สิบปีในสวนโมกข์

ในห้อง 'วัดและศาสนสถาน' ตั้งกระทู้โดย อาวุโสพรรคมาร, 1 กันยายน 2007.

  1. อาวุโสพรรคมาร

    อาวุโสพรรคมาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    318
    ค่าพลัง:
    +1,419
    [​IMG]ในปลายปี พ.ศ. ๒๔๗๔ ระหว่างที่ฉันยังศึกษาอยู่ในกรุงเทพฯ ได้มีการติดต่อกับ นายธรรมทาส พานิช โดยทางจดหมายอยู่เสมอ ในเรื่องเกี่ยวกับการจัดการส่งเสริมการปฏิบัติธรรม ตามความสามารถ. ในที่สุดในตอนจะสิ้นปีนั่นเอง เราได้ตกลงกันถึง เรื่องจะจัดสร้างสถานที่ส่งเสริมปฏิบัติธรรมโดยเฉพาะขึ้น สักแห่งหนึ่ง เพื่อความสะดวกแก่ ภิกษุสามเณรผู้ใคร่ในทางนี้ ซึ่งรวมทั้งตัวเองด้วย โดยหวังไปถึงว่า ข้อนั้นจะเป็นการช่วยกัน ส่งเสริมความรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนา ในยุคซึ่งเราสมมุติกันว่าเป็นกึ่งพุทธกาลส่วนหนึ่งด้วย. เมื่อไม่มีที่ใดที่เหมาะสำหรับพวกเราจะจัดทำยิ่งไปกว่าที่ไชยา เราก็ตกลงกันว่า จำเป็นที่เราจะต้องจัดสร้างที่นี่ทั้งที่ที่ไชยาไม่มีถ้ำ ไม่มีภูเขาที่งดงามตามธรรมชาติเลย และเพราะเรามีกำลังน้อย เราจะทำน้อยๆ เผื่อผู้มีกำลังมาก เห็นตัวอย่างแล้วเกิดพอใจขึ้นมา ก็จะจัดทำกันให้แพร่หลายได้สืบไป หรืออย่างน้อยที่สุด การทำของเราอาจเป็นเครื่องสะดุดตาสะกิดใจ ให้เพื่อนพุทธบริษัทเกิดสนใจในการส่งเสริมการปฏิบัติธรรม หรือรักการปฏิบัติด้วยตนเองขึ้นมาบ้างไม่มากก็น้อย. เราทำตนเป็นเพียงผู้ปลุกเร้าความสนใจ ก็นับว่าได้บุญกุศลเหลือหลายแล้ว. เมื่อตกลงกันดังนี้ ฉันก็ออกเดินทางจากกรุงเทพฯ ในตอนสิ้นปี ๒๔๗๔ นั่นเอง.


    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>บริเวณวัดตระพังจิกในปัจจุบัน เดิมเป็นป่ารกทึบ เพราะเป็นวัดร้างมานาน และที่นี่คือจุดเริ่มต้น ของสวนโมกขพลาราม</TD><TD>โบสถ์หลังนี้ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๕ มีเพียงหลังคาสังกะสีเล็กๆ พอคุ้มฝนให้พระพุทธรูป และท่านพุทธทาสก็ทำเพิงอาศัยอยู่หลังพระพุทธรูปนั้นประมาณ ๒ ปี</TD></TR></TBODY></TABLE>​


    ฉันพักอยู่ใน วัดใหม่พุมเรียง อันเป็นวัดที่เคยอยู่มาแต่แรก ราวเดือนเศษ ก็หาสถานที่ได้ ชนิดที่ในถิ่นนั้นจะหาได้ดีไปกว่านั้นไม่ได้แล้ว พวกเรากันเองที่เป็นมิตรสหาย ๔-๕ คน ช่วยกันไปจัดทำที่พัก กว่าฉันจะได้ย้ายไปอยู่ที่นั่น ก็ตกเดือนพฤษภาคม ซึ่งฉันจำได้แต่เพียงว่า ดูเหมือนจะเป็นวันที่ ๑๒, ต่อมาในเดือนมิถุนายน ประเทศไทยก็เปลี่ยนแปลงการปกครอง เพราะฉะนั้น ปฏิทินของสวนโมกข์จึงเป็นสิ่งที่จะจดจำได้ง่ายที่สุด โดยแฝงไว้ในประโยคสั้นๆ ว่า "ปีเดียวกับการเปลี่ยนแปลงการปกครอง" ข้อนี้, พวกเราถือว่ามันเป็นนิมิตแห่งการเปลี่ยนแปลงยุคใหม่ เพื่อการแก้ไขสิ่งต่างๆ ให้ดีขึ้นเท่าที่เราจะพึงทำได้

    ท่านผู้อ่านคงจะประหลาดใจบ้างก็ได้ ในเมื่อจะได้ทราบว่า การกล่าวถึงเรื่องสวนโมกข์ ในระยะ ๒ ปีแรกนั้น ก็มีแต่เรื่องเกี่ยวกับฉันเป็นส่วนมาก เพราะตลอดเวลา ๒ ปีแรกนั้น ไม่มีใครอาศัยอยู่ในสวนโมกข์เลย มีแต่ฉันอยู่คนเดียว. ยังไม่มีใครในต่างจังหวัดได้ยินชื่อสวนโมกข์ เพราะเราเพิ่งจัดออกหนังสือ พุทธสาสนา รายตรีมาศ ในปีที่สองของการตั้งสวนโมกข์ กว่าจะมีภิกษุสามเณรจากที่อื่นไปเยี่ยมสวนโมกข์บ้าง ก็ตกเข้าในปีที่สาม. ฉันจึงอยู่คนเดียวตลอดเวลา ๒ ปี ทั้งในและนอกพรรษา.

    การมีสวนโมกข์ และการไปอยู่ที่นั่นของฉันเป็นการกระทำที่บอกกล่าวกัน เฉพาะผู้มีความสนใจร่วมกัน แม้คนในถิ่นนั้นเองที่ไม่เข้าใจความมุ่งหมายอันแท้จริงก็มีเป็นจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะ ชาวไทยอิสลาม ซึ่งอยู่ใกล้สวนโมกข์ที่สุด บางคนคงจะเดาความหมายเอาเอง จึงในตอนเช้าที่ฉันออกบิณฑบาตวันแรกๆ เด็กๆ พากันวิ่งหนีและร้องบอกกันว่า "พระบ้ามาแล้วๆ" แล้วอธิบายให้ฟังกันเองว่า ฉันเป็นคนบ้าที่เขาเอาตัวมากักเพื่อรักษาที่ป่าวัดร้างนั่นให้ระวังให้ดี นานตั้งหลายเดือนจึงค่อยหมดความเข้าใจเช่นนั้นอย่างสนิท.

    เรื่องนี้ไม่เพียงแต่เป็นเรื่องน่าขบขันอย่างเดียว ยังเป็นเรื่องที่ไปพ้องกันเข้ากับเรื่องจริงส่วนใหญ่ของพวกเราอีก คือ เมื่อกิจการของคณะธรรมทานได้เผยแพร่ไปโดยทางหนังสือพิมพ์ทั่วประเทศ มีเพื่อนร่วมชาติอีกไม่น้อยเหมือนกัน ที่เข้าใจผิดคิดว่าการกระทำของพวกเราเป็นการซ่อนเร้นการหากำไรอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยเอาศาสนาเป็นโล่ก็มี ที่คิดว่าทำเพื่อเบียดเบียนผู้อื่นด้วยการเปิดเผยข้อความที่ทายกไม่ควรจะรู้ก็มารู้ จนพวกพระเณรต้องเดือดร้อนดังนี้ก็มี ที่เขียนบัตรสนเท่ห์ไปยุพระผู้ใหญ่ให้เข้าใจผิดและเกลียดชังก็มี ซึ่งท่านได้กรุณาแจ้งให้พวกเราทราบ พร้อมด้วยความรู้สึกอันจริงใจของท่าน กว่าจะเข้าใจกันได้ ก็ร่วม ๑๐ ปี แต่ทั้งนี้มิได้หมายความว่า ไม่มีผู้เข้าใจถูกมาตั้งแต่แรก ที่จริงก็มีมากจนเหลือที่เราจะเก็บจดหมายชมเชยไว้ทั้งหมดได้เหมือนกัน

    ข้อนี้ควรคิดในเรื่องที่ยอมเสียเวลานำมาเล่าสู่กันฟังนี้ อยู่ตรงที่ว่า การทำอะไรใหม่ๆ แปลกๆ ไปจากที่เขากระทำอยู่นั้น จะต้องถูกมองในแง่ร้ายบ้างส่วนหนึ่งเป็นธรรมดา ไม่ว่าผู้ทำจะมีกำลังและอิทธิพลมากหรือน้อย ถ้ามีอิทธิพลมากจะแตกต่างอยู่บ้าง ก็ตรงที่เขาไม่กล้าพูดซึ่งหน้าเท่านั้น เพราะฉะนั้น ผู้ที่คิดจะทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด ซึ่งเป็นการปฏิวัติแก้ไขหรือรื้อฟื้นทำให้ดีขึ้น ขออย่าได้ไปเอาใจใส่กับการนินทาว่าร้ายของผู้เข้าใจผิด ซึ่งโลกนี้จะต้องมีเป็นธรรมดานั้นเลย ทำไปด้วยสุจริตใจก็พอแล้ว ผลจักเกิดขึ้นเท่ากับการกระทำอันบริสุทธิ์ของตน. พวกเรารู้สึกล่วงหน้าไว้เช่นนั้นแล้วเหมือนกัน จึงไม่ได้เอาใจใส่อะไร มากไปกว่าความนึกสนุกสนานของผู้ที่ทำนายสิ่งใดไว้แล้ว สิ่งนั้นก็เกิดขึ้น เพื่อให้ตนกลายเป็นหมอดูที่ทำนายแม่นๆ เท่านั้น

    [​IMG]ที่พักครั้งแรกที่สุดนั้น เป็นเพียงโรงพื้นดินกั้นและมุงด้วยจากเล็กๆ ขนาดวางแคร่ได้ ๓-๔ แคร่ อยู่ติดกับโรงสังกะสี ซึ่งเขายกขึ้นสำหรับมุงพระพุทธรูปองค์ใหญ่องค์หนึ่งไว้ แต่ก่อนเป็นโรงเปลือยไม่มีฝากั้นสวมทับลงตรงโบสถ์เก่าเพื่อรักษาพระพุทธรูปเอาไว้ ต้นไม้ขนาดเขื่องมีเงาครึ้มได้งอกรุกล้ำเข้ามากระทั่งในแนวพัทธสีมา เนื่องจากความนานของวัดที่ร้างมาไม่น้อยกว่า ๘๐ ปี นอกจากนี้ ก็ไม่มีอะไรอีก นอกจากป่าไม้ที่แน่นทึบอยู่โดยรอบ สถานที่นี้เป็นสถานที่เมื่อฉันมาอยู่ก็ยังเป็นสถานที่กลัวเกรงของคนทั่วไป มีผู้ชายหลายคน แม้กลางวันแสกๆ คนเดียว ไม่กล้าไปที่โบสถ์นั่น เนื่องจากความเชื่อในทางผีสาง หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ต้นไม้และเถาวัลย์จึงพากันกำเริบแน่นทึบไปหมด นอกจากบ่อน้ำเก่าๆ พังมิพังแหล่ เหลืออยู่บ่อหนึ่ง ห่างจากโบสถ์ประมาณ ๕๐ เมตร พออาศัยใช้น้ำได้บ้างแล้ว ไม่มีอะไรที่จะเรียกได้ว่า มิใช่ของมีเองเป็นเองตามธรรมชาติ.

    นี่คือภาพแห่งสวนโมกข์ ในสมัย ๒ ปีแรก ซึ่งผิดกับภาพถ่ายที่เคยนำลงในหนังสือพิมพ์พุทธสาสนา หรือภาพที่ท่านจะได้เห็นในเมื่อไปเยี่ยมสวนโมกข์ด้วยตนเองในบัดนี้ อย่างที่จะเปรียบกันไม่ได้เลย. แต่ตามความเป็นจริง ฉันยังรู้สึกพอใจสภาพเป็นอยู่ของสวนโมกข์เมื่อครั้งนั้นอยู่จนกระทั่งบัดนี้ ซึ่งฉันรู้สึกชัดแก่ใจว่า มันได้ให้ประโยชน์บางประการแก่ฉัน ชนิดที่สวนโมกข์ในสภาพปัจจุบันซึ่งเตียนสะอาดมีที่พักสบาย ไม่อาจจะให้ได้เลย เรื่องนี้เป็นหลักที่จะลืมเสียมิได้ สำหรับผู้สนใจการฝึกฝนทางจิต
     
  2. อาวุโสพรรคมาร

    อาวุโสพรรคมาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    318
    ค่าพลัง:
    +1,419


    ฉะนั้น ฉันควรจะกล่าวถึงสภาพของสวนโมกข์ สมัยเริ่มแรกนี้ต่อไปอีกสักเล็กน้อย เพื่อเป็นการศึกษาสำหรับผู้ที่จะริเริ่มเป็นนักฝึกฝนเกี่ยวกับทางจิตตามควร.
    [​IMG]ความสะดุ้งหวาดเสียวชนิดใด ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเล่าไว้ในบาลีภยเภรวสูตร ม.ม. ฉันรู้สึกว่า ฉันได้เสพคบกับความหวาดเสียวชนิดเดียวกันนั้นมาแล้วอย่างมีปริมาณไม่น้อย เพราะฉันก็เช่นเดียวกับท่านผู้อ่านส่วนมาก คือมิได้ชินกับป่าด้วยการกำเนิดและเติบโตในป่า ทั้งที่ฉันได้เคยศึกษา พระบาลี ภยเภรวสูตร นั้นมาแล้ว ก่อนแต่ไปอยู่เปลี่ยวๆ คนเดียวเช่นนั้น ฉันก็ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ด้วยเหตุนั้น กี่มากน้อยเลย ข้อความตอนหนึ่งแห่งพระบาลีนั้นว่า.
    "... เสนาสนะอันสงัด คือป่าและป่าเปลี่ยว เป็นเสนาสนะยากที่จะเสพได้ ความสงัดเป็นของยากที่จะทำได้ ยากที่จะยินดีในการอยู่ผู้เดียว ป่าทั้งหลายเป็นประหนึ่งว่า ได้นำไปเสียแล้ว ซึ่งใจของภิกษุผู้ยังไม่ได้สมาธิ.."
    "พราหมณ์, ความคิดอันนี้ได้มีแก่เราว่า ถ้ากระไร ในราตรีอันกำหนดว่าเป็นวัน ๑๔,๑๕ และ ๘ ค่ำแห่งปักษ์ อารามอันถือว่าศักดิ์สิทธิ์ป่า อันถือว่าศักดิ์สิทธิ์ ต้นไม้อันถือว่าศักดิ์สิทธิ์ ที่ใดที่น่าพึงกลัวเป็นที่ชูชันแห่งโลมชาติ เราพึงอยู่ในเสนาสนะเช่นนั้นเถิด บางทีเราอาจจะจับตัวความขลาดและความกลัวได้. พราหมณ์, เราได้อยู่ในเสนาสนะเช่นนั้นและในวันอันกำหนดไว้นั้นๆ แล้ว"
    "พราหมณ์, เมื่อเราอยู่ในเสนาสนะเช่นนั้น สัตว์ป่าแอบเข้ามาหรือว่านกยูงทำกิ่งไม้แห้งให้ตกลงมา หรือว่าลมพัดหยักเยื่อกิ่งไม้ให้ตกลงมา ความตกใจกลัวได้เกิดแก่เรา โดยเข้าใจว่านั่นแล้วตัวความกลัว, ความคิดค้นได้มีแก่เราต่อไปว่า ทำไมหนอ เราจึงเป็นผู้พะวงแต่ในความหวาดกลัว ถ้าอย่างไรเราจะหักห้ามความหวาดกลัวนั้นเสีย โดยอิริยาบถที่ความหวาดกลัวนั้นๆ มาสู่เรา"
    "พราหมณ์,
    เมื่อเราเดินอยู่ ความกลัวเกิดมีมา เราก็ขืนเดินแก้ความขลาดนั้น
    ตลอดเวลานั้นเราไม่ยืน ไม่นั่ง ไม่นอน.
    ถ้าเมื่อเรายืนอยู่ ความหวาดกลัวเกิดมีมา เราก็ขืนยืนแก้ความขลาดนั้น
    ตลอดเวลานั้น เราไม่เดิน ไม่นั่ง ไม่นอน
    ถ้าเมื่อเรานั่งอยู่ ความหวาดกลัวเกิดมีมา เราก็ขืนนั่งแก้ความขลาดนั้น
    ตลอดเวลานั้น เราไม่ยืน ไม่เดิน ไม่นอน
    ถ้าเมื่อเรานอนอยู่ ความขลาดเกิดมีมา เราก็ขืนนอนแก้ความขลาดนั้น
    ตลอดเวลานั้น เราไม่เดิน ไม่ยืน ไม่นั่งเลย.."

