สาเหตุของการป่วยเรื้อรังและมะเร็งลุกลามเร็ว

ในห้อง 'จิตวิทยา & สุขภาพ' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 13 สิงหาคม 2008.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    หากย้อนกลับไปดูสภาพสิ่งแวดล้อม สภาพของชั้นบรรยากาศ ตลอดจนถึงอาหาร และแนวทางการดำรงชีวิตของมนุษย์ เมื่อประมาณ 50 ปีที่ผ่านมา ถึงแม้ในระยะเวลานั้นมนุษย์ได้ทำลายสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติไปมากแล้วก็ตาม แต่เรายังคงมี ภูเขาที่เขียวครึ้มไปด้วยต้นไม้ ป่าใหญ่รกชัฏ ยังคงมีให้เห็นอยู่ในแทบทุกพื้นที่ ต้นน้ำลำธาร ลมฟ้าอากาศและฤดูกาล ตลอดจนอาหาร และสิ่งต่างรอบๆตัวเรา ยังคงเป็นปกติอยู่ มนุษย์หายใจได้ยาวลึกถึงท้อง ความเจ็บป่วยมีน้อย ไม่รุนแรง รักษาได้ง่ายและหายป่วยในเร็ววัน เนื่องจากโลกของเรายังมีสภาพสมดุลของพลังงานสำคัญตามธรรมชาติที่จำเป็นสำหรับชีวิต เช่น พลังกระแสลมปราณ และ พลังมโนธาตุ ยังไหลซึมเข้าสู่ร่างกายได้ตามปกติ จึงทำให้ภูมิต้านทานร่างกายสูง สามารถมีชีวิตอยู่ได้โดยปราศจากโรคภัยเบียดเบียน

    เหตุ: การใช้พลังงานน้ำมัน
    ผล: เกิดปฏิกิริยาเรือนกระจก และเอดส์

    มนุษย์ทุกชาติทุกภาษา ต่างมีส่วนร่วมในการทำร้าย "โลก" ใบนี้มาอย่างต่อเนื่อง น้ำมันเป็นพลังงานที่ช่วยเอื้อประโยชน์ให้เกิดความสะดวกสบายในการดำรงชีวิตทุกๆด้าน น้ำมันถูกเผาผลาญจนกลายเป็นควันดำปกคลุมอยู่ทั่วชั้นบรรยากาศโลก ทำให้เกิดภาวะเรือนกระจกและปฏิกิริยาเรือนกระจก ซึ่งทั้งสองอย่างนี้เป็นกระบวนการที่แสงของดวงอาทิตย์ไม่สามารถสะท้อนออกไปนอกชั้นบรรยากาศได้ เนื่องจากมีควันน้ำมันปกคลุมอยู่อย่างหนาแน่น จึงทำให้เกิดภาวะโลกร้อนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และในขณะเดียวกันแสงของดวงอาทิตย์ที่มีการสะท้อนชึ้นลงด้วยความถี่สูง เพื่อทะลุผ่านควันน้ำมันให้ได้ (แต่ไม่สามารถทะลุผ่านออกไปได้) จะค่อยๆลดระดับความถี่ต่ำลงมาเรื่อยๆจนมีความถี่ต่ำมาก จนหมดแรงสะท้อนกลายเป็นพลังงานแสงที่ลอยตัวเอื่อยๆอยู่ในชั้นบรรยากาศโลก และแทรกซึมเข้าสู่ร่างกายมนุษย์ ทำให้ภูมิต้านทานของร่างกายลดต่ำลง จนเป็นสาเหตุให้เกิดโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง (ซึ่งถ้าตรวจพบว่ามีเชื้อ HIV อยู่ด้วยก็จะเรียกว่าเอดส์) และเป็นสาเหตุเบื้องต้นที่ทำให้ศูนย์กลางของเซลล์ (นิวเคลียส) ผิดปกติ พระอาจารย์รัตน์ เรียกแสงของดวงอาทิตย์ที่สะท้อนออกไปไม่ได้นี้ว่า "แสงเฉื่อย"

    เหตุ: สาร CFC ทำลายโอโซนในชั้นบรรยากาศ
    ผล: เกิดโอโซนโหว่ จึงทำให้ " มะเร็ง" น่ากลัวกว่า เอดส์


