สู่แสงธรรม กับหลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง ตอน คนร่ำรวยมีโอกาสสร้างกุศลผลบุญ ได้มากกว่าคนจนจริงหรือไม่..?

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 25 สิงหาคม 2015.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,440
    สู่แสงธรรม กับหลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง ตอน คนร่ำรวยมีโอกาสสร้างกุศลผลบุญ ได้มากกว่าคนจนจริงหรือไม่..?

    [​IMG]

    ความที่ข้าพเจ้าเป็นคนช่างคิดก็อดที่จะคิดไม่ได้ ว่าอันคนร่ำรวยซึ่งมีตึกคฤหาสน์เป็นที่พำนัก พรั่งพร้อมไปด้วยข้าทาสบริวารคนครัว คนรถ คนสวน คอบปรนนิบัติรับใช้ จะขยับตัวทำอะไรสักหน่อยบริวารก็วิ่งพล่านแย่งยื้อทำให้หมด แต่ละห้องในบ้านก็มีเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำ

    บรรดาลูกๆ ก็ล้วนได้รับการส่งเสียให้ได้เล่าเรียนในโรงเรียนที่มีชื่อ และการไปโรงเรียนหรือกลับบ้านก็มีคนขับรถรับ-ส่งให้เสร็จ อยากจะได้อะไรก็ได้ เพราะมีเงินมีทองร่ำรวยมหาศาล ไม่ต้องวิตกทุกข์ร้อนในเรื่องใดๆ เลย และเมื่ออยากจะทำบุญก็สามารถจะควักเงินออกทำบุญครั้งละเป็นหมื่นเป็นแสนเป็นล้านได้อย่างสบายๆ

    ผิดกับคนที่จะต้องดิ้นรนขวนขวายหางานทำ พอได้ค่าจ้างมาซื้อกรอกหม้อ และกับราคาถูก ไปเพียงวันหนึ่งๆ ไหนจะต้องวิตกกังวลในเรื่องค่าเช่าบ้าน ไหนจะค่าเล่าเรียน ไหนจะดอกเบี้ยที่ไปกู้ยืมเขามา จิปาถะ มิหนำซ้ำบ้านที่อยู่ก็อุดอู้หาความสะดวกสบายใดๆ มิได้เลย และแม้เมื่ออยากจะสร้างกุศลผลบุญกับเขาบ้าง ก็คงจะทำได้เพียงครั้งละ 5 บาท 10 บาท เป็นอย่างมาก

    ดังนั้นเมื่อความแตกต่างระหว่างคนร่ำรวยกับคนจนมีมากเช่นนี้จึงทำให้ข้าพเจ้าเกิดความสงสัยขึ้นมาว่า โอกาสในการสร้างบุญกุศลของคนร่ำรวยย่อมจะมีได้มากกว่าคนจน และเมื่อเป็นเช่นนี้อีกกี่ภพกี่ชาติหากเกิดเป็นมนุษย์อีก ก็ย่อมเป็นคนร่ำรวยอีก ส่วนคนจนนั้นก็จะน่าจะต้องยากจนอยู่เช่นนั้นทุกภพทุกชาติไปซิ

    ด้วยเหตุนี้ข้าพเจ้าจึงค่อยๆ เลียบเคียงถามหลวงพ่อว่า
    “หลวงพ่อครับ บรรดาเศรษฐีมีเงินทั้งหลายนั้นมีความเป็นอยู่ที่พรั่งพร้อมมีความสุขและสะดวกสบายไปเสียทุกอยาง ผิดกับคนจนที่มีความวิตกทุกข์ร้อนทั้งในด้านการงาน,ค่าเล่าเรียนลูก,ค่าเช่าบ้าน,ดอกเบี้ยที่ไปกู้ยืมเขามาจิปาถะ ดังนั้นคนร่ำรวยซึ่งไม่มีความทุกข์ก็ย่อมได้เปรียบคนยากจนซึ่งมีความทุกข์ ในกาสร้างบุญกุศลใช่ไหมครับ?”