    เพียงเท่านี้ ก็แสดงว่า การสู้รบกับความหวาดกลัวอันเป็นสัญชาตญาณของสัตว์ เป็นปัญหาอันยากเย็นเพียงไร ความคาดคะเนอยู่ในห้องเมื่อยังอยู่ที่กรุงเทพฯ ว่าฉันจะตั้งหลักของฉันเพื่อจะแก้ปัญหาเหล่านี้ๆ เช่นนั้นๆ เป็นสิ่งที่ใช้อะไรไม่ได้เลย เพราะว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดนั้น ไม่ได้อยู่ที่ หลัก อะไรมากมายนัก แต่อยู่ที่ความมากน้อยของกำลังใจ และความช้าหรือเร็วของสติ และความเคยชินหรือไม่ เป็นส่วนใหญ่.
    รสชาติของการอยู่คนเดียวในสถานที่อันสงัดและดึกสงัดนั้น เป็นสิ่งที่ไม่อาจบอกให้เข้าใจกันได้ด้วยตัวหนังสือ หรือด้วยการนึกเทียบเอาจากการที่อยู่ในที่อันเป็นธรรมดาของผู้ที่ไม่เคยไปอยู่ มีอำนาจอะไรอย่างหนึ่งซึ่งดูเหมือนว่าได้ ริบ เอากำลังใจไปเสียหมดแล้ว ตั้งแต่เมื่อเริ่มรู้สึกตนว่า ได้อยู่ผู้เดียวในที่ที่ปราศจากการคุ้มครองแต่อย่างใด ยิ่งเมื่อมีอะไรหวอ หรือ โครมคราม วูดวาดออกมา ในเวลาที่ไม่รู้สึกตัวและเพิ่งประสบเป็นครั้งแรก ย่อมเป็นการเหลือวิสัยที่จะไม่ให้เกิดการสะดุ้ง ครั้นกำลังใจค่อยเข้มแข็งขึ้น สติค่อยรวดเร็วขึ้น ความเคยชินค่อยมากขึ้น สิ่งนั้นๆ ค่อยๆ กลายเป็นธรรมดาไป.
    เพราะฉะนั้น ต้องให้เวลาอย่างน้อยสัก ๗ วัน สำหรับบทเรียนขั้นต้นนี้ เพื่อฝึกฝนการใช้หลักอย่างใดอย่างหนึ่ง จนกว่าจะได้ผลเป็นที่พอใจ.
    [​IMG]บางวันฉันเดินออกมาเพื่อไปบิณฑบาตตอนเช้า, ในเขตสวนโมกข์อันกว้างใหญ่นั่นเอง กลางทางเดินแคบๆ ระหว่างพงรกริมสระใหญ่ ฉันเคยเสียเวลายืนคอยให้นากถึกโทนตัวผู้ ที่ออกมากลิ้งเกลือกกลางพื้นทราย และยืดตัวสองขาชะเง้อดูฉันเป็นคราวๆ เสร็จธุระของมันแล้วหลีกไปเสียก่อน มันทำอาการคล้ายกับท้าทายว่า กล้าดีก็ลองเข้ามาซิ เมื่อมันยืดตัวขึ้นสูงขนาดหน้าอกเรา ในระยะเพียง ๘-๙ เมตร ฉันซึ่งเหมือนกับท่านทั้งหลาย ก็ไม่เคยประสบพบปัญหาชนิดนี้มาก่อน ทั้งอยู่ในระยะแรกของการฝึกฝนตน ให้เป็นไปตามแนวธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้าอันสูงสุด ในการที่จะทั้งไม่สู้ไม่ป้องกันตัว แต่ก็ไม่หนีและไม่กลัวไม่ถอยเช่นนี้ ท่านลองทายดูทีหรือว่า จะให้ฉันทำอย่างไรอีก นอกจากยืนคอยว่ามันจะหลีกไปเอง
    มันมีอยู่อีกอย่างหนึ่ง ซึ่งควรจะนับว่าเป็นของวิเศษมาก และเคยเป็นที่พึ่งของฉันมามากแล้วคือ ความรักในการศึกษา อยากรู้อยากทดลอง เมื่อกำลังใจและสติยังสมบูรณ์อยู่กับตัว ก็อยากลองไปเสียทั้งนั้น แม้ที่สุดแต่อยากลองให้เสือกัด งูกัด หรือให้ผีหลอก และให้ภูติหรือเปรตมาหาสนทนาปราศัยกัน. ทั้งนี้เพื่อถือเอาเป็นโอกาสสำหรับศึกษาสิ่งเหล่านั้นด้วย และทดลองกำลังน้ำใจของตนเองด้วย.
    แต่ดูเหมือนโชคไม่เคยอำนวยให้เป็นเช่นนั้นเลย ความกลัวกลายเป็นของหลอกและกลัวเปล่าๆ ซึ่งนับว่าขาดทุน สมแก่ความโง่เขลาของตัวที่ไปกลัวมันเอง ฉะนั้น ถ้าหากเราจะมีปัญญาหรือเหตุผลพอๆ แก่การรักษาตัวแล้ว เราหวังได้ก็แต่ความปลอดภัย และโอกาสแห่งการศึกษาที่ประณีตยิ่งๆ ขึ้นไปเท่านั้น
    สิ่งที่เคยกลัว กลายเป็นของธรรมดามากเข้า จนบางครั้ง กลายเป็นวัตถุแห่งความขบขัน และเราจะพบตัวเราเองว่า เปลี่ยนไปจนจะเป็นคนละคน และเมื่อเป็นไปโดยทำนองนี้มากเข้า อุปสรรคอันเกิดจากความกลัวที่คอยกีดกันความเป็นสมาธิแห่งจิตก็มีน้อยเข้า และหมดสิ้นไปในที่สุด สามารถจะนั่งอยู่คนเดียวในที่โล่งในเวลากลางคืนอันสงัด โดยปราศจากเครื่องคุ้มครองอย่างใด นอกจากจีวรที่ห่มอยู่ และมีจิตแน่วไปในการฝึกฝนได้ตามปรารถนา
    [​IMG]ฉันเคยเข้าใจว่า เราอาจพึ่งพาสิ่งคุ้มครองเช่นรั้วหรือกลดเป็นต้น ช่วยบรรเทาความหวาดระแวงเมื่อจะต้องนั่งอยู่คนเดียวในที่เปลี่ยว แต่นั่นเป็นสิ่งที่ต้องขอบอกกล่าวเพื่อนนักศึกษาไว้ทั่วๆ กันว่า ไม่น่าจะใช้เลยคือเราจะไม่ได้จิตใจอันใหม่ ที่เป็นจิตใจอันปล่อยหมด มันยังคงระแวงอยู่นั่นเอง ไม่ให้เกิดกำลังใจอันเข้มแข็งเพียงพอ พอไม่มีสิ่งเหล่านั้นเป็นเครื่องอุ่นใจ ความขลาดชนิดของคนธรรมดาก็มีมาอีก
    ในป่านั้น ในตอนเที่ยงวัน มีความสงัดตามธรรมชาติอีกครั้งหนึ่ง ดูเหมือนนกกระปูดจะมีหน้าที่เป็นผู้ให้สัญญาณระฆังพักผ่อน แล้วนกทุกตัวจับเจ่า บางตัวก็หลับเลย กระรอกอยู่นิ่งๆ ไก่ป่าก็กกแปลง สัตว์เล็กตามพื้นดินก็หลบตัวพักผ่อน เพราะเสร็จการหาอาหารมื้อเช้าบ้าง เพราะความร้อนระอุของเวลาเที่ยงวันบ้าง ความเงียบสงัดเข้ามาแทนที่ ซึ่งบางครั้งลมก็ไม่มีพัด ทำให้เกิดความสงบเงียบทำนองเดียวกับเวลาดึกสงัด ภิกษุผู้ไม่มีกังวลด้วยอาหารมื้อที่สองคือเพล ย่อมมีโอกาสหาความสุขได้ในตอนนี้อีกครั้งหนึ่งเป็นพิเศษ ในเมื่ออยู่ในป่าเช่นนั้น ซึ่งฉันถือว่าเป็นสิ่งที่น่าเสียดายมากเหมือนกัน ถ้าหากเราไม่ได้คุ้นเคยกับธรรมชาติอันนี้

