สำหรับคนที่ปรามาสท่านพุทธทาส...

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ศุภกร เต็มคำขวัญ, 18 กุมภาพันธ์ 2010.

  1. ศุภกร เต็มคำขวัญ

    ศุภกร เต็มคำขวัญ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    307
    ค่าพลัง:
    +1,107
    คณะศิษย์ของหลวงปู่ดู่ กับ ท่านพุทธทาส

    เมื่อเอ่ยถึงท่านพุทธทาส แห่งสวนโมกขพลาราม จ.สุราษฎร์ธานี หลายๆ คนต้องรู้จัก เพราะท่านเป็นพระที่สอนการปฏิบัติธรรมแบบทางตรงไม่อ้อมค้อม จนบางครั้งมีผู้สงสัยว่า ไม่เห็นท่านเอ่ยถึงนรก สวรรค์ ชาตินี้ ชาติหน้า

    ซึ่งบรรดาลูกศิษย์ของท่านหลายๆ คน เลยตัดสินว่าที่ท่านไม่พูดนั้นแสดงว่า ไม่มีจริงเพราะท่านสอนแบบประโยชน์ในปัจจุบันจริงๆโดยเขาอ้างว่าตามพระไตรปิฎก ที่พระพุทธเจ้าสอนพุทธธรรมกำมือเดียวแต่ใบไม้ที่นอกกำมือมีอีกมาก จะปฏิเสธไปเลยทีเดียวไม่ได้ตามการวิเคราะห์ของผู้เขียนผู้ที่เข้ามาสนใจในการปฏิบัติธรรม มีหลายจำพวก แยกได้คือ

    ๑.มาด้วยศรัทธา
    ๒.มาด้วยความทุกข์
    ๓.มาเพื่อสร้างปัญญา

    พวกที่ศรัทธานั้นมีหลายประเภทบางคนมาด้วยสนใจในอิทธิฤทธิ์ พวกพระเครื่อง ฯลฯโดยเริ่มจากวัตถุมงคลเป็นตัวชักนำพวกที่มาด้วยความทุกข์ ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใครเลยเข้ามาหาศาสนาพวกที่ศรัทธาแท้ๆ นั้น เสมือนพวกเรียนอุดมศึกษา ระดับมหาวิทยาลัยท่านพุทธทาส ท่านจะสอนเน้นนักศึกษาระดับนี้เป็นการสอนแบบเซน (สูญญตวาทะ)

    บางครั้งการสอนเรื่องจิตว่างของท่านซึ่งใช้คำว่า "จงทำงานทุกชนิดด้วยจิตว่าง"เป็นการทำงานเพื่องานทำบุญโดยไม่หวังอะไรซึ่งระดับจิตต้องพัฒนาไปอีกขั้นหนึ่งเคยมีวิวาทะระหว่างท่านคึกฤทธิ์กับท่านพุทธทาสในเรื่องนี้มีหนังสือตีพิมพ์ออกมาเป็นการพูดกันคนละมุม

    เมื่อมีเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ จึงเกิดข้อสงสัยในพวกปฏิบัติธรรมว่าท่านพุทธทาส อาจเป็นพระประเภทสุขวิปัสสโกทำให้ไม่รู้เรื่องสวรรค์ นรกแต่ในความเป็นจริงแล้วถึงแม้ว่าได้แบบปัญญาล้วนๆ ก็ย่อมไม่ปฏิเสธในเรื่องเหล่านี้


    [​IMG]

    ผู้ที่ปฏิบัติสายอาจารย์มั่น ภูริทัตตะเถระและสายมโนมยิทธิของหลวงพ่อฤาษีลิงดำและสายวัดปากน้ำ เกิดความคลางแคลงใจอย่างมากแต่ก็มีพระในสายนี้ออกมารับรองเช่น พระอาจารย์ชา สุภัทโท จ.อุบลราชธานีท่านจะรับรองการเทศน์ของท่านพุทธทาสเป็นอย่างมากหลวงพ่อเกษม เขมโก ซึ่งอยู่จังหวัดลำปางพูดถึงท่านพุทธทาสให้ลูกศิษย์ฟังว่าท่านเป็นพระอนาคามี เป็นต้น


    [​IMG]

    เมื่อมีคณะศิษย์ของหลวงปู่ดู่ได้เดินทางไปนมัสการท่านพุทธทาสโดยนำสังฆทานพร้อมพระพุทธรูปที่อธิษฐานจิตโดยหลวงปู่เพื่อนำไปถวาย พร้อมคำถามที่จะกราบเรียนถึงเรื่องลึกลับต่างๆ ว่าจะมีจริงหรือเป็นตามคำเล่าลือหรือไม่ว่าท่านไม่เชื่อเรื่องเหล่านี้

    ผู้คนไปนมัสการท่านมาก เป็นปกติของพระผู้ใหญ่คณะที่ไปจัดแจงนำสังฆทานเข้าไปถวายเมื่อเห็นว่าปลอดคน ท่านพุทธทาสรับสังฆทานเสร็จเรียบร้อยท่านถามว่า "พระนำมาจากไหน" เมื่อได้รับคำตอบจากคณะศิษย์ ท่านพูดขึ้นมาว่า "เรื่องนี้ต้องคุยกันนาน ไว้ตอนกลางคืนมาคุยกันใหม่" สรุปว่ายังไม่รู้คำตอบที่แท้จริงเพราะภายในวัดสวนโมกข์ไม่ค่อยมีการสร้างพระพุทธรูปและวัตถุมงคลต่างๆ

    ตกกลางคืนตามที่ท่านนัดหมายเมื่อคณะศิษย์ของหลวงปู่เข้าไปกราบท่านท่านจึงพูดขึ้นว่า

    "เราเป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้าจะปฏิเสธเรื่องของพระพุทธเจ้าไม่ได้นรก สวรรค์นั้น ก็เป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าเป็นจริงชาตินี้ ชาติหน้า แม้แต่ยุคพระศรีอาริย์ก็มีจริงแต่เราเล็งเห็นความหยาบของจิตในมนุษย์เหล่านี้เราเลยไม่สอน สอนแต่บรมธรรมของพระพุทธเจ้าเท่านั้น"

    คณะที่ไปกราบรับฟังและพร้อมกับขอขมาโทษในองค์ท่านเพราะทุกคนไม่คิดจะได้ฟังประโยคเหล่านี้ ทำให้หมดสงสัย

    ซึ่งตรงกับที่หลวงปู่ดู่เคยพูดไว้เมื่อมีลูกศิษย์ของท่านกล่าวเชิงวิจารณ์ท่านพุทธทาสโดยท่านเตือนว่า


    [​IMG]

    "อย่าไปประมาทท่าน ท่านก็มีดีของท่าน เราไม่รู้จริง เดี๋ยวเป็นบาปนะแก"


    ที่มา : ร่มเงาพุทธฉัตร
    ผู้เขียน : อาจารย์ศุภรัตน์ แสงจันทร์

    คณะศิษย์ของหลวงปู่ดู่ กับ ท่านพุทธทาส
     
  2. ศุภกร เต็มคำขวัญ

    ศุภกร เต็มคำขวัญ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    307
    ค่าพลัง:
    +1,107
    [​IMG]

    รูปท่านพุทธทาสภิกขุ(สมัยหนุ่ม)
    ขณะกำลังศึกษาในกุฎิที่พัก วัดปทุมคงคา

    -------------------------


    "เราเป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้า
    จะปฏิเสธเรื่องของพระพุทธเจ้าไม่ได้
    นรก สวรรค์นั้น ก็เป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าเป็นจริง
    ชาตินี้ ชาติหน้า แม้แต่ยุคพระศรีอาริย์ก็มีจริง
    แต่เราเล็งเห็นความหยาบของจิตในมนุษย์เหล่านี้
    เราเลยไม่สอน สอนแต่บรมธรรมของพระพุทธเจ้าเท่านั้น"
    ท่านพุทธทาส ภิกขุ.