    “คุณรู้ได้อย่างไรว่าคนร่ำรวยไม่มีทุกข์?” หลวงพ่อย้อนถาม

    “จะมีทุกข์อะไรล่ะครับ อยู่คฤหาสน์โอ่อ่า มีเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำสิ่งอำนวยความสะดวกเพียบ จะขยับตัวทำอะไรสักหน่อยข้าทาสบริวารก็วิ่งกันพล่านยื้อแย่งทำให้หมด อยากจะได้อะไรก็ได้ เพราะมีเงินทองร่ำรวยมหาศาล” ข้าพเจ้าอธิบาย

    “เอ้อ..คุณเคยเจ็บไข้ ได้ป่วย เช่น ปวดหัว ปวดท้อง ปวดฟัน แขนหัก ขาหัก ออกหัด อีสุกอีใสอีดำอีแดง กับเขาบ้างไหม?” หลวงพ่อถามเรื่อยๆ

    “เคยซิครับ และดูเหมือนจะเป็นมาแล้วทุกอย่างที่หลวงพ่อถามนั่นแหละครับ” ข้าพเจ้าชักลังเลไม่ทราบว่าหลวงพ่อจะมาในรูปใด

    “แล้วในระหว่างที่คุณเจ็บไข้ได้ป่วยนะ คุณเป็นทุกข์ไหม?” หลวงพ่อถามต่อ

    “เป็นทุกข์สิครับ” ข้าพเจ้าตอบ

    “แล้วคนร่ำรวย เขาต้องเจ็บป่วยอย่างคุณบ้างไหมหรือว่าคนร่ำรวยไม่มีสิทธิ์เจ็บไข้ได้ป่วย?” หลวงพ่อถามเรื่อยๆ

    “ก็ต้องเจ็บไข้ได้ป่วยเหมือนกันแหละครับ แต่เขาคงมีหมอมีพยาบาลดูแลอย่างใกล้ชิด” ข้าพเจ้าตอบเสียงอ่อยๆ

    “แต่คุณอย่าลืมนะว่า คนร่ำรวยหัวไม่แข็งอย่างคนจนเจ็บนิดเจ็บหน่อยละก้อเขาเป็นทุกข์กว่าคนจนเสียอีกนะ ความเจ็บไข้บางชนิดคนจนเป็นวันสองวันก็หาย บางทีเป็นเองหายเองได้เช่นหวัด แต่ถ้าคนร่ำรวยเป็นอาจต้องฉีดยา นอนให้น้ำเกลือกันทีเดียวทุกข์กว่าคนจนอีกนะ” หลวงพ่ออธิบายแล้วย้อนถามว่า

    “แล้วคนร่ำรวยมีสิทธิ์แก่ชราหรือตายไหม?”

    “โธ่...หลวงพ่อจะมีหรือจนเกิดมาก็ต้องเจ็บ ต้องแก่ ต้องตายทุกคนแหละครับ” ข้าพเจ้าตอบตามความเป็นจริง

    “แล้วคุณว่า ความเจ็บ ความแก่ ความตายเป็นทุกข์ไหม?” หลวงพ่อถาม

    “เป็นทุกข์สิครับ แม้เพียงแค่คิดถึงก็เกิดทุกข์แล้วครับ?” ข้าพเจ้าตอบ

    “แล้วบิดา มารดา ลูก เมีย ของคุณต้องตายจากไปก็ดีหรือข้าวของเครื่องใช้ที่คุณรักใคร่หวงแหนหายไปคุณเป็นทุกข์ไหม?” หลวงพ่อถาม