     
  3. อาวุโสพรรคมาร

    อาวุโสพรรคมาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    318
    ค่าพลัง:
    +1,419
    [​IMG]แต่ในบางครั้ง เมื่อเรากำลังสงบอารมณ์กันอยู่เช่นนี้ มีเสียงกึกก้องเจี๊ยวจ๊าวดังขึ้นระงมไปหมด ซึ่งฉันเคยสังเกตรู้สึกว่า มันช่างเป็นเสียงที่แสดงให้ระวังอันตราย หรือบอกเหตุอันตรายเอาจริงๆ ทั้งนี้มิใช่เพราะสัตว์เหล่านั้นพากันตื่นจากการพักผ่อน เพราะว่านกกะปูดยังไม่ได้ส่งสัญญาณบอกเวลาบ่ายเลย แต่ว่าได้มีอันตรายมาจริงๆ คือมีนกใหญ่บางชนิดซึ่งเป็นตระกูลนกอินทรีได้ผ่านเข้ามา ตลอดเวลาที่นกพวกนี้ยังอยู่ สัตว์เหล่านั้นเป็นไม่ยอมหยุดร้อง ที่สวนโมกข์เรามีกระรอกกว่า ๔๐ ตัว และนกเล็กๆ นานาชนิดนับไม่ถ้วน ไก่ป่าฝูงใหญ่เหล่านี้ทั้งหมดช่วยกันตะเบ็งเสียงเป็นที่บอกให้รู้กันอย่างทั่วถึง ให้ระวังอันตราย ฟังดูแล้วใครๆ ก็ย่อมรู้สึกว่า เป็นเสียงขอความช่วยเหลืออยู่ชัดเจนทีเดียว ความสะดุ้งจะมีได้อีกครั้งหนึ่ง สำหรับผู้ที่ไม่เคยผ่านมาก่อน.
    ถ้าเหตุการณ์พิเศษเช่นนี้ไม่มี ก็จะเงียบสงัดไปจนถึงบ่าย จนกว่านกกะปูดจะให้สัญญาณอีกครั้งหนึ่ง การเคลื่อนไหวค่อยมีขึ้นทีละตัวสองตัว จนเป็นป่าที่ตื่นอยู่ตามปรกติ.
    เดือนหงายแจ่มคืนหนึ่ง ดึกมากแล้ว ฉันตื่นขึ้นด้วยเสียงกั๊บๆ อยู่ใกล้ๆ ค่อยๆ ลุกนั่งฟังดูแหวกผ้าบังช่องหน้าต่างมองไปตามเสียงเห็นหมูป่าสี่ตัวด้วยกัน กำลังกินอะไรอยู่ด้วยกันเป็นกลุ่ม ในระยะห่างออกไปจากที่พักเพียง ๘-๙ เมตร ไม่เป็นภาพที่น่ากลัวเลย แต่น่าดูมากกว่า และคงเป็นหมูป่านี่เอง ที่เคยกระโจนไปสนั่นป่าครั้งหนึ่งในเมื่อฉันเปิดประตูออกมาในตอนใกล้รุ่ง
    กระจงแม่ลูกอ่อน นกคุ่มแม่ลูกอ่อน ซึ่งบางทีเดินตามกันเป็นหางเหล่านี้ เป็นสิ่งที่น่าเอ็นดูมากในตอนเย็นๆ นกบางชนิดร้องเหมือนแกล้งว่ามีทั้งกลางวันและกลางคืน บางตัวก็สวยมากจนแทบไม่น่าเชื่อว่าเป็นฝีมือของธรรมชาติล้วนๆ โดยปราศจากความช่วยเหลือของพระเป็นเจ้า คืนฝนตก งูที่ชุมที่สุดก็คือ งูกะปะ ซึ่งกัดมีพิษเจ็บมากและเปื่อยลามจนนิ้วหลุดหรือหงิกงอไป และสิ่งที่ชุกชุมทุกๆ คืนก็คือยุง เหล่านี้แหละคือธรรมชาติที่ให้บทเรียนอันไม่รู้จักเบื่อ หลายอย่างหลายประการ
    [​IMG]ในตอนแรกๆ ที่จากชีวิตในหมู่บ้านไปเป็นชีวิตป่าของฉัน ทุกสิ่งทุกอย่างช่างมีอะไรให้คิดให้นึกจนเกิดความรู้สึกใหม่ๆ ขึ้นมากหลายเหลือที่จะขีดเขียนไว้หมดสิ้นได้ ภาพอันเต็มไปด้วยความหมายลึกๆ และปัญหายากๆ เหล่านี้ ธรรมชาติมีให้โดยพร้อมมูล ก็แต่เมื่อสถานที่นั้นยังมิได้ถูกดัดแปลงแก้ไขให้ผิดไปจากธรรมชาติเดิมแม้แต่น้อยเท่านั้น ครั้นสวนโมกข์ถูกดัดแปลงแก้ไขมาเรื่อยๆ ทุกๆ ปี หลายปีเข้าก็หย่าขาดกันกับธรรมชาติบางประการ ที่เคยให้บทเรียนอันแสบเผ็ด จนในบัดนี้ นับว่าส่วนมากที่สุดก็ให้แต่ความเยือกเย็นสบายเท่านั้น ไม่สู้มีบทเรียนอันกระทบความคิดนึกตรึกตรองเท่าใดนัก ในการที่จะศึกษาจากธรรมชาติแท้ๆ เพราะเรามีบทเรียนจากการศึกษาเล่าเรียนอย่างอื่นมาแทนที่มากเข้า
    กลางคืนทุกสิ่งทุกอย่างพากันหลับจริงหรือ ? ข้อนี้ไม่มีความจริงเลยแม้แต่น้อย จากการศึกษาด้วยธรรมชาตินั่นเอง เราจะรู้สึกว่า กลางคืน เสียอีกเป็นเวลาที่โลกตื่นที่สุด แต่ว่าเป็นความตื่นอย่างประณีตเหลือเกิน
    เมื่อจะมองดูกันในแง่ของสัตว์นานาชนิด ก็พบว่า มีสัตว์ที่ตื่นและทำงานไม่น้อยกว่ากลางวัน วิ่งว่อนเอาจริงเอาจังไม่น้อยกว่ากลางวัน เว้นเสียแต่มนุษย์ของโลก และสัตว์บางประเภทเท่านั้น ที่ดูเหมือนว่าหลับเอาเสียจริงๆ ส่วนมนุษย์ของธรรม นั้น กลางคืนเป็นเวลาที่ตื่นที่สุด เพราะว่ากลางวันความรู้สึกของจิตมักจะถูกริบไปเสียในด้านต่างๆ จนแทบจะหมดสิ้น ด้วยสิ่งอันรบกวน หรือยากที่จะดิ่งลงสู่อารมณ์อันสงัด ครั้นตกถึงกลางคืน ความว่างได้มีขึ้นอย่างสดชื่น ความแจ่มใสของจิตแหลมคมยิ่งกว่ากลางวัน ในภายในจึงรุ่งเรืองไปด้วยความสว่างไสวของการมองเห็นสิ่งที่สว่างบางสิ่ง เป็นจิตที่ตื่นอยู่อย่างสดชื่นยิ่งนัก แม้จะหลับก็หลับชนิดที่ตื่นอยู่ทุกเมื่อ พร้อมที่จะรู้สึกสิ่งทั้งหลายตรงตามที่เป็นจริงอยู่เสมอไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ครั้นตกถึงกลางวันมีเรื่องที่จะทำ มีแขกที่จะต้องต้อนรับมีผู้อื่นที่จะต้องช่วยเหลือสงเคราะห์ ความเหน็ดเหนื่อยนั้นได้ ทำให้มีความมึนชาอ่อนเพลียไป จนมืดมัวคล้ายกับความหลับ ซึ่งผิดกับความแจ่มใสอันจะมีได้ในตอนที่ดึกสงัดล่วงไปแล้ว
    ด้วยเหตุนี้ ฉันจึงเห็นว่า กลางคืนนั้น ธรรม ไม่ได้หลับไปอย่างโลกเลย ช่างตรงกันข้าม เหมือนลักษณะอื่นๆ ที่ตรงกันข้ามระหว่างธรรมกับโลกนั้นเหมือนกัน สัตว์เล็กๆ บางชนิดเสียอีกตื่นอยู่อย่างแจ่มใส โดยเฉพาะปลวก กลางคืนว่องไวรวดเร็ว ยิ่งกว่ากลางวันเป็นอันมาก แต่มันจะเป็นสัตว์ของธรรมด้วยหรืออย่างไรนั้น ไม่ทราบ. แต่มนุษย์ของโลกนั้นเป็นที่แน่นอนอย่างหนึ่งว่า ในเวลากลางวันนั้นไม่ได้ตื่นอยู่ด้วยธรรมแล้ว ซ้ำกลางคืนก็ยังไม่ตื่น ยิ่งขึ้นไปอีกด้วย ด้วยเหตุนี้เองกระมัง โลกจึงไร้สันติภาพอันถาวร ชนิดที่เรากำลังเรียกร้องหา
    การอยู่คนเดียว ไม่มีอะไรจะดีไปกว่าใช้เวลาในการฝึกฝน บทเรียนของการตื่น และการควบคุมการตื่นของตนให้นิ่มนวล จนอาจคล้อยตามความต้องการของตนได้ทุกเมื่อ.
    เมื่อการอยู่ป่าคนเดียวของผู้ใด ลงร่องลงรอยเป็นปรกติ จิตย่อมผันแปรไป มีลักษณะง่ายแก่การเป็นสมาธิตั้งครึ่งตั้งค่อนเสียแล้ว และมีสมาธิประเภทที่เป็นของเล่นสนุกของเด็ก อีกเหลือหลายที่จะหาได้ง่ายๆ เพราะความเป็นของง่ายแก่การเป็นสมาธิของจิตนั่นเอง, ปลาเล็กๆ มาตอมวนเวียนกันอยู่เป็นกลุ่มในวงสีเหลืองอ่อนของฝาบาตรทองเหลือง ที่ใส่ข้าวสุกทิ้งลงวางไว้ในน้ำตื้นๆ ให้มันกิน. ด้วยการเพ่งดูเล่นๆ เพียงชั่วประเดี๋ยว ก็สามารถที่ติดตาไปเพ่งดูเล่นได้ตลอดหลายๆ คืน มีการขยายเป็นภาพเล็กภาพใหญ่ที่เคลื่อนไหว เป็นของราวกะว่ามีจิตใจเช่นเดียวกัน ซึ่งฉันสมัครเรียกว่า "สมาธิเล่นสนุกของเด็ก" แต่ก็เป็นทำนองเดียวกับสมาธิจริงของผู้ใหญ่อยู่หลายประการ ผิดกันก็แต่ถือเอาของเล่นๆ ตามธรรมชาติใกล้ๆ และนอกแบบแผนเช่นนั้นเป็นอารมณ์สำหรับลองเล่นดูเท่านั้น ถ้าหากถือเอาอาการเช่นนี้เป็นของเล่นอยู่เสมอ ไม่นานนักของที่ยากก็จะลดลงมาหาเป็นของที่ง่ายขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ.
    การอยู่คนเดียว แม้ในทางปริยัติหรือค่อนไปทางปริยัติ ก็ยังเป็นที่แน่นอนว่า เป็นผลดียิ่งเหมือนกัน การอ่านข้อความในพระไตรปิฎก ส่วนมากที่กรุงเทพฯ ได้รสชาติจับใจน้อยกว่าในที่สงัดในป่าตั้ง ๔-๕ เท่าตัว และฉันอาจกล่าวได้ว่า เฉพาะบางเรื่องอ่านในที่แออัดจะไม่ได้เรื่องจนใช้ประโยชน์ไม่ได้เลยก็มีไม่น้อย.
    การขบข้อความบางอย่าง หรือส่วนมากที่สุดทำในป่าขบได้เป็นคุ้งเป็นแควติดต่อกันเป็นสาย การเขียนก็รู้สึกว่ามีชีวิตจิตใจยิ่งกว่ากัน แต่จะเป็นของเฉพาะคนหรือไม่นั้น เราจะต้องค่อยสังเกตกันสืบไป.
    เมื่อพูดถึงเรื่องรสใหม่ๆ แปลกๆ ในทางจิตแล้ว เป็นอันเชื่อได้ว่า เราจะหาจากที่ที่อยู่กันแออัดอย่างในกรุงเทพฯ นั้นไม่ได้โดยแน่นอน แม้ที่สุดแต่ดินฟ้าอากาศ ก็ยังไม่อำนวยเสียเลย เพราะบรรยากาศของความยัดเยียดและตลบอบอวลไปด้วยกระแสจิตอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งแตกต่างกันอย่างตรงกันข้ามทีเดียว.
    ฉะนั้น เรื่องสถานที่จึงเป็นเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งเหมือนกัน และทั้งนี้เป็นเรื่องที่จะต้องศึกษาจากธรรมชาติโดยตรง ซึ่งฉันได้กล่าวแล้วข้างต้นว่า เป็นเรื่องที่มีแต่ในเมื่อเราจัด การเป็นอยู่ให้ใกล้ชิดธรรมชาติให้มากที่สุดเท่านั้น และฉันเคยผ่านมา เมื่อตอนแรกๆ ของการจัดสวนโมกข์ขึ้น ซึ่งต่อไปข้างหน้า เราจะถือเป็นหลักอันหนึ่ง สำหรับจัดสถานที่แห่งใหม่ๆ ให้ใกล้ชิดธรรมชาติที่สุดอยู่ได้ตลอดกาลนาน โดยแยกเรื่องอันเกี่ยวกับหนังสือ การโฆษณา หรือการรับแขกออกไปเสียให้เด็ดขาดจากสถานที่เช่นนี้
    เมื่อพูดถึงสิ่งของหรือทรัพย์สมบัติ นั่นก็เป็นเรื่องหนึ่งที่ต้องศึกษา ในขั้นแรกของการอยู่ที่นี่ ฉันมีทรัพย์สมบัติแต่เพียงบาตร ๑ ใบ มีฝาทองเหลืองชนิดตักน้ำได้ กับถังตักน้ำเล็กๆ จากบ่อน้ำใบหนึ่ง และจีวรเท่าที่จำเป็นจะต้องมีเท่านั้น กับมีตะเกียงน้ำมันมะพร้าวทำด้วยแก้วที่ใช้ดื่มน้ำดวงหนึ่ง จุดที่หน้าพระพุทธรูปเป็นประจำ จะไปไหนเมื่อไรก็ได้ ไม่ต้องปิดประตู ไม่ต้องใส่กุญแจ ไม่ต้องสั่งเสียใคร เพราะมีคนเดียว จะกลับมาเมื่อไรเวลาไหน ก็ไม่มีห่วงโดยทุกๆ ทาง ไม่มีอะไรที่จะต้องดูแลระวังรักษา, ไม่มีเรื่องที่จะต้องรับผิดชอบอย่างใดกะใคร, รู้สึกว่ามีตัวเพียงตัวน้อยๆ และเป็นอิสระเหมือนนก ความคิดนึกเกลี้ยงเกลา ไม่คิดนึกอะไรเลยก็ได้ มีแต่ความเบาสบายซึ่งยากที่จะบอก. และทำความพอใจให้เสมอไม่มีเบื่อ เหมือนดื่มน้ำที่จืดสนิทดี. นับตั้งแต่เกิดมาเท่าที่จำได้ ไม่เคยมีความเบาสบายเหมือนไม่มีเนื้อมีตัวเหมือนเมื่อมาอยู่ตามแบบนี้เลย.
     
  4. อาวุโสพรรคมาร

    อาวุโสพรรคมาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    318
    ค่าพลัง:
    +1,419
    ความพอใจในความเป็นเช่นนี้ที่เกิดขึ้น มีมากพอที่จะหักห้ามความกังวลถึงอนาคต เชื่อแน่ในตัวเองว่า ตัวอาจหาความสุขหรือความพอใจให้แก่ตัวเองได้โดยไม่ต้องเกี่ยวข้องกับใคร มีความคิดอุตรีไปถึงว่า สามารถจะมีชีวิตอยูในโลกนี้คนเดียวก็ได้ หรืออยู่ได้โดยไม่ต้องติดต่อกับใคร เช่นเดียวกับพวกที่อยู่หิมาลัยนั้นเหมือนกัน
    [​IMG]ครั้นต่อมามีทรัพย์สมบัติเพิ่มขึ้น เมื่อคิดออกหนังสือพิมพ์ พุทธสาสนา ทำให้ต้องมีกระดาษ ดินสอ และหนังสือบางเล่ม ความรู้สึกในใจก็กระทบกันเป็นคราวๆ บางทีหนังสือนั้นยืมเขา จะไปไหนต้องเก็บ ต้องปิดหีบ ปิดประตู กระทั่งใส่กุญแจทิ้งไว้ กลับมายังเรียบร้อยดีอยู่ก็เบาใจ มีคราวหนึ่งไปธุระค้างคืน กลับมาทันขณะที่ปลวกขึ้นมาพอถึงกองหนังสือพอดี. หนังสือเหล่านั้นเป็นพระไตรปิฎกบางเล่มที่ขอยืมมาจากวัดแห่งหนึ่ง ซึ่งเวลานั้นยังไม่มีของคณะธรรมทานเอง ถ้าปลวกกัดกินทำให้ของเขาชำรุดไป จะเป็นเรื่องยุ่งไม่น้อย และสมน้ำหน้าที่อุตริเป็นพระบ้าน ในเมื่อตนมีความเป็นอยู่อย่างพระป่า
    เหล่านี้คือเรื่องที่ความคิดสองฝ่ายกระทบกันบ่อย จนบางครั้งจะเลิกล้มความคิดที่จะทำการเกี่ยวกับหนังสืออีกต่อไป. ในที่สุดความคิดทั้งสองฝ่ายก็รู้จักประนีประนอมกันไปเอง อันผลแห่งการประนีประนอมนั้น เนื่องมาจากการที่เคยพบความเป็นอยู่ที่เบาสบาย เพราะไม่มีทรัพย์สมบัติอะไรนั้นอีกด้วยเหมือนกัน แม้ว่าความเป็นอยู่ที่ไร้สิ่งของ จะทำให้พบความเบาสบายชนิดใหม่ขึ้นก็ตาม แต่ก็เป็นความรู้อีกอันหนึ่งที่ทำให้รู้ว่า สิ่งนั้นเกิดมาจากการเสียสละและไม่ยึดถือ
    [​IMG]ความไม่ยึดถือนั้น นอกจากจะเกิดจากการไม่มีอะไรจะยึดถือแล้ว ยังเกิดมาจากการที่เราไม่ยึดถืออีกส่วนหนึ่งด้วย แม้จะมีอะไรเป็นสมบัติของตนอยู่ก็ตาม ฉะนั้น การที่จะมีอะไรบ้าง เท่าที่จำเป็นแก่การที่จะบำเพ็ญประโยชน์ผู้อื่นให้กว้างขวางออกไป โดยตนไม่ต้องยึดถือไว้เป็นเครื่องหนักใจนั้น จะเป็นสิ่งที่ทำได้หรือไม่ เป็นเรื่องที่น่าลองดู
    เมื่อความคิดซึ่งเป็นเหมือนการท้าพนันเกิดขึ้นเช่นนี้ ความกล้าและความสนุกในการที่จะรับภาระหรือรับผิดชอบบางสิ่งบางอย่าง ซึ่งเป็นการผูกมัดอยู่บ้างก็เกิดขึ้นมาเอง เมื่อความคิดอีกฝ่ายหนึ่งเสนอขึ้นมาว่า ไม่ยอมเสียสละความสุขที่ได้พบใหม่ๆ นั้น อีกฝ่ายหนึ่งก็หาทางประนีประนอม โดยจะไม่ให้เสียไปทั้งสองฝ่าย ในที่สุด ก็ปรากฏว่า มันรู้จักเอาไว้ได้ทั้งสองสถาน ก็เพราะความที่เคยหยั่งรู้ถึงรสของการสละหมดในเบื้องต้นมาแล้ว เป็นความรู้อันสำคัญ รู้จักปล่อยวางสิ่งนั้นๆ ในคราวที่มันจะต้องเพิ่มเข้ามาใหม่ ไม่เหมือนกับครั้งที่ยังไม่เคยพบการสละมาก่อนซึ่งรู้จักแต่จะยึดถืออย่างเดียว.
    แต่อย่างไรก็ตาม ความจริงยังคงมีอยู่ว่า การไม่ข้องแวะกับการทำประโยชน์ผู้อื่นเสียเลยนั้น มีความสุขมากกว่า หรือจะเป็นเพราะมนุษย์เรา มีหนี้ธรรมชาติอย่างหนึ่งอย่างใดติดตัวมา เช่นเราเองกว่าที่จะมาเป็นได้อย่างนี้ ก็ต้องเนื่องจากการเสียสละของคนชั้นก่อนๆ ที่ไม่เห็นแก่ตัวฝ่ายเดียวมาแล้วเหมือนกัน มนุษย์เราจึงกล้าเสียสละประโยชน์สุขของตนเพื่อประโยชน์สุขของผู้อื่นบ้าง เป็นธรรมชาติในใจ.
    เพราะฉะนั้น การบำเพ็ญประโยชน์ผู้อื่นโดยไม่เสียประโยชน์ตนไปมากนัก จะทำกันอย่างไรนั้น เป็นปัญหาที่ต้องพยายามแก้ และฉันขอตอบด้วยการกล้ารับรองในที่นี้ว่า ไม่มีทางอื่นใดดีไปกว่าการหลีกออกไปบำเพ็ญชีวิตสันโดษ ไร้ทรัพย์สมบัติโดยประการทั้งปวงเสียสักคราวหนึ่งก่อน ซึ่งในที่สุดจะพบคำตอบพร้อมทั้งได้สมรรถภาพแห่งจิต ชนิดที่จะปฏิบัติงานอันแสนยากนั้นได้ดีจริงๆ
    ผู้สมัครจะศึกษาอบรมในทางจิต จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องผ่านสิ่งนี้มาด้วยสติ สัมปชัญญะ และการคอยสังเกตกำหนดอันประณีตให้มากที่สุดที่จะมากได้ เพราะว่าความรู้ที่ได้มาจากการเคยผ่านมาทางจิตใจของตนเอง กับความรู้ที่คาดคะเนเอาตามหลักเกณฑ์ในตำรานั้น ยังไกลกันอยู่ไม่น้อย เพราะฉะนั้น ขอเตือนเพื่อนนักศึกษาที่กำลังทำบทเรียนขั้นนี้ด้วยกันว่า เรื่องอันเกี่ยวกับการมีทรัพย์สมบัติหรือไม่มีนี้ เป็นเรื่องที่จะต้องผ่านไปให้ดีที่สุด คือให้ละเอียดละออที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในการออกฝึกฝนทดลองของตน
    เพราะมีงานทางหนังสือและหนังสือพิมพ์ เกิดขึ้น เพราะมีแขกทั้งที่เป็นบรรพชิตและฆราวาสเพิ่มขึ้น ความเป็นอยู่ในสวนโมกข์ก็เปลี่ยนไปจากการเป็นอยู่สำหรับคนโดดเดี่ยว มาเป็นการเป็นอยู่อย่างหลายคนหรือเกี่ยวข้องกับคนหลายคน
    [​IMG]ในที่สุด ทำให้ต้องสร้างกระต๊อบสำหรับพระเณรมาใหม่ และกระต๊อบทำงานหนังสือที่อาจวางใจเรื่องปลวกหรือขโมย, มีเครื่องใช้สอยสำหรับหลายคน ทั้งยามปรกติและยามเจ็บไข้ มีทีรับแขกและมีการร่วมมือบางสิ่งบางอย่างกับวัดวาอารามอื่นๆ ความเป็นอยู่และกฏเกณฑ์ต่างๆ ก็ต้องเปลี่ยนแปลงไป หรือต้องตั้งเพิ่มขึ้นใหม่ให้เหมาะสมแก่เหตุการณ์ที่ค่อยเปลี่ยนแปลงมา และที่สำคัญที่สุดก็คือ เมื่อหาสมาชิก การปฏิบัติธรรมตามอุดมคติของพวกเราจากที่อื่นๆ ไม่ค่อยจะได้ ก็เป็นเหตุให้ต้องสร้างสรรค์ขึ้นเอง ด้วยการอบรมพระเณรชุดที่เล็กๆ ลงไปอีก ขึ้นในสถานที่นี้พร้อมๆ กันไป ทั้งสองทาง เพื่อการงานอันสมบูรณ์ และทันสมัยในอนาคต อันนี้ทำให้มีเรื่องหรือภาระเพิ่มขึ้นอีกส่วนหนึ่ง และมีระเบียบการเป็นอยู่อีกแบบหนึ่ง ซึ่งค่อยๆ สอนให้รู้ใหม่ๆ ขึ้นอีกว่า ต่อไปจะต้องทำกันอย่างไร จึงจะเรียบร้อย ราบรื่นไปด้วยดี.
    รวมความว่า การจัดตั้งสำนักส่งเสริมการปฏิบัติธรรมแก่ผู้ปฏิบัติธรรมนั้น ย่อมมีวิธีการโดยเฉพาะของมันเอง เช่นเดียวกับกิจการอย่างอื่น ซึ่งก็มีวิธีการเฉพาะอีกอย่างหนึ่ง ฉันใดก็ฉันนั้น
    [​IMG]พวกเราดำเนินกิจการอันนี้ ในฐานะเป็นของใหม่ และไม่เคยเห็นตัวอย่างที่แน่นอนมาก่อน จึงเป็นการศึกษาทดลองเต็มที่ พร้อมกันไปในตัว มีทั้งงานที่ทำส่วนตัวและทั้งงานเผยแพร่เพื่อผู้อื่น ที่เป็นการสื่อสารเพื่อการแลกเปลี่ยนความรู้ หรือให้ความรู้โดยตรงด้วยอีกส่วนหนึ่ง ตามมาภายหลัง ในตอนแรกที่ยังไม่เป็นรูปเป็นร่างชัดเจน ยังแยกกันไม่ออก ก็มีหลายอย่างที่รวมอยู่ในสวนโมกข์ ซึ่งต่อมาได้แยกกันเด็ดขาด กับสำนักงานคณะธรรมทาน และหอสมุดธรรมทาน ซึ่งตั้งอยู่ในที่อีกแห่งหนึ่งที่ตำบลตลาด คนละตำบลกะตำบลพุมเรียง อันเป็นที่ตั้งของสวนโมกข์มาแต่เดิม และห้องธรรมทานสมัยแรกๆ
    ข้อนี้ควรจะเป็นที่สังเกตของท่านที่มีความสนใจในเรื่องนี้บางท่านไว้ด้วยว่า ถ้าจะมีการจัดตั้งองค์การส่งเสริมและเผยแพร่การปฏิบัติธรรมขึ้นใหม่ในที่ใด ควรจัดรูปงานแบ่งแยกกันไปเด็ดขาด และมีเจ้าหน้าที่ให้เพียงพอแก่แผนกของงานไปตั้งแต่ต้นทีเดียว จะได้ผลรวดเร็วทันใจ
     