    สาร CFC (Chloror-Fluoro-Carbon) เป็นสารเคมีตกค้างที่เกิดที่เกิดจากโรงงานอุตสาหกรรมใหญ่ๆ ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ปัจจุบันยังไม่สามารถค้นพบวิธีที่จะทำลายสาร CFC นี้ได้ พระอาจารย์รัตน์ ได้ให้ความรู้ไว้ว่า สารชนิดนี้มีคุณสมบัติพิเศษคือ "ความเบา" เพราะเหตุที่เบากว่าสาร/ธาตุอื่นๆ ทุกชนิด บรรยากาศทั่วโลกเริ่มได้รับผลกระทบจากการที่สาร CFC เข้าไปทำลายชั้นบรรยากาศโอโซนที่เคยปกคลุมอยู่เหนือท้องฟ้า จนเกิดโอโซนโหว่เป็นบริเวณกว้างมาตั้งแต่ประมาณปี พ.ศ. 2540 และเพิ่มความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ตามปริมาณของสาร CFC ที่เพิ่มขึ้น โดยปราศจากมาตรการป้องกันหรือควบคุม สำหรับประเทศไทย บรรยากาศชั้นโอโซนที่เคยปกคลุมอยู่เหนือท้องฟ้าได้ถูกสาร CFC ทำลายไปจนหมดสิ้น ซึ่งหมายความว่า แสงแดด, รังสีอัลตร้าไวโอเล็ต, สารพิษ, มลภาวะจากอากาศ ฯลฯ สามารถไหลลงสู่พื้นโลกได้โดยปราศจากฉนวนกั้นบัง ร่างกายมนุษย์ทุกคนจึงสะสมรังสีอัลตร้าไวโอเล็ต (UV) และสารพิษจากอากาศไว้นานมากกว่า 10 ปี ซึ่งอัตราเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดผลร้ายต่อเซลล์ จะแตกต่างกันไปตามกิจวัตรประจำวันของแต่ละคนและการรู้จักป้องกันตนเองให้พ้นจากแสงแดด
     
  2. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    แสงเฉื่อย เป็นสาเหตุเริ่มต้นที่ทำให้ภูมิต้านทานในร่างกายมนุษย์ลดต่ำลง และศูนย์กลางของเซลล์ (นิวเคลียส) วงกลมที่เล็กที่สุดเริ่มผิดปกติ
    รังสีอัลตร้าไวโอเล็ต (UV) จากดวงอาทิตย์ที่เคยให้ประโยชน์เพราะมีบรรยากาศชั้นโอโซนทำหน้าที่กรองลดความรุนแรงของรังสี UV ไว้ได้ ส่งผลให้เกิดโทษตามปริมาณที่สะสมไว้ในร่างกาย จนทำให้นิวเคลียส ศูนย์กลางของเซลล์ถูกดึงให้บิดเบี้ยวจนผิดปกติ ไม่เป็นสภาพกลมดังเดิม "มะเร็ง" จึงกลายเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตในอันดับต้นๆของคนไทยทั้งชาย-หญิง
    เหตุ: สาร CFC ทำลาย "แกนพลังงานโลก"
    ผล: พลังงานแม่เหล็กโลก ฝังตัวอัดแน่นอยู่ในร่างกายมนุษย์ ทำให้ป่วยเรื้อรัง

