สาระความรู้เรื่องพลังจิต

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย วสุธรรม, 23 กรกฎาคม 2010.

  1. วสุธรรม

    วสุธรรม พลังรักอมตะ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    2,323
    ค่าพลัง:
    +8,220
    <TABLE class=contentpaneopen><TBODY><TR><TD class=contentheading width="100%"></TD><TD class=buttonheading width="100%" align=right> </TD><TD class=buttonheading width="100%" align=right> </TD><TD class=buttonheading width="100%" align=right> </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE class=contentpaneopen><TBODY><TR><TD vAlign=top> พลังจิต (Gsychergy)


    พลังจิต (Gsychergy) หมายถึง คลื่นความถี่ของพลังงานความคิด (Pranic Energy) ซึ่งเป็นพลังงานไฟฟ้าบวก (Proton) ไฟฟ้าลบ (Electron) ที่เกิดจากต่อมไพเนียล (Pineal Gland) ที่สมองตอนบน เมื่อบุคคลคิดต่อมนี้ จะสร้างคลื่นความถี่ของความคิดขึ้น คลื่นนี้อาจจะมีมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับ ขบวนการ ทางความคิด (Thinking Process) นั้น คลื่นนี้จะลอยอยู่รอบๆ ตัวผู้คิด เมื่อคิดถึงใคร คลื่นนั้นจะพุ่งตรงไปยัง ต่อมสร้างความคิดของผู้รับนั้น ถ้าผู้รับรับคลื่นความคิดนั้นได้ จะเกิดความคิดเช่นนั้นทันที เรียกว่า เกิดการรับรู้ความคิดของผู้อื่นได้
    บุคคลที่มีพลังจิตสูง
    บุคคลที่มี พลังจิต สูงคือ บุคคลที่มีสมาธิดี เช่น มีสมาธิอยู่ในขั้นกลางที่เรียกว่า อุปจารสมาธิ และสมาธิขั้นสูงที่เรียกว่า อัปปนาสมาธิ
    การทำงานของ พลังจิต
    จิตจะทำงานได้ จิตต้องมีเครื่องมือคือ ร่างกายที่เป็นอยู่ของจิต จิตจึงแสดงผลออกมาให้เห็นได้ ส่วนของมันสมอง มีหน้าที่รับคำสั่ง ของจิตคือ ต่อมใพเนียล (Pinial Gland) ซึ่งเป็นต่อมเล็กๆสีแดงอมเทา รูปกรวย เป็นส่วนประกอบของปลายประสาท ต่อมนี้ อยู่ใน ส่วนกลางตอนบนของมันสมอง เมื่อ ต่อมไพเนียล รับคำสั่งของจิตต่อมนี้ จะสร้างเป็นคลื่นความถี่ออกมา คลื่นความถี่ จะมาก หรือน้อย ขึ้นอยู่กับความคิดนั้น และจะลอยอยู่รอบๆตัวผู้คิด และคลื่นความถี่นี้ จะวิ่งไปตามประสาทต่างๆ ทั่วร่างกาย
    เพื่อควบคุมการทำงานของอวัยวะนั้นๆ พลังงานไฟฟ้าที่ควบคุมอวัยวะต่างๆ จะมีกระแสความถี่ต่างกัน ตามหน้าที่ของอวัยวะ และคนนั้นๆ อีกด้วย เช่น Electron และ Protron ที่ควบคุมการทำงานของ เซลล์เนื้อเยื่อของอวัยวะ ต่างๆ ทำให้มีการสร้าง และการทำลายของเซลล์ได้ตามปกติ เช่น ทำลายไป 10 เซลล์ก็จะสร้างขึ้นมาทดแทนเช่นเดิม อวัยวะนั้นจะทำหน้าที่ได้ตามปกติ สร้างภูมิต้านทานของร่างกาย ให้สูงเป็นปกติ ร่างกายจะแข็งแรงสมบูรณ์
    การศึกษา พลังจิต
    ได้มีการค้นคว้าทาง พลังจิต ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ประเทศไทยเรียกพลังนี้ว่า พลังอำนาจทิพย์ ในต่างประเทศ เช่น ชาวจีนโบราณเรียกว่า พลังแห่งชีวิต (Life Force Energy) ชาวยุโรป เช่น เยอรมันเรียกว่า พลังงานแม่เหล็กสัตว์ (Animal Magnetism) ชาวรัสเซียเรียกว่า พลังงานชีวภาพ (Bioplasmic Energy) นักวิทยาศาสตร์ในกลุ่มประเทศตะวันตกเรียกว่า พลังชีวภาพ (Bio Energy) หรือ พลังแม่เหล็กไฟฟ้า (Electo Magnetic Force)
    บุคคลที่มีร่างกายแข็งแรงคือ ผู้ที่มีพลังจิตสมบูรณ์ควบคุม อยู่ทั่วทุกส่วนของร่างกาย ทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น แจ่มใสกระฉับ กระเฉง พลังจิต จะเปล่งเป็นรัศมี ออกโดยรอบ ร่างกาย ตรงกันข้ามคนป่วย จะมี พลังจิต ควบคุมอยู่ เพียงเล็กน้อย ภูมิต้านทาน ในร่างกาย จะลดต่ำลง ร่างกายจะอ่อนแอ และจะมีร่างกายที่ปกติ เหมือนเดิมได้ เมื่อได้รับ พลังจิต นั้นๆเพิ่มขึ้น ดังนั้น พลังจิต จึงเป็นพลังงาน ที่ควบคุมการทำงานของร่างกาย เช่น การหมุนเวียนของโลหิต การเจริญเติบโตของเซลล์ หากร่างกายส่วนใด ขาด พลังจิต ร่างกายส่วนนั้น จะไม่สามารถทำหน้าที่ใดๆ ได้ตามปกติ หรือร่างกายไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ พลังจิต ที่ใช้กันทั่วไปมี 3 ลักษณะคือ
    1. Telepathy คือ พลังงานแห่งเมตตา พลังนี้ติดต่อกันได้โดยทางจิต เป็นพลังงานที่ใช้เพื่อการสร้างสรรค์
    2. Telkynesys คือ พลังงานที่ใช้บังคับวัตถุให้เคลื่อนที่ หรือใช้เพื่อทำลายวัตถุต่างๆ เป็นพลังงานที่ใช้ เพื่อการบังคับ หรือเพื่อการทำลาย
    3. Teleportation คือ พลังงานที่ใช้เพื่อการล่องหนหายตัว เมื่อใช้พลังงานนี้แล้ว สามารถเดินบนน้ำบนอากาศ หรือเพื่อผ่าน เครื่องกีดขวางได้
    พลังจิต ผิดปกติทำให้เจ็บป่วย
    จิตมีอำนาจเหนือร่างกาย ที่เรียกว่า จิตเป็นใหญ่ จิตเป็นประธาน สำเร็จแล้วด้วยจิต เมื่อจิตมีอำนาจของกรรมครอบงำอยู่ จิตนั้นจะสั่งกาย ซึ่งเป็นเครื่องมือของจิตตามอำนาจ ของกรรมนั้น เช่น จิตมีอำนาจของอกุศลกรรมมาก พลังงานไฟฟ้าที่ออกมา จะไม่มีความสมดุลย์ทางธรรมชาติ เช่น ทำให้พลังงานไฟฟ้าบวกสูงมาก พลังงานไฟฟ้าลบสูงมากบ้าง จะมีผลทำให้ระบบการสร้าง การทำลายของร่างกายไม่คงที่ ดังนี้