  5. อาวุโสพรรคมาร

    อาวุโสพรรคมาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    318
    ค่าพลัง:
    +1,419
    ในปีที่สาม ฉันเริ่มมีเพื่อนที่อยู่ร่วมจำพรรษาด้วยหนึ่งรูป เป็นสองรูปด้วยกัน สำหรับภิกษุรูปนี้ ฉันนึกว่า มีข้อความบางอย่างที่ควรเขียนไว้เป็นที่ระลึก ชื่อ ใหม่ ฉายา สาสนปโชโต นามสกุล ทุมสท้าน เป็นชาวภาคอีสาน จังหวัดชัยภูมิ อยู่ด้วยกันเรื่อยๆ มาหลายปี จนป่วยและกลับไปมรณภาพที่บ้าน เมื่อมาอยู่สวนโมกข์ ได้เดินเท้ามาตลอดทาง มีความเข้มแข็งอดทนผิดคนธรรมดา ซื่อตรง เปิดเผย เหมาะสมแก่การเป็นนักปฏิบัติธรรมทุกประการ ไม่เป็นเปรียญ ไม่เป็นนักธรรมเอก แต่ฉันรับเอาไว้เป็นพิเศษด้วยความเลื่อมใส และปรากฏว่า ทุกคนก็เลื่อมใส และทำให้ฉันเข้าใจได้ดีในข้อที่ว่า พวกที่รอบรู้กระทั่งจบพระไตรปิฎกในกาลก่อนๆ กลับมาเลื่อมใสในพระบางรูปที่ไม่มีความรู้ปริยัติเลยนั้น หมายความว่าอย่างไรกัน คนพวกนี้มึนชาต่ออารมณ์ สม่ำเสมอ ตรงและจริงทุกประการ เมื่อมีภูมิทางปริยัติน้อยก็ขยันศึกษาไต่ถาม อดทนต่อคำสั่งสอน นานเข้ารู้อะไรที่ต้องการอย่างพอตัวเหมือนกัน สงบเสงี่ยมไม่พูดหรือพูดน้อย เทศน์ไม่เป็น แต่น่าฟังมากที่สุด ยิ่งอยู่ด้วยกันนาน ยิ่งเห็นว่ามีศีลเป็นที่ไว้ใจ ซึ่งทำให้นึกว่าคุณธรรมชนิดนี้ เป็นสิ่งที่เพียงพอแล้ว แม้สำหรับที่จะให้เทวดาบูชา
    ฉันเองรู้สึกว่า มีคนชนิดนี้เพียงคนเดียวก็พอแล้วสำหรับสวนโมกข์ ที่จะมีนามว่าเป็นสำนักปฏิบัติธรรม ทำให้นึกต่อไปว่า เป็นโชคดีมากที่พอมีเพื่อนเป็นคนแรก ก็เป็นที่พอใจถึงเพียงนี้ และนึกต่อมาในตอนหลังว่า การที่มีกฏจำกัดรับเฉพาะผู้ที่เป็นเปรียญและนักธรรมเอกนั้น คงไม่ให้ผลสมตามตั้งใจเสียแล้ว แต่ก็จนใจที่ไม่รู้จะทำอย่างไร เลยถือเป็นหลักกันขึ้นใหม่ว่า ฉันมีสิทธิ์ที่จะรับบุคคลพิเศษเป็นส่วนตัว ต่างหากจากคณะธรรมทานอีกส่วนหนึ่งด้วย
    ในเรื่องนี้ ท่านที่สนใจในการจัดตั้งสำนักปฏิบัติธรรมเช่นนี้ คงยินดีฟังไว้สำหรับเป็นเครื่องมือพิจารณาในการวางกฏเกณฑ์บางอย่าง เพราะว่าไม่วางหรือไม่มีหลักเสียเลยก็ไม่ได้ หรือวางผิดก็ไม่ได้อีกเหมือนกัน
    [​IMG]ข้อสังเกตที่อยากจะแนะนำไว้อย่างหนึ่งก็คือว่า ข้อที่ท่านกล่าวไว้ว่า ต้องอยู่ร่วมกันนานๆ จึงจะรู้ว่าเขาเป็นคนดีหรือไม่นั้น เป็นความจริงยิ่งนัก และอันนี้เอง เป็นความยุ่งยากลำบากสำหรับการวางกฏเกณฑ์และการตัดสินใจว่า ควรรับไว้เป็นพิเศษหรือไม่ ฉะนั้น ถ้าทำได้และเป็นทางดีที่สุด ก็จงเลือกรับแต่ผู้ที่เคยพบเคยเห็นกันมานานแล้ว หรือเป็นศิษย์ที่เติบโตขึ้นมาในสำนักของตนเอง หรือของเพื่อนฝูง ที่ไว้ใจได้ในความคิดความเห็น รวบรวมเอามาฝึกฝนให้เป็นเวลานานๆ จะเป็นวิธีที่เบาสบายที่สุด และทั้งการอบรมจิตใจตามแบบนี้ ก็เป็นเวลานานปีหรือตลอดชีวิต เพราะฉะนั้น ไม่เป็นการจำเป็นที่จะรับกันเรื่อย เมื่อมีจำนวนเต็มแก่เสนาสนะแล้ว หยุดรับเสียจะดีกว่า หรือถ้าไม่ต้องการบุญกุศลอันกว้างขวาง ฉันขอแนะนำว่า มีเพื่อนดีๆ สัก ๓-๔ คน ก็พอแล้ว สำหรับที่จะหาความสุขกันไปจนตาย ไม่ต้องเปิดรับใครที่ไหน.
    ในปีต่อๆ มา มีภิกษุและสามเณรมาขออยู่อาศัยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ คราวละรูปสองรูป บางปีถึงอยู่จำพรรษากันตั้ง ๑๐ รูปก็มีในตอนหลัง บางรูปที่มารู้สึกว่า ท่านได้รับผลเป็นที่พอใจ เป็นกัลยาณมิตรที่ดี มีบางรูปตรงกันข้าม กลับออกไปป่าวข่าวอกุศล ในฝ่ายหนึ่งที่พอใจนั้น มีสาระสำคัญตรงที่มีการวางระดับสิ่งต่างๆ ไว้ในใจออกจะตรงๆ กัน เช่น เมื่อมีปัญหาว่า
    เท่าไร เรียกว่า สันโดษ หรือ เลี้ยงง่าย
    ก็มีความเห็นตรงกันว่า เท่านี้เรียกว่า เลี้ยงง่าย หรือกินอยู่อย่างต่ำ แต่บางพวกเห็นว่า เท่านั้นแร้นแค้นรุนแรงไป จนเป็นอัตตกิลมถานุโยค
    ในบางเรื่อง เช่นมีปัญหาว่า ภิกษุสามเณรประเภทนี้ควรทำอะไรได้บ้าง? บางพวกเห็นว่าทำวัตรสวดมนต์ก็ไม่ควร อ่านหนังสือพิมพ์ก็ไม่ได้ ซึ่งเมื่อพวกก่อนทำเช่นนั้นอยู่ ก็ยกขึ้นเป็นข้อรังเกียจ บางพวกก็ถือเคร่งไปในทางตามตัวหนังสือ เช่น น้ำ แม้จะสะอาดอยู่แล้วอย่างไร ก็ยังจะต้องกรองกันอีกด้วยผ้ากรอง จนน้ำนั้นกลับสกปรกไปด้วยอำนาจผ้ากรอง ซึ่งมีไว้สักว่าตามธรรมเนียมนั้นเสียอีก เพราะเชื่อว่า ตัวสัตว์ชนิดที่ดูด้วยตาไม่เห็นนั้น ผ้ากรองบางๆ จะกรองเอาไว้ได้ ถ้าใครเกิดไม่ทำดังนี้ขึ้นมาสักคนหนึ่ง ก็ตั้งข้อรังเกียจ ส่วนพวกที่ตรงกันข้าม ก็ชักจะคิดว่า พวกหนึ่งครึไป แต่ก็มีอีกพวกหนึ่ง ซึ่งเป็นส่วนมาก เอาใจใส่แต่เรื่องของตัว เห็นการที่ถือยิ่งหย่อนกว่ากันบ้างนั้น เป็นของส่วนตัวไม่รังเกียจฝ่ายไหนทั้งหมด เป็นมิตรกับทุกฝ่าย ซึ่งนับได้ว่าเป็น นักปฏิบัติธรรมแท้
    สำหรับในเรื่องนี้ มีข้อที่ควรสังเกตไว้ด้วยอย่างหนึ่งว่า ในบรรดาผู้อ้างตัวเองเป็นนักปฏิบัติธรรมนั้น มีคนประเภทที่เรียกว่า จิตไม่สมประกอบรวมอยู่ด้วย นี้ยิ่งไปกันใหญ่ เป็นปัญหาที่แก้ยาก
    การมีสถานกลางเปิดรับอาคันตุกะจากทุกทิศนั้น มีอะไรที่แตกต่างจากสำนัก หรือวัดที่ตั้งอยู่เป็นหลักแหล่ง มีขอบเขตจำกัดนั้นมากนัก ในสถานกลางเช่นนี้ จะมีอาคันตุกะชนิดต่างๆ แทบครบทุกชนิด แม้จะไม่อยู่เลย เพียงแต่มาพักชั่วคราว เพื่อมาดูมาเยี่ยม ก็มีอะไรทำให้เป็นปัญหาเกิดขึ้นได้ สิ่งใดที่แปลกไปจากสิ่งที่ตนทำหรือถืออยู่ เป็นของใช้ไม่ได้ หรือขบขันแล้ว คนนั้นจะลำบากที่สุด ฉันสังเกตเห็นว่า เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ช่วยอะไรไม่ได้เสียจริงๆ เช่น อาคันตุกะบางคนจะฉันอาหาร ต้องยกบาตรขึ้นวางบนที่สูง แล้วลงนั่งยองๆ ประนมมือข้างล่าง ว่าอะไรพึมพำเสียครู่หนึ่งแล้วจึงนำมาฉัน พวกที่ไม่เคยทำดังนั้นก็อดขัน หรืออดขยิบตากันไม่ได้ ซึ่งที่จริงก็น่าขันสำหรับผู้ที่ไม่เคยทำเคยเห็นอยู่บ้างเหมือนกัน แม้ในตอนหลังจะได้รับคำอธิบายว่า ที่ทำดังนั้น เพื่อเป็นการบูชาถวายพระพุทธเจ้าเสียก่อน และเป็นการขอบคุณพระองค์ในการที่แผ่บารมี ทำเหล่าสาวกให้มีอาหารฉันไม่ขาดแคลน ซึ่งพิจารณาดูก็เป็นการกระทำที่ดีและมีเหตุผลอยู่ ส่วนมากก็ยังสั่นเศียร ไม่รับถือลัทธินี้ซึ่งฉันเชื่อว่าเป็นลัทธิที่ถือกันแต่เพียงบางถิ่น พวกที่ถือเคร่ง ก็หาว่าพวกที่ไม่ถือนั้น ไม่รู้จักคุณของพระพุทธเจ้า พวกที่ไม่ถือก็มีคำตอบว่า เขามีวิธีอย่างอื่นที่จะขอบคุณพระพุทธเจ้า และเขารู้สึกว่าทำอย่างนั้นคล้ายกับเซ่นผี หรือเซ่นวิญญาณพระพุทธเจ้า นี้เป็นเพียงตัวอย่างบางอย่างที่จะได้พบเห็นทำนองเดียวกันอีกหลายอย่าง ในสถานที่อันเป็นสถานที่อันเป็นสถานกลาง เป็นที่มาพักของอาคันตุกะแทบทุกชนิด
    [​IMG]พระเณรที่อ้างตัวเองเป็นนักปฏิบัติธรรมหรือบำเพ็ญสมณธรรมนั้น เมื่อฟังดูแต่ชื่อน่าจะเป็นอย่างเดียวกันหมด แต่ความจริงกลับมีเป็นชนิดๆ ที่แตกต่างกัน ยิ่งไปกว่าพระคันถธุระตามวัดในบ้านในเมืองเสียอีก เพราะเหตุว่า มีพระนักปฏิบัติธรรมบางพวกที่ไม่เคยเรียนปริยัติเสียเลย มีสำนักหลักแหล่งเป็นหย่อมน้อยๆ ต่างคนต่างทำของตนได้ตามพอใจหรือความเห็นของตนหรือของอาจารย์ที่สอนสืบๆ กันมา เมื่อไม่มีปริยัติซึ่งเป็นเสมือนเส้นกลางหรือกรุยทางเป็นแนวสังเกตอยู่ ความคิดเห็นก็แตกแยกกันไปคนละทางสองทาง จนมีบางพวกไม่ยอมเชื่อว่า ปริยัตินั้นเป็นมูลฐานของการปฏิบัติไปก็มี เมื่อนักปฏิบัติพวกนี้โดยเฉพาะคือพวกที่เห็นว่าปริยัติเป็นข้าศึกกับปฏิบัติ เดินดุ่มๆ ไปห่างเส้นกลางมากเข้า ความรู้สึกที่เห็นว่า ฝ่ายหนึ่งฝ่ายผิดหรือใช้ไม่ได้ ก็เกิดขึ้นในระหว่างพวกนี้กับพวกอื่นเป็นธรรมดา และโดยเฉพาะก็คือระหว่างพระป่ากับพระบ้าน ซึ่งไม่ค่อยมีโอกาสทำความเข้าใจกันเสียเลย
    ฉันมีความเห็นว่า ในสถานที่กลางนั่นเอง ถ้าหากมีการจัดให้ดี อาจกลายเป็นสถานที่ที่ชำระสะสางความขุ่นข้องหมองมัวในระหว่างลัทธิต่างๆ ที่แตกแยกกันอยู่ ให้เกิดความเข้าใจต่อกันและกันได้ เพราะตามที่สังเกตเห็น เมื่อยกเอาพวกที่เจตนาเดิมไม่ดีออกไปเสียให้หมดแล้ว ส่วนมากก็ล้วนแต่หวังดี หวังบุญกุศลด้วยกันทั้งนั้น แม้จะถือลัทธิบางอย่างแตกต่างกันอยู่อย่างไม่เข้ารอยกัน ก็อาจปรองดองกันได้ โดยให้เห็นเสียว่า เรื่องเล็กๆ น้อยๆ นั้นเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ จริงๆ และเป็นเรื่องส่วนตัวด้วย เมื่อคนอื่นเขาไม่ถือ ก็ไม่ควรยกเอาเป็นข้อรังเกียจ ในเมื่อส่วนใหญ่หรือส่วนสำคัญของเขายังถูกต้องดีอยู่
    การที่ถือมั่นในลัทธิเกินไป อาจทำให้ลืมตัว ยึดถือลัทธิเล็กๆ น้อยๆ เหล่านั้นขึ้นเป็นสำคัญกว่าธรรมวินัยไปก็ได้ เช่น ลืมความสามัคคีอันเป็นรากฐานอันสำคัญของหมู่คณะ หรือทำให้ขาดประโยชน์ อันตนจะพึงได้รับจากการคบหาสมาคมกับเพื่อนพรหมจรรย์ทั่วๆ ไป
    เมื่อในวงศาสนาของตนเองก็ยังสมาคมกันไม่สำเร็จเช่นนี้แล้ว จะสมาคมกับพวกอื่นที่เป็นคนละศาสนาได้อย่างไรเล่า สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ซึ่งควรจะมีหูตายาว ก็จะมากลายเป็นคนหูตาสั้นได้ยินได้ฟังน้อยไป
     