    หลวงปู่เกษม พระอริยเจ้าที่เป็นสหธรรมิกที่เคารพกันมากกับหลวงปู่ดู่กล่าวกับลูกศิษย์ว่า

    "อยากฟังธรรมะ ให้ไปหาท่านพุทธทาส อยากไหว้พระปฏิบัติดี ให้ไปไหว้หลวงพ่อดู่ วัดสะแก"
    คณะศิษย์ของหลวงปู่ดู่ กับ ท่านพุทธทาส
     
  3. ศุภกร เต็มคำขวัญ

    ศุภกร เต็มคำขวัญ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    307
    ค่าพลัง:
    +1,107
    จริงๆแม้จะน้อยหายากแต่คำสอนท่านพุทธทาสเคยอ่านเจอท่านมีกล่าวถึงที่ท่านสัมพัสภูมิเปรตด้วยเรื่องของเรื่องคือท่านไปวัดแห่งหนึงไปกราบพระที่เป็นกัลยาณมิตรพอตกเย็นๆท่านนั่งสบายๆชมวิวทิวทัศน์จิตทำสมาธิท่านก็ได้ยินเสียงโหยหวนท่านจึงพิจารณาตามดูท่านก็เล่าว่าเป็นเสียงเปรตที่เป็นทายกของวัดตอนยังมีชีวิตอยู่แต่ยักยอกเงินวัดไปทำให้ต้องมาเป็นเปรต

    แม้ว่าจะมีบันทึกเรื่องราวแบบนี้ของท่านพุทธทาสอยู่น้อยนิดแต่ก็น่าจะแสดงถึงภูมิจิตและสิ่งที่ท่านรู้ได้ส่วนหนึง

    คนเข้าใจผิดเรื่องท่านพุทธทาสภิกขุกันมานานแล้วเนื่องจากส่วนหนึงเข้าใจไปว่าท่านปฎิเสธเรื่องนรก-สวรรค์และสอนบิดเบือนคำสอนของพระพุทธเจ้าเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะคนบางคนตีความธรรมะของท่านด้วยความเข้าใจส่วนตัวและตัดเอาแค่บางประโยคจากหนังสือธรรมะท่านที่มีเป็นจำนวนมากมาขยายความทำให้เข้าใจไปว่าท่านบิดเบือน


    [​IMG]

    ไม่อยากอธิบายยืดยาวนักเอาเป็นว่าน้อยคนนักที่จะรู้ถึงเหตุการ์ณหนึงซึ่งผมเคยได้ยินมาจากศิษย์สายหลวงพ่อฤาษีคนเก่าๆว่ามีครั้งหนึงหลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านให้ศิษย์พานั่งรถไปหาท่านพุทธทาส เข้าใจว่าที่สวนโมกข์ น้อยคนนักที่จะรู้เพราะเป็นการพบกันส่วนตัวพอท่านเจอกันต่างองค์ก็ไหว้ซึ่งกันและกัน และสนทนาธรรมกันอีกกว่า2 ชั่วโมง พอตอนลูกศิษย์พาหลวงปู่ฤาษีขับรถกลับท่านพูดให้ลูกศิษย์ ในรถได้ยินกันชัดแจ๋วว่า "เออ อย่างนี้สิถึงจะคุยถูกคอ"

    ธรรมะท่านพุทธทาสท่านลึกซึ้งและเน้นที่ปัจจุบันมากและอีกประการเหตุที่ท่านสอนลักษณะนั้นเพราะท่านมีวาระที่ต้องการให้ศาสนาพุทธเผยแพร่หลักธรรมเป็นสากลแก่นานาชาติเห็นได้จากที่หนังสือท่านได้รับการแปลเป็นภาษาต่างๆอีกทั้งที่ท่านได้รับการยกย่องจาก unesco

    มีหลายคนที่ปฎิบัติตามแนวคำสอนของท่านและเป็นคนดีในสังคมมีมากมายนั้นเป็นเพราะเขาเหล่านั้นเลือกเอาสิ่งที่ดีโดยไม่เสียเวลากับสิ่งที่ไม่ดีที่พิสูจน์ไม่ได้ ธรรมะของท่านพุทธทาสนั้นเป็นเสมือนมะม่วงที่มีแต่เม็ด ไม่มีเนื้อหวานๆให้ลิ้มรสแต่จะเข้าถึงความขมที่เม็ดเลย

    ของจริงนิ่งเป็นใบ้ อนุโมทนา สาธุด้วยครับ ธรรมะ คือ ธรรมชาติ ประเสริฐโดยแท้ หลายท่านพบกระทู้นี้แล้วเป็นนิมิตรหมายที่ดี ถ้าท่านเคย ปรามาส ท่านพุทธทาสเอาไว้ ขอให้นึกย้อนกลับไป ดูดีๆ ข้อความ ที่เราไม่รู้จริงแล้ว พูดออกไป เวลานี้ หลวงปู่ท่านเมตตา มายืนยันให้แล้ว ว่า ท่านไม่ได้เป็นอย่างที่ บัณฑิตในโลกทั้งหลาย เคยพูดจา จาบจ้วง ล่วงเกิน ท่าน ก็ขอ ขมาท่าน

    โยโทโส โมหะจิตเต .... ขอขมาขอให้ท่าน อโหสิกรรม ให้สิ้นเวรสิ้นกรรมในกระทู้นี้ครับ

    ลงทุนน้อยๆ ได้ อกุศลกรรมมากๆ ก็คือกรรมทางวาจา พูด จาบจ้วง ล่วงเกิน ปรามาส พระรัตนตรัย พระผู้ประพฤติดีทั้งหลาย คนเรานั้นไม่ทำชั่ว 24 ชม. ไม่ได้เป็นซาตานมาเกิด หลวงปู่ท่านสอนเสมอ คนดีเค้าไม่ตีใคร ขอให้เก็บไปคิด และหมั่นปฏิบัติดีกันมาก พบท่านไหนดี ก็อนุโมทนากับท่านครับ ขออนุโมทนา สาธุด้วยครับ
     
  4. ศุภกร เต็มคำขวัญ

    ศุภกร เต็มคำขวัญ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    307
    ค่าพลัง:
    +1,107
    [​IMG]

    บทขอขมาพระรัตนตรัย

    โยโทโส โมหะจิตเต นะพุทธัสมิง ปาปะกะโต
    มะยา ขะมะถะเม กะตัง โทสัง สัพพะปาปัง วินัสสันตุ
    การกระทำอันหลงผิดอันใด
    ซึ่งกระทำล่วงเกินแล้วในคุณพระพุทธเจ้า
    ข้าพเจ้าขอกล่าวคำขอขมา
    เพื่อการบาปกรรมทั้งหลายทั้งปวงจงสูญสิ้นไป


    โยโทโส โมหะจิตเต นะธัมมัสมิง ปาปะกะโต
    มะยา ขะมะถะเม กะตัง โทสัง สัพพะปาปัง วินัสสันตุ
    การกระทำอันหลงผิดอันใด
    ซึ่งกระทำล่วงเกินแล้วในคุณพระธรรมเจ้า
    ข้าพเจ้าขอกล่าวคำขอขมา
    เพื่อการบาปกรรมทั้งหลายทั้งปวงจงสูญสิ้นไป


    โยโทโส โมหะจิตเต นะสังฆัสมิง ปาปะกะโต
    มะยา ขะมะถะเม กะตัง โทสัง สัพพะปาปัง วินัสสันตุ
    การกระทำอันหลงผิดอันใด
    ซึ่งกระทำล่วงเกินแล้วในคุณพระสงฆ์เจ้า
    ข้าพเจ้าขอกล่าวคำขอขมา
    เพื่อการบาปกรรมทั้งหลายทั้งปวงจงสูญสิ้นไป


    คณะศิษย์ของหลวงปู่ดู่ กับ ท่านพุทธทาส
     
  5. ศิลปินชนบท

    ศิลปินชนบท เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    773
    ค่าพลัง:
    +1,678
    อนุโทนามาสาธุค่ะ....สิ่งใดที่ขาพเจ้าได้กระทำการล่วงเกินต่อท่านไม่ว่าจะเป็นทางกาย วาจา ใจ ขอท่านจงอโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้าด้วยค่ะ
    (เคยอ่านเจอกระทู้ที่โจมตีท่านทำให้หลงคิดตามและมองท่านในแง่ลบ ทั้งๆที่ตอนนั้นและแม้กระทั้งในตอนนี้ตัวข้าพเจ้าเองยังมีความเลวในจิตใจอยู่มาก ต้องกราบขอขมาทุกท่านที่ข้าพเจ้าเคยล่วงเกินด้วยค่ะ...)
     