    “เป็นทุกข์สิครับ มากด้วย” ข้าพเจ้าตอบ

    การพลัดพรากจากของรัก ล้วนเป็นทุกข์ทั้งสิ้นนะ ไม่ว่าคนร่ำรวยหรือคนจน หากประสบเข้าก็ล้วนทุกข์ทั้งสิ้น ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันนะความจริงแล้วคนร่ำรวยที่มีกิจการใหญ่โตเขาก็ต้องกู้เงินธนาคารมาลงทุนนะ ต้องเสียดอกเบี้ยเหมือนกัน มิหนำซ้ำจำนวนมากมายเสียด้วย ยิ่งถ้าวางแผนไว้ผิดเขาก็ต้องคิดหนัก ทุกข์หนักกว่าคนจนเสียอีก

    บางคนถึงกับฆ่าตัวตายก็มีบ้านช่องก็ถูกยึดไปก็มี ส่วนการมีข้าทาสบริวานมากน่ะ ยิ่งมากเท่าไรปัญหาก็ยิ่งมากเท่านั้นนะ และยิ่งคนร่ำรวยมีกิจการมากมายไม่มีเวลาอบรมลูก อีกทั้งลูกก็ถือว่าพ่อแม่ร่ำรวยประพฤติตนไปในทางเสื่อมเสีย ก็ยิ่งทำให้พ่อแม่ทุกข์หนักได้เช่นกัน

    ดังนั้นคนร่ำรวยก็ดี คนจนก็ดี ล้วนมีความทุกข์ด้วยกันทั้งนั้นไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบใครหรอก เป็นแต่ว่ามีทุกข์กันคนละรูปแบบเท่านั้นเองนะ” หลวงพ่ออธิบานอย่างละเอียด

    “แต่คนร่ำรวยก็ยังได้เปรียบกว่าคนจนในการทำบุญอยู่ดีแหละครับ..หลวงพ่อ เพราะคนร่ำรวยอาจทำบุญได้ครั้งละเป็นหมื่นเป็นแสนเป็นล้านได้ในขณะที่คนจนทำบุญได้ครั้งละ 5 บาท 10 บาทเท่านั้นเอง” ข้าพเจ้าติง

    “การทำบุญด้วยเงินก็ดี อาหารก็ดี เสื้อผ้าก็ดี หรือสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ ก็ดี เขาเรียกว่า “วัตถุทาน” นะ และกุศลผลบุญอันจะเกิดจากวัตถุทานนั้น หาได้วัดกันที่จำนวนเงินหรือจำนวนสิ่งของเครื่องใช้ไม่แต่เขาวัดกันที่องค์ประกอบ 3 อย่างคือ

    1. ผู้มีความเต็มใจในการให้ (ถึงพร้อมด้วยเจตนา)

    2. วัตถุทานที่ให้นั้นได้มาด้วยความบริสุทธิ์ (ถึงพร้อมด้วยไทยธรรม)

    3. ผู้รับมีความบริสุทธิ์ (ถึงพร้อมด้วยบุญเขต)

    ดังนั้นหากคนจนบริจาคเงินทำบุญเพียงแค่ 5 บาท 10 บาทแต่มีความเต็มใจในการทำบุญ อีกทั้งเงินที่ทำนั้นหามาได้อย่างสุจริตด้วยน้ำพักน้ำแรงของตนเอง ก็ย่อมได้กุศลผลบุญมากกว่าคนร่ำรวยที่บริจาคเงินเป็นหมื่น เป็นแสน หรือเป็นล้าน ด้วยเจตนาที่หวังอวดหรือแบ่งทับผู้อื่น หรือว่าเงินที่บริจาคนั้นได้มาเพราะคดโกงเขามานะ” หลวงพ่ออธิบาย ทำให้ข้าพเจ้าค่อยยิ้มออก

    “แล้วที่ว่าผู้รับบริสุทธิ์ล่ะครับ หมายความว่าอย่างไรครับ?” ข้าพเจ้าถาม

    “อ๋อ...หมายความว่า ให้ทานแก่ท่านที่เป็นอริยบุคคล เป็นเนื้อนาบุญของโลกมีอานิสงส์สูงมาก พระพุทธเจ้าท่านเปรียบเทียบไว้ดังนี้