    พลังงานไฟฟ้าบวกสูงมาก จะทำให้การสร้างเซลล์มากกว่าการทำลายหรือเท่าเดิม แต่รูปร่างโตกว่าเดิม จะเป็นสาเหตุของโรคบวม เนื้องอก เช่น โรคหัวใจ โรคมดลูก เนื้องอกธรรมดา เนื้องอกมะเร็ง เป็นต้น นายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ โรคมะเร็ง ได้กล่าวถึง ทฤษฏีเกี่ยวกับมะเร็ง ที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดว่า เซลล์มะเร็ง เกิดขึ้น ในตัวคนเราตลอดเวลา แต่ถูกทำลายโดย เซลล์เม็ดเลือดขาว ก่อนที่มันจะโตจนก่อพิษภัยแก่ร่างกาย โรคมะเร็ง เกิดขึ้นต่อเมื่อ ระบบภูมิคุ้มกัน ถูกกดดันการทำงานไว้ ทำให้ไม่สามารถขจัด เซลล์มะเร็ง ที่ก่อตัวขึ้น ดังนั้นถ้ามีอะไรก็ตามส่งผลกระทบ ต่อการทำงานของสมอง ที่จะควบคุม ระบบภูมิคุ้มกัน มะเร็งย่อมเกิดขึ้นได้
    พลังงานไฟฟ้าลบสูงมาก จะทำให้การสร้างเซลล์น้อยกว่าการทำลายหรือเท่าเดิม แต่รูปร่างเล็กกว่าเดิม จะเป็นสาเหตุของ โรคลีบตีบต่างๆ เช่น หลอดเลือดตีบ ลิ้นหัวใจตีบ กล้ามเนื้อตาย มันสมองฝ่อ ภูมิต้านทานบกพร่อง ตับวาย ไตวาย กล้ามเนื้อหัวใจ ไม่ทำงาน เรียกว่า โรคไหลตาย เด็กเกิดมามี ร่างกาย ไม่สมบูรณ์เป็นต้น พลังงานไฟฟ้าภายในร่างกาย ของแต่ละบุคคลอาจไม่ เท่ากัน ก็เป็นได้ ผมเคยพบว่า การเพิ่มเลือด เกล็ดเลือดให้คนไข้ สภาพร่างกายคนไข้ไม่ยอมรับเลือด หรือเกล็ดเลือดนั้น เพราะเลือดใหม่ และเลือดเก่าไ ม่สามารถเข้ากันได้ แม้ทางการแพทย์จะวิเคราะห์แล้วว่า เป็นเลือดกรุ๊ปเดียวกัน
    เมื่อพิจารณา ในสมาธิพบว่า พลังงานไฟฟ้าที่ควบคุมเม็ดเลือดนั้นไม่เท่ากัน แสดงว่า พลังงานควบคุม เม็ดเลือด ของแต่ละคนจะเท่ากัน หรือไม่เท่ากันก็ได้ และพบอยู่มาก กับกลุ่มผู้หลงผิด ที่ไปรับเอา พลังงานอื่น มากดทับ พลังจิต ของตนเอง ทำให้การทำงานของ พลังจิต ของตนผิดไป จิตนั้นจึงสั่งมาที่ สมองของตนผิด การแสดงออกของร่างกายจิตผิดไปด้วย เช่น กลุ่มของคนทรงเจ้าเข้าผี กลุ่มของคน เหล่านี้จะไปรับเอาเวทย์มนต์คาถา ของอิทธิฤทธิ์ ของอาถรรพ์ดวงวิญญาณเข้ามาสิง เช่น ดวงวิญญาณกุมารทอง นางกวัก ปลัดขิก เจ้าพ่อ เจ้าแม่ น้ำมันพราย หรือองค์เทพต่างๆ มาอยู่กับตน ที่เรียกว่า เดรัจฉานวิชา ไม่เป็นจิตดั้งเดิม ของตนเอง อาการป่วยของบุคคลเหล่านี้ ทางการแพทย์จะตรวจหา สาเหตุไม่พบ
    การเพิ่มพลังจิตและการรับพลังจิต
    บุคคลที่มีสมาธิดีจะมีคลื่นความถี่ และความรุนแรงของพลังงานความคิดสูง สามารถที่จะส่งพลังงานนั้น ไปยังบุคคลที่ตั้งเป้าหมาย ไว้ได้แน่ชัดทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ตัวผู้รับได้ตามความปราถนานั้น เรียกว่า การเพิ่มและการรับพลังจิต การเพิ่มแต่ละครั้ง แต่ละคนไม่เหมือนกัน เพิ่มพลังจิต แต่ละครั้งนาน เท่าใด ผู้เพิ่มพลังจิตจะทราบได้ในสมาธิจิตนั้น หากผู้รับยังรับได้ ก็เพิ่มให้ต่อไป หากเห็นว่า พลังจิต ที่ส่งไปนั้นหยุดลง ก็หยุดเพิ่มพลังจิตในครั้งนั้น และต้องเพิ่มพลังจิตกี่ครั้งจึงจะได้ผล สิ่งนี้ไม่มีกำหนด แน่นอนขึ้นอยู่กับผู้รับ หากผู้รับสามารถรับพลังจิตได้มาก และเห็นว่าอวัยวะที่ผิดปกตินั้น เปลี่ยนเป็น ปกติเร็ว พลังจิตที่ส่งไปจะหยุดลง ควรหยุดเพิ่มพลังจิตให้ผู้ป่วยกลับไปทำสมาธิภาวนาด้วยตนเอง ผู้ป่วยจะสร้างพลังจิตที่ดีขึ้นมาได้ พลังจิตนั้นๆ จะบำบัดทุกข์ให้กับผู้ป่วยได้ในที่สุด
    การเพิ่มพลังจิตกระทำได้ 3 ทาง คือ
    1. เพิ่มที่อวัยวะนั้นโดยตรง
    2. เพิ่มที่จุดกำเนิดของพลังจิต คือที่ต่อมไพเนียล
    3. เพิ่มพลังจิตให้ครอบคลุมทั้งตัวผู้รับ จะเพิ่มให้ใครที่อวัยวะใดนั้นจะทราบและเห็นได้ในสมาธินั้นๆ
    ผู้เพิ่มพลังจิตที่ดี
    ผู้เพิ่มพลังจิตที่ดีควรมีคุณสมบัติดังนี้คือ เป็นผู้ที่ตั้งอยู่ในศีล สมาธิ ปัญญา และเมื่อเพิ่มพลังจิตให้กับใครก็ตามต้องรู้ทุกข์ รู้สาเหตุแห่งทุกข์ รู้หนทางดับทุกข์ และรู้วิธีการดับทุกข์นั้นๆโดยชัดแจ้งพร้อมตั้งตนอยู่ในพรหมวิหารธรรม และหิริโอตัปปธรรม
    ผู้รับพลังจิตที่ดี คือ เป็นผู้ที่มี
    1. ศรัทธา ผู้รับต้องมีศรัทธาที่จะรับพลังจิต
    2. สมาธิ ผู้รับต้องมีความตั้งมั่นแห่งจิตอยู่กับกายและจิตของตน
    3. สติ ผู้รับต้องมีความระลึกได้ว่าตนกำลังรับพลังจิตอยู่
    4. ปัญญา ผู้รับต้องรู้จักการปล่อยวางความทุกข์ออกจากจิตใจในขณะนั้น
    5. ความขยันหมั่นเพียร การรับพลังจิตนั้นต้องรับสม่ำเสมอและให้ตั้งอยู่ในคำสอนของพุทธองค์เป็นหลัก ดังกล่าวแล้ว
    การเพิ่มพลังจิตผ่านบุคคลอื่นวัตถุอื่น
    บางกรณีที่จำเป็น คือ ผู้ป่วยไม่สามารถขอรับพลังจิตด้วยตนเองได้ เช่นอยู่ในห้องผู้ป่วยหนัก อยู่ในโรงพยาบาลจิตเวช อยู่ต่างประเทศ ผมได้ทดลองเพิ่มพลังจิตผ่านกระแสจิตของผู้ใกล้ชิด เช่น พ่อ แม่ บุตร สามี ภรรยา ผู้ดูแล หรือผ่านลงไปในน้ำดื่ม ก็สามารถช่วยผู้ป่วยได้บ้างเป็นบางส่วนเท่านั้น