  6. อาวุโสพรรคมาร

    อาวุโสพรรคมาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    318
    ค่าพลัง:
    +1,419


    เพราะเหตุนี้เอง เมื่อฟังดูทั่วๆ ไปแต่ผู้ที่มาจากทิศต่างๆ ฟังได้อย่างหนึ่งว่า สำนักปฏิบัติธรรมต่างๆ นั้น มักมีอะไรยึดถือเป็นลัทธิอย่างหนึ่งประจำสำนักของตนคล้ายกับเป็นเครื่องหมาย หรือยี่ห้อเฉพาะของสำนักเสมอ ความที่อยากจะให้เห็นว่าดีหรือสูงกว่าสำนักอื่น เป็นเหตุให้คิดหาอะไรที่แปลกจากสำนักอื่นยึดไว้ ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง
    ครั้นสำนักมีมากเข้า ข้อที่หยิบขึ้นถือให้เคร่งไว้เป็นเครื่องเชิดหน้าชูตา ก็มีมากชนิดเข้า และเกิดความรู้สึกในทำนองท้าทายแข่งขันกัน อันเป็นทางให้กลมเกลียวกันยาก ถ้าการแข่งขันนั้น ต่างฝ่ายมีสาระสำคัญที่บำเพ็ญประโยชน์สายใหญ่อย่างใดอย่างหนึ่ง ไปตามความถนัดชำนาญของตัวก็ดีมาก แต่ถ้าเป็นไปเพียงเพื่อลัทธิเล็กๆ น้อยๆ ที่มีไว้สำหรับอวดเคร่งต่อกันแล้ว บาปก็จะตกอยู่แก่พระศาสนา ซึ่งเป็นของส่วนรวม และฉันเข้าใจว่า เหตุอันนี้เองที่ทำให้มาตรฐานของการปฏิบัติในทางจิตของสำนักปฏิบัติแทบทั้งหมดชะงักอยู่ ไม่เขยิบสูงขึ้นไปได้ ซึ่งเป็นเหตุให้ฐานะหรือเกียรติของงานประเภทนี้ยังมืดมัวสลัวอยู่ร่ำไป
    สถานที่ที่เป็นสำนักปฏิบัติธรรม ควรจะเป็นสำนักซึ่งมีหน้าที่กวาดล้างสนิมหรือเสี้ยนหนามเหล่านี้ พร้อมกันไปกับการเผยแพร่ธรรมชั้นสูงของพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยการทำตนให้เป็นตัวอย่างให้ดูจริงๆ ในที่สุด ก็กลายเป็นสถานที่ที่ให้ผลตอบแทนแก่การลงทุนอย่างสมค่า น่าชื่นใจยิ่งกว่าการลงทุนจัดสร้างสถานที่อย่างอื่นเป็นแน่.
    ผู้อยู่ในสถานที่เช่นนั้น ในส่วนตัวจะต้องขยันคิดนึกศึกษา ในส่วนการสมาคม ต้องมีใจกว้างพอที่จะไม่รังเกียจผู้ที่มีอะไรไม่ลงรอยกับตน และในส่วนการสั่งสอนผู้อื่น ก็พยายามทำตามความสามารถ บริสุทธิ์ตรงไปตรงมาจริงๆ โดยไม่เห็นแก่ของตอบแทน
    เมื่อเป็นเช่นนี้ การปฏิบัติธรรมก็ก้าวหน้า และศาสนาจะรุ่งเรืองโดยไม่ต้องสิ้นเปลืองอะไรของมหาชนหรือชาติประเทศมากมายนัก และในที่สุด สถานปฏิบัติธรรมก็จะเป็นสถานที่นิดๆ ใช้เงินน้อยๆ เป็นอยู่ต่ำๆ ปอนๆ แต่ว่าผลน่าชื่นใจยิ่งกว่าสถานที่ชนิดอื่นที่ตรงกันข้ามมากมายหลายเท่า เหลือที่จะเปรียบกันได้โดยแท้
    ข้อที่ความหวังอันนี้ หวังได้ยากอยู่ในบัดนี้ ฉันเห็นว่า ส่วนใหญ่เนื่องจากงานประเภทนี้มองดูยาก เข้าใจไม่ได้ง่ายสำหรับคนทั่วไป ที่จะร่วมมือส่งเสริมหรือแม้ที่สุด วงการที่ทรงอำนาจของคณะสงฆ์ ก็ยังไม่ได้จัดการส่งเสริม หรือควบคุมให้เป็นล่ำเป็นสัน คงปล่อยให้เป็นเรื่องส่วนตัวบุคคลทำกันไปตามความสมัครใจ
    และที่ร้ายไปกว่านั้น วงการที่ทรงอำนาจบางแห่งกลับเข้าใจไปเสียว่า การทำเช่นนั้นเป็นการทำของบุคคลผู้ตัดช่องน้อยแต่พอตัว หรือผู้ปรารถนานิพพานนั้น เป็นผู้เอาเปรียบผู้อื่นไปก็มี ซึ่งเป็นเหตุอันหนึ่งที่ทำให้กิจการแผนกนี้ได้รับความสนใจพินิจพิจารณาของมหาชน น้อยไปกว่าควร อันได้ทำให้พระศาสนาของเราเว้าๆ แหว่งๆ ไปในบางสิ่งอวบนูนอุ่นหนาฝาคั่งเกินต้องการไปในบางส่วน ซึ่งข้อนั้น ย่อมบ่งถึงความที่ศาสนาของเรายังทำหน้าที่หลั่งไหลอมฤต ให้แก่ชาติประเทศของเราได้ไม่เต็มที่นั่นเอง
    [​IMG]ข้อที่วงการอันทรงอำนาจยังไม่มีหลักการส่งเสริม หรือให้เกียรติแก่งานประเภทนี้โดยเฉพาะงานประเภทนี้ ต้องตกเป็นงานส่วนตัวของผู้ที่เผอิญได้ขอบงานประเภทนี้เอาจริงๆ ซึ่งนานจึงจะมีผู้คงแก่เรียนสักคนหนึ่ง ลูบคลำงานประเภทนี้ไปอย่างเงียบๆ ให้เป็นที่สะดุดตาสะกิดใจของนักศึกษาหนุ่มๆ ที่เรียนปริยัติเสร็จมาใหม่ๆ ซึ่งส่วนมากย่อมจะหันไปทางด้านการบริหารการปกครองหมู่คณะ อันเป็นทางที่จะนำไปสู่เกียรติยศลาภผลเห็นอยู่อย่างชัดเจน แทนที่จะปรารถนานิพพาน หรือลองหันมาปฏิบัติธรรมชั้นสูงอย่างเคร่งครัดดูสักพักหนึ่ง ก่อนแต่จะหันไปจับงาน ที่เป็นการบำเพ็ญประโยชน์แก่โลกอย่างกว้างขวาง ด้วยใจที่กว้างขวางหรือสูงมาแล้วจริงๆ
    เพราะมูลเหตุสำคัญดังกล่าวมา จึงทำให้บุคคลผู้มีวิญญาณแห่งการรักปฏิบัติน้อยตัว เมื่อมีน้อยตัว ก็เป็นธรรมดาอยู่เองที่ผู้ที่จะก้าวไปได้ย่อมน้อยไปกว่านั้นอีก หรืออาจถึงกับไม่มีเสียก็ได้ เพราะฉะนั้น สำนักปฏิบัติธรรมต่างๆ ที่ใครจัดขึ้น หรือกำลังจะจัดขึ้นก็ตาม ถ้าปรากฏว่า หานักปฏิบัติได้น้อยเกินไป หรือไม่ได้เสียเลย ก็ไม่ควรประหลาดใจหรือเสียใจ, อย่างน้อยที่สุด การที่มีสถานที่ว่างๆ ไว้ ก็เป็นเครื่องมืออันหนึ่งที่เร้าใจให้นักศึกษาหนุ่มผู้กล้าหาญ เกิดความกล้าขึ้นในวันหนึ่ง และเป็นเครื่องกันลืมพระศาสนาในด้านนี้ ได้เป็นอย่างดี ถ้ายังเป็นสำนักที่อุ่นหนาฝาคั่งไปด้วยนักปฏิบัติไม่ได้ ก็เป็นเพียงสำนักที่นัดพบของนักคิดอิสระหรือผู้ที่กำลังเตรียมตัวเพื่อเป็นนักปฏิบัติไปพลาง ก็ได้ผลคุ้มกันเหลือหลาย หรืออย่างน้อยที่สุด ก็เป็นสถานที่นักพบเพื่อศึกษาเป็นครั้งคราวของผู้ใฝ่ฝันในความสงบได้ดี ซึ่งก็มีผลมากเหมือนกัน
    เมื่อได้กล่าวถึงจำนวนภิกษุสามเณรผู้มาอาศัยในสวนโมกข์แล้ว ควรจะกล่าวถึงแขกผู้มาเยี่ยมเยือนเสียด้วย.
    แขกที่เป็นบรรพชิต ผู้มากไปด้วยความกรุณาอารี อันเราจะลืมเสียมิได้นั้น มีอยู่มากด้วยกัน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ ท่านเจ้าพระคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ญาณวโร เจริญ) วัดเทพศิรินทราวาส ประธานสังฆสภาปัจจุบัน อันท่านผู้อ่านจะหารายละเอียดได้จากหนังสือพิมพ์พุทธสาสนาปีที่ ๕ เล่ม ๒
    และที่เป็นฆราวาส โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระยาลัดพลีธรรมประคัลภ์ ประธานกรรมการศาลฎีกาในปัจจุบัน ซึ่งนอกจากได้ให้ความช่วยเหลือทั่วๆ ไป ในกิจการของคณะธรรมทานแล้ว ยังได้ช่วยเหลือฉันเป็นพิเศษเป็นส่วนตัว ในการที่ฉันจะต้องบำรุงและให้การศึกษาแก่ภิกษุสามเณรชุดพิเศษอีกชุดหนึ่ง ซึ่งทำให้กิจการอันนี้ดำเนินมาได้ราบรื่นตลอดมา
    ในบรรดาแขกเหล่านี้ บางคนก็มาพักเพียงวันสองวัน หรืออย่างมากก็อาทิตย์หนึ่ง เว้นแต่แขกบรรพชิตอีกพวกหนึ่ง ซึ่งมีเวลามากพอที่จะพักได้ตั้งเดือนสองเดือน เพื่อหาความผาสุกตามที่ตนพอใจ และแลกเปลี่ยนความรู้แก่กันและกันกับเพื่อนที่ไม่เคยสมาคมกัน โดยประมาณเมื่อเฉลี่ยแล้ว เรามีแขกประเภทที่ว่านี้ประมาณปีละ ๔-๕ คน ซึ่งฉันเห็นว่าเป็นจำนวนมาก
    แขกทั้งหมดนี้ เชื่อว่า ส่วนมากได้รับความพอใจ เพราะมีการมาซ้ำๆ กันก็มี จะมาซ้ำอีกในวันหน้าก็มี แต่ก็เชื่อได้บ้างเหมือนกันว่า คงจะมีจำนวนสัก ๒-๓ เปอร์เซ็นต์ที่ไม่ได้รับความพอใจ เนื่องจากไม่เห็นพ้องในวิธีการ นับตั้งแต่บ้านเมืองได้รับความกระทบกระเทือนเนื่องจากสงครามเป็นต้นมา สวนโมกข์เกือบจะกล่าวได้ว่าไม่มีแขกเลย โดยเฉพาะแขกฆราวาส ได้รับข่าวแต่ว่า ไม่มีเวลามา ทั้งที่อยากมาอยู่เสมอ นึกดูก็น่าเห็นใจกันโดยทั่วๆ ไป
    เมื่อกล่าวถึงจำนวนผู้อยู่อาศัยแล้ว จะได้เล่าถึงการกินอยู่ต่อไป การขบฉันของภิกษุสามเณรนั้นอาศัยเฉพาะของที่ได้มาจากการบิณฑบาตโดยตรง คือได้มาทั้งข้าวและกับข้าว พอสบายสำหรับผู้ต้องการจะเป็นอยู่ง่ายๆ ตลอดเวลา ๑๐ ปี เว้นแต่ปีสุดท้ายนี้ มีผู้มาจัดอาหารพิเศษส่งไปวันละสิ่ง โดยเห็นว่าดีกว่าที่จะไม่ทำอย่างนั้น
    [​IMG]เพื่อความสะดวกและเป็นการเคารพต่อการฝึกฝนตัว เราได้ฉันในภาชนะง่ายๆ ภาชนะเดียวตลอดมา ที่เรียกภาชนะเดียวนั้นหมายถึง ใส่ข้าวลงในภาชนะใบหนึ่ง แล้วเกลี่ยกับลงไปข้างบนเท่าที่ต้องการ โดยแบ่งออกมาจากส่วนรวมเท่าที่ได้มาในวันหนึ่งๆ แล้วก็ไปนั่งฉันตามสบาย บางคนและบางสมัยก็ใช้บาตรนั่นเองเป็นภาชนะ แต่บางคนและบางสมัยก็ใช้ภาชนะอื่นที่สะดวกกว่า เพราะบาตรไม่เหมาะที่จะใช้เช่นนั้นมากด้วยบาตรสมัยนี้ ไม่ได้ทำให้ปากกว้างเป็นรูปขันน้ำอย่างบาตรครั้งพุทธกาล และล้างให้หมดกลิ่นยากกว่าภาชนะอื่น เช่นอ่างกะละมัง เป็นต้น ทำให้เสียเวลามากในการรักษาความสะอาด ถ้าจะดำเนินการฉันแบบง่ายๆ กันตลอดชีวิต ใช้ภาชนะอื่นดีกว่า เช่น อ่างกะละมังขนาดกลางใบเดียวก็พอ เมื่อเล็งถึงใจความแล้ว ก็ไม่เป็นการมักมากอย่างใด ในการที่จะใช้ภาชนะเช่นนี้แทนบาตร ยังเป็นการธุดงค์หรือการขูดเกลาเต็มที่อยู่นั่นเอง
    การฉันเช่นนี้ ยังมีผู้เข้าใจกันแปลกๆ เช่น เข้าใจว่าต้องคลุกหรือขยำจนเข้าเป็นเนื้อเดียวกันจึงจะถูกต้องตามแบบแผน นี้ก็มี แต่นั่นเป็นความคิดเห็นและความพอใจส่วนตัว หรือถึงกับเป็นเหตุผลเฉพาะตัวเฉพาะคนบางคน ที่อยากจะวัดกำลังใจของตนเท่านั้น
    การฉันแบบนี้ เราใช้กันตั้งแต่แรกเริ่มจนกระทั่งบัดนี้ ทั้งที่สวนโมกข์ ที่หอสมุดธรรมทาน และที่สวนโมกข ์(บน) อันจัดสร้างขึ้นใหม่เมื่อปีกลาย
    เวลาฉันนั้น เราฉันกันแต่เช้าเท่าที่จะทำได้ ผู้สมัครจะฉันหนเดียวก็ฉันเพียงหนเดียว แต่ผู้ที่บางคราวต้องทำงานออกแรงทางกาย เช่น เกี่ยวกับการจัดสร้างสถานที่ หรือสามเณรรุ่นเล็ก จะฉันเพลด้วยก็ได้ ในเมื่อมีเหตุผลอันสมควร ฉันอาหารตามธรรมดา ตามที่ทายกจะให้ ถ้าใครต้องการจะเว้นอาหารบางอย่างหรือทดลองการฉันแบบพิเศษออกไป ต้องหาโอกาสทำเป็นพิเศษ และเป็นได้เพียงครั้งคราว

     
  7. อาวุโสพรรคมาร

    อาวุโสพรรคมาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    318
    ค่าพลัง:
    +1,419
    ฉันเคยลองฉันแต่ผลไม้บางสมัย รู้สึกว่าเป็นสิ่งที่สบายและแปลก ถึงกับอยากจะขอร้องว่า ใครก็ตาม ควรผ่านการทำเช่นนี้ดูบ้าง อย่างน้อยสักคราวหนึ่ง เนื้อตัวเย็นสบาย ไม่มีกลิ่นตัว สีและกลิ่นของอุจจาระ ไม่เป็นที่น่ารังเกียจเลย เหล่านี้เมื่อคิดดูแล้ว เป็นอุปกรณ์แก่การอยู่อย่างสงบเย็น ดีกว่าที่มันจะเป็นอย่างธรรมดา เสียอยู่ก็แต่ว่า ในบางถิ่นไม่มีผลไม้พอให้ความสะดวกได้เท่านั้น ส่วนการฉันแต่ผักหรือเผือกมันนั้น ยากกว่าการฉันแต่ผลไม้มาก และในตอนแรกๆ ร่างกายเปลี่ยนแปลงไม่ค่อยทัน เช่นไฟธาตุหรือน้ำย่อยอาหาร เปลี่ยนอย่างสูงให้พอเหมาะกันไม่ค่อยทัน ไม่เหมือนผลไม้
    แต่อย่างไรก็ตาม การฉันแต่ผลไม้หรือผักนั้น ไม่สะดวกเป็นพิเศษอีกอย่างหนึ่ง คือต้องกินบ่อยกว่าธรรมดา มิฉะนั้นจะหิวในตอนกลางคืน การฉันแต่ผลไม้นั้น ฉันไม่ได้ปริมาณมากเท่าฉันข้าว แล้วยังย่อยเร็วซึ่งทำให้หิวเร็วอีกด้วย
    ฉันสังเกตเห็นอีกอย่างหนึ่งว่า ในระยะที่ฉันอาหารแบบนี้ ประสาททางตา ทางหู และทางจมูก จะไวกว่าธรรมดาหลายเท่านัก ใบไม้มีกลิ่นเช่นใบโหระพา ยืนห่างต้น ๒-๓ วา ก็ได้กลิ่น ซึ่งตามธรรมดา เราจะได้กลิ่นต่อเมื่อได้ทำให้ใบช้ำ โดยวิธีใดวิธีหนึ่งและดมดู ดอกไม้ต่างๆ หอมมาก จนบางอย่างฉุนหรือทนไม่ได้ ซึ่งตามธรรมดาจะไม่เป็นเช่นนั้นเลย สิ่งเหล่านี้ ฉันยังทราบไม่ได้แน่นอนเหมือนกันว่า เป็นด้วยอำนาจอาหารนั้นๆ โดยตรง หรือเป็นเพราะเหตุอื่นอันเนื่องจากอาหารนั้น ซึ่งเราอาจจะทำให้เกิดขึ้นได้อย่างเดียวกันโดยวิธีอื่น ส่วนประสาททางลิ้นนั้น แม้จะไม่ทวีความไวมากเท่าทางตา หู จมูก แต่ก็ได้เพิ่มความไวยิ่งกว่าธรรมดาด้วยเหมือนกัน
    เหตุนั้น ฉันจึงเห็นว่าเป็นของที่ควรลองดูเล่นสำหรับทุกคน และทดลองให้มีระเบียบที่ดี จึงจะพบผลอย่างน้อยก็เป็นการศึกษา แต่อย่างไรก็ตาม เราต้องไม่ลืมว่า เมื่อจิตใจสงบเป็นสมาธิ หรือกำลังสดชื่น เยือกเย็นไม่ว่าจะเป็นมาได้จากวิธีใด ประสาทเหล่านี้ก็ไวกว่าธรรมดาอยู่ส่วนหนึ่งแล้ว
    ผลไม้ที่ดี คือ กล้วย มะละกอ น้อยหน่า และอื่นๆ ที่คล้ายกัน การใช้ผลไม้เป็นอาหารนั้น นำให้เกิดผลทางจิตในส่วนที่ได้ให้ความรู้แต่ว่าเป็นอาหาร ไม่มีของคาวของหวาน ไม่มีการกินจริงหรือกินเล่น เป็นของว่างเหล่านี้เป็นต้น ไม่มีเรื่องเกี่ยวกับการทำดีหรือไม่ดี ชนิดที่จะไปบ่นเอากับคนทำ มันจึงเป็นแบบอันหนึ่งของการขูดเกลาทั้งหลาย
    เมื่อได้พูดถึงอาหารแล้ว อยากจะกล่าวถึงน้ำเสียด้วย น้ำนั้นเป็นสิ่งที่ผู้จะตั้งบ้านเรือนได้หยิบยกขึ้น เป็นปัญหาสำคัญอันหนึ่ง ฉันใด มันก็ได้เป็นปัญหาอันสำคัญของสถานที่อันเป็นสำนักฝึกฝนการปฏิบัติธรรมฉันนั้น และบางทีจะยิ่งกว่าไปเสียอีก
    พวกเราหลีกเลี่ยงไม่ให้มีเรื่องมาก ไม่จำเป็นจริงๆแล้ว ก็ไม่ยอมมีสิ่งนั้นสิ่งนี้ อันจะทำให้เกิดภาระมากขึ้น ทั้งในด้านทุนรอน การแสวงหาและเสียเวลาการใช้การทำ ถ้าเรามีน้ำดี เรื่องหลายเรื่องจะน้อยเข้า แต่ได้รับความผาสุกสบายเต็มตามที่ต้องการ น้ำที่ไม่ดี บริโภคเป็นนิจจะทำอันตรายแก่ร่างกาย ซักผ้าให้สะอาดไม่ได้โดยไม่ต้องใช้สบู่ อาบก็ไม่ทำความเยือกเย็นแต่กลับจะทำความรู้สึกขยะแขยงให้เกิดขึ้น และอาจเป็นโรคผิวหนังบางอย่าง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำความหมดเปลืองและภาระยุ่งยากให้เกิดขึ้น
    น้ำที่สวนโมกข์จืดและสะอาดดี แต่น้ำที่หอสมุดเต็มทีมาก เมื่อฉันอยู่ในที่ทั้งสองแห่ง เป็นการเปรียบเทียบกันอยู่บ่อยๆ จึงมีความรู้สึกเกิดขึ้นในเรื่องนี้ จนถึงกับนำมากล่าว เพื่อว่าผู้สนใจในการจัดสร้างสำนักปฏิบัติธรรมจะได้นำไปพินิจพิจารณาด้วย
    ที่สวนโมกข์บน (สวนโมกข์ที่กำลังจัดทำใหม่อีกแห่งหนึ่ง) น้ำดีกว่าที่สวนโมกข์มาก ภูมิประเทศก็เป็นที่รื่นรมย์กว่า เราหวังผลในส่วนนี้จึงช่วยกันจัดทำขึ้นอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งหวังว่าอีกไม่กี่ปีนัก เราจะมีสถานที่ที่สบายกว่าเก่าหลายประการ โดยความช่วยเหลือของธรรมชาติ และมีความหมดเปลืองน้อย
    ในการเป็นอยู่แบบนี้ การบิณฑบาตเป็นเหมาะที่สุด การจัดตั้งครัวหรือมีผู้จัดถวายเสียเลยนั้นไม่เหมาะ หรือได้ผลน้อยกว่า และการไปฉันในที่นิมนต์ตามบ้านเรือนนั้น ถ้าหลีกเสียได้เป็นการดี
    [​IMG]ฉะนั้นภิกษุสามเณรเฉพาะที่อยู่ในสวนโมกข์จึงได้ขอตัว และเป็นที่ทราบกันว่า ได้งดเว้นการไปฉันเช่นนั้น เว้นแต่จะมีเหตุพิเศษจำเป็นจริงๆ ทั้งนี้เพื่อให้มีเวลาว่างมาก มีความโปร่งสบายอยู่ตามธรรมชาติเป็นพิเศษ สมกับที่ต้องการให้เป็นการอบรมตนเป็นพิเศษสักสมัยหนึ่ง ซึ่งจะเป็นเวลากี่ปีก็ตาม ข้อนี้เป็นเหตุให้เลยขอตัวงดเว้นการไปบังสุกุล การนั่งหัตถบาสหรือพิธีกรรมอื่นๆ ที่ไม่จำเป็นเสียด้วย ซึ่งเป็นผลดีแก่การศึกษาและการทดลองปฏิบัติบางสิ่งบางอย่าง ยิ่งมีอะไรน้อยเพียงใด ก็ยังมีผลดีทางจิต
    การอยู่ในกระท่อมเล็กๆ เกลี้ยงๆ ไม่มีสิ่งของรุงรัง กินอาหารแบบที่เขาพากันขนานนามให้ว่า "กินจานแมว" ซึ่งพวกเรากำลังใช้กันอยู่ตั้งแต่ต้นมาจนบัดนี้นั้น ได้พิสูจน์ตัวมันเองให้เห็นแล้วว่า ไม่มีวิธีอื่นที่ดีกว่าโดยแน่นอน พอที่จะยึดถือเป็นหลักตายตัวได้ คนนอกมักจะเข้าใจผิดและขลาดต่อการจะเป็นอยู่เช่นนั้น
    [​IMG]มีเรื่องขันๆ ที่โยมของเณรเล็กๆ รูปหนึ่งถามเณรเมื่อก่อนจะไปอยู่ที่นั่นว่า "เณรยังจะกินข้าวจานแมวได้หรือ?" ส่วนความจริงนั้น ไม่มีอะไรที่กระทบความรู้สึกของเณรเลย ตั้งแต่แรกไปจนกระทั่งบัดนี้ และเป็นการอยู่ตามธรรมดาอันหนึ่งเท่านั้น คนที่ไม่เคยลองเป็นอยู่แบบนั้นเท่านั้น ที่รู้สึกคล้ายกับว่าเป็นการทรมาน ฉะนั้น ฉันจึงหวังว่าผู้ที่จะจัดสถานที่แบบนี้ต่อๆ ไปในวันข้างหน้า ควรจะนึกถึงเรื่องนี้ให้มาก และพิจารณาดูให้ละเอียด ไม่พลาดจากประโยชน์อันใหญ่หลวง ด้วยอำนาจความเข้าใจผิดหรือสงสารในสิ่งที่ไม่ควรสงสาร.
    การนุ่งห่มนั้น เมื่อใช้ผ้าเนื้อหนา ย้อมฝาดให้ดีๆ เป็นการประหยัด และทำให้มีเรื่องน้อยเข้ามากมายหลายเท่านัก มิใช่เพียงเท่าเดียวสองเท่า การมีระเบียบให้ใช้ผ้าปะนั้น นอกจากตรงตามอริยวงสปฏิปทาแล้ว ยังทำให้มีจิตดีและสะอาดขึ้นอีกมาก.
    ฉันต้องขอสารภาพว่า เคยเข้าใจผิดและเคยดูถูกสิ่งเหล่านี้มาแล้ว มาภายหลังมองเห็นความเขลาของตัว ก็รู้สึกว่ามีโชค ได้ความรู้สึกคิดนึกที่กว้างขวางโดยไม่ต้องลงทุนอะไร ทั้งยังได้ผ้าใช้ไม่ขาดแคลนอีกด้วย
    [​IMG]สิ่งที่เรียกว่า เป็นกุศลนั้น หมายถึง ความฉลาดทุกประการในการจะเอาชนะความทุกข์ยากลำบาก ภูมิธรรมทางจิต ความรู้ และสิ่งของที่เสียไปเพราะความเข้าใจผิดชนิดนี้ นับว่าไม่เป็นกุศลอย่างยิ่ง ถ้าภิกษุสามเณรหรือนักบวชมีหลักเช่นว่านี้ จะเป็นการประหยัดแรงงาน เงิน และเวลาของประเทศชาติได้มาก และเป็นตัวอย่างที่ดีแก่ทายกด้วย.
    พวกเราถือหลักว่า อะไรก็ตามที่ควรทดลองหรือที่อาจคว้ามาเป็นประโยชน์แก่จิตใจได้แล้ว เป็นต้องพยายามทดลอง จนกว่าจะเข้าใจซึมซาบและนึกพอใจตัวเองเป็นสุขสนุกสบาย ทั้งส่งเสริมแก่การปฏิบัติธรรมในขั้นต่อๆ ไป อย่างดีอีกด้วย
    ที่สวนโมกข์ นานๆ จะมีคนถวายจีวรสักครั้งหนึ่ง และมีบางรายทอดผ้าป่าไปทางไปรษณีย์ ซึ่งเราทราบไม่ได้ว่าเป็นใคร ฉันเคยได้รับผ้าสบงทำด้วยไหม ทอด้วยมือหนาๆ ตามแบบพื้นเมือง ปรากฏแต่ว่าส่งมาจากภาคอีสานโดยทางไปรษณีย์ แม้จะนานมาแล้วก็ขอตอบรับและอนุโมทนาไว้ในที่นี้ด้วย และผ้านั้นได้ใช้ไปจนถึงที่สุดแล้ว ทนทานมาก
    การขอร้องไม่ให้มีคนเข้าไปรบกวน นับว่าได้ผลดี นานๆ จะมีคนที่ไม่รู้ หรือเป็นพวกที่ไม่อาจจะรู้ได้ เข้าไปเที่ยวสักคนหนึ่ง ซึ่งเราถือว่าเป็นของธรรมดา คนเป็นอันมากได้ให้ความเห็นอกเห็นใจ ไม่มีธุระจำเป็นเหลือเกินแล้ว จะไม่เข้าไปในสวนโมกข์ เราขอขอบคุณในความเอื้อเฟื้ออันนี้ไว้ในที่นี้ทั่วกันทุกคน และนับว่าเป็นการทำกุศลของท่านอย่างหนึ่ง ซึ่งพวกเราขออนุโมทนาด้วย ส่วนที่เข้าไปเพื่อธุระหรือเพื่อการศึกษาแม้ที่สุดแต่เพื่อเยี่ยมเยียนตามโอกาสนั้น เป็นสิ่งที่พวกเรายังคงต้อนรับด้วยความยินดีเสมอ.
     
  8. อาวุโสพรรคมาร

    อาวุโสพรรคมาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    318
    ค่าพลัง:
    +1,419


    เด็กๆ ดูเหมือนจะเป็นจำพวกที่เป็นปัญหามาก ตามที่สังเกตเห็นเด็กๆ มีความอยากได้สิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้ว เป็นลืมนึกถึงอะไรหมด ฉะนั้น ถ้าในสถานที่ปฏิบัติธรรมแห่งใด มีสิ่งที่เด็กๆ ต้องการ ก็คงจะได้รับความรบกวนบ้างเป็นธรรมดา. ในบริเวณสวนโมกข์ ยังมีเด็กๆ ที่แอบเข้าไปขโมยช้อนปลา ซึ่งมีทั้งปลาเล่น และปลาที่ใช้เป็นอาหาร เก็บผัก หาเห็ด ยิงนก ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ยากที่จะจัดการไม่ให้มีได้ เพราะมีชุมตามธรรมชาติ แม้ที่สุด แต่ไม้ฟืน และไม้ที่จะใช้การงานอย่างอื่น ถ้าหากว่าในการที่จะจัดตั้งสำนักปฏิบัติธรรมรายใด ได้คำนึงถึงปัญหาอันนี้มาเสียตั้งแต่แรกแล้ว จะเป็นผลดีแก่ภิกษุสามเณรผู้อยู่อาศัยมากทีเดียว การสู้รบกับเด็กๆ ซึ่งอยากได้รุนแรงและลืมอะไรเก่งนั้น ไม่ค่อยสนุกเลย ถ้าในสถานที่นั้นไม่มีสิ่งที่ต้องการสำหรับเด็กๆ แล้ว ปัญหาก็ไม่มี และบางทีต้องคิดหาอุบายทำลายและโยกย้ายสิ่งเหล่านั้นให้หมดไปจากสถานที่เช่นนี้เสีย ก็ดูเหมือนได้ผลเกินค่ากว่าสิ่งของที่ต้องเสียไป
    สิ่งรบกวนตามธรรมชาติบางประการ เช่นเสียงร้องของนกเป็นต้นนั้น ไม่เป็นปัญหาอันใดเพราะเป็นสิ่งที่ไร้ความหมาย เช่นเดียวกับเสียงคลื่นลมไม่นานเท่าใดก็เป็นการเคยชิน และเป็นการศึกษาในบางอย่างบางประการอีกด้วย
    แต่มีบางสิ่งบางอย่างที่ต้องทำการศึกษาจากมันอย่างใจเย็น ที่สวนโมกข์ยุงชุมมาก มีน้อยวันเหลือเกินที่ปราศจากยุง แต่ไม่ปรากฏว่ามีเชื้อมาลาเรีย เนื่องจากเป็นยุงธรรมดาตัวเล็กๆ ซึ่งขึ้นมาจากคลองน้ำเค็มเป็นส่วนมาก ในกรณีเช่นนี้ ต้องเรียนรู้ถึงธรรมชาติของสิ่งเหล่านี้ รู้จักหลีกเลี่ยงหรือป้องกัน กลางวันไม่มียุงเลย ตอนพลบค่ำจะมีมาก จึงต้องหาวิธีป้องกันไม่ให้ตามขึ้นไปบนที่อาศัย เช่นออกมาเสีย หรือไม่เปิดแสงไฟให้เห็นจนกว่าจะค่ำไปมากแล้ว รู้จักแบ่งเวลาการงานให้เข้ารูปหรือเหมาะกับธรรมชาติ เช่น เวลาที่มียุงเช่นนี้ด้วย ในที่สุด ก็จะเหมือนกับไม่มียุงเหมือนกัน การตัดตอนหรือป้องกันต้นเหตุ เช่น การระบายน้ำไม่ให้มีที่เกิดของยุงก็ช่วยได้มาก และเป็นสิ่งที่ควรจะเอาใจใส่ตามที่ควร ในบางคราวยุงก็มีประโยชน์ในการช่วยไม่ให้นอนมากเกินไปกว่าธรรมดา หรือเกินความต้องการของร่างกาย
    การไม่ใช้มุ้ง ใช้ฟูก ใช้หมอนนั้นดีมาก, เว้นแต่คราวเจ็บไข้ ทำให้มีความคิดนึกกว้างขวางเบากายเบาใจ ตื่นดีกว่าธรรมดา เห็นการนอนเป็นเพียงการพักผ่อนชั่วครู่ชั่วยามของร่างกายจริงๆ ไม่ใช่เวลาหาความสุขหรือมัวเมาในอารมณ์สุข สามารถที่จะบำเพ็ญแบบแห่งชาคริยานุโยคได้ดีที่สุด และง่ายๆ ด้วย.
    แต่ข้อนี้หมายเฉพาะภิกษุสามเณรที่กำลังฝึกฝนทางจิตโดยตรง ถ้ายังมีการศึกษาอย่างอื่น หรือการงานอย่างอื่นแทรกแซง อาจไม่ได้ผลเต็มตามที่ว่านี้นัก ข้อนี้เนื่องจากเวลาที่จิตพักอยู่ในความสงบด้วยการนั่งอยู่นิ่งๆ สบายกว่าการนอนเสียอีก การนอนเลยกลายเป็นของไม่อยากให้มีมา อยากตื่นอยู่ด้วยความแจ่มใสสดชื่น ในการยืน การเดินเล่น นั่งเล่นมากกว่า เพราะสนุกหรือเพลิดเพลินดีกว่า ร่างกายที่เคลื่อนไหวน้อย เช่นการเป็นอยู่ของโยคีนั้น มันต้องการนอนน้อยที่สุด อย่างที่เรียกว่าผิดธรรมดา ข้อนี้คนธรรมดาอาจเข้าใจไม่ได้ ถ้าไม่เคยลองเป็นอยู่ตามแบบนั้นดูก่อน หรือจะสังเกตเปรียบเทียบได้ในเวลาที่ป่วยไข้นอนอยู่นิ่งๆ เคลื่อนไหวน้อยมาก ก็ต้องการหลับน้อยมาก คือนอนไม่ใคร่จะหลับนั่นเอง แต่นี่เป็นเรื่องของโรค ผิดตรงข้ามกับเรื่องของความสงบสบาย.
    พวกเราอยู่กันที่นี่ ในส่วนตัวได้รับความพอใจสะดวกสบาย ไม่มีความรู้สึกว่าเป็นการทรมาน ทั้งนี้เนื่องจากการปรับระดับของจิตใจในเบื้องต้นไว้ถูกต้อง แต่มีคนภายนอกมีความรู้สึกว่าเกินไปหรือทรมานไปก็มี
    ถ้าใครสามารถทำให้จิตใจของตนมองเห็นลู่ทางของความสงบได้ ก็จะยิ่งอยากอยู่ในที่เช่นนี้ หรือให้มีการบีบคั้นมากกว่านี้ไปเสียอีก เพราะการอยู่เช่นนั้น มีเรื่องน้อย หรือแทบจะไม่มีเลยนั่นเอง มีโอกาสเพลิดเพลินอยู่ด้วยการคิดค้นและแสงสว่างแจ่มจ้าต่างๆ มีรสใหม่ๆ แปลกๆ
    แม้ภิกษุสามเณรประเภทที่ยังมีการศึกษาทางตำราหรือการศึกษาเบื้องต้นอื่นๆ นั้น จะต้องมีความรู้สึกที่สูงไปในทางรักการศึกษาหรือเมาการศึกษานั่นเอง ในที่สุด ก็จะวิ่งเข้าหาสถานที่ที่มีเรื่องน้อยนั้นอีกเหมือนกัน
    ที่อยู่ที่ให้ความสบายมากไปนั้น ดึงเวลาหรือความคิดไปยังความเพลิดเพลิน การคิดประดิดประดอยตกแต่งให้สวยงามยิ่งขึ้น หรืออย่างน้อยที่สุดก็ยังมีการกังวลเกี่ยวดัวยการระวังดูแลที่มากเกินควร ฉะนั้น จึงไม่ค่อยให้ประโยชน์อันแท้จริงแก่นักศึกษา และทั้งเป็นสิ่งที่กำลังหลงกันอยู่โดยไม่รู้สึกตัว โดยเห็นเป็นเกียรติหรือเป็นอะไรในทำนองนั้น ซึ่งทำจิตใจให้เป็นบ้าน มากกว่าเป็นอนาคาริกผู้ค้นคิด ถ้าประชาชนส่วนมากของชาติพลอยหลงใหลไปตามนี้ด้วย นั่นก็คือความที่ศาสนาเป็นเสนียดของชาติอยู่โดยเร้นลับ เสียหายทั้งส่วนวัตถุและส่วนจิตใจ
    เมื่อกล่าวมาแล้ว ถึงตอนนี้ ฉันอยากจะพูดถึงเรื่องของเล่นบ้างเท่าที่มันเกี่ยวกับภิกษุสามเณรผู้เป็นนักศึกษา
    การเล่น หรือ ของเล่น นั้น ดูเหมือนเป็นสิ่งที่คู่กันมากับมนุษย์อย่างที่จะแยกกันไม่ได้เป็นอันขาด แม้พวกที่ขัดสนที่สุด ก็ยังมีการเล่นหรือเสียสละเพื่อเล่น คนมีทรัพย์ก็เล่นสิ่งของแพง, ฆราวาสก็เล่น บรรพชิตก็เล่น เมื่อเล่นของถูกๆ หรือวัตถุที่มีความงามตามธรรมชาติไม่สนุก ก็เล่นของแพงๆ เช่น เครื่องลายครามและเจียระไน พระอริยเจ้าท่านก็ยังเล่น คือ เล่นฌานและเล่นสมาบัติ อันได้แก่การเข้าฌานเล่นแปลกๆ ออกฌานนั้น เข้าฌานนี้ อย่างโลดโผนที่สุด เหมือนพวกนักกีฬาที่ซ้อมกีฬายากๆ ของตน หรือประดิษฐ์ ท่าทางแปลกๆใหม่ๆ ขึ้นแล้วก็สนุกสนานกัน
    เมื่อเป็นดังนี้ พวกที่ยังเพิ่งบวช หรือไกลต่อการเข้าฌานเล่า จะเล่นอะไรกัน? ฉันแนะนำให้เณรเล็กๆ เล่นสิ่งที่เกี่ยวกับการศึกษา หาความรู้รอบตัว ให้คอยศึกษาอย่างละเอียดถึงธรรมชาติรอบๆ ตัว จากนก จากปลา ต้นไม้ ดอกไม้ เพื่อเรียนรู้เรื่องการสืบพันธุ์ การงอก การเจริญเติบโต ตามแนวที่เคยศึกษามาจากตำราฝ่ายชีววิทยาให้ละเอียดยิ่งขึ้นๆ ตามลำดับ เท่าที่ตนจะทำได้ ยิ่งสิ่งที่เห็นได้ยากๆ เช่น เรื่องของปลวก ของไส้เดือน ก็ยิ่งต้องเฝ้าดูกันเป็นเวลานานๆ
    บางทีก็แนะให้เล่นเกี่ยวกับงานก่อสร้าง รู้จักใช้และทำเครื่องมือเพื่อสะดวกในการที่จะเล่น หรือทำงานจริงๆ อย่างอื่นๆ ในวันข้างหน้า เครื่องอุปกรณ์เกี่ยวกับการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ เรื่องเสียง แสง ไฟฟ้า กลศาสตร์ เหล่านี้ ก็แนะให้หามาเล่นตามที่จะหาได้ ให้ทดลองทำดูตามที่จะทำได้ ตามที่จะพาเที่ยวดูได้ แม้ว่าสิ่งเหล่านี้ จะไม่เป็นของเล่นโดยตรงก็ยังสามารถทำกำลังงานของสัญชาตญาณที่รักของเล่น หรือการเล่นให้ร่อยหรอไปได้ เป็นการสับเปลี่ยนเอามาใช้ในทางเป็นของจริง และเป็นการศึกษาเสีย ก็ไม่ทำความเดือดร้อนให้แก่จิตใจ ได้ผลดีอยู่เหมือนกัน
    ภิกษุสามเณรที่เป็นรุ่นใหญ่ขึ้นมา ก็แนะให้รู้จักสังเกตสูงขึ้นมา แต่ก็ไม่พ้นไปจากการคลุกคลีกันกับธรรมชาติ จนบอกไม่ได้ว่าเป็นของเล่นหรือของจริง การคุย การถกเถียงปัญหา การหัดใช้เสียงตามหลักแห่งอักษรศาสตร์ การหัดแสดงธรรม เหล่านี้ ถ้ารู้จักจัดให้ลึกซึ้ง ก็สนุกดีริบเวลาที่จะไปเล่นเหลวไหลอย่างอื่นๆ มาให้หมด
    การไม่ได้หัวเราะเสียเลย หรือไม่มีเวลารู้สึกสนุกเพลิดเพลินเสียเลยนั้น คงจะทำให้เส้นประสาทหรือกล้ามเนื้อบางส่วนแห้งตีบ และกลายเป็นคนไม่สมประกอบไปบางส่วนก็เป็นได้ หรือจะเปิดโอกาสให้แก่โรคภัยบางอย่างโดยตรงก็ได้ ฉะนั้น แม้ในวงผู้ฝึกฝนการปฏิบัติธรรม ก็จะต้องแก้ปัญหาเรื่องนี้ให้ลุล่วงไปด้วยดีเหมือนกัน จะถือว่าเป็นสิ่งที่นอกเรื่องไม่ได้ ผลของการเป็นอยู่ในสำนักบางสำนัก ปรากฏเป็นการเจ็บไข้ การวิกลจริต และความคิดนึกที่คับแคบ ไม่สมบูรณ์ไปเสียนั้น ฉันเห็นว่าอาจมีขึ้นเพราะการละเลยในเรื่องนี้เสียเกินไป ไม่มากก็น้อย เพื่อนนักศึกษาหรือผู้จะจัดตั้งสำนักศึกษาตามแบบนี้ ควรนึกดูให้ดีด้วย