    - ให้ทานแก่พระสกิทาคามี 1 ครั้งมีผลมากกว่าให้ทานแก่พระโสดาบัน 100 ครั้ง

    - ให้ทานแก่พระอนาคามี 1 ครั้งมีผลมากกว่าให้ทานแก่พระสกิทาคามี 100 ครั้ง

    - ให้ทานแก่พระอรหันต์ 1 ครั้งมีผลมากกว่าให้ทานแก่พระอนาคามี 100 ครั้ง

    - ให้ทานแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า 1 ครั้ง มีผลมากกว่าให้ทานแก่พระอรหันต์ 100ครั้ง

    - ให้ทานแก่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า 1 ครั้งมีผลมากกว่าให้ทานแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า 100 ครั้ง

    - ให้ทานแก่ภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข (สังฆทาน)มีผลมากกว่าถวายทานแก่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า 1 ครั้ง

    และการสร้างวิหารถวายสงฆ์ผู้มาจากจตุรทิศมีผลมากกว่าสังฆทานเข้าใจหรือยัง?” หลวงพ่ออธิบายอย่างอารมณ์ดี และเมื่อยังเห็นข้าพเจ้ายังสนใจอยู่ก็พูดต่อว่า

    “ความจริงแล้ว วัตถุทานนี้แม้ไม่มีเงินสักบาทเดียวก็ทำได้นะ”

    “ทำอย่างไรครับหลวงพ่อ?” ข้าพเจ้าถามอย่างสนใจ

    “ก็คอยโมทนาเขาไงล่ะ ใครถวายเงินแสน เงินล้าน คุณก็ยกมือไหว้กำหนดจิตโมทนาไปกับเขาด้วย เขาได้บุญเท่าไร คุณก็ได้เท่านั้นแหละดีไหมล่ะ ไม่ต้องไปอิจฉาคนร่ำรวยให้เสียเวลาจริงไหม?” หลวงพ่อตอบ

    “แบบนี้ไม่เป็นการเอาเปรียบผู้อื่นเหรอครับ?” ข้าพเจ้าถามอย่างติดใจสงสัย

    “ไม่เอาเปรียบหรอก เพราะคุณจะโมทนาหรือไม่ ก็ไม่ได้ทำความเดือดร้อนให้ผู้ทำบุญนี่ เขาก็ยังได้บุญของเขาเต็มที่อย่างเดิมนั่นแหละแต่อย่างไรก็ตาม วัตถุทานนี้ก็เป็นเพียงแค่ทานเบื้องต้นเท่านั้นนะ ยังมีทานแบบอื่นที่ไม่ต้องใช้เงินทองเลยแม้แต่บาทเดียว แต่ให้กุศลผลบุญได้สูงกว่าวัตถุทานเสียอีกนะ” หลวงพ่ออธิบาย

    “ทำทานแบบใดล่ะครับ?” ข้าพเจ้ารีบถามด้วยความสนใจ

    “อภัยทาน" อย่างไรล่ะ ใครเขาทำผิดคิดร้ายต่อคุณอย่างไร คุณก็ไม่ถือโกรธ อภัยให้เขาเสีย เหมือนที่พระพุทธเจ้าท่านให้อภัยให้แก่บรรดาผู้คนที่มุ่งร้ายต่อองค์ท่านนั่นแหละ เห็นไหมไม่ต้องเสียเงินสักบาทเดียวแต่ได้กุศลผลบุญมากกว่าบริจาคเงินเป็นจำนวนมากๆเสียด้วยซ้ำไป” หลวงพ่ออธิบายยิ้มๆ

    “แหม..หลวงพ่อครับได้บุญมากโดยไม่เสียเงินก็จริง แต่มันทำได้ยากนะครับ โดยเฉพาะผมแล้ว ผมชอบประพฤติปฏิบัติต่อผู้คนแบบเกลือจิ้มเกลือ คือดีมาก็ดีไป ร้ายมาก็ร้ายตอบ แรงมาก็แรงไป หวานมาก็หวานไป