    อ้างอิง
    http://www.itti-patihan.com/พลังจิต-Gsychergy.html

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กรกฎาคม 2010
  2. วสุธรรม

    วสุธรรม พลังรักอมตะ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    2,323
    ค่าพลัง:
    +8,220
    ประเภทของพลังจิต

    พลังจิตที่มักได้ยินบ่อยๆ

    Telepathy อ่านความคิดและส่งความคิดถึงคนอื่นได้ เช่นการอ่านใจและการเห็นคำพูดในความคิดของผู้อื่น และอาจมีการส่งคำพูดจากความคิดของตนเข้าไปในสมองผู้อื่นโดยตรง

    Psychometry อ่านความทรงจำคนอื่นได้ หรือความทรงจำจากสิ่งของและสิ่งมีชีวิตอื่น โดยจะเห็นชัดจากความทรงจำที่ฝังแน่น มักอ่านจากการ แตะ สัมผัส เพ่งความรู้สึก สิ่งที่อ่านได้อาจมีทั้งภาพ เสียง หรือแรงของจิตสัมผัส

    Clairvoyance ตาทิพย์ การมองเห็นเหนือประสาททั้งห้า เช่นการมองเห็นคน สัตว์ สิ่งของ หรือสถานที่ที่ไม่เคยไปหรือไม่รู้จักมาก่อน เห็นสิ่งที่คนปกติไม่เห็นเช่นสิ่งของหรือสถานที่ที่ถูกซ่อนไว้อย่างมิดชิดหรืออยู่ไกลมากๆ

    Clairaudience หูทิพย์ ได้ยินในสิ่งที่คนอื่นไม่ได้ยิน การได้ยินเสียงหรือคำเตือนในสมอง หรือการได้ยินจากภายนอก สามารถแยกเสียงต่างๆออกได้อย่างชัดเจน ได้ยินเสียงที่ไกลหรือเบามากๆ

    Claiesentience,Intuition การรับรู้เหนือประสาททั้งห้าอย่างชัดเจน เช่นถ้าไปยืนอยู่ในที่ที่เป็นสนามรบเก่าจะรู้สึกอึดอัด หรือการรับรู้แบบเห็นเป็นสีในจิตใจ

    Empathy การสัมผัสได้ถึงความต้องการกระทำของผู้อื่น เช่นการเข้าใจจิตใจของผู้อื่นหรือการรับรู้ถึงจิตสังหาร

    Precognition การเห็นอนาคตที่ควรจะเป็นหรืออาจเกิดขึ้น แต่สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นอาจเกิดการแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ มีตั้งแต่เบาบางถึงแจ่มชัด เช่นการมีลางสังหรณ์ว่าจะเกิดเรื่องไม่ดี