  6. ธัชกร

    ธัชกร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    267
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,040
    วิเคราะห์แนวคิดท่านพุทธทาส โดย พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)

    [​IMG]

    วิเคราะห์แนวคิดท่านพุทธทาส

    พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)


    ส่วนหนึ่งของเสวนา



    "มองอนาคตผ่านรากฐานความคิดและชีวิตท่านพุทธทาส แล้วเราจะอยู่ในโลกอันแสนวิปริตนี้ได้อย่างไร’"



    เมื่อวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์



    ณ คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย


    คัดลอกมาจาก นิตยสารศิลปวัฒนธรรม ฉบับ วันที่ 01 พฤษภาคม พ.ศ. 2549 ปีที่ 27 ฉบับที่ 07


    วิภา จิรภาไพศาล /ในโลกอันแสนวิปริต กับฐานความคิดท่านพุทธทาส /


    [​IMG]


    <TABLE style="BORDER-BOTTOM: medium none; BORDER-LEFT: medium none; BORDER-COLLAPSE: collapse; BACKGROUND: #fffff5; BORDER-TOP: medium none; BORDER-RIGHT: medium none" id=table1 class=MsoNormalTable border=1 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="95%"><TBODY><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: maroon 1.5pt solid; BORDER-LEFT: maroon 1.5pt solid; PADDING-BOTTOM: 0cm; PADDING-LEFT: 5.4pt; WIDTH: 100%; PADDING-RIGHT: 5.4pt; BORDER-TOP: maroon 1.5pt solid; BORDER-RIGHT: maroon 1.5pt solid; PADDING-TOP: 0cm" vAlign=top width=568>ในวาระครบรอบ ๑๐๐ ปีชาตกาลท่านพุทธทาส เครือข่ายธรรมโฆษณ์ พุทธทาส ๑๐๐ ปี ได้จัดงานพุทธทาส ๑๐๐ ปี : ร้อยใจ ฟื้นไทย ให้คืนธรรม เมื่อวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ณ คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยมีพระไพศาล วิสาโล, ดร. ณรงค์ เพชรประเสริฐ และพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) ร่วมเสวนาในหัวข้อ "มองอนาคตผ่านรากฐานความคิดและชีวิตท่านพุทธทาส 'แล้วเราจะอยู่ในโลกอันแสนวิปริตนี้ได้อย่างไร'"

    </TD></TR></TBODY></TABLE>​

    ขณะที่พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) เริ่มการเสวนาจากการวิเคราะห์แนวคิดพื้นฐานของท่านอาจารย์พุทธทาสว่า

    "ถ้าจะให้อาตมาพูดผ่านแนวคิดของท่าน ในแง่ ๑. คือตนอาจจะอ่านไม่เพียงพอ ๒. การที่จะบอกว่าท่านผู้นั้นเป็นเรื่องยากและที่ต้องระวังมาก ที่นี้แม้แต่ชื่อที่บอกว่ามองอนาคตผ่านแนวคิดและชีวิตของพุทธทาสก็แปลความหมายได้หลายอย่าง

    แปลง่ายๆ ก็ให้มองอนาคตของมนุษย์ ของสังคม หรือของอะไรก็แล้วแต่ว่าจะเป็นอย่างไร เราเพียงแต่ดูว่ามันจะเป็นอย่างไรก็ปล่อยให้เป็น เราไม่ค่อยเกี่ยวข้อง แต่แทนที่จะมองอย่างนั้น อาตมาคิดว่าเราน่ามองแบบมีส่วนรวมว่าอนาคตของโลกควรเป็นอย่างไร แล้วเราจะช่วยทำให้เป็นอย่างนั้นได้อย่างไร อาตมาคิดว่าถ้ามองแบบนี้จะมีความหมายสำคัญมากกว่า

    ส่วนแนวคิดและชีวิตของท่านพุทธทาสซึ่งจะโยงมาหาการที่เราจะต้องเข้าใจแนวคิดชีวิตของท่านพุทธทาส ว่าเราเข้าใจอย่างไร เราก็จะไปมองเรื่องอนาคตที่ว่านั้นจะจัดการไปตามนั้น ตอนนี้มันเป็นเรื่องสำคัญว่าเรามองแนวคิดของท่านพุทธทาสอย่างไร ไม่ใช่ว่าเรามองตรงกันนั้นถูกต้องแล้ว อันนี้เป็นเรื่องใหญ่เหมือนกัน มันกลับมาสู่ปัญหาพื้นฐานเลยว่าตัวแนวคิดของท่านเป็นอย่างไร เป็นเรื่องสำคัญมาก

    บางทีอาจเป็นหัวข้อที่ท่านที่ศึกษางานจะต้องมาช่วยกันวิเคราะห์ ถกเถียง และอย่างน้อยก็ไม่ด่วนตัดสิน เพราะว่าแนวคิดของท่านที่มองอะไรกว้างขวางและผลงานเยอะ มีความเสี่ยงภัยเหมือนกัน คือบางคนไปจับอะไรมอง ได้ยินอะไร หรือว่าไปอ่านหนังสือของท่านบางเล่มเห็นข้อความบางอย่างจับเอาเลยว่าท่านคิดเห็นอย่างนั้น จริงอยู่ท่านกล่าวจากความคิดของท่าน แต่เรามองอย่างไม่รู้ความเป็นมาเป็นไปเดิม ไม่รู้แนวคิดพื้นฐานกว้างๆ ของท่าน เราก็มองไปแต่เป็นไปตามความคิดความรู้สึกของเราเอง มันทำให้เกิดปัญหาเหมือนกัน

    การมองแนวคิดของท่านพุทธทาส ถ้ามองขั้นที่ ๑ เรามองที่เจตนาก่อน เจตนาของท่านเป็นอย่างไร อันนี้เห็นได้ค่อนข้างชัด แม้แต่ชื่อท่านเอง ท่านก็เรียกว่าพุทธทาส แปลว่าทาสของพระพุทธเจ้า ซึ่งถ้าพูดอย่างภาษาเราง่ายๆ ท่านมุ่งอุทิศชีวิตของท่านในการสนองงานของพระพุทธเจ้าอะไรล่ะ สนองงานที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้สำหรับพระสงฆ์ย้ำบ่อยมาก

    ท่านมีเจตนาพื้นฐานเพื่อจะสร้างสรรค์ประโยชน์สุขแก่ประชาชน ทำให้โลกอยู่ร่มเย็นเป็นสุข อันนี้จริงไหม ถ้าเรายอมรับเราตกลง แล้วเราแน่ใจ เราก็ได้ไปในขั้นเจตนา เมื่อเราได้เจตนาก็ได้ขั้นพื้นฐานเลยมันเป็นตัวนำจิต เพราะว่าจิตของเรากับจิตของท่านจะสอดคล้องกัน ที่นี้เราแน่ใจไหม มันก็ได้ไปส่วนสำคัญ ที่นี้เมื่อมามองงานของท่านที่มีมากมาย อย่างที่พูดเมื่อกี้ ถ้าเราไม่ได้ชัดเจนกับตัวเอง เรื่องของแนวคิดของท่านที่เป็นไปตามเจตนานี้ มันก็เป็นไปในทิศทางที่จะทำให้โลกอยู่เย็นเป็นสุข พอมีแนวคิดพื้นฐานแบบนี้จะช่วยให้การแปลความหมายดีขึ้น เราจะยอมรับไหมว่าแนวคิดนี้แน่ใจ

    ต่อไปก็มองที่ตัวหนังสือบ้าง คำพูด คำเทศนาของท่าน อาตมาจะยกตัวอย่างเลย บางที่บางคนไปจับเฉพาะบางแง่บางส่วน แล้วจะทำให้เกิดปัญหา เช่น บางทีบางคนอาจจะไปยกคำของท่านมา ที่บอกว่าพระไตรปิฎกนี่ต้องฉีกออกเท่านั้นเปอร์เซ็นต์ เหมือนกับว่ามีส่วนที่ไม่ควรใช้ ไม่ควรเชื่อถือหลายเปอร์เซ็นต์ ทีนี้ถ้าหากว่าไม่ได้มีความเข้าใจเกี่ยวกับตัวท่าน ตั้งแต่เจตนาพื้นฐาน บางคนก็อาจจะเข้าใจเลยไปว่าพระไตรปิฎกไม่น่าเชื่อถือ บางคนก็ยกไปอ้างในทำนองนี้ หรือเป็นว่าเป็นแนวคิดของท่าน

    อันนี้ถ้าเราดูพื้นจากที่เป็นมา อย่างที่อาตมาเล่า อาตมามอง เริ่มจากหนังสือพุทธประวัติจากพระโอษฐ์ แล้วก็ต่อมาท่านพุทธทาสออกหนังสือกลุ่มจากพระโอษฐ์เยอะมาก ขุมทรัพย์จากพระโอษฐ์, อริยสัจจากพระโอษฐ์, ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ์ ท่านมีหนังสือแบบนี้แสดงว่าท่าทีหรือว่าทัศนคติของท่านต่อพระไตรปิฎกเป็นอย่างไร อย่างน้อยท่านเอาจริงเอาจังมากกับพระไตรปิฎก ท่านอยู่กับพระไตรปิฎกมามากมาย และตั้งใจค้นคว้า ศึกษาจริง

    เราจะเห็นข้อความที่ท่านใช้อ้าง แม้แต่ในเรื่องปฏิจจสมุปบาท เหมือนกับว่าด้านหนึ่งท่านเป็นผู้เอาจริงเอาจัง ซื่อสัตย์ต่อพระไตรปิฎก ไว้ใจพระไตรปิฎกมาก แต่พร้อมกันนั้นท่านก็มีท่าทีให้มีเหตุผลไม่เชื่อเรื่อยเปื่อย หรือเชื่องมงาย ว่าอะไรที่อยู่ในชุดที่เรียกว่าพระไตรปิฎกจะต้องเชื่อตามไปหมด อันนี้เป็นทัศนคติที่พอดีๆ ที่ศึกษาอย่างมีเหตุผล

    อาตมาจะอ่านให้ฟังสักนิดเป็นการโควทท่านหน่อย ในหนังสือโอสาเรปนะธรรม หน้า ๔๒๓ บอกว่า "ดังนั้นในการศึกษาเรื่องปฏิจจสมุปบาทนี้ ต้องถือเอาบาลีเดิมเป็นหลัก" นี้แสดงว่าท่านยึดพระไตรปิฎก คำว่า "บาลี" เป็นคำทางพระหมายถึงพระไตรปิฎก อย่ามอบตัวให้กับอรรถกถาอย่างไม่ลืมหูลืมตา อันนี้ก็พูดถึงอรรถกถา ซึ่งประเดี๋ยวก็ต้องพูดกันอีก มาถึงเรื่องฉีก ท่านก็ยังพูดถึงเรื่องฉีก ในหนังสือพระธรรมปาติโมกข์ เล่ม ๒ หน้า ๑๒๓ ท่านพูดถึงเว่ยหลาง

    "ฉะนั้นการที่เขาฉีกพระสูตรนี้ มันถูกที่สุด เดี๋ยวนี้เรามีห้องสมุด มีหนังสือแยะ ที่เราก็มี เขาให้อะไรเยอะแยะ เป็นตารางที่ขังความโง่ของคนไว้อย่าให้ไปครอบงำใคร...ฉะนั้นห้องสมุดของผมที่ชั้นบนนี้ ผมจึงไม่ให้ใครเอาหรือขึ้นไปใช้มัน เพราะเป็นความโง่ของคนทั้งโลกที่ผมขังไว้ อย่าให้ไปครอบงำคนอื่น บางชุดซื้อมาตั้งหมื่น นั้นคือความโง่ ไม่กี่เล่ม เอามาขังไว้ในนี้ไปครอบงำใครได้ นี้ยิ่งทำยิ่งโง่ ยิ่งอ่านยิ่งโง่ ยิ่งเรียนมากยิ่งโง่"

    ถ้าคนมาจับความแค่นี้ก็จะบอกว่าท่านเป็นปฏิปักษ์กับเรื่องหนังสือ ไม่สนับสนุนให้อ่านให้ค้นคว้า อันนี้ก็ไม่อยากให้ไปจับเอาเฉพาะแง่เฉพาะมุมนิดๆ หน่อยๆ ต้องดูทั้งหมดว่าท่านมองอย่างไร คิดอย่างไร บางทีมันเป็นเรื่องเฉพาะกรณี เราก็ต้องดูว่าขณะนั้นท่านกำลังพูดเรื่องอะไร ท่านต้องการให้ผู้ฟังได้แง่คิดอะไรในเรื่องนี้

    เมื่อกี้พูดถึงว่าให้เอาบาลี หรือพระไตรปิฎกเป็นหลัก อย่าไปมอบตัวให้กับอรรถกถา ทีนี้บางทีท่านพูดถึงเรื่องอรรถกถาในหลายกรณีก็จะมีเรื่องพูดในแง่ที่ไม่ค่อยดี คล้ายๆ กับไม่น่าไว้ใจ ซึ่งมันก็เป็นเรื่องอย่างนั้น แต่นี้บางคนไปถึงขนาดที่ว่าอรรถกานี้ไว้ใจไม่ได้ อาตมาอ่านหนังสือบางเล่มเขาดูถูกอรรถกถา ไม่เชื่ออรรถกถา ถ้าเราดูท่านพุทธทาส อาจจะถือเป็นความพอดีก็ได้ งานของท่านจะพูดถึงอรรถกถาเยอะแล้วท่านก็ใช้ประโยชน์จากอรรถกถา เรื่องราวต่างๆ ท่านก็เอาจากอรรถกถามา

    เราไม่ต้องไปพูดเฉพาะท่านหรอก คืออย่างคำแปลพระไตรปิฎก ฉบับโน้นฉบับนี้เราก็มาอ้างกันว่าเป็นพระไตรปิฎก และที่ใช้ในเมืองไทยก็ต้องแปลเป็นภาษาไทย โดยมากก็จะคัดมา อ้างอิงมาจากฉบับแปลเป็นภาษาไทย เราไม่ได้อ้างอิงมาจากฉบับภาษาบาลีมาอ้างอิงโดยตรง และหลายคนก็ไม่สามารถแปลได้ด้วย

    ที่เราบอกว่าพระไตรปิฎกๆ นั้น คำแปลเขาอ้างจากอรรถกถานะ พระไตรปิฎกฉบับ ๒๕ ศตวรรษพิมพ์ครบชุดครั้งแรกในประเทศไทย ฉบับ พ.ศ. ๒๕๐๐ แล้วต่อมาก็กลายเป็นฉบับกรมการศาสนา ฉบับมหามกุฏฯ มหาจุฬาฯ คนแปลไม่ได้รู้ไปหมด ต้องค้นหากัน เวลาค้นๆ กันที่ไหน ก็ค้นจากอรรถกถา จากฎีกา แล้วก็แปลไปตามนั้น

    คนที่บอกว่าไม่เชื่ออรรถกถา ไม่รู้แปลพระไตรปิฎกเอาตามอรรถกถา ใช้อรรถกถามาเป็นสิ่งที่ตัวเองยึดถือเลย โดยอ้างอิงพระไตรปิฎก เพราะฉะนั้นพระไตรปิฎกแปลไม่ได้แปลตรงไปตรงมาหรอก แปลตามอรรถกถาอธิบาย เพราะพระไตรปิฎกนั้นเรารู้อยู่แล้วว่าเก่ากว่าอรรถกถามาก ที่นี้ศัพท์ที่เก่าขนาดนั้น บางทีรูปประโยคดูไม่ออกเลยว่าหมายความว่าอย่างไร การแปลจึงต้องหาอุปมาช่วย ก็ได้อรรถกถานี้แหละที่เก่ารองจากพระไตรปิฎก จึงไปเอาอรรถกถาว่าท่านอธิบายบาลีองค์นี้ไว้อย่างไร ถ้าอธิบายความแล้วยังไม่ชัดอยากจะได้ความที่ชัดยิ่งขึ้นก็ไปค้นคัมภีร์รุ่นต่อมา หรือฎีกา หรืออนุฎีกาต่างๆ มาพิจารณาประกอบ จะถือเอาตามนั้นหรือจะตัดสินอย่างไรก็ตามแต่ รวมแล้วก็คือต้องอาศัยคัมภีร์เก่า

    แต่บางคนก็อ้างพระไตรปิฎกโดยไม่รู้ว่าความจริงว่าแม้แต่คนแปลเขาก็อ้างอรรถกถา กลายเป็นว่าที่ตัวเอาๆ มาจากอรรถกถา อันนี้เป็นตัวอย่างที่หลวงพ่อพุทธทาสท่านศึกษามาก ต้องยอมรับว่าท่านบวชตั้งแต่เมื่อไร ท่านอุทิศชีวิตกับการศึกษาค้นคว้าพระไตรปิฎก คัมภีร์อรรถกถา ฎีกาอะไรต่างๆ เวลาท่านอธิบายท่านก็ยกมาอ้าง เวลาท่านบอกไม่ให้เชื่ออย่างนั้นอย่างนี้ก็เป็นส่วนหนึ่ง ไม่ให้เราเชื่อเรื่อยเปื่อยงมงายไป

    ในหนังสือพุทธิกะจริยธรรม หน้า ๒๓๓ "ฉะนั้นเราต้องมีธรรมที่เหมาะสมแก่วัย ที่วัยนั้นจะพอรับเอาได้ หรือเข้าใจได้" ข้อนี้ท่านเปรียบไว้ในอรรถกถาว่า "ขืนป้อนข้าวคำใหญ่ๆ แก่เด็กซึ่งปากยังเล็กๆ" ก็หมายความว่าเด็กจะรับไม่ได้ ท่านได้ยกคำอรรถกถามาใช้ แต่ที่เป็นอภินิหารท่านก็บอกว่าอันนี้เป็นเรื่องน่าเชื่อไม่น่าเชื่อ

    ฉะนั้นการที่จะไปพูดเรื่องมองอนาคตอะไร แนวคิดผลงานของท่านอันนี้ก็เป็นเรื่องใหญ่ บางทีเราอาจจะก้าวเลยไปก็ได้ บางทีคนที่มาพูดมองอนาคตนั้นผ่านชีวิตของท่าน แต่ละคนก็มีในใจของตัวเอง มองแนวคิดของท่านไว้คนละอย่าง เสร็จแล้วอาจจะพูดไปคนละทางสองทาง การมองเรื่องที่ตั้งไว้ว่าเราจะช่วยให้มันเป็นอย่างไร โดยผ่านแนวคิดของท่านพุทธทาส เราก็ต้องชัดด้วย อย่างที่อาตมาบอกว่าให้มองตั้งแต่เจตนาของท่านที่แน่นอนเลย ที่จะสนองพุทธประสงค์ ที่จะรับใช้พระพุทธเจ้า ถ้าเรามีเจตนาแบบนี้ก็ต้องอนุโมทนาว่าเรามีเจตนาที่เป็นกุศล เราศึกษางานของท่าน เพื่อเอามาใช้ เอามาสอน เพื่อประโยชน์สุขของประชาชน ถ้าทำได้อย่างนี้จะเป็นส่วนที่เราได้สนองท่านพุทธทาสด้วยนะ ท่านพุทธทาสสนองงานพระพุทธเจ้า โดยที่ว่าเราก็จำกัดลงมาในแง่สนองรับใช้ท่านพุทธทาส เราก็ได้รับใช้ทั้งสองเลย

    เอาเป็นอันว่าหลวงพ่อพุทธทาสตั้งเจตนาเลย ท่านอุทิศชีวิตสนองงานพระพุทธเจ้ามาตั้งแต่ชื่อตัวเอง ที่ท่านเรียกตัวเองว่าพุทธทาสภิกขุ บทบาทที่เด่นของท่านก็สมานสัมพันธ์กับยุคสมัย อย่างที่บอกว่าคนไทยห่างไกลพุทธศาสนามาก ความเชื่ออะไรก็เป็นไปตามปรัมปรา ที่สืบต่อกันมา ก็ค่อยๆ คลาดเคลื่อน ค่อยๆ เพี้ยนไป อันนี้เป็นปัญหาของสังคมไทยที่เป็นสังคมพุทธ เพราะพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ต้องอาศัยกัน ไม่ใช่ศาสนาที่สำเร็จด้วยศรัทธา ที่จะบอกเลยว่าให้มีหลักความเชื่ออย่างไร"

    แม้โลกวันนี้จะแสนวิปริตเพียงใด หากท่านมองผ่านฐานแนวคิดของท่านพุทธทาส จะเห็นว่าไม่ได้เป็นเรื่องของความทุกข์เพียงด้านเดียว แต่ยังเป็นบุญ เป็นโชค ดังคำกล่าวของท่านที่ว่า "โชคดีมีบุญที่ได้มาเกิดในโลกนี้ ในสภาพปัจจุบันนี้ที่แสนจะวิปริต เพราะว่ามีอะไรให้ศึกษามาก...คิดดูถ้าไม่มีเรื่องให้ศึกษามากแล้วมันจะฉลาดได้อย่างไร"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กุมภาพันธ์ 2010
  7. s.orr

    s.orr เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    135
    ค่าพลัง:
    +327
    สมัยที่ไปสวนโมกข์ท่านพุทธทาส
    ที่ศาลาท่านแปลกมาก มีพลังงานมาก
    ทำให้มือกระตุกไปตามการไหวของพลัง

    แล้วคำสอนท่านนี้ พระป่าหลายๆท่านเคยกล่าวไว้
    ว่้าคำสอนมันใช้ภาษาชั้นสูง คนที่เข้าใจนั้นต้องมีปัญญามาก
    คนมีปัญญาน้อย จะเข้าใจผิดเพี้ยนไปต่างๆนาๆ
    แล้วท่านสอนท่านให้คิด ไม่ใช่ให้เชื่อไปตามอักษร ไม่ได้ให้เชื่อไปตามคำพูด
    คำพูดท่านมันเป็นกล เป็นค่ายกลคำพูด
    แล้วตามที่ท่านสอนอานาปานสติ พระป่าท่านหนึ่งเป็นที่รู้จัก ยืนยันเสียงแข็ง
    ว่าท่านพุทธทาสสอนอานาปานสติได้ถูกต้องและครบถ้วน ละเอียดแบบไม่มีใครทำได้เลย
    ผมก็ได้ลองอ่านหลังสือท่านเรื่องอานาปานสติ
    ผมเองก็ยืนยันว่าเป็นหนังสือที่ละเอียดถูกต้องมากในตอนนี้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กุมภาพันธ์ 2010
  8. ศุภกร เต็มคำขวัญ

    ศุภกร เต็มคำขวัญ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    307
    ค่าพลัง:
    +1,107
    กราบท่านเจ้าคุณประยุทธ์สุดจิตสุดใจครับ _/|\_
     
  9. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    ขอขมาได้ก็ดี ทำบ่อย ๆ ก็ยิ่งดี จะให้ดีใช้บทแผ่เมตตาร่วมไปด้วย จะทำให้จิตใจอ่อนโยนลงมาได้
     
  10. su37berkut

    su37berkut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    422
    ค่าพลัง:
    +1,121
    อนุโมทนา...สาธุครับ
    ผมจะได้หายคาใจเสียที เห็นมีหลายท่านวิจาร์ณ จนผมงงไปหมด...
     
  11. Mr.Boy_jakkrit

    Mr.Boy_jakkrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    2,063
    ค่าพลัง:
    +2,676
    พระท่านพูดท่านสอนก็ดีอยู่แล้ว คือคนฟังจะฟังให้ดีต้องฟังให้ครบมีทัศนคติที่ดี
    ไม่ใช่ไปจำมาเพียงอย่างหนึ่งอย่างใดแล้วเอามาปรามาทว่าคำสอนพระพุทธเจ้า โดยยึดหลักคำสอนของท่านพุทธทาสเป็นหลักอย่างนี้ก็ไม่ถูกนัก

    อย่างท่านข้างบนที่กล่าวนั่นแล..

    ประโยคดังกล่าวหากคิดในทางบวกเป็นก็หมดสงสัยไปเลยก็มี
    แต่ถ้าคิดในทางลบ ก็จะมีคำถามหรือความหมายที่แปลกไปอีกก็มีนะ
    ของทุกอย่างล้วนมีสองด้านเสมอ
    ฉนั้นการเป็นที่รู้จักและยอมรับในช่วงจะมีทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยคละเคล้ากันไปบ้าง มันก็เป็นธรรมดา คนคิดเป็นคนคิดไม่เป็นประปนกันอยู่จึงเกิดความเข้าใจในภาษาที่จำกัดเชิงความหมายหรือวัจนที่ใช้นั้นสามารถแปรได้สองด้าน..

    เคยบ้างไม๊ว่า.."เราคิดว่าเขา คิดเหมือนที่เราคิด" นั่นเห็นไม๊ เพราะเราเข้าไปยึดว่าเขาจะคิดเหมือนเรา พอเขาคิดไม่เหมือนเราๆก็พูดจบแค่นั้น แต่เขาไปเข้าใจคนละอย่างตัวอย่างมีให้เห็นแล้ว จนเกิดมิจฉาทิฐิลงลึกไปในจิตจะแก้ก็ต้องแก้ที่รากฐานของความคิดใหม่ ซึ่งไม่แน่ใจว่าจะแก้ได้เมื่อไหร่..


    อนุโมทนา
     
  12. CottonFields

    CottonFields เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    127
    ค่าพลัง:
    +149
    ผมได้เริ่มเห็นธรรมคือเห็นพระรัตนไตรเป็นครั้งแรกในชีวิตก็ตอนไปปฏิบัติธรรมที่สวนโมกข์นี่แหละครับ ผมจึงนับถือท่านพุทธทาสว่าเป็นพ่อแม่ครูบาอาจารย์องค์หนึ่งของผมครับ
     
  13. ปรม

    ปรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มกราคม 2010
    โพสต์:
    141
    ค่าพลัง:
    +325
    <DD>พระพุทธเจ้าแทนที่จะตรัสเหมือนกับสมณพราหมณ์เหล่าอื่นที่เคยพูดมาแล้ว พระองค์ไม่ได้ทรงสรรเสริญคำสอนของพระองค์ และก็ไม่ทรงติเตียนคำสอนศาสนาของผู้อื่นแต่พระองค์กลับตรัสอีกแบบหนึ่ง การพูดแบบนี้เป็นลักษณะของวิทยาศาสตร์ปัจจุบัน คือพระองค์ได้กล่าวถึงสิ่งที่ไม่ควรเชื่อ 10 ประการโดยตรัสว่า ท่านทั้งหลายจงฟัง

    [​IMG] มา อนุสฺสวเนน อย่าเพิ่งเชื่อโดยฟังตามกันมา
    [​IMG] มา ปรมฺปราย อย่าเพิ่งเชื่อโดยถือว่าเป็นของเก่าเล่าสืบๆ กันมา
    [​IMG] มา อิติกิราย อย่าเพิ่งเชื่อเพราะข่าวเล่าลือ
    [​IMG] มา ปิฏกสมฺปทาเนน อย่าเพิ่งเชื่อโดยอ้างคัมภีร์หรือตำรา
    [​IMG] มา ตกฺกเหตุ อย่าเพิ่งเชื่อโดยคิดเดาเอาเอง
    [​IMG] มา นยเหตุ อย่าเพิ่งเชื่อโดยคิดคาดคะเนอนุมานเอา
    [​IMG] มา อาการปริวิตกฺเกน อย่าเพิ่งเชื่อโดยตรึกเอาตามอาการที่ปรากฏ
    [​IMG] มา ทิฎฐินิชฺฌานกฺขนฺติยา อย่าเพิ่งเชื่อเพราะเห็นว่าต้องกับความเห็นของตน
    [​IMG] มา ภพฺพรูปตา อย่าเพิ่งเชื่อว่าผู้พูดควรเชื่อได้
    [​IMG] มา สมโณ โน ครูติ อย่าเพิ่งเชื่อว่าผู้พูดนั้นเป็นครูของเรา

    [​IMG] สรุปแล้ว พระพุทธเจ้าตรัสว่าอย่าเพิ่งเชื่อ เพราะเหตุ 10 ประการนี้

    <DD>ข้อความประเภทนี้ตรงกับกฎทางวิทยาศาสตร์ เพราะนักวิทยาศาสตร์จะไม่เชื่อถ้าเขายังไม่ได้ ทดสอบหรือพิจารณาเหตุผลให้ปรากฏก่อน และข้อความเช่นนี้ไปตรงกันได้อย่างไรในข้อที่ไม่ให้เชื่อเพราะเหตุ เหล่านี้ ถ้าเช่นนั้นแล้ว เราควรจะเชื่อแบบใดเมื่อปฏิเสธไปหมดเลยทั้ง 10 ข้อ และเราควรจะเชื่ออะไรได้บ้าง

    <DD>พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาของเหตุและผล ไม่โจมตีศาสนา ไม่โจมตีผู้ใด
    ชี้แต่เหตุและผลที่ยกขึ้นมา อธิบายเท่านั้น

    <DD>พระพุทธวจนะทั้ง 10 ประการข้างต้นนั้น ท่านทั้งหลายฟังดูแล้วอาจคิดว่า ถ้าใครถือตามแบบ นี้ทั้งหมดก็มองดูว่าน่าจะเป็นมิจฉาทิฎฐิ คือ ไม่เชื่ออะไรเลย แม้แต่ครูของตนเอง แม้แต่พระไตรปิฎกก็ไม่ให้เชื่อ พิจารณาดูแล้ว น่าจะเป็นมิจฉาทิฎฐิ
    แต่ก็ไม่ใช่

    <DD>คำว่า "มา" อันเป็นคำบาลีในพระสูตรนี้ เป็นการปฏิเสธมีความหมายเท่ากับNoหรือนะคืออย่า แต่โบราณาจารย์กล่าวว่า ถ้าแปลว่า อย่าเชื่อ เป็นการแปลที่ค่อนข้างจะแข็งไปควรแปลว่า"อย่าเพิ่งเชื่อ" คือให้ ฟังไว้ก่อน สำนวนนี้ ได้แก่สำนวนแปลของสมเด็จพระพุทธโฆสาจารย์ (เจริญ) วัดเทพศิรินทราวาส นักปราชญ์ รูปหนึ่งในยุครัตนโกสินทร์ แต่บางอาจารย์ให้แปลว่า"อย่าเพิ่งปลงในเชื่อ" แต่บางท่านแปลตามศัพท์ว่า "อย่าเชื่อ" ดังนั้น การแปลในปัจจุบันนี้จึงมีอยู่ 3 แบบคือ

    <DD><DD>1. อย่าเชื่อ <DD><DD>2. อย่าเพิ่งเชื่อ <DD><DD>3. อย่าเพิ่งปลงใจเชื่อ

    <DD>การแปลว่า "อย่าเชื่อ" นั้น เป็นการแปลที่ค่อนข้างจะแข็งเป็นการไม่ค่อยยอมกัน ส่วนการ แปลอีก 2 อย่างนั้น คือ "อย่าเพิ่งเชื่อ" และ "อย่าเพิ่งปลงใจเชื่อ" นั้นก็มีความหมายเหมือนกันแต่คำว่า "อย่าเพิ่งปลงใจเชื่อ" นั้นเป็นสำนวนแปล
    ที่ค่อนข้างยาว ดังนั้น คำว่า "อย่าเพิ่งเชื่อ"
    เป็นสำนวนที่สั้นกว่า ง่ายกว่าและเข้าใจได้ดีกว่า ฉะนั้น การที่จะแปลให้ฟังง่ายและเหมาะสมก็ต้องแปลว่า "อย่าเพิ่งเชื่อ"

    <DD>เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า ใครจะพูดก็พูดไปเราก็ฟังไป อย่าไปว่าหรือค้านเขา แต่อย่าเพิ่งเชื่อ ต้องพิจารณาดูก่อนว่าถูกหรือผิด เป็นประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์ เป็นบุญหรือเป็นบาป เป็นไปเพื่อประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์

    </DD><DD>
    </DD>
     
  14. ปรม

    ปรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มกราคม 2010
    โพสต์:
    141
    ค่าพลัง:
    +325
    พระอนุรุทธเถระผู้ได้รับการแต่งตั้งจากพระบรมศาสดาให้เป็นยอดของภิกษุทั้งหลายผู้มีจักษุทิพย์ ควรจะได้ทราบว่าการที่พระอนุรุทธเถระเป็นผู้เลิศเช่นนั้น เพราะเป็นผู้มีความชำนาญที่ได้สั่งสมไว้แล้วในเวลาที่ผ่านมา.อรรถกถากล่าวว่า พระเถระนั้น ตลอดทั้งกลางวัน และกลางคืน ได้เจริญอาโลกกสิณตรวจดูเหล่าสัตว์ด้วยทิพยจักษุอย่างเดียว เว้นแต่ช่วงเวลาฉันเท่านั้น ดังนั้น พระเถระนี้จึงชื่อว่าเป็นยอดของภิกษุทั้งหลายผู้มีทิพยจักษุ เพราะเป็นผู้มีความชำนาญอันสะสมไว้ตลอดวันและคืน ไม่เพียงเท่านั้น แต่ยังเนื่องจากท่านได้ตั้งปรารถนาไว้ตลอดแสนกัป ตามเรื่องที่จะกล่าวตามลำดับดังต่อไปดังนี้
    ความปรารถนาในอดีต
    กระทำมหาทานแด่พระปทุมุตตระพุทธเจ้า
    ได้ยินว่า ครั้งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระ พระอนุรุทธเถระนั้นบังเกิดในสกุลคฤหบดีผู้มหาศาล ครั้นเมื่อเจริญวัยแล้ว อยู่มาวันหนึ่งวันหนึ่งได้ไปยังพระวิหารที่พระพุทธปทุมุตตระประทับอยู่ และฟังธรรมอยู่แถวท้ายหมู่พุทธบริษัทในวิหารนั้น ได้เห็นภิกษุรูปหนึ่งที่พระศาสดาทรงสถาปนาไว้ในตำแหน่งเป็นยอดของภิกษุผู้มีทิพยจักษุ ท่านจึงปรารถนาที่จะได้เป็นอย่างภิกษุนี้ในศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคตกาลเช่นนั้นบ้าง
    ดังนั้นท่านจึงนิมนต์พระพระปทุมุตตระพุทธเจ้า และทำการถวายมหาทานอยู่ ๗ วัน. แล้วท่านจึงหมอบลงแทบพระบาทของพระศาสดา แสดงความปรารถนาว่า ด้วยผลแห่งการถวายทานสักการะนี้ ข้าพระองค์ไม่ปรารถนาสมบัติอื่นใด เพียงแต่ในอนาคตกาล ขอข้าพระองค์พึงได้ตำแหน่งเอตทัคคะนั้นในศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคตกาล เหมือน ภิกษุที่พระองค์ทรงสถาปนาไว้ในตำแหน่ง ในวันสุดท้าย ๗ วัน นับแต่วันนี้
    พระศาสดาทรงตรวจดูอนาคตกาลด้วยพุทธญาณ ทรงเห็นว่าความปรารถนาของกุลบุตรนี้จักสำเร็จ จึงทรงพยากรณ์ว่ากุลบุตรผู้เจริญ ในที่สุดแห่งแสนกัปในอนาคต พระพุทธเจ้าพระนามว่าโคดม จักทรงอุบัติขึ้น ท่านจักมีชื่อว่าอนุรุทธ ท่านจักเป็นยอดของภิกษุผู้มีทิพยจักษุ ในศาสนาของพระโคดมพุทธเจ้าดังนี้ ครั้นเมื่อทรงพยากรณ์แล้ว ทรงกระทำอนุโมทนาแล้วเสด็จกลับไป.
    ตั้งแต่นั้นมา ตราบที่พระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ ท่านก็ได้กระทำแต่กรรมที่ดีมาโดยตลอด ครั้นเมื่อพระศาสดาปรินิพพานแล้ว เมื่อเจดีย์ทองประมาณ ๗ โยชน์สร้างสำเร็จแล้ว ท่านจึงเข้าไปหาเหล่าภิกษุสงฆ์ แล้วถามภิกษุสงฆ์เหล่านั้นว่า ทำบุญด้วยอะไรจึงจะทำให้ได้ทิพยจักษุ ภิกษุสงฆ์บอกว่าควรทำบุญด้วยประทีป ท่านจึงให้สร้างต้นประทีปหลายพันต้น และสร้างประทีปบริวารด้วยถ้วยกระเบื้องและถาดสัมริดนับจำนวนไม่ได้ถวายเป็นพุทธบูชา และอธิษฐานว่า ผลบุญนี้จงเป็นปัจจัยให้เกิดทิพยจักษุญาณ ท่านกระทำเช่นนี้จนตลอดชีวิต เมื่อหมดอายุขัยแล้ว ก็ท่องเที่ยวไปในภูมิเทวดาและภูมิมนุษย์ทั้งหลาย วนเวียนอยู่เช่นนั้นตลอดแสนกัป

     
  15. ปรม

    ปรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มกราคม 2010
    โพสต์:
    141
    ค่าพลัง:
    +325
    เรื่องของศรัทธา

    หากนับถือท่านแล้วทำความดี ต่อคนอื่น ต่อโลก ผมก็อนุโมทนาสาธุ

    แต่มันตะขิดตะขวงใจกับบางคำสอน เล็กๆน้อย เท่านั้นแหละ

    เลยหาหลักฐานมาแสดง

    เป็นพระอรหันต์จริงหรือป่าว นี้ ข้อสำค้ญที่ผมไม่เชื่ออยู่ตรงนี้


    แล้วผมผิดหรือป่าวอ่ะครับ บังคับผมให้เชื่อไม่ได้ด้วยสิ

    ผมเกรียนครับ ไม่ค่อยเหมือนคนอื่น

    ขอบอกจากใจ

    ไม่ค่อยชอบหลักการสอนแบบเซ็นเลย

    สอนอะไรว๊า อย่าให้ผมคิดหลายชั้นเลยครับ

    ชั้นเดียวก็เข้าใจยากอยู่ล่ะ

    วิธีการของเซ็น โดยการตั้งโกอานหรือคำถามแปลกๆ ที่แท้แล้ววัตถุประสงค์โดยตรงไม่ใช่อยู่ที่คำตอบของคำถามที่ตั้งเป็นปริศนานั้นไว้ เพราะบางคำถามแทบหาคำตอบไม่ได้เลย คนคิดปวดหัวแย่เปล่าๆ แต่จุดหมายที่แท้จริงแอบแฝงเร้นไว้ ให้มันยากๆ เข้าไว้
    ยิ่งยากยิ่งดูฉลาด

    ตัวอย่างของหลักการเซ็น

    1.หากท่านเจอพระพุทธเจ้าให้ฆ่าพระพุทธเจ้าเสีย เจอพระไตรปิฏกให้เผาทิ้ง

    เจอพระสงฆ์ก็ฆ่าทิ้ง

    2. พอแล้วครับ เด๋วก็มีคนโพส เด๋วนี้เซ็นเขามีเยอะ

    เด๋วผมคงโดนรุมสวด ตามสไตล์ผู้ใหญ่ตามตบเกรียน 555+
     
  16. ปรม

    ปรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มกราคม 2010
    โพสต์:
    141
    ค่าพลัง:
    +325
    ๑๒. เรื่องกลับชาติของพระพุทธเจ้า
    ปรัศนี: ชาวพุทธจะอธิบายเรื่องกลับชาติของพระพุทธเจ้าในเรื่องชาดกต่างๆ อย่างไร จึงจะไม่เป็นสัสสตทิฎฐิ และเป็นที่ยอมรับได้ หรือมีประโยชน์แก่มนุษย์ในยุคปัจจุบันนี้ ซึ่งเป็นยุควิทยาศาสตร์ครับ?
    พุทธทาส: นี่เกิดชอบวิทยาศาสตร์ขึ้นมาแล้ว ผู้ถามคนเดียวกันหรือเปล่า? เกี่ยวกับเรื่องนี้ มันเป็นปัญหาซับซ้อน ที่มีข้อความเรื่องชาดก แล้วกลับชาติชาดกเกิดมาชาตินั้นเป็นคนนั้น เป็นคนนี้ เช่นว่า "พระเวสสันดร" มาเกิด เป็นพระพุทธเจ้าอย่างนี้ มันก็เป็นเรื่องชาดก เขาไม่ได้มุ่งหมายจะให้เป็นหลักวิชาความจริงปรมัตถ์อะไรนักหรอก เขามุ่งหมายจะสอนศีลธรรม
    ชาดกทั้งชุดอยู่ในหมวดขุททกนิกาย มุ่งจะสอนศีลธรรมให้เข้ากันกับความเชื่ออย่างนั้นอยู่แล้วก่อนพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าตรัสเรื่องชาดก ท่านก็ไม่ได้ตรัสเรื่องกลับชาตินะ ไปดูให้ดีเถอะ อ้ายเรื่องกลับชาติ ต่อท้ายชาดกนั้นเป็นเรื่องทีหลัง เป็นของทีหลัง คำอธิบายข้อนี้อย่างละเอียดที่สุดก็คือ พระราชวิจารณ์ในหลวงรัชกาลที่๕ ขอร้องว่า ถ้าใครสามารถหาได้เอามาดูก็ขอให้เอามาศึกษา​
     
  17. แบงก์จ้า

    แบงก์จ้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2008
    โพสต์:
    665
    ค่าพลัง:
    +1,520
    ผมก็เคยอ่านๆ มาบ้าง ก็เคยสงสัยในคำสอน(ที่หลายๆคนมาโพสท์) แต่ไม่เคยพูด หรือคิดอะไรจาบจ้วงท่าน

    แต่มันก็รู้สึกไม่ค่อยดีที่สงสัยในคำสอนของท่าน และพอวันนี้มาอ่านกระทู้นี้ ก็เข้าใจแล้วครับ

    แต่ผมก็เคยขออโหสิกรรมกับท่านแล้ว ก่อนที่จะมาอ่านกระทู้นี้

    แต่ยังไงก็แล้วแต่
    หากข้าพเจ้าเคยประมาทพลาดพลั้ง ล่วงเกินต่อท่านพุทธทาส รวมถึงพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย
    ไม่ว่าด้วยทาง กาย วาจา ใจ จะด้วยเจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี รู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี
    ขอท่านพุทธทาส และพระอริยสงฆ์ทั้งหลายโปรดอดโทษให้แก่ข้าพเจ้าตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปตราบเท่าเข้าสู่นิพพานด้วยเถิด
     
  18. omio

    omio เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    1,679
    ค่าพลัง:
    +5,214
    ชัดเจนที่สุด สาธุ

    ขอบคุณมาก ๆ และขออนุโมทนาที่นำเอาเรื่องนี้มาเล่าสู่กันฟัง
     
  19. วิมุตติ

    วิมุตติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    2,355
    ค่าพลัง:
    +2,169
    อ่านแล้วซาบซึ้ง

    ผมมั่นใจในอาจารย์พุทธทาสอยู่แล้ว

    แต่ไม่รู้จะเอาหลักฐานที่ไหนมาเถียงไอ้พวกที่มันปรามาสท่าน

    อาจารย์พุทธทาสท่านมีความแตกฉานในอรรถธรรมอย่างลึกซึ้ง

    มีแนวโน้มว่าได้ปฏิสัมภิทาญาณด้วยซ้ำ

    ขออนุโมทนากับ จขกท ด้วย กับการทำกุศลธรรมในครั้งนี้ สมัยนี้พระดีดีหาไม่ได้ง่ายๆ ของแท้ควรพยายามรักษาเอาไว้...สาธุ
     
  20. ถิ่นธรรม

    ถิ่นธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    1,824
    ค่าพลัง:
    +5,398
    อย่าเชื่อเพราะเป็นครูบาอาจารย์ของตน ลองอ่านธรรมแบบไม่ติดบุคคล เห็นแต่ธรรมะในคำเทศน์สอนนั้นจะดีกว่า และเทียบเคียงกับที่พระพุทธเจ้าสอนในพระไตรปิฎกก็จะรู้ว่าธรรมใดเป็นธรรมปลอม ธรรมใดเป็นไปเพื่อความเสื่อมของพระพุทธศาสนา ถ้าเป็นธรรมแท้จะไม่ขัดกับพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแม้แต่เสี้ยวเดียว
     

แชร์หน้านี้

Loading...