    อะไรทำนองนี้แหละครับ มันค่อยมีชีวิตชีวาหน่อย ขืนอภัยให้บ่อยๆ คนเลวๆ เหล่านั้นก็ยิ่งได้ใจใหญ่ คิดว่าเราแหยซิครับ เคยแค่แอบลอบนินทาลอบกัดลับหลัง คราวนี้ละก็มันต้องบุกเข้ามาด่าว่าท้าทายถึงในบ้านเป็นแน่” ข้าพเจ้าให้เหตุผลไปตามที่คิด

    “อ้าว..อยากได้บุญมาก หนำซ้ำไม่ต้องเสียเงินเสียมองด้วยก็ต้องยากหน่อยซิ แต่ก็มิใช่ยากเย็นจนทำไม่ได้นะ หากคุณควบคุมสติได้แล้วคิดว่า โอ หนอ คนเลวเหล่านี้ คงรับกรรมอยู่ในนรก เปรต อสุรกาย และ สัตว์เดรัจฉาน มานานหลายภพหลายชาติแล้ว กว่าจะชดใช้กรรมชั่วหมดได้เกิดมาเป็นมนุษย์กับเขาชาติแรกได้ ก็ต้องทนทุกข์เวทนาอย่างแสนสาหัส มาหลายกัปหลายกัลป์ แม้เป็นมนุษย์แล้วความเลวร้ายความดุร้ายก็ยังติดตามมา ตามสันดานดั้งเดิมอีก

    ดังนั้นเราเองซึ่งเป็นมนุษย์ที่สร้างสมบุญบารมีมาแล้วหลายภพหลายชาติ จะใช้วิธีแบบเกลือจิ้มเกลือ คือร้ายมาก็ร้ายไป เลวมาก็เลวไปอย่างที่คุณว่าแล้ว เรามิต้องเป็นคนเลวไปเช่นเขาเหล่านั้นหรอกหรือ ต้องพยายามคิดอย่างนี้นะแล้วในที่สุดคุณจะให้ “อภัยทาน” ได้เองนะ ยิ่งถ้าคุณได้เจริญวิปัสสนาญาณด้วยแล้วการให้อภัยทานจะเป็นของง่ายมาก” หลวงพ่ออธิบาย และเมื่อยังเห็นข้าพเจ้าสนใจก็พูดต่อว่า

    “ยังมีทานที่ไม่ต้องใช้เงินทองแต่ได้กุศลผลบุญสูงกว่าอภัยทานอีกนะ”

    “ทานอะไรหรือครับ ที่สูงกว่าอภัยทาน” ข้าพเจ้าถามด้วยความอยากรู้

    “ก็.. ธรรมทาน..ยังไงล่ะ สร้างสมได้โดยช่วยชี้แนะสั่งสอนผู้คนที่ประพฤติตนหลงผิด คิดชั่วให้กลับเนื้อกลับตัวเป็นคนดี เป็นที่ยอมรับของสังคมโดยทั่วไป หรือกล่าวง่ายๆ ก็คือ ช่วยนำทางคนที่เดินทางผิดให้มาเดินถูกทางนั่นแหละ

    ธรรมทานนี้จะได้กุศลผลบุญสูงกว่าอภัยทานนะ เพราะแม้เราให้อภัยทานแก่คนที่เลวร้ายไปแล้วก็ตาม แต่เขาก็หาได้อยู่รอดปลอดภัยไม่ อาจถูกคนอื่นที่เขาไม่ให้อภัยกำจัดเสียก็ได้ แต่ถ้าเราให้ธรรมทาน จนสามารถทำให้คนเลวกลับกลายมาเป็นคนดีเสียได้ เขาจะอยู่ได้โดยรอดปลอดภัยใช่ไหม?” หลวงพ่ออธิบาย

    “ครับ..แต่แหม..มันก็ยิ่งยากกว่าให้อภัยทานเสียอีก เพราะอภัยทานนั้น เราเพียงอภัยในใจไม่ต้องไปข้องแวะกับคนเลวๆ พรรค์นั้นเขาร้ายมาเราก็เลี่ยงเสีย เขาด่าเขานินทาเราก็เอาหูทวนลมเสีย แต่ถ้าถึงขั้นต้องพาตัวเข้าไปอบรมสั่งสอนคนชั่วร้ายเช่นนั้น คงไม่ไหวหรอกครับหลวงพ่อ”ข้าพเจ้าตอบพร้อมส่ายหัวอย่างท้อแท้

    “อ้าว..ถ้าคุณยังทำใจไม่ได้ ก็ต้องรู้จักใช้อุบายสิ เช่น ถ้าคุณรู้ว่าคนเลวผู้นั้นนับถือใคร หรือเกรงใจใครและบังเอิญคุณก็รักใคร่ชอบพอกับเขา ก็ขอความร่วมมือกับเขา ฝากหนังสือธรรมะไปให้อ่านบ้างหรือให้เขาหาทางชวนไปหาพระฟังธรรมะบ้าง หรือหาทางล่อหลอกพามาหาฉันก็ได้นะ อย่างนี้คุณก็ได้ธรรมทานด้วยเช่นกัน” หลวงพ่ออธิบาย และเมื่อเห็นข้าพเจ้ายังสนใจฟังก็พูดต่อว่า

    “ยังมีวิธีสร้างกุศลผลบุญที่สูงกว่า ทานทั้งหลายโดยไม่ต้องเสียเงิน และข้องแวะกับบุคคลอื่นอีกด้วยนะ”

    “ทำอย่างไรครับ..หลวงพ่อ?” ข้าพเจ้ารีบถามอย่างกระตือรือร้น

    “ก็รักษา "ศีล" อย่างไรเล่า.. อย่างคุณรักษาแค่ศีล 5 ให้บริสุทธิ์ก็พอแล้ว ได้บุญมากกว่าการให้ทานทุกรูปแบบเสียอีกนะ และยิ่งอยากได้กุศลผลบุญมากกว่ารักษาศีลก็ต้อง เจริญภาวนาให้ได้ ฌานสมาบัติ นะ

    หากคุณสามารถทรงฌานได้ และจิตเป็นเอกัคคตารมณ์ คือมีอารมณ์เป็นหนึ่งได้แม้เพียงชั่วเสี้ยววินาที หรือแค่ช้างกระดิกหูเท่านั้นคุณจะได้กุศลผลบุญมากเสียกว่าบวชตั้งหลายพรรษาโดยมิได้เจริญภาวนาเสียอีกนะ” หลวงพ่ออธิบาย

    “เอ..ถ้ายังงั้น ผมเลือกสร้างกุศลผลบุญด้วยการเจริญภาวนาเสียเลยจะมิดีกว่าหรือครับ?” ได้บุญสูงกว่าการให้ทาน และรักษาศีลเสียอีกข้าพเจ้าและให้ข้อคิดเห็น

    “มันไม่ง่ายอย่างที่คุณคิดนะซี การขึ้นบันไดเขาต้องขึ้นทีละขั้น มิใช่กระโดดทีเดียวขึ้นไปอยู่บันไดขั้นสูงสุดเลย ดีไม่ดีตกมาแข้งขาหักนะ การให้ทานบ่อยๆ ย่อมทำให้เกิดตัวเมตตา คือ ความรักบังเกิด ตัวกรุณา คือความสงสารเกิด และเมื่อเกิดขึ้นมาแล้ว ก็ทำให้คุณเกิดความละอายที่จะผิดศีลโดยเฉพาะศีล 5

    บุคคลตัวอย่างสมัยพุทธกาล

    และเมื่อศีล 5 บริสุทธิ์ การเจริญภาวนาก็เป็นไปได้โดยง่าย มันเป็นบันได 3 ขั้นนะ จะกระโดดพรวดพราดไปเจริญภาวนาเลยมันก็ยากเย็น หากไม่มีการให้ทานและการรักษาศีลมาก่อน เสมือนหนึ่งกระโดดจากพื้นขึ้นบันไดขั้นสุดท้ายนั่นแหละ แต่ก็อาจทำได้นะ ถ้าคุณมีวิชาตัวเบาเหมือนในหนังจีน และก็เคยมีคนในสมัยพระพุทธเจ้าทำมาแล้วด้วยเหมือนกันคือ

    ท่านผู้นั้นดูถูกว่าการให้ทานเป็นกุศลผลบุญขั้นต่ำ จึงมุ่งรักษาศีลและเจริญภาวนาไปเลย ด้วยกุศลผลบุญดังกล่าวเมื่อตายไปก็เป็นผลทำให้มาเกิดเป็นมนุษย์และได้บวชในพระพุทธศาสนา เมื่อบวชใหม่ได้ออกบิณฑบาต แต่เนื่องจากท่านอาวุโสน้อยที่สุด จึงต้องเดินท้ายสุด

    ปรากฏว่าชาวบ้านที่นำอาหารมาใส่บาตร พอใส่มาถึงท่านนั้นอาหารก็หมดพอดี ทำให้พระท่านนั้นต้องนำบาตรป่าวกลับมาอาศรม และต้องอาศัยภัตตาหารจากพระรูปอื่นที่แบ่งปันให้พอได้ขบฉันบ้าง

    ในวันรุ่งขึ้น พระอุปัชฌาย์จึงสั่งให้พระท่านนั้น ออกเดินนำหน้าพระภิกษุรูปอื่นออกบิณฑบาต โดยให้เหตุผลว่าเมื่อวานนี้พระท่านนั้นเดินท้ายแถวจึงไม่ได้อาหาร ส่วนทางฝ่ายชาวบ้านที่นำอาหารมาคอยใส่บาตรกลับนัดแนะกันว่า เมื่อวานนี้พวกเราใส่บาตรจากหัวไปทางท้ายแถว ทำให้พระท่านหนึ่งซึ่งอยู่ท้ายแถวไม่ได้รับอาหารเลย ดังนั้นวันนี้เราจงใส่บาตรจากท้ายแถวไปทางหัวแถวเพื่อเป็นการชดเชยเถิด

    ด้วยเหตุนี้เมื่อพระมา ชาวบ้านก็ใส่บาตรจากท้ายแถวไปทางหัวแถว และพอใส่บาตรมาถึงพระท่านนั้นที่อยู่หัวแถวอาหารก็หมดพอดี ทำให้พระท่านนั้นต้องนำบาตรเปล่ากลับอาศรม เช่นเดียวกับวันแรกอีก

    ในวันต่อมา พระอุปัชฌาย์จึงสั่งให้ท่านนั้นออกบิณฑบาตโดยให้เดิน อยู่ในตำแหน่งกลางแถวในวันต่อไป โดยให้เหตุผลว่า คราวนี้แม้ชาวบ้านจะใส่บาตรจากหัวแถว หรือท้ายแถวมาก็ตามพระท่านนั้นย่อมต้องได้ภัตตาหารแน่ ส่วนทางฝ่ายชาวบ้านก็กลับปรึกษากันว่าสองวันแล้วนะที่เรานำอาหารมาใส่บาตร และไม่ว่าจะใส่บาตรจากหัวแถวไปหาท้ายแถว หรือใส่บาตรจากท้ายแถวย้อนไปทางหัวแถวก็ตาม มีพระภิกษุรูปหนึ่งไม่เคยได้รับอาหารเลยนะ

    อย่ากระนั้นเลยในวันรุ่นขึ้น พวกเราจงแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มเถิด คือกลุ่มหนึ่งใส่บาตรจากหัวแถวไปทางท้ายแถว และอีกกลุ่มหนึ่งใส่บาตรจากท้ายแถวไปหาหัวแถว เพราะถ้าทำวิธีนี้แล้วไม่ว่าพระท่านนั้นจะเดินบิณฑบาตอยู่หัวแถว หรือท้ายแถวก็ตามที ย่อมต้องได้ภัตตาหารจากพวกเราอย่างแน่นอน

    ดังนั้นในวันรุ่งขึ้นเมื่อพระออกบิณฑบาต ชาวบ้านก็แยกออกเป็น 2 กลุ่ม และแยกกันใส่บาตรตามวิธีการที่คิดเอาไว้ ปรากฏว่า พอถึงพระท่านนั้นที่ยืมอยู่ตรงกลาง อาหารก็หมดพอดี ทำให้พระท่านนั้นต้องนำบาตรเปล่ากลับอาศรม

    ในวันที่ 4 พระอุปัชฌาย์จึงให้พระบวชให้เข้าแถวเป็นองค์ที่สองต่อจากท่าน เมื่อชาวบ้านมาใส่บาตร เมื่อใส่องค์แรกแล้วก็ข้ามไปใส่องค์ที่สาม เนื่องจากมองไม่เห็นบาตรองค์ที่สอง พระอุปัชฌาย์จึงให้มือของท่านจับปากบาตรรพระบวชใหม่ไว้ ชาวบ้านจึงเห็นบาตรของพระองค์ที่สอง และใส่บาตรของท่านได้โดยอาศัย "ทานบารมี" ของพระอุปัชฌาย์

    เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงทราบเรื่องราวแล้วจึงได้ทรงอธิบายว่า พระท่านนั้นในอดีตชาติมิได้สร้างสมทานบารมีมาเลย ด้วยดูถูกว่า "ทานบารมี" เป็นกุศลผลบุญขั้นต่ำ จึงมุ่งแต่รักษาศีลและเจริญภาวนา

    ดังนั้นเมื่อมาเกิดในชาตินี้จึงขาดลาภและขาดแคลนในทุกสิ่งทุกอย่าง แม้แต่อาหารการกินดังที่ได้ประจักษ์แล้ว ผิดกับ "พระสีวลี" ซึ่งในอดีตสร้างทานบารมีมามาก มาในชาตินี้จึงอุดมสมบูรณ์เป็นยังไงล่ะคุณมนูญ จะเอาย่างพระท่านนั้นหรือ?” หลวงพ่ออธิบายโดยละเอียดแล้วย้อนถามข้าพเจ้า

    “เอ..หากเป็นเช่นนี้ ผมก็เห็นจะต้องรีบสร้าง "ทาน" และ "รักษาศีล" ก่อนแล้วนะครับ..!

    ท่านผู้อ่านที่รัก..พอเข้าใจแล้วใช่ไหมครับว่า ไม่ว่าท่านจะเป็นคนร่ำรวยล้นฟ้าสักเพียงไร หรือยากจนข้นแค้นสักปานไหนก็ตาม ท่านมีโอกาสที่จะสร้างกุศลผลบุญได้ไม่น้อยหน้ากันเลยนะครับ.
    ที่มา http://palungjit.org/threads/ขอเชิญร่วมบุญสร้างกำแพงแก้ววิหารหลวงพ่อโต-วัดกุฎีทอง-อยุธยา.553352/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 5 กันยายน 2015
  2. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,414
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,022
    ค่าพลัง:
    +70,063
    บารมีสิบประการ หรือ สามสิบทัศน์ มิได้มีแค่ทานบารมี

    พระท่านสอนและชี้แนะว่า คนฉลาด จะสามารถใช้ทุกอย่างทั้งในตัวและนอกตัวสร้างบารมีให้เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา แม้ยามที่ร่างกายต้องหลับพัก
     

แชร์หน้านี้

Loading...