    Psychokinesis,Telekinesis การยกหรือเคลื่อนย้ายวัตถุหรือทำสิ่งต่างๆโดยปราศจากเงื่อนไขทางฟิสิกส์ เช่นการงอช้อน การยกสิ่งของลอยในอากาศ

    Leviation การลอยตัวในอากาศได้โดยปราศจากการช่วยเหลือทางฟิสิกส์

    Teleportation การเคลื่อนย้ายสิ่งของหรือตนเองจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งโดยการแทนที่โดยฉับพลันเช่นการวาร์ป หรือการสลับสิ่งของโดยไม่แตะต้องหรือเคลื่อนย้ายด้วยวิธีทางฟิสิกส์

    Time Traveller ผู้มีความสามารถเกี่ยวกับเวลา นักท่องเวลา มีความสามารถแตกต่างกันออกไป เช่นย้อนเวลา สามารถหนีจากปัจจุบันหรืออนาคตเพื่อไปแก้ไขเรื่องในอดีตได้ ลบเวลา สามารถลบช่วงเวลาส่วนเกินที่ไม่ต้องการออกได้ นักข้ามเวลาสามารถเดินทางไปมาระหว่างมิติคู่ขนานของอดีต ปัจจุบัน อนาคตได้ หยุดเวลา สามารถเดินทางข้ามมิติของเวลาที่หยุดนิ่งได้ แต่ส่วนใหญ่จะเกิดผลเสียต่อผู้ใช้ เช่นการหลงอยู่ในมิติเวลา หรือส่งผลต่ออายุขัยและร่างกายของผู้ใช้

    Invisibility พลังในการล่องหนหายตัว สามารถหักเหแสงบิดเบือนการสะท้อนการมองเห็นหรือลบตัวตนและจิตของตนออกไปจากการสัมผัสของผู้อื่น

    ---------------------------------------------------------------------
    พลังจิตอื่นๆ

    Animal Telepathy การอ่านภาษาของสัตว์หรือสิ่งมีชีวิตอื่น เป็นการคุยกันด้วยภาษาจิต

    Chanelling การติดต่อกับสิ่งมีชีวิตหรือจิตเหนือธรรมชาติ เช่นวิญญาณ เทวดา หรือมนุษย์ต่างดาว

    Automatic Writing สามารถเขียนบางอย่างที่ผิดไปจากปกติโดยไม่ต้องใช้การรับรู้ใดๆ เหมือนกับการถูกบางอย่างสิงที่มือไปชั่วขณะ

    Aura Reading การมองเห็นออร่าหรือพลังชีวิต

    Divination ผู้ทำนายอนาคต หยั่งรู้อนาคต

    Astral Projection การถอดจิตและท่องไปตามที่ต่างๆที่ร่างการไม่สามารถไปได้

    Bi-Location เหมือนกับการถอดจิต แต่สามารถสร้างร่างแยกของตนขึ้นมา โดยเป็นตัวเองอีกคนให้คนอื่นเห็นในคนละสถานที่กับที่ร่างกายจริงอยู่

    Mind Over Body ผู้ที่สามารถปลดปล่อยร่างกายให้ปราศจากความต้องการพื้นฐานเช่นการดื่มน้ำ กินอาหาร นอนหลับ แต่ยังสามารถมีชีวิตอยู่ได้เหนือกว่าคนปกติ หรือมีสภาวะร่างกายเหมือนการจำศีล เช่นโยคี

    Mind Control ควบคุมจิตใจผู้อื่น สร้างภาพลวงตาขึ้นเพื่อหลอกการเห็น หรือการยิงภาพเข้าไปในสมองโดยตรง

    Hypnotic Control การสะกดให้ผู้อื่นหลับด้วยพลังจิต

    Mental Invisibility การซ่อนจิตของตนเองจากการรับรู้ของผู้อื่น

    ---------------------------------------------------------------------------
    พลังจิตสายควบคุม

    Echokinesis ความสามารถในการเลียนแบบการเคลื่อนไหวของผู้อื่นได้ไม่ผิดเพี้ยนจากการมองเห็น แม้แต่การเคลื่อนไหวเกินความสามารถของตนเอง

    Photokinesis ควบคุมแสงและพลังงานที่เป็นไปตามกฏทางฟิสิกส์ แต่ใช้จิตควบคุม

    Pyrokinesis การควบคุมไฟ จุดไฟ ควบคุมการเกิดไฟหรือทิศทางของไฟด้วยจิต

    Aquakinesis,Hydrokinesis ควบคุมน้ำให้เกิดการเคลื่อนไหวและรูปร่าง รวมทั้งควบคุมมวลของน้ำได้ดั่งใจ

    Cryokinesis ควบคุมความเย็น เปลี่ยนอุณหภูมิให้ต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง ทำให้เกิดผลึกบนน้ำหรือเลือกบนร่างกาย หรือการทำให้น้ำในอากาศเป็นผลึกได้ตามต้องการ

    Thermokinesis ควบคุมอุณหภูมิความร้อนของสิ่งต่างๆได้ แต่ไม่สามารถควบคุมไฟได้

    Aerokinesis ควบคุมเกี่ยวกับลม ก๊าซ และอากาศรอบตัว เรียกให้เกิดลมหรือเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศและควบคุมสมบัติของก๊าซ ควบคุมความดันบรรยากาศรอบตัว

    Geokinesis,Terrakinesis ควบคุมธาตุดินให้เกิดความแปรผันได้ดั่งใจ รวมไปถึงของแข็งชนิดต่างๆที่อยู่รวมกับธาตุดินด้วย

    Electrokinesis ควบคุมประจุไฟฟ้าและสายฟ้าได้ดังใจ

    Atmokinesis ควบคุมฟ้าฝน บรรยากาศ และลักษณะอากาศได้ เป็นความสามารถที่รวมระหว่างการคุมอุณหภูมิความร้อน อากาศ และสายฟ้า

    Atmoskinesis ควบคุมธาตุหลักทั้งสี่ได้ คือดิน น้ำ ลม ไฟ อาจรวมถึงสายฟ้าด้วย

    Biokinesis เหมือนกับการควบคุมธาตุทั้งสี่ แต่จะสามารถคุมได้ถึงระดับการเจริญเติบโตทาง DNA ได้ เช่นเปลี่ยนแปลงรูปแบบธาตุและ DNA ของตัวเองให้เกิดลักษณะพิเศษตามต้องการ