    ดาวแต่ละดวง ไม่ว่าจะมีขนาดเล็กหรือใหญ่ ในกาแล็คซี่ทางช้างเผือก ต่างมีแกนกลางหรือ "แกนพลังงาน" ด้วยกันทั้งสิ้น แกนพลังงานจะมีขั้วอยู่สองด้านเพื่อเป็นช่องทางให้พลังงานจากดวงดาวที่มีขนาดใหญ่กว่าเคลื่อนที่ไหลเข้าไปผ่านแกนกลางและไหลทะลุออกไปยังอีกด้านและไหลหมุนวนร้อยรัดอยู่ระหว่างสองขั้ว เป็นพลังอำนาจของดาวที่มีศูนย์กลางของวงกลมที่ใหญ่กว่าแผ่พลังงานควบคุมดาวบริวารแต่ละดวง ไม่ให้เลื่อนหลุดหรือหนีพ้นออกไปจากรัศมีของแรงดึงดูดได้ (ลองจินตนาการถึงท่อน้ำประปา ท่อน้ำเปรียบเสมือนแกนโลก น้ำที่ไหลอยู่ภายในท่อเปรียบเสมือนพลังงาน)
    ถ้าผ่าแกนพลังงานโลกออกดู จะพบว่ามีพลังงานที่สำคัญอยู่ 3 ชนิด เรียงลำดับจากชั้นในสุดออกมา ได้แก่
    1. มโนธาตุ เป็นพลังงานที่มีสีขาวนวล ประกอบด้วย ธาตุเมตตา ธาตุบริสุทธิ์ และธาตุว่าง เป็นธาตุรู้ที่นำไปเกิดเป็นมนุษย์และสัตว์ ทำให้สิ่งมีชีวิตเกิดความรู้สึกทั้งปวง เป็นธาตุประกอบสำคัญของจุดศูนย์กลางเซลล์ (นิวเคลียส) ทั่วร่างกาย สำหรับมนุษย์เรา "ใจ" เป็นแหล่งธาตุรู้ที่ใหญ่ที่สุด
    2. กระแสลมปราณ เป็นพลังงานที่มีสีออกเหลือง มีแหล่งกำเนิดมาจากดวงอาทิตย์ศูนย์กลางของสุริยจักรวาล เป็นพลังงานที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งต่อสิ่งมีชีวิต เพราะเป็นพลังแห่งชีวิต เป็นพลังงานอันล้ำค่าที่ธรรมชาติจัดสรรให้แก่สัตว์โลกอย่างเท่าเทียมกัน เพื่อเป็นภูมิต้านทานให้แก่ร่างกาย ซึ่งในภาวะปกติ มนุษย์เราจะได้รับกระแสลมปราณจากดวงอาทิตย์อย่างพอเพียง ตามจังหวะ 1 วินาที ของแรงดึงเข้าและผลักออกที่ดวงอาทิตย์มีต่อโลก
    3. พลังงานแม่เหล็กโลก เป็นพลังงานออกสีเทาดำ เป็นพลังแรงดึงดูดจากศูนย์กลางของกาแล็คซี่ทางช้างเผือก ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศเหนือ เป็นพลังงานที่ร้อยรัดหมู่ดาว รวมทั้งโลกและมนุษย์ทุกคน ไม่ให้เคลื่อนพ้นออกไปจากวงโคจรของกาแล็คซี่ทางช้างเผือก เป็นพลังงานที่ร้อนและหนัก มีอานุภาพทำให้เกิดการย่อยสลาย ทำลายโมเลกุลในสสาร วัตถุและสิ่งมีชีวิตทุกชนิด
     
  3. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่า สาร CFC เป็นสารหรือธาตุที่เบากว่าสารหรือธาตุอื่นๆ จึงมีอานุภาพสามารถทำลายนิวเคลียสของสารหรือธาตุชนิดอื่นๆที่หนักกว่า ดังนั้นสาร CFC นอกจากได้ทำลายชั้นบรรยากาศโอโซนแล้ว ยังได้เข้าไปทำลายมโนธาตุในแกนพลังงานโลก จนทำให้แกนโลกตัน พลังงานแม่เหล็กโลกซึ่งมีแหล่งที่อยู่ในแกนพลังงานโลกได้รับผลกระทบกระเทือน เกิดการเคลื่อนที่เปลี่ยนทิศทางออกไปจากแนวทิศ เหนือ-ใต้ ซึ่งภาวะการเคลื่อนที่อย่างผิดปกติของพลังงานแม่เหล็กโลกนี้ได้เกิดขึ้นอย่างรุนแรงถึง 2 ครั้ง ในเดือน ก.ค. และปลายเดือน ต.ค. 2544

    ถึงแม้ว่าแกนพลังงานโลกถูกทำลายจนอุดตัน ไม่มีช่องทางสำหรับให้พลังงานจากศูนย์กลางกาแล็คซี่ทางช้างเผือกไหลผ่านเข้าออกได้ก็จริง แต่โดยธรรมชาติ ตามลักษณะของแรงดึงดูดที่มีต่อกันระหว่างวงกลม กาแล็คซี่ทางช้างเผือกยังคงส่งพลังงานซึ่งเป็นแรงดึงดูดมาสู่ดาวบริวารทุกดวง รวมทั้งดวงอาทิตย์และโลกของเราตามปกติ พลังงานแม่เหล็กโลกจึงแผ่กระจายไปทั่วทุกส่วน ไม่ว่าจะเป็นในชั้นบรรยากาศ ใต้พื้นโลก แม้กระทั่งในร่างกายมนุษย์เรา ยังถูกฝังและอัดแน่นด้วยพลังงานที่ร้อนและหนักมาร่วม 6 ปีแล้ว จึงเป็นสาเหตุของความเจ็บป่วยเรื้อรัง และแทบจะหมดทางรักษาเกือบทุกโรค เพราะนอกจากพลังงานแม่เหล็กโลกจะทำลายเนื้อเยื่อเซลล์แล้ว พลังงานกระแสลมปราณซึ่งเป็นภูมิต้านทานของร่างกายตามธรรมชาติก็ได้รับผลกระทบจากการที่ไม่มีแกนพลังงานโลกด้วยเหมือนกัน เมื่อไม่มีแกนพลังงานโลกเป็นที่ให้อยู่เช่นเดิม พลังกระแสลมปราณจึงแพร่กระจายอยู่ทั่วไปในชั้นบรรยากาศ และลอยสูงขึ้นๆ พ้นไปจากความหนาแน่นของมลภาวะในชั้นบรรยากาศโลก เกินความสามารถที่มนุษย์จะรับเข้าสู่ร่างกายโดยทางลมหายใจได้ตามปกติ
    [​IMG] [​IMG]
    เส้นแรงแม่เหล็กโลกปกติ แกนพลังงานโลกอุดตันเส้นแรงแม่เหล็กฟุ้งกระจายไปทั่วโลก

    ร่างกายมนุษย์ได้รับกระแสลมปราณอย่างเจือจางมาตั้งแต่ปลายปี พ.ศ. 2544 และได้มาถึงภาวะ "ขาดกระแสลมปราณ" เมื่อเวลาประมาณ 04.15 น. ของวันพุธที่ 1 ม.ค. 2546 เนื่องจากสภาพของชั้นบรรยากาศโลกได้ทวีความหนาแน่นของมลภาวะ ปิดกั้นไม่ให้กระแสลมปราณไหลเข้าสู่ร่างกายได้ตามปกติ จึงทำให้มนุษย์ทุกคนตกอยู่ในภาวะที่เสี่ยงต่อชีวิต โดยเฉพาะกลุ่มผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจทุกชนิด มะเร็ง และโรควูบคือมีอาการหมดสติและเสียชีวิตทันที

    คุณประโยชน์หลักของกระแสลมปราณ นอกจากจะเป็นภูมิต้านทานของร่างกายตามธรรมชาติแล้ว ยังเป็นพลังงานที่ช่วยสะเทินรังสี UV ออกไปจากร่างกายได้ รวมทั้งเป็นพลังงานช่วยหล่อเลี้ยงหลอดเลือดไม่ให้ตีบตัน และช่วยสร้างความรู้สึกสดชื่นให้แก่ร่างกาย ในขณะที่มโนธาตุ เป็นธาตุที่ช่วยเสริมสร้างความเป็นมนุษย์ให้สมบูรณ์ เป็นเวไนยสัตว์ที่สามารถรับความรู้ เรียนรู้ได้อย่างกว้างขวาง และครองตนประพฤติปฏิบัติในสิ่งที่ยังประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่น และสำหรับพลังงานแม่เหล็กโลก หากไม่ได้อยู่ในแกนโลกเพื่อประกอบขึ้นเป็นแกนพลังงานโลกแล้ว ย่อมมีผลร้ายต่อเซลล์ เช่น เร่งให้เกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่น (Oxidation) เกิดอนุมูลอิสระเพิ่มมากขึ้น หรือเกิดภาวะแน่น ปวดเมื่อยทั่วร่างกาย หัวใจวายเฉียบพลัน ฯลฯ
    โลกของเราไม่มีแกนพลังงานโลกมาตั้งแต่ ปลายเดือน ต.ค. 2544 แล้ว ดังนั้น "แกนสสารขั้วโลกเหนือ-ขั้วโลกใต้" จะดำรงอยู่ได้นานอีกเท่าไร

    เหตุ: พลังงานแม่เหล็กโลกท่วมโลก
    ผล: นำแข็งขั้วโลกละลาย

    พลังงานแม่เหล็กโลกมีคุณสมบัติเป็นพลังงานที่ร้อนและหนัก มีความพิเศษตรงที่เป็นพลังงานแรงดึงดูดจากศูนย์กลางที่ใหญ่ที่สุดของกาแล็คซี่ทางช้างเผือก จึงสามารถย่อยสลายโมเลกุลในสสารวัตถุทุกชนิดในกาแล็คซี่ พลังงานแม่เหล็กโลกเป็นแรงดึงดูดที่ร้อยรัดหมู่ดาวในกาแล็คซี่ทางช้างเผือกให้โคจรรวมกลุ่มไปด้วยกัน มนุษย์เราต้องตกอยู่ภายใต้แรงดึงดูดของโลก ซึ่งโลกรับแรงดึงดูดจากดวงอาทิตย์ และดวงอาทิตย์รับแรงดึงดูดโดยตรงจากศูนย์กลางกาแล็คซี่ทางช้างเผือกอีกทอดหนึ่ง
    จากภาวะที่ไม่มีแกนพลังงานโลกมาร่วม 6 ปี (ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2544-2550) ทำให้พลังงานแม่เหล็กโลกทวีความหนาแน่น เป็นพลังงานตกค้างแทรกอยู่ทั่วทุกตารางนิ้วของชั้นบรรยากาศโลก ใต้พื้นดิน พื้นน้ำมหาสมุทร และทุกอณูของร่างกายมนุษย์ จนทำให้เกิดผลเลวร้ายต่อสภาพสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของมนุษย์อย่างคาดไม่ถึงเลยทีเดียว

    แผ่นหินเปลือกโลกมีอยู่ทั้งหมด 14 แผ่น แต่ละแผ่นมีขนาดมหึมา รองรับทั้งในส่วนที่เป็นพื้นดินและพื้นน้ำมหาสมุทร ประเทศจีนและหมู่เกาะสุมาตราตั้งอยู่คนละด้านบนแผ่นหินเปลือกโลกแผ่นเดียวกัน เมื่อประเทศจีนได้สร้างเขื่อนขนาดใหญ่ขึ้นหลายเขื่อน ปริมาณน้ำจำนวนมหาศาลถูกกักไว้ มีน้ำหนักและแรงกดต่อแผ่นหินเปลือกโลก จนทำให้แผ่นหินอีกด้านซึ่งอยู่ทางหมู่เกาะสุมาตรากระดกขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรง เป็นสาเหตุทำให้เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่บนเกาะสุมาตรา นำไปสู่การเกิดคลื่นยักษ์สึนามิและโศกนาฏกรรมที่เลวร้ายที่สุดของมนุษยชาติ เท่าที่คนในยุคปัจจุบันได้เคยพบเคยเห็น เมื่อวันที่ 26 ธ.ค. 2547

    แผ่นหินเปลือกโลกบริเวณหมู่เกาะสุมาตรายังคงกระดกยกตัวค้างอยู่เช่นนั้น ตราบจนปัจจุบันนี้ ช่องว่างที่เกิดขึ้นจากการยกตัวของแผ่นหิน กลายเป็นจุดอ่อนเหมือนรอยแตกรอยรั่วของเปลือกโลก ทำให้พลังงานแม่เหล็กโลกมีที่ไหลลงอยู่ทุกวินาที ตามจังหวะแรงดึงเข้าและผลักออกจากศูนย์กลางกาแล็คซี่ทางช้างเผือก

    และเนื่องจากพลังงานแม่เหล็กโลกมีคุณสมบัติทั้งหนักและร้อน การเสียดสีที่เกิดขึ้นใต้พื้นโลกย่อมทวีความรุนแรงมากขึ้นตามปริมาณความหนาแน่นของพลังงานแม่เหล็กโลก

    จึงทำให้แผ่นหินเปลือกโลกบริเวณหมู่เกาะสุมาตรา ทะเลอันดามัน และมหาสมุทรอินเดีย เกิดแผ่นดินไหวบ่อยครั้ง จนกลายเป็นอันตราย ผูกโยงเป็นลูกโซ่ต่อแผ่นหินเปลือกโลกอื่นๆทั่วโลก โดยเฉพาะจุดที่เป็นรอยเลื่อนแผ่นดินไหว ดังนั้นมนุษย์เราต้องได้เผชิญกับภัยธรรมชาติที่รุนแรงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ไปจนกว่าแผ่นหินเปลือกโลกจะได้เรียงตัวใหม่เป็นปกติ
     
  4. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ยิ่งไปกว่านั้น การเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่เมื่อ 26 ธ.ค. 2547 ยังส่งผลการสั่นสะเทือนกระทบต่อแกนสสารของโลกเราที่เคยเอียง 23 องศา 30 ลิปดา กระดกสูงขึ้นเป็น 22 องศา 30 ลิปดา ทำให้โลกหมุนเร็วกว่าเดิม แกนของขั้วโลกได้เบี่ยงหลุดออกไปจากขั้วโลกเพียงเล็กน้อยก็จริง แต่ผลที่ตามมาทำให้น้ำแข็งที่เคยเกาะตัวอย่างหนาแน่นที่ขั้วโลกเหนือ-ใต้เริ่มละลาย และยิ่งได้รับการซ้ำเติมจากการไหลลงเสียดสีของพลังงานแม่เหล็กโลกอีก เกิดความร้อนสะสมเพิ่มขึ้นทุกวินาที การละลายของน้ำแข็งขั้วโลกจึงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลกระทบให้ปริมาณน้ำทะเลในมหาสมุทรเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ส่งผลกระทบต่อฤดูกาล ระบบนิเวศวิทยา ฯลฯ

    ความหนาแน่นของพลังงานแม่เหล็กโลกที่ตกค้างสะสมอยู่ในโลกของเรามีปริมาณมากเกินกว่าที่จะกำหนดได้ว่ามีมากเพียงใด นอกจากกำลังทำลายโลกแล้ว ยังส่งผลร้ายต่อระบบวงโคจรของสุริยจักรวาลอีกด้วย เนื่องจากเมื่อพลังงานแม่เหล็กโลกไม่ได้ไหลร้อยเข้าสู่แกนกลางของโลก และส่งแรงดึงดูดทะลุผ่านไปยังดวงดาวอื่นๆตามลำดับในสุริยจักรวาล จึงเป็นผลให้ดาวพลูโตซึ่งเป็นดาวเคราะห์ลำดับสุดท้าย ต้องมีอันหลุดพ้นไปจากวงโคจรของสุริยจักรวาล ทั้งๆที่เคยถูกนับว่าเป็นดาวบริวารดวงหนึ่งของดวงอาทิตย์มานานแสนนาน เป็นเหตุการณ์ที่น่าพิศวง แต่สามารถหาคำอธิบายในเรื่องของพลังงานได้ด้วยวิทยาศาสตร์ทางจิต

    ยิ่งไปกว่านั้นในภาวะปัจจุบันนี้ (ก.ค. 2550) เมื่อพลังงานแม่เหล็กโลกมีปริมาณหนาแน่นมากๆเข้า สามารถรวมตัวกันเป็นกลุ่มมวลพลังงานร้อน เกิดการหมุนปั่นเป็นเกลียวลงไปใต้พื้นโลก ขั้วโลก ฯลฯ แผ่นดินสะสมความร้อนเพิ่มมากขึ้น จนทำให้ชั้นดินที่อ่อนกว่าหลุดร่อนออกมาได้ง่าย เมื่อถูกพลังของน้ำฝน/น้ำป่าไหลเซาะ จึงเกิดเหตุการณ์ดินโคลนถล่ม หรือแผ่นดินทรุด แผ่นดินไหว รวมทั้งต้องเผชิญกับไฟไหม้ป่าแผ่เป็นอาณาเขตกว้าง ยากแก่การป้องกันแก้ไข เพราะเป็นกระบวนการทำลายล้างของเกลียวหมุนคลื่นพลังงานแม่เหล็กโลก พลังอันทรงอำนาจจากศูนย์กลางของวงกลมที่ใหญ่ที่สุด เป็นแรงดึงดูจากกาแล็คซี่ทางช้างเผือกที่มนุษย์อาศัยอยู่ มนุษย์ทุกคนจึงจำต้องยอมรับสภาพตกอยู่ภายใต้ "แรงดึง" นี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และเหตุทุกเหตุเกิดจาก "มนุษย์" เป็นผู้เริ่มต้น "ก่อเหตุ" มนุษย์จึงต้องรับผลของการกระทำนั้นๆอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อีกเช่นกัน "ภาวะโลกร้อน" เป็นสภาพ NPL ของธรรมชาติที่หมดหนทางทางแก้ไข ได้แต่รอ ...วันสุดท้าย


    ที่มา: หนังสือ "ทางรอด" โดย คุณจีรพันธุ์ ประศาสน์วุฒิ
     

แชร์หน้านี้

Loading...