     
  9. อาวุโสพรรคมาร

    อาวุโสพรรคมาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    318
    ค่าพลัง:
    +1,419
    <H4>เมื่อพูดถึงการเล่นแล้ว ควรจะพูดถึงของจริง หรืองานจริง ติดต่อกันไป
    พวกเราที่นี่ ที่สามารถช่วยตัวเองได้ในส่วนวิชาความรู้ ก็ตั้งหน้าระมัดระวังการเป็นอยู่ในวันหนึ่งๆ ของตนๆ ให้มีความสว่างไสว มีความสุขและบริสุทธิ์เท่าที่จะทำได้ พวกที่ยังต้องรับคำแนะนำสั่งสอน ทุกคนสำนึกในหลักที่เราถือเป็นสรณะ คือ เรียนมาก, ทำงานมาก, กินอยู่ง่าย, อดทนและบริสุทธิ์, ปรารถนาสูงในการบำเพ็ญประโยชน์ทั้งแก่ตนและผู้อื่น
    สิ่งที่เราย้ำกันให้นึกถึงอยู่เป็นประจำวัน ก็คือพยายามผ่านสิ่งต่างๆ ไปด้วยความระมัดระวังสังเกตอย่างละเอียดละออ ไม่ว่าจะเป็นการกิน การนอน การได้พบ ได้เห็น ได้ยิน ได้ฟัง การเล่น การเที่ยว การสมาคม ฯลฯ ทุกอย่างควรจะถือเป็นการศึกษาไปหมด เพื่อช่วยให้รู้จักสิ่งทั้งปวงตามที่เป็นจริงเร็วเข้า จนไม่เที่ยวติดอยู่ในสิ่งใดๆ และไม่มีทุกข์ ขยันทำงานเพียงเพื่อเป็นหน้าที่ของสังขารที่ยังไม่แตกดับ ให้มีความฉลาดรอบรู้เกิดขึ้นทุกๆ อิริยาบถที่เคลื่อนไหว จนกว่าจะรู้สิ่งที่สูงสุด ไม่มีอะไรรบกวนความอยากรู้อีกต่อไป
    [​IMG]ที่สวนโมกข์ เรามีหอสมุดน้อยๆ ต่างหาก จากหอสมุดธรรมทานที่ตั้งอยู่ทีตำบลตลาด ห้องสมุดที่สวนโมกข์มีหนังสือธรรมและบาลี นับตั้งแต่พระไตรปิฎกและอรรถกถาลงมา จนถึงแบบเรียนนักธรรม และยังมีหนังสือแบบเรียนสามัญศึกษาบ้างเล็กๆ น้อยๆ สำหรับพระเณรรุ่นเล็ก.
    เมื่อเวลาว่างในบางฤดู สำหรับบางคนได้เรียนวิชาสามัญศึกษาประเภทที่ช่วยให้เกิดความเฉียบแหลมเฉลียวฉลาด เช่นวิชาคำนวณ กระทั่งวรรณคดีในเรื่องนี้เราถือว่าภิกษุสามเณร ที่จะมีความรู้พอตัว หรือคล่องแคล่ว ควรผ่านความรู้รอบตัวที่จะช่วยให้รู้ว่าอะไรเป็นอะไรมาบ้างเสียก่อน การนั่งคิดนอนคิดคนเดียวของตนจะได้แล่นไปถูกทาง เรียนแต่หลักสูตรของพระเณรเท่าที่ตั้งไว้ในสมัยนี้อย่างเดียวเท่านั้นไม่พอโดยแน่นอน และเหมาะแต่ผู้ที่ได้ผ่านโลกมาแล้วเท่านั้น
    ถ้าจะกล่าวอีกอย่างหนึ่งให้ถูกต้องที่สุด ก็ต้องกล่าวว่า หลักสูตรการศึกษานั้น ถ้าทำได้ควรจัดเฉพาะคน เป็นคนๆ ไป เป็นดีกว่าอย่างอื่น
    [​IMG]เมื่อมีเวลาว่าง ก็ฝึกฝนอย่างวิธีการเผยแพร่ เช่น การหัดเขียนบทประพันธ์ชนิดต่างๆ บางคนมีนิสัยไม่ให้แก่การนี้เสียทีเดียว แต่เมื่อได้อบรมกันอยู่นานๆ เข้ากับพวกที่มีนิสัย ก็ค่อยมีนิสัยขึ้นบ้าง ตามลำดับ การหัดเขียนส่งไปลงพิมพ์นั้นช่วยให้เขียนเป็นเร็วกว่าอย่างอื่น
    การออกหนังสือพิมพ์อ่านกันเองแต่ในหมู่ผู้แรกศึกษาด้วยกันนั้น ฉันส่งเสริมอยู่เสมอๆ ในสมัยที่กระดาษยังร่ำรวย บางคนยังมีเวลาว่างพอที่จะช่วยฉันทำงานในหน้าที่ซึ่งพอจะเรียกได้ว่า เลขานุการหรือผู้ช่วยในการลอกคัดขีดเขียน หรือตรวจข้อความที่มีผู้ส่งมาลงหนังสือพิมพ์ พุทธสาสนา ของคณะธรรมทาน เป็นการหัดวิจารณ์ข้อความต่างๆ ไปในตัวซึ่งช่วยให้รู้ภาษาไทยเร็วขึ้นมาก
    [​IMG]เมื่อพิจารณาดูโดยละเอียดแล้ว คนเราจะดีได้ หรือจะมีความสามารถจริงๆ นั้น กินเวลานานมาก เพราะเพียงแต่การศึกษาอย่างเดียวไม่พอ ต้องมีการอบรมกันอยู่กับมรรยาทที่ดีงามทั้งทางจิตและทางกาย ซึ่งหมายถึงการบังคับตัวเองให้ได้ทั้งที่ลับและที่แจ้ง พร้อมๆ กันไปกับการศึกษานั้นทีเดียว เพราะทั้งสองอย่างต้องกินเวลามากเท่าๆ กัน เนื่องจากสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่นานเข้าก็เบื่อหน่าย จึงต้องอาศัยการปลุกปลอบเร้าใจจากครูหรือมิตรสหายอยู่เสมอๆ ด้วย ซึ่งฉันเห็นว่างานอันหลังนี้เป็นงานหนักมาก เพราะเกี่ยวกับการหยั่งทราบถึงภายในใจคนอื่น ซึ่งจะทำได้ก็ต่อเมื่อมีโอกาสจับตาดูด้วยความสังเกตอย่างใกล้ชิดอยู่เสมอเท่านั้น มิฉะนั้น นักศึกษาเหล่านั้นจะตลอดรอดฝั่งไปไม่ได้ เพราะเป็นการลอยไปตามบุญตามกรรม เช่นเดียวกับการเลี้ยงลูกอ่อนที่ทำไปสักแต่ว่าตามหน้าที่
    ฉันพยายามเสมอที่จะให้ทุกๆ คนที่อยู่ด้วยกัน รู้จักทำตนให้เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ในเรื่องปลุกปลอบน้ำใจของกันและกัน โดยอาศัยความรักใคร่เป็นสำคัญอยู่เสมอๆ และบันทึกไว้เช่นเดียวกับเรื่องที่ควรบันทึกอื่นๆ สรุปรวมความสั้นๆ ว่า เราได้พยายามกันทุกๆ ทาง ในอันที่จะให้การกระทำของเรา ผลักดันเราไปในทางสูงอยู่ตลอดเวลา ทั้งๆที่เราจะรู้ได้และรู้ไม่ได้ชัดเจน ซึ่งหวังว่าเมื่อเราอยู่ในสถานที่นี้นานพอสมควรแล้ว ต่อไปเราจะมีความสุขหรือเอาตัวรอดได้
    ถ้าท่านจะได้พลิกดูที่ปกหน้าและปกหลังด้านในของหนังสือพิมพ์ พุทธสาสนา ปีที่ ๔ เล่ม ๓ หรือ เล่ม ๔ ก็ตาม ตอนความฝันของคณะธรรมทาน ในแผนกสวนโมกข์ จนเข้าใจดีแล้ว ฉันอาจกล่าวกับท่านได้ว่า เราได้รับความพอใจที่สุด
    แม้ว่าเราจะทำกันตามสติกำลัง หรือตามความสามารถอันจะเรียกว่าอย่างเด็กๆ ทำก็ไม่ผิดนัก เราก็ได้ทำให้ลุล่วงไปตามที่เราฝันๆ ไว้ได้หลายสิบเปอร์เซนต์ ซึ่งเราหวังว่าคงจะเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ได้สักคราวหนึ่งในวันข้างหน้า
    และสิ่งสุดท้ายที่เราหวังกันนักนั้นก็คือ ความสามารถในการเผยแพร่พุทธศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้า ซึ่งเป็นการช่วยกันจัดโลกนี้ ให้เป็นโลกที่เต็มไปด้วยความสุขความสามารถของตนๆ ในเมื่อวิธีการอย่างอื่นๆ ไม่อาจสร้างสรรค์สันติภาพให้แก่โลกได้อีกต่อไป เรายินดีเสียสละ อดทนต่อการกระทบกระทั่งจากผู้อื่นที่เข้าใจผิด พร้อมกับการชื่นชมยินดี ในเมื่อมีผู้อนุโมทนาสาธุการ เนื่องจากเข้าใจถูกในงานที่เราทำเรื่อยๆ ไป จนกว่าจะลุถึงจุดหมาย
    เรื่องสุดท้ายที่ฉันจะเล่าสู่ท่านทั้งหลายฟังก็คือเรื่อง ทุน เรื่องนอนนั้นโดยมากก็เป็นเรื่องที่ท่านอาจทราบได้แล้วหรือบางเรื่องก็เป็นของส่วนตัว เกินไปกว่าที่จะนำมาเล่าในหน้ากระดาษเหล่านี้
    ทุนอันแรก คือ เงินและแรง การใช้จ่ายเนื่องกับสวนโมกข์นั้น ปรากฏอยู่แล้วตามบัญชีในแถลงการณ์ของคณะธรรมทาน ว่ามีจำนวนเท่าใด ทั้งหมดนั้นส่วนมากใช้ในการตกแต่งสถานที่ การล้อมด้วยลวดหนามการทำที่พักอาศัย และใช้เป็นค่าหยูกยาในคราวเจ็บไข้ ตลอดจนค่าเดินทางไปมาซึ่งมีอยู่บ่อยๆ บางปีก็มากบางปีก็น้อย
    และนับตั้งแต่แรกเริ่มมา เมื่อพิจารณาดูแล้ว อาจจะพบความจริงได้อย่างหนึ่งว่า การจัดสถานที่แบบนี้ ไม่เป็นการหมดเปลืองมากมายอย่างใดเลย เมื่อคำนึงถึงผลแล้ว รู้สึกว่าได้ผลเกินค่า หากแต่ว่าผลนั้นๆ เป็นสิ่งที่ไม่มีตัวมีตนแสดงอยู่ปรากฏชัดเหมือนการบริจาคสร้างโบสถ์สร้างวัด สร้างโรงเรียน เป็นต้น จึงดูเป็นไม่ชวนให้ทำ การเสียสละเพียงเท่านี้ในประเทศไทย เรามีคนอาจจะสละได้เป็นจำนวนหลายหมื่นคน หากแต่ว่ากิจการอันนี้ยังไม่เป็นที่เข้าใจดี สำหรับผู้พร้อมที่จะเสียสละเหล่านั้นเท่านั้น
    ทุนอันที่สอง คือ กำลังน้ำใจ พวกเราได้กำลังน้ำใจกันมาจากไหน ท่านอาจทราบได้แล้วจากข้อความที่เขียนมาข้างต้นๆ ทุนอันนี้สำคัญยิ่งไปกว่าเงิน หรือ แรง เพราะถ้าไม่มีกำลังใจมุ่งหวังไปอย่างใดอย่างหนึ่งอย่างแรงกล้า และได้รับการสนับสนุนจากมิตรสหาย และเหตุการณ์บางอย่างอยู่เสมอแล้ว ก็ชวนให้เบื่อหน่าย
    ฉะนั้น การที่มีผู้อ่านหนังสือเพื่อหาความรู้หรือเพื่อทราบข่าวกิจการของเราก็ตาม เป็นการให้กำลังน้ำใจอย่างดีของเราอยู่ส่วนหนึ่ง ซึ่งเราขอขอบคุณโดยทั่วกัน
    ทุนอันที่สาม ซึ่งเป็นอันดับสุดท้าย ได้แก่ ผู้กล้ารับภาระจัดการเป็นตัวยืนโรง ถ้าไม่มีใครทำ หรือใครช่วยก็ยินดีที่จะทำไปคนเดียวเรื่อยๆ ไม่ยอมเลิกล้ม ได้เท่าใดก็เอาเท่านั้น ซึ่งมีความสำคัญในข้อที่ว่า คนที่คอยให้ทุนหรือกำลังใจนั้น มิใช่ได้มาทำด้วยได้
    ต่อเมื่อทุนมีครบพร้อมทั้งสามประการดังกล่าวมา กิจการก็ก่อรูปและดำเนินไปได้ สำหรับงานประเภทนี้ ซึ่งเราอาจกล่าวได้เต็มปากว่า ไม่เป็นงานที่ชวนให้ทำตามธรรมชาติ เหมือนงานที่ได้รับค่าจ้างรางวัลตรงๆ เสียเลย ฉันขอแสดงความหวังเป็นอย่างมากว่า เพื่อนพุทธบริษัทผู้ใดที่ตั้งใจจะจัดงานตามแบบนี้ขึ้น ควรจะรวมทุนทั้งสามประการนี้ให้ครบถ้วนเสียก่อน การกุศลชนิดที่ไม่มีค่าจ้างหรือเงินเดือนนี้ ซึ่งความจริงไม่ใช่เป็นของท่าน แต่เป็นของชาติและศาสนา จึงจะดำเนินไปได้ ไม่มากก็น้อย
    ในที่สุด ขอสรุปการเล่าอันยืดยาวของฉัน ด้วยถ้อยคำสั้นๆ ว่า พวกเรากำลังได้รับความพอใจในงานที่ทำ มีความกล้าหาญรื่นเริง เป็นสุขสบายดีอยู่ทั่วกันทุกคน และตั้งใจที่จะทำหน้าที่ของเราเรื่อยๆ ไปไม่ว่าสถานการณ์ของโลกจะเปลี่ยนไปอย่างใด.
    พุทธทาสภิกขุ
    ๒๗ ต.ค. ๒๔๘๖



    </H4>​
     

แชร์หน้านี้

Loading...