    Gravitokinesis ควบคุมเกี่ยวกับแรงโน้มถ่วงได้ แต่ไม่สามารถเคลื่อนไหวไปในทิศทางอื่นได้นอกจากทิศแรงโน้มถ่วง

    Magnokinesis ควบคุมแรงแม่เหล็กและสนามแม่เหล็กในบริเวณที่ต้องการ สามารถใช้ควบคุมโลหะให้เคลื่อนที่ได้ดั่งใจด้วย

    Vitakinesis การรักษาตัวเองจากอาการบาดเจ็บ

    Audiokinesis การควบคุมคลื่นเสียงหรือก่อกำเนิดเสียงด้วยจิต

    Hemokinesis ควบคุมรูปแบบของเซลล์เม็ดเลือดได้ รวมทั้งการถ่ายเทเลือดด้วย คล้ายกับการควบคุมน้ำ

    Particle Manipulation ควบคุมสิ่งต่างๆในระดับอะตอมหรือโมเลกุล หยุดอนุภาคเหล่านั้นหรือทำให้ระเบิดออกก็ได้

    -----------------------------------------------------------------

    ***แบ่งพลังจิตตามหมวดของพระพุทธศาสนา***

    ***สายเตวิชโช***

    ญาณ ๘ หรือ วิชชาทั้ง ๘
    ๑. ทิพจักขุญาณ รู้เห็นผี เทวดา สวรรค์ นรก พรหม เห็นพระนิพพาน
    ๒. จุตูปปาตญาณ รู้ว่าสัตว์ที่ตายไปแล้วไปเกิด ณ ที่ใด
    ๓. เจโตปริยญาณ รู้อารมณ์จิตของคนและสัตว์
    ๔. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติที่เกิดมาแล้วในกาลก่อนได้
    ๕. อตีตังสญาณ รู้เหตุการณ์ในอดีต
    ๖. อนาคตังสญาณ รู้เหตุการณ์ในกาลข้างหน้าต่อไปได้
    ๗. ปัจจุปปันนังสญาณ รู้เหตุปัจจุบันว่า ขณะนี้อะไรเป็นอะไร
    ๘. ยถากัมมุตาญาณ รู้ผลกรรมของสัตว์ บุคคล เทวดา และพรหม ได้ว่าเขามีสุข มีทุกข์ เพราะผลกรรมอะไร
    ------------------------------------------------------------
    ***สายอภิญญา***
    กสิน ๑๐ แบ่งกลุ่มได้ ๓ กลุ่ม คือ
    ๑. กลุ่มภูตกสิน (มหาภูตรูป ๔ กอง)
    ๒. กลุ่มวรรณกสิน (สี ๔ กอง)
    ๓. กลุ่มกสินอื่น ๆ (๒กอง) ได้แก่

    ๑. ปฐวีกสิน คือ ดิน สามารถทำของแข็งให้อ่อนได้ และสามารถสร้างดิน/ควบคุมธาตุดินได้ เช่น ทำให้โลหะอ่อนตัว
    ๒. อาโปกสิน คือ น้ำ สามารถทำของอ่อนให้แข็งได้และสามารถสร้าง/ควบคุมธาตุน้ำได้ เช่น ทำน้ำให้แข็ง เดินบนน้ำได้
    ๓. เตโชกสิน คือ ไฟ สามารถสร้างและควบคุมธาตุไฟได้
    ๔. วาโยกสิน คือ ลม สามารถสร้างและควบคุมธาตุลมได้
    ๕. นีลกสิน คือ สีเขียว สามารถเปลี่ยนสีสิ่งต่างๆได้กลายเป็นสีเขียว /สีฟ้า/ม่วงได้
    ๖. ปิตกสิน คือ สีเหลือง สามารถเปลี่ยนสีสิ่งต่างๆให้กลายเป็นสีเหลือง/สีทองได้
    ๗. โลหิตกสิน คือ สีแดง สามารถเปลี่ยนสีสิ่งต่างๆให้กลายเป็นสีแดงหรือสีโทนแดงได้
    ๘. โอทาตกสิน คือ สีขาว สามารถเปลี่ยนสีสิ่งต่างๆให้กลายเป็นสีขาวได้ (มีผลกับการฝึกตาทิพย์และการปฏิบัติธรรม)
    ๙. อาโลกสิน
    คือ แสงสว่าง สามารถสร้างแสงสว่างได้ดั่งใจนึก (มีผลกับการฝึกตาทิพย์และการปฏิบัติธรรม)
    ๑๐. อากาสกสิน คือ อากาศ สามารถสร้างอากาศหายใจได้ เช่นสามารถอยู่ใต้น้ำ หรือในอวกาศ หรือสถานที่ๆไม่มีอากาศได้

    อภิญญา ๕ คือสามารถฝึกญาณ ๘ ให้ได้ทั้งหมดและกสินตั้งแต่ ๔ กสินกองขึ้นไปจนสามารถใช้การได้คล่อง (เพราะกสินอีก ๖ กอง ที่เหลือหากฝึกต่อก็ไม่ยากแล้ว ต่างกันแค่กำหนดจิต)แต่ยังมีวันเสื่อมได้

    อภิญญา ๖ เหมือนกับอภิญญา ๕ แต่ไม่มีวันเสื่อม ต้องเป็นพระอริยเจ้าตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไปเท่านั้น

    อ้างอิง
     
  3. วสุธรรม

    วสุธรรม พลังรักอมตะ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    2,323
    ค่าพลัง:
    +8,220
    เอ็ดการ์ เคย์ซี นักพลังจิตที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งอเมริกา

    เอ็ดการ์ เคย์ซี นักพลังจิตมหัศจรรย์อันดับหนึ่งของอเมริกา เอ็ดการ์ เคย์ซี เคยพยากรณ์ความตายของอดีตของประธานาธิบดีรูสเวลต์ และอดีตประธานาธิบดีเคนเนดีไว้ล่วงหน้า และปรากฏเป็นจริงตามคำทำนายของเขาทุกประการ นับว่าป็นเรื่องแปลกแต่จริง แม้แต่นักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงของอเมริกาหลายท่านต่างก็ตะลึงของความมหัศจรรย์ เกี่ยวกับความสามารถของเขาจนแทบไม่น่าเชื่อ

    และนอกจากนี้ เอ็ดการ์ เคย์ซี ยังได้เคยพยากรณ์ได้ถูกต้องว่า จะพบดินแดนบางส่วนที่สัมพันธ์กับอาณาจักรแอตแลนติสมาก่อน

    เอ็ดการ์ เคย์ซี ได้เคยพยากรณ์ไว้ในปี ค.ศ. 1940 ก่อนที่เขาจะสิ้นชีวิตว่า ซากวิหารแห่งหนึ่งของแอตแลนติส จะโผล่ขึ้นมาปรากฏแก่สายตาของชาวโลกในบริเวณใกล้กับหมู่เกาะไบมินิ ในปี ค.ส. 1968 หรือ 1969 อย่างแน่นอน ปรากฏว่าคำพยากรณ์ของ เอ็ดการ์ เคย์ซี ที่กล่าวไว้ก่อนสิ้นชีวิตช่างแม่นยำอะไรขนาดนั้น ซากปรักหักพังหรือซากวิหารได้ปรากฏขึ้นในปีที่เขาทำนายไว้ทุกอย่างถูกต้อง สามารถถ่ายภาพทางอากาศได้อย่างชัดเจน

    เอ็ดการ์ เคย์ซี คือใคร?

    เอ็ดการ์ เคย์ซี คือชาวเวอร์จิเนีย ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกงานค้นคว้าเกี่ยวกับพลังจิต อี.เอส.พี(ESP) ของมนุษย์รุ่นแรกสุดในอเมริกา เขาได้รับการยกย่องว่าเป็นมนุษย์มหัศจรรย์ที่มีความสามารถสูงในการรับรู้ เหตุการณ์และสิ่งต่างๆล่วงหน้าทางพลังจิต เอ็ดการ์ เคย์ซี เคยกล่าวว่า เรื่องราวของแอตแลนติสนั้นเป็นจริงทีเดียว เกี่ยวกับชีวิตของมวลมนุษย์ในเกาะแอตแลนติส และการเปลี่ยนแปลงของมันนั้น เขาบอกได้ชัดเจนราวกับตาเห็น

    ความสามารถของพลังจิตของเขาทั้งการพยากรณ์ และการรักษาโรค การส่งพลังจิตหรือแม้แต่การรับรู้วาระจิต ขอบุคคลอื่นนั้น มีอิทธิพลอย่างกว้างขวาง และก่อให้เกิดสมาคมหรือองค์การมูลนิธิเอ็ดการ์ เคย์ซีขึ้น ต่อมาได้แตกสาขาย่อยออกไปตามเมืองต่างๆ ในสหรัฐฯอีกเป็นจำนวนมาก

    นอกจากนี้ในระยะเวลาไล่เลี่ยกันนั้น ปรากฏว่าในดินแดนแห่งหนึ่งใกล้กับตอนเหนือของเกาะอันดรอส ซึ่งเป็นเกาะหนึ่งในหมูเกาะบาฮามาสทางตอนใต้ มีซากปรักหักพังของวิหารและป้อมปราการของนครในอดีต ปรากฏขึ้นมาใกล้ๆกับผิวน้ำ ซึ่งสามารถมองเห็นได้ในขณะที่พื้นน้ำสงบนิ่ง

    ประเด็นที่น่าทึ่งที่สุดก็คือ บริเวณที่ซากสิ่งก่อสร้างอันเร้นลับโผล่ขึ้นมาท้าทายสายตาชาวโลกดังกล่าวนั้น ตรงกับตำแหน่งที่ เอ็ดการ์ เคย์ซี ทำนายไว้ทุกประการ มันเป็นไปได้อย่างไร?

    คำทำนายเกี่ยวกับอาณาจักร แอตแลนติส ที่เชื่อกันว่าเป็นแหล่งอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่ง ในสมัยแรกของโลก

    เอ็ดการ์ เคย์ซี ได้พยากรณ์ไว้ตอนหนึ่งว่า

    ...ทวีปแอตแลนติส เป็นทวีปที่ใหญ่ที่สุดในโลก
    มีขนาดใหญ่กว่ายุโรปทั้งหมด รวมกับแผ่นดิน
    รัสเซีย มีดินแดนต่อทอดไปทั่วโลก

    ชนชาติทีอาศัยอยู่บนทวีปแอตแลนติส
    เป็นชนชาติผิวแดงที่มีความเฉลียวฉลาดเป็นเลิศ
    ผู้คนทั่วไปมีประสิทธิภาาพอย่างดียิ่ง
    มีความรู้ความสามารถในศาสตร์ต่าง ๆ ทั้งปวง
    รวมทั้งงานด้านประติมากรรม วิศวกรรม
    และสถาปัตยกรรมด้วย

    โดยเฉพาะความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์นั้น
    เคย์ซีได้บันทึกไว้เป็นคำพยากรณ์ในบทที่ 2794-L-1
    โดยสรุปว่า ชาวแอตแลนติสมีความรู้
    ความเจริญก้าวหน้าทางด้านเคมี ฟิสิกส์
    และจิตวิทยามาก พวกเขารู้จักประดิษฐ์ไฟฟ้าใช้
    รู้จักผลิตพลังปรมาณูจากยูเรเนียม
    รู้จักผลิตแสงเลเซอร์ ตลอดจนผลิต
    คลื่นวิทยุติดต่อกับดินแดนอื่นได้

    สิ่งสำคัญที่สุดอีกอย่างหนึ่งก็คือ
    ชาวแอตแลนติสสามารถผลิตพลังงาน
    มหาศาลจากพลึกมหัศจรรย์ชนิดหนึ่ง
    ซึ่งสามารถรวมเอาพลังธรรมชาติ
    ทั้งหมดที่มีอยู่ในโลกและจักรวาล
    เข้าด้วยกัน และเป็นที่น่าสังเกตว่า
    ความสำเร็จในทางวิทยาศาสตร์
    ของชาวแอตแลนติสนั้น อาศัยพลังงาน
    แสงอาทิตย์เป็นสำคัญ

    วัฒนธรรมสูงส่งของชาวแอตแลนติสพัฒนา
    ตลอดมา โดยมีความเกี่ยวพันทางศาสนา
    เริ่มตั้งแต่มีการทำพิธีบูชาพระอาทิตย์
    และเทพเจ้า

    วัฒนธรรมของอาณาจักรแอตแลนติส
    หายสาปสูญไปในที่สุด เมื่อเกิดภัยพิบัติ
    ครั้งใหญ่ ดินแดนของมหาอาณาจักรเกิด
    สั่นสะเทือน และได้ถล่มทลายลงไป
    ใต้ทะเล ภายในชั่วคืนกับชั่ววัน ดังน้นเมื่อ
    ปี 9500 ก่อนคริสต์กาล ชาติแอตแลนติสก็
    หายไปจากโฉมหน้าของโลก

    เคย์ซีกล่าวว่า วัฏจักรแห่งประวัติศาสตร์
    มักจะหมุนเวียนกลับมาอีกเสมอ
    ดังนั้นวิญญาณของชาวแอตแลนติสย่อม
    มีโอกาสกลับมาเกิดใหม่ได้อีก
    จากดินแดนหนึ่งไปยังอีกแห่งหนึ่ง
    และจากทวีปหนึ่งไปยังอีกทวีปหนึ่ง
    หรือจากเกาะหนึ่งไปยังเกาะอื่น ๆ

    มหาอาณาจักรแอตแลนติสมีความเจริญ
    ก้าวหน้าทางวิทยาการเท่ากับโลกเรา
    สมัยปัจจุบัน หรือบางอย่างมีความก้าวหน้า
    มากกว่า พวกเรารู้จักพัฒนา โดยนำเอา
    พลังงานอันมหาศาลมาใช้ให้เกิดประโยชน์

    ในปัจจุบันเคย์ซีเชื่อว่า โลกเราได้มีการ
    เปลี่ยนแปลงอย่างปัจจุบันทันด่วน
    ที่ร้ายแรงที่สุดมาหลายครั้งแล้ว ซึ่งอาจมีผล
    ทำให้อาณานิคมหรือดินแดนบางส่วนของ
    มหาอาณาจักรแอตแลนดิสโผล่ขึ้นมาให้ชาวโลก
    ได้เห็นอีกก็เป็นได้ เช่น เมื่อปี 2483 เคย์ซี
    ทำนายว่าพื้นที่บางส่วนทางด้านตะวันตก
    ของแอตแลนติสจะโผล่ขึ้นมาใกล้ ๆ
    บริเวณหมู่เกาะบาฮามา

    ในช่วงระหว่าง พ.ศ.2511-2512 ปรากฏว่า
    คำทำนายของเคย์ซีได้กลายเป็นความจริง
    คือ ได้มีการค้นพบซากเมืองใต้บาดาลใกล้ ๆ
    หมู่เกาะบาฮามา เรียงต่อกันอย่างประณีต
    ราวกับมีการใช้เทคโนโลยีทางวิศวกรรม
    และสถาปัตยกรรมชั้นสูง หินบางก้อนมีขนาดใหญ่
    พอ ๆ กับขนาดรถบรรทุกเลยดีเดียว
    ลำพังจะใช้กำลังคนช่วยกันแบกหาม
    ขึ้นไปวางเรียงต่อกันก็คงจะไม่ทำได้
    เรียบร้อยและปราณีตเช่นนั้น

    เคย์ซียังทำนายต่อไปอีกว่า
    ภัยพิบัติครั้งร้ายแรงที่เกิดขึ้น จนทำให้
    มหาอาณาจักรแอตแลนติส อันกว้างใหญ่
    ไพศาลถล่มทลายพังพินาศจมหายไปใต้
    ทะเลนั้น จะเกิดขึ้นอีกหลายแห่งในโลก

    เคย์ซีกล่าวว่า
    ในช่วงแรกสุดของโลกเรา เมื่อประมาณ
    10 ล้านห้าแสนปีมาแล้ว มีอารยธรรม
    เกิดขึ้นแล้วเสื่อมสลายไปหลายครั้ง
    ยุคเจริญรุ่งเรืองของอารยธรรมชาวแอตแลนติส
    อยู่ระหว่างช่วงนับจาก 200000 ลงมา
    จนถึงปี 10700 ก่อนคริสต์กาล คือนับตั้งแต่
    ช่วงเวลาประมาณ 13000 ปี ถอยหลังเป็นต้นไป
    คือสรุปแล้ว จะมีอายุนานประมาณ 80000-
    900000 ปี

    เอ็ดการ์ เคย์ซี เป็นผู้ให้ความกระจ่างยิ่งขึ้นเกี่ยวกับพื้นที่อันกว้างใหญ่ไพศาลที่จะได้รับผลกระทบกระเทือนจากแผ่นดินไหวในนครนิวยอร์ก โดยในปี พ.ศ. 2475 เมื่อมีผู้ถามว่าในอนาคตจะเกิดแผ่นดินไหวครั้งรุนแรงในสหรัฐอเมริกาที่ใดบ้าง เอ็ดการ์ เคย์ซี นั่งทางในอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ตอบว่าจะเกิดแผ่นดินไหวในภาคตะวันตก ภาคกลาง และภาคตะวันออกของสหรัฐอเมริกา โดยจะมีความรุนแรงมากตามบริเวณชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก ต่อมาในปี พ.ศ. 2484 เอ็ดการ์ เคย์ซี ระบุแน่ชัดยิ่งขึ้นว่าพื้นที่ในนครนิวยอร์ก และคอนเนคติคัตจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงเนื่องจากแผ่นดินไหว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นครนิวยอร์กจะจมหายไปอย่างไม่เหลือร่องรอยอะไรไว้ นอกจากนั้นเขายังพยากรณ์ไว้ด้วยว่า ดินแดนในทางภาคใต้ของรัฐนอร์ทคาโรไลนา รัฐเซาท์คาโรไลนา และรัฐจอร์เจีย จะเกิดภาวะน้ำท่วมอย่างรุนแรง

    โหรอีกผู้หนึ่งที่ทำนายไว้ในทำนองเดียวกัน ได้แก่ นายจอห์น เพนดรากอน โหรชาวอังกฤษพยากรณ์ไว้ก่อนจะเสียชีวิตไม่นานว่า พื้นที่ทุกหนทุกแห่งตามชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก นับตั้งแต่เมืองบอสตันไปจนถึงเมืองบัลติมอร์ จะพบความวิบัติอย่างย่อยยับ ความวิบัติครั้งนี้จะมีจุดศูนย์กลางอยู่ที่นครนิวยอร์ก และจะส่งผลทำลายล้างออกไปภายในรัศมี 500 ไมล์ เมืองที่จะถูกทำลายในครั้งนี้รวมทั้งเมืองพิตต์สเบิร์กและเมืองฟิลาเดลเฟีย เมืองเหล่านี้จะถูกทำลายอย่างย่อยยับโดยไม่มีสิ่งใดเหลืออยู่เลย นอกจากผืนแผ่นดินอันเป็นที่ตั้งของเมืองเท่านั้น

    ภาคพิเศษ

    โหรเทวดา "เอ็ดการ์ เคย์ซี" ได้เปิดเผย (จากการรับรู้ ทางจิตของตัวเอง) ซึ่งข้อมูลไม่ได้พึ่งพาเอกสาร หรือการค้นคว้าใดๆ ทั้งสิ้น ดังเช่นเดียวกับการทำนายอื่นๆ โดยมหาปิระมิดแห่งกิเซนั้น ถูกสร้างขึ้นราวๆ หนึ่งหมื่นปีก่อนคริสต์กาล ใช้เวลาก่อสร้างนานถึง 100 ปีเต็ม โดยใช้ "พลังจักรวาล" ที่มาตลอดช่วงเวลาสองแสนห้าหมื่นปี ซึ่งอียิปต์นั้นยังเป็นดินแดนอยู่ใต้ทะเล แต่ที่ที่อยู่เหนือพ้นน้ำก็มีแต่ทะเลทรายซาฮาร่ากับด ินแดนตอนบนของลุ่มแม่น้ำไนล์ เมื่อดินแดนอื่นๆ เริ่มผุดขึ้นมาเป็นแผ่นดิน ก็ยังกินเวลาอีกนานกว่าที่อียิปต์จะกลายเป็นพื้นที่ท ี่มีคนอยู่อาศัย และชนเผ่าแรกที่มาอาศัยอยู่นั้น เป็นพวกผิวดำ อาศัยอยู่บริเวณตอนบนของลุ่มแม่น้ำไนล์ หลังจากนั้น ก็มาถึงยุคของพระเจ้าไร ซึ่งเป็นกษัตริย์ผู้ปกครองอียิปต์ที่ทรงพระปรีชาสามา รถมากเกี่ยวกับเรื่องทางจิตวิญญาณ เข้าใจเกี่ยวกับกฎของจักรวาล คำสอนต่างๆของพระองค์ ได้ถูกบันทึกไว้ในแผ่นหินและแผ่นไม้ กลายเป็นคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์เล่มแรกๆ ที่มีผู้รู้จักในชื่อ "คัมภีร์มรณะอียิปต์" (the book of the death) พระเจ้าไรปกครองอียิปต์เป็นเวลา 199 ปี จนคนรุ่นหลังๆ บูชาพระองค์เปรียบเป็น เทพเจ้าองค์หนึ่ง แต่การปกครองของพระองค์มิได้ต่อเนื่อง เพราะถูกรุกราน จนพระองค์ต้องเสียราชบัลลังก์ การถูกรุกรานเกิดขึ้นเมื่อ 11,016 ปี ก่อนคริสต์กาล หรือราวๆ 300 ปี ก่อนที่จะเกิดการระเบิดครั้งสุดท้ายในทวีปแอตแลนติส (ซึ่งเป็นผลให้แอตแลนติสจม) มีชนผิวขาวกลุ่มใหญ่ โดยการปกครองของพระเจ้าอารีท บุคคลผู้นี้มีความเลื่อมใสในพระหนุ่มรูปหนึ่ง ที่มีความสามารถดุจผู้วิเศษ ชื่อราตะ

    --------------------------------------------------------------------------------

    พระราตะ ได้ทำนายไว้ว่า ชาวเผ่าซูที่อพยพมาจากอารเบียจะรุกรานเข้ามาในอียิปต ์ และต่อไปอียิปต์จะเป็นรัฐชั้นนำแห่งยุค เมื่อได้ฟังคำทำนายนั้น พระเจ้าไรก็เอาแต่หมกมุ่นค้นคว้าในเรื่องอภิปรัชญา ไม่ใส่ใจกับการปกครองบ้านเมือง จึงทำให้พระเจ้าอารีท ยึดอียิปต์ได้โดยง่ายอย่างแทบจะไม่มีการต่อต้าน ซึ่งส่งผลให้ทั้งสองประนีประนอมกัน พระเจ้าไรก็ยอมสละราชบัลลังก์ให้พระเจ้าอารีท โดยยกธิดาโฉมงามของพระองค์ให้เป็นพระชายา และสละราชสมบัติให้แก่ราชบุตรของพระองค์ชื่ออารารัทโ ดยพระองค์หันมาเป็นที่ปรึกษาคอยค้ำบัลลังก์ ให้แก่ราชบุตรของตนแทน ต่อมา ก็มาถึงยุคการปกครองของอารารัท ได้มีชาวแอตแลนติส อพยพมาอยู่อียิปต์เป็นจำนวนไม่น้อย คนเหล่านี้มีความสามารถสูง และมีความทะเยอะทะยาน จนพระองค์ต้องยกตำแหน่งสำคัญๆ ทางการเมืองให้แก่ชาวแอตแลนติส เพื่อมิให้คนเหล่านี้คิดการกบฏ ฝ่ายพระราตะ (โหร) ได้รับความไว้วางใจให้เป็นสังฆราชแห่งอียิปต์ มีหน้าที่ในการค้นคว้าเรื่องของจิตวิญญาณและอภิปรัชญ าต่างๆ เพื่อนำมาเผยแพร่แก่ประชาชน เพื่อเป็นการฝึกฝนตนได้พระราตะได้สร้างวิหาร ซึ่งