมาช่วยเพียงอย่างเดียว
    เป็นเรื่องที่ไม่สมควรและประมาทในเรื่องของกรรมมาก
    เทวดาประจำตัวท่านไม่อาจจะช่วยได้เลย หากตัวเราไม่มีบุญเป็นฐาน
    หรือกำลังสนับสนุนที่เพียงพอ
    ยิ่งเราเป็นผู้มีบุญมาก เทวดาท่านก็ยิ่งจะสื่อสาร ดลใจช่วยเหลือเรา
    ได้มากขึ้น เพราะเข้าออกในจิตใจเราได้สะดวกไม่มีกรรมชั่ว
    มาขวางกั้นเอาไว้

    เคล็ดวิธีการบูชาเทวดาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์

    ดังนั้นก่อนที่จะบูชาเทวดาหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆ
    ก็ตามขอให้พึงระลึกเรื่องหนึ่งเป็นพื้นฐานที่สำคัญก่อนครับ
    เรื่องสำคัญที่ว่านี้ก็คือเรื่อง “กรรม” พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้และ
    มีบันทึกในพระไตรปิฎกที่ปรากฏอยู่ในจูฬกรรมวิภังคสูตรในมัชฌิมนิกาย
    พระสุตตันตปิฎกมีใจความว่า

    “สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตน มีกรรมเป็นผู้ให้ผล มีกรรมเป็นแดนกำเนิด
    มีกรรมเป็นเครื่องติดตาม มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย กรรมย่อมจำแนกสัตว์เลว
    และประณีตแตกต่างกัน”

    การที่บอกว่าเทวดาท่านช่วยให้รวย ช่วยให้สุข ช่วยให้พ้นภัยนั้นเป็นเรื่องจริง
    แต่ท่านจะช่วยในเวลาที่คนนั้นมีบุญและกรรมดีกำลังจะส่งผลเท่านั้น
    เป็นการช่วยให้คนๆ นั้นเร่งสร้างกรรมดีอย่างถูกต้องที่จะส่งผลให้บุญใหม่นั้น
    รวมกับบุญเก่าทันเวลา ไม่ใช่ท่านเนรมิตหรือทำอะไรก็ตามให้เองโดยที่คนๆ
    นั้นไม่ต้องทำอะไร แบบนี้มีแต่ในนิยายเท่านั้น

    การที่พิธีสำคัญต่างๆ รวมถึงการที่ทุกครั้งก่อนสวดมนต์มีการอัญเชิญ
    เทวดามาร่วมพิธีนั้น ที่มีบทคาคาชุมนุมเทวดานั้น
    เป็นเรื่องที่ดีเพราะเป็นการวมผู้มีบุญบารมีมาสร้างบุญกุศลร่วมกัน
    จะเกิดความศักดิ์สิทธิ์ยิ่งขึ้น เป็นการวมพลังงานฝ่ายดี
    เหมือนกับรวมน้ำจากที่ต่างๆ
    การเป็นมหาสมุทรจะพัดพาไปที่ใดก็ร่มเย็นแล้วก็เกิดผลดี

    ขั้นตอนการบูชาให้ได้ผลอย่างแท้จริง


    ทำตนเองให้เป็นคนดี

    ก่อนอื่นต้องรู้ว่า การเกิดเป็นเทวดาต้องมาจากบำเพ็ญบารมีอย่างมาก
    เทวดาจึงมีคุณงามความดีมากกว่ามนุษย์หลายเท่า การจะหวังให้เทวดา
    มาดูแลมนุษย์คนใดคนหนึ่งจึงเป็นไปไม่ได้ แต่ที่มนุษย์เรายังรู้สึกว่า
    มีความเกี่ยวข้องหรือสัมผัสถึงเทวดาได้อยู่อาจเป็นเพราะมีความสัมพันธ์กันมา
    ในอดีตการที่เทวดาจะมาช่วยเหลือหรือคอยติดตามนั้นเทวดาจะคอย
    ตามโมทนาคุณงามความดีของคนที่ได้สร้างบุญกุศลให้
    และดลจิตดลใจให้กระทำความดี ที่จะน้อมนำไปสู่ความสำเร็จหรือภาษาชาวบ้านก็คือ
    เรียกว่า “มอบโชคลาภ”ให้นั่นเองแปลว่าการที่เราจะได้รับแรงสนับสนุน
    หรือส่งเสริมใดๆ ให้ประสบความสำเร็จ คนที่จะไปขอความช่วยเหลือ
    ก็ต้องมีคุณงามความดีมากพอด้วยไม่อย่างนั้นเทวดาท่านก็ช่วยไม่ได้
    การที่จะขอให้ท่านช่วยเหลืออะไรนั้น มีเคล็ดสำคัญมากก็คือ
    เราผู้ซึ่งเป็นผู้ที่ขอต้องทำการ “เชื่อมบุญกุศลคุณงามความดีส่งไปให้ท่าน
    เสียก่อน” เพื่อแสดงความเคารพยอมรับและให้กระแสบุญนั้นผูกพันกัน
    เมื่อจะมีเหตุการณ์ใดท่านจะได้ช่วยเหลือหรือดลใจได้

    [​IMG]

    การเชื่อมบุญคืออะไร ทำไมต้องเชื่อม ?

    การเชื่อมบุญหากจะแปลความให้พอเข้าใจง่ายๆ ก็คือ
    การที่เอาบุญนั้นเป็นตัวเชื่อมให้ของสองสิ่งหรือมากกว่านั้นเข้าหากัน
    เหมือนดังคนที่เคยมีบุญร่วมกันมาตั้งแต่ครั้งในอดีต ตอนแรกๆ
    คนเราเมื่อยังไม่รู้จักกันเดินสวนกัน
    เจอหน้ากันอย่างดีก็ได้แค่ยิ้มแล้วก็เดินผ่านเลยไป

    เชื่อว่าต้องมีเหตุการณ์อะไรสักอย่างที่ทำให้รู้จักกันถึงจะมาพูดคุยกันได้
    อย่างน้อยก็คำทักทายว่า สวัสดี หรือการช่วยเหลือกันเล็กๆ น้อยๆ
    สักอย่างทำให้ ต่างคนต่างจำกันได้ พอเวลาพบกันครั้งต่อไปก็กลาย
    เป็นคนรู้จักหลังจากนั้น พอทำความสนิทสนมกันมากเข้าก็กลายเป็นการ
    สร้างสายสัมพันธ์ต่อกัน พัฒนาจนไปเป็นเพื่อนสนิท หรือไม่ก็กลายเป็นแฟน
    เป็นคู่ชีวิตกันเรื่องของเทวดานี่ก็เหมือนกันครับ ตอนนี้เราอาจหาอ่านข้อมูล
    ต่างๆ จากหนังสือหลายๆ เล่ม ว่าท่านมีลักษณะอย่างไรอยู่สวรรค์ชั้นไหน
    รายละเอียดเป็นอย่างไร แต่เราก็ยังไม่ได้ทำความรู้จักท่านจริงๆ
    ท่านก็มองเห็นเราเหมือนกัน แต่ท่านก็ยังไม่รู้จักเรา
    คนไม่รู้จักกันจะให้มาช่วยเหลือเกื้อกูลกันก็คงจะเป็นไปได้ยาก
    เทวดากับเรา อาจจะยังคงเป็นคนแปลกหน้าหรือญาติห่างๆ
    ที่ความรู้สึกผูกพันใกล้ชิดยังไม่ถึงขั้นที่พร้อมจะช่วยเหลือหรือเต็มใจช่วย
    ในเรื่องสำคัญบางอย่างได้

    เพราะฉะนั้น “การเชื่อมบุญ” นี่แหละที่จะเป็นตัวที่สามารถทำให้
    เราสามารถรู้จักกับเทวดาได้และท่านก็จะรู้จักเรา
    กระชับสายใยแห่งความผูกพันและสายในแห่งบุญทั้งบุญเก่าและ
    บุญใหม่เข้าหากัน เพื่อให้บุญนั้นมีกำลังพอที่จะส่งผล ช่วยให้พบกรรมดี
    ได้เร็วขึ้นและช่วยคลายวิบากกรรมไม่ดีได้
    ในเมื่อเรายังเป็นมนุษย์ยังอยู่ในโลกมนุษย์ ต่างภพภูมิกับท่าน
    ด้วยพลังบุญเท่านั้นที่จะทำให้มนุษย์ติดต่อสื่อสารและมีบุญที่ร่วมกัน
    กับเทวดา ยิ่งเราเป็นผู้ชอบทำบุญกุศลแล้ว

    เทวดาจะพึงพอใจมากถ้าลองพิจารณาคำสอนของท่านกุมารกัสสปะเถระ
    ที่ท่านสั่งสอนพระเจ้าปายาสิธิราชว่า“เทวดานั้นไม่ชอบมาอยู่ใกล้มนุษย์
    เพราะว่ากลิ่นสาบกิเลสที่มีในมนุษย์มีมากเกินไป ท่านจึงไม่อยากมา
    เข้าใกล้เหมือนคนที่ตกบ่อโคลนมาใหม่ๆ มาเจอกับคนที่เพิ่งอาบน้ำ
    ประแป้ง หอมๆ มาใหม่ๆ แล้วต้องมาเจอกัน”อีกเรื่องนี้ที่สำคัญมากคือ
    หากเราอยากจะรู้จักและเข้าใกล้เทวดาได้ และทำให้ท่านเข้าใกล้เราได้
    ก็ต้องทำตัวให้เป็นผู้มีบุญมากเหมือนกับเทวดาที่ต้องมีบุญมากไปด้วย
    แม้ว่าจะยังเป็นไม่ได้ในทันทีแต่อย่างน้อยก็ต้องพยายามทำให้ใกล้เคียง
    ความเป็นเทวดาให้มากที่สุด

    พอเราเป็นคนดีมีคุณธรรมที่ใกล้เคียงหรือเสมอพอกับท่าน
    ก็จะทำให้รู้จักกันได้ง่ายขึ้น หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
    แห่งวัดหินหมากเป้ง จ.หนองคาย ท่านได้กรุณามอบธรรมะ
    ข้อหนึ่งที่จะเป็นแนวทางที่ทำให้
    คนเราใกล้เคียงกับความเป็นเทวดา เรียกว่า “เทวตานุสสติ”
    คำว่า “เทวตานุสติ” หมายความว่า การระลึกถึงธรรมอันทำบุคคล
    ให้เป็นเทวดา คนเราทุกคนย่อมอยากเป็นคนดี อยากเป็นเทวดา
    หรือแม้กระทั่งเป็นไปถึงชั้นอินทร์ชั้นพรหมมีความบริสุทธิ์
    พ้นจากทุกข์ทั้งหลายไปเพื่อให้ได้เสวยแต่ความสุขเพียงอย่างเดียว
    แต่เมื่อเราได้เกิดมาได้เพียงเป็นเพียงมนุษย์ ก็ต้องทำความเข้าใจและ
    พยายามที่จะเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์ มนุษย์โดยสมบูรณ์คือ
    มีทั้งอวัยวะครบบริบูรณ์ทุกประการไม่เป็นบ้าใบ้ หูหนวก ตาบอด
    หรือเสียจริตผิดความเป็นมนุษย์ไป

    ขอให้ตั้งหลักฐานมนุษย์ที่ได้แล้วนี่ให้มั่งคงไว้ก่อนแล้วจึงค่อยนำธรรมะ
    ที่เป็นเครื่องตกแต่งให้กลายเป็นหรือใกล้เคียงกับความเป็นเทวดาต่อไป
    คำพระท่านในภาษาบาลีจึงเรียกว่า “มนุสโส” เมื่อเกิดขึ้นมาเป็น มนุสโส
    แล้วจึงค่อยพัฒนาเป็น “มนุสสะเทโว” ต่อไป ถ้าไม่เป็น “มนุสโส”
    เสียก่อนแล้ว ก็เป็น “มนุสสะเทโว” ไม่ได้

    เปรียบง่ายๆ เหมือนกับคนที่มีอาชีพต่างๆ ถ้าทำการค้าขายก็เรียก
    พ่อค้าแม่ค้า ถ้าทำไร่ทำนา ก็เรียกว่าชาวไร่ ชาวนา ถ้าทำราชการ
    ก็เรียกว่าข้าราชการ ฉะนั้น การที่เป็นเทวดาได้ ก็เพราะมีธรรม
    อันทำให้เป็นเทวดาธรรมนั้น คือ “หิริ” ความละอายแก่ใจในการทำชั่ว
    และ “โอตตัปปะ” ความเกรงกลัวต่อบาปนั่นเอง

    ธรรมะ 2 ข้อนี้ มีความสำคัญ ผู้ที่มีความละอายต่อบาปและกลัวมัน
    จะงดเว้นการทำชั่วทุกประการ เพราะระลึกได้อยู่เสมอไม่ว่าจะเป็นการ
    กระทำทางกาย ทางวาจา หรือทางใจ ก็ตาม แม้แต่เพียงคิดเฉยๆ
    ว่าจะทำความชั่วอะไรสักอย่างเพียงเล็กน้อย สมมติว่าคิดจะขโมยของเขา
    ก็ให้คิดละอายขึ้นมาในใจแล้ว ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ทำ ยังไม่มีใครรู้ใครเห็น
    แต่ว่าตัวเรารู้ตัวเองอยู่ จึงละอายต่อบาปจึงไม่กล้าทำมัน

    เท่านี้คุณก็มีคุณสมบัติเป็น “มนุสสะเทโว” หรือเป็นเทวดาในร่างมนุษย์แล้ว
    แต่ว่ามีหิริ โอตตัปปะ ที่เป็นธรรมที่ทำให้เหมือนเทวดาแล้วยังไม่พอครับ
    ขนาดเราเป็นมนุษย์เหมือนกันเห็นหน้ากันทุกวันบางทียังไม่เคยทักทาย
    หรือมีโอกาสได้ทำความรู้จักกันเลย การที่เราจะทำความรู้จักสนิทสนมกัน
    เพื่อให้ความช่วยเหลือเกื้อกูลกันในทางต่างภพนี้ต้องมี “บุญ”
    เสริมเข้าไปด้วย

    หลักการสำคัญที่จะทำให้การเชื่อมบุญกับเทวดานั้นสำเร็จ
    ตามที่เราปรารถนานั้น คือ ตัวเราเองต้องมีบุญเสียก่อน ถึงจะเชื่อมบุญได้
    การที่จะมีบุญได้มีอยู่วิธีทางเดียว คือการที่เราต้องสร้างบุญขึ้นมา
    การสร้างบุญใหญ่ๆ ในทางพระพุทธศาสนามีหลักสำคัญ
    ก็คือการบำเพ็ญบุญ 3 อย่างที่กล่าวไปแล้ว
    คือ ให้ทาน การรักษาศีล และการเจริญภาวนา
    จากวิธีการสร้างบุญดังกล่าวทั้ง 3 วิถีทางตามแนวทางหลักของ
    พระพุทธศาสนาไม่ว่าจะทำอะไรก็ได้บุญที่ยิ่งใหญ่แตกต่างกันไป

    ลองทบทวนดูครับว่าตอนนี้เราได้ประกอบคุณงามความดีพร้อม
    ที่จะเป็นผู้มีความดี มีบุญในตัวแล้วหรือยัง
    หลังจากที่ได้ทำบุญคือเป็นทั้งผู้ที่เกือบมีความดีเสมอท่านแล้ว
    รู้จักหน้าค่าตากันแล้วอย่างสุดท้ายที่ต้องทำก็คือเอาส่งไปให้
    ท่านเทวดาทั้งหลายครับ เหมือนกับเวลาที่เรารู้จักคนหนึ่ง
    คนที่คิดว่าเขาจะให้ความช่วยเหลือเราได้ เขาต้องมีอะไรดีๆ
    มากกว่า, รู้จักหน้าค่าตารู้หัวนอนปลายเท้าแล้วว่าเราเป็นใคร
    สุดท้ายก็ต้อง หยิบยื่นน้ำใจไมตรีให้เขาก่อนเขาถึงจะช่วย ดังคำกล่าวที่ว่า
    “ผู้ที่ให้จึงจะเป็นผู้ที่ได้รับ”

    การเชื่อมบุญหัวใจสำคัญก็ตรงนี้แหละครับยื่นส่งบุญให้เทวดาอย่างไร
    ก็คือการ “อุทิศ”ส่วนบุญส่วนกุศลไปให้ท่าน การอุทิศบุญกุศลนี้จะว่าไป
    ก็เป็นหนึ่งบุญและคุณงามความดีอีกอย่างหนึ่ง
    ตามหลักบุญกิริยาวัตถุ 10 ประการข้อที่ว่าด้วย “ปัตติทานมัย”
    เป็นการบอกให้ทราบและรับเอาบุญนั้นไปใช้ได้ทันที
    คุณผู้อ่านเคยได้ยินพระท่านบอกใช่หรือเปล่าครับว่าทำบุญเสร็จแล้ว
    ให้รีบอุทิศบุญให้คนอื่นไปด้วยทั้งคนทำทั้งคนรับได้เหมือนกันหมด
    เหมือนจุดเทียนไว้เล่มหนึ่งแล้วต่อเทียนกันไปคนให้บุญก็ไม่หมด
    และเป็นแสงสว่างให้คนอื่นใช้ประโยชน์ได้ด้วย

    ผู้ที่เราควรจะส่งบุญไปให้ได้ก็ได้แก่ พ่อแม่,ญาติพี่น้อง, ครูบาอาจารย์
    เหล่าเทพเทวดาและเทวดาประจำตัว เหล่าเปรตและภูตผีปิศาจ
    เจ้ากรรมนายเวร และสุดท้ายคือสัตว์โลกทั้งหลายอีกมากมาย
    ที่ไม่อาจกล่าวถึงได้หมดให้ได้รับบุญไปด้วย

    “อิทัง สัพพะเทวานัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพ เทวา”
    ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จแก่เทวดาทั้งหลายทั้งปวง
    ขอให้เทวดาทั้งหลายทั้งปวงจงมีความสุข


    ประโยคนี้แหละครับเป็นจุดสำคัญและจุดสิ้นสุดของการเชื่อม
    บุญให้เทวดาได้รับบุญนั้นไป ทีนี้ทั้งฐานะ ทั้งรูปร่างหน้าตา
    หัวนอนปลายเท้า และคุณงามความดีที่มอบส่งให้แก่กัน
    เราก็ได้ทำไปหมดแล้ว ท่านเหล่าเทวดาได้รู้จักเราแล้ว
    เวลาที่เราเกิดเรื่องราวเดือดร้อนอะไรก็ตาม ท่านก็จะมาช่วยเราได้
    อย่างแน่นอน

    เสริมตรงนี้ทิ้งท้ายไว้อีกหน่อยครับ เรื่องการส่งบุญให้เทวดาท่านนั้น
    หากคุณไม่แน่ใจว่าจิตของตนเองจะมีกำลังไม่กล้าแข็งพอ
    ก็มีอุปกรณ์เสริมในการส่งบุญไปให้ ซึ่งไม่ใช่ของหายากอะไรเลยนั่น
    คือ “น้ำ” ครับ
    การหลั่งน้ำหรือกรวดน้ำมีความหมายว่า ผลบุญที่เราส่งไปให้
    ท่านเทวดานี้จะได้ไหลติดต่อกันแบบไม่ขาดสายผู้รับก็จะรับบุญ
    ได้อย่างไม่ขาดระยะเป็นไปได้ด้วยความราบรื่นเปรียบเหมือน
    กระแสน้ำที่ไหลลงสู่มหาสมุทรที่ไม่มีวันขาดสายครับ
    ทีนี้ผลบุญก็จะส่งไปถึงเหล่าเทวดาได้เต็มๆ ไม่มีการขาดห้วงการกรวดน้ำ
    ที่ต้องใช้น้ำกรวด เพราะถือกันตามประเพณีนิยมที่ได้ปฏิบัติสืบๆ กันมาเวลา
    ที่เราทำบุญสร้างบุญแล้ว พระภิกษุท่านก็จะโมทนาบุญว่า

    “ยะถา วาริวหา ปูรา ปะริปูเรนติ สาคะรัง

    ห้วงน้ำที่เต็ม ย่อมยังมหาสมุทรสาครให้บริบูรณ์ได้ฉันใด
    เอวะเมวะ อิโต ทินนัง เปตานัง อุปะกัปปะติ
    ทานที่ท่านได้อุทิศให้แล้วแก่โลกนี้ ย่อมสำเร็จประโยชน์
    แก่ผู้ละโลกนี้ไปแล้วฉันนั้น
    อิจฉิตัง ปัตถิตัง ตุมหัง ขิปปะเมวะ สมิชฌะตุ
    ขออิฐผล
    (ผลเป็นที่พอใจ)ที่ท่านได้ปรารถนาแล้วตั้งใจแล้ว จงสำเร็จโดยพลัน
    สัพเพ ปูเรนตุ สังกัปปา จันโท ปัณณะระโส ยะถา
    ขอให้ความดำริทั้งปวงจงเต็มที่ เหมือนพระจันทร์วันเพ็ญ
    มะณี โชติระโส ยะถา
    เหมือนแก้วมณีอันสว่างไสว ควรยินดี”

    พิจารณาจากคำที่พระท่านกล่าวทุกทีที่เราทำบุญใส่บาตรหรือ
    ถวานสังฆทานหรือทำบุญใดๆ แล้วความหมายตรงกันเลยใช่หรือไม่ครับ
    คาถานี้เรียกว่า อนุโมทนารัมภะคาถาหรือว่า “บทกรวดน้ำ” นั่นเอง
    ถ้าเราเองไม่แน่ใจว่าจิตเราจะมีพลังกล้าแข็งพอจะส่งบุญให้ท่านเทวดา
    ทั้งหลายถึงหรือไม่ก็ใช้การอธิษฐานจิตพร้อมกับการกรวดน้ำไป
    ให้ท่านครับรับรองว่า บุญกุศลนั้นได้ไปถึงแน่นอน

    หลักการขอพรจากเทวดาประจำตัวให้ได้ผล
    เมื่อทำการเชื่อมบุญ ทำให้กระแสบุญผูกพันกันแล้ว เชื่อมกันแล้ว
    ในเวลาเราจะไปขอพรหรือขอความช่วยเหลือนั้น เราต้องไม่ลืมว่า
    อย่างไรก็ตามท่านก็เป็นเทวดาท่านมีภพที่อยู่สูงกว่าเราที่เราต้อง
    ไปสักการบูชาทำความเคารพ ขอโมทนาคุณความดีของตัวท่าน
    ให้ช่วยคุ้มครองและดลใจให้เราไม่เดินทางผิดและทำดีต่อไป
    ไม่ใช่การไปขอร้องให้ช่วยด้วยการ “ติดสินบน” โดยการเอาของ
    ไปเซ่นไหว้หรือล่อใจท่าน

    อย่าลืมว่าเทวดา ท่านก็เป็นภพภูมิที่ยังมีกิเลส การไปสร้างกิเลสให้
    ท่านก็นับว่าเป็นบาปอย่างหนึ่งทำให้กลายเป็นว่า ท่านจะไปสร้าง
    กรรมร่วมกับเราแทนซึ่งแน่นอนว่าเหล่าเทวดาผู้ต้องการความดี
    คงไม่ปรารถนาเช่นนั้น

    ที่สำคัญคือ หากเราเป็นคนหนึ่งที่ไปชักชวนให้ท่านเกิดกิเลส
    ให้ท่านร่วมก่อกรรมไม่ดีเพราะเอาสิ่งของไปล่อไปติดสินบน
    เราก็จะต้องพลอยรับผลกรรมไม่ดีไปด้วย คิดใหม่ว่า
    ที่ท่านช่วยให้พรและให้ความเมตตานั้นท่านไม่ได้หวังเครื่องเซ่นไหว้ใดๆ
    ท่านได้ช่วยเราด้วยความบริสุทธิ์ใจเช่นเดียวกับการที่เราบริสุทธิ์ใจ
    ไปขอท่านจะทำให้ท่านได้สร้างบุญเพิ่ม

    การขอพรนั้นเป็นสิ่งที่ดีครับและขอได้ทุกโอกาสขอได้กับเทวดาทุกองค์
    (เพราะอย่าลืมว่า ไม่มีเทวดาองค์ไหนมาคอยอยู่ประจำตัวดูแลเราตัวต่อตัว
    แน่นอน) เมื่อเรายังคงอยู่ในศีลมีบุญติดตัว มีความตั้งใจมั่นและศรัทธา
    ในความดี รับรองว่าความสำเร็จบังเกิดขึ้นกับเราแน่ๆ
    สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ ในขณะที่กำลังขอพรหรือขอความช่วยเหลือ
    นั้นสิ่งที่ขอก็ต้องเป็นเรื่องที่ดีด้วยหากจุดประสงค์ในการขอไม่บริสุทธิ์
    จิตก็จะไม่สะอาดไม่อาจก่อพลังงานที่ดีขออะไรไปก็ไม่ได้ผล
    ไม่เกิดอะไรขึ้นและท่านเทวดาก็คงไม่อำนวยผลให้เกิด เพราะถ้าท่าน
    ทำอย่างนั้นก็เท่ากับว่าท่านได้ทำบาป แล้วของที่ไม่ดีอย่างกรรมชั่ว
    และบาปนั้นไม่มีใครเขาอยากได้

    เมื่อจุดประสงค์ดี จิตใจสะอาดและสิ่งที่ขอกำลังจะเป็นผล
    ให้ลองสังเกตดูว่า ช่วงเวลาที่จิตใจสะอาดจะมีมีความกล้าแข็ง
    ทางจิตขึ้นด้วยจะมีความรู้สึกโล่งโปร่งสบาย อาจมีอาการขนลุก
    น้ำตาไหลโดยไม่รู้ตัวหรือมีแสงสว่างวาบ

    ขึ้นมาในจิตแสดงว่า เทวดาท่านรับรู้แล้วในสิ่งที่เราต้องการและ
    ท่านจะช่วยอำนวยพรให้ส่วนเรื่องจะประสบผลสำเร็จดังที่
    ตั้งใจหวังหรือไม่ ก็อยู่ที่กรรมลิขิตตามหลักของ “กฎแห่งกรรม”
    อีกทีหนึ่งครับการบูชาด้วยอามิสบูชาหรือด้วยสิ่งของต่างๆ นั้น
    คงไม่จำเป็นอะไรสำหรับเทวดาประจำตัว เพราะโดยทั่วไปแล้ว
    เทวดาทั้งหลายนั้น ท่านมีกายทิพย์ สิ่งที่ท่านใช้ในประจำวันล้วน
    เป็นของทิพย์ทั้งสิ้น

    ท่านปรารถนาบุญกุศล ที่เป็นสุดยอดของทิพย์ทั้งปวง
    ดังนั้นการบูชาด้วยสิ่งของนั้นท่านที่อยากจะทำก็ทำได้
    ไม่ได้ผิดแต่ประการใด ถือว่าเป็นแสดงความเคารพ
    ขอให้บูชาด้วยน้ำสะอาด ดอกไม้หรือเครื่องหอมก็พอจะได้
    ไม่สิ้นเปลืองอะไรมาก เทวดาท่านดูที่เจตนานะครับ
    ไม่ได้ดูด้วยสิ่งของนั้นมีราคาค่างวดหรือต้องแพงอะไร
    ขอให้บูชาท่านด้วยการปฏิบัติบูชา การทำกรรมดี อุทิศบุญไปให้ท่านทุกครั้ง
    ที่เราสร้างบุญเท่านี้ท่านจะรักและเมตตาเรายิ่งขึ้นแน่นอน

    เชื่อมั่นว่า เมื่อท่านได้รับความรู้ในเรื่อง
    การบูชาเทวดาแล้ว อย่างครบถ้วน แล้วลองนำไปปฏิบัติดู
    ชีวิตของท่านจะพบกับเรื่องดีๆ
    ที่จะมาตัวท่านนับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป


    ขอบคุณข้อมูลจาก

    http://torthammarak.wordpress.com
    เว็บบอร์ด พลังจิต

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กันยายน 2016
  2. world999

    world999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    304
    ค่าพลัง:
    +1,992
    -ขออนุโมทนาบุญ ในธรรมทานของท่านครั้งนี้ อย่างยิ่ง ดีมากๆครับกับความปรารถนาดีที่ให้โดยทั่วไป ขออนุโมทนาบุญ ด้วยใจจริงครับ สาธุ ๆ ๆ
     
  3. สายชล 127

    สายชล 127 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2010
    โพสต์:
    139
    ค่าพลัง:
    +105
    เป็นบทธรรมทานที่ดีมากๆๆๆ ค่ะอยากให้ทุกท่านได้อ่าน อนุโมทนาสาธุบุญค่ะ __/l\__
     
  4. Lilith's Daughter

    Lilith's Daughter สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2016
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +0
    ดีจริงๆ สาธุ สาธุ สาธุ
     

แชร์หน้านี้

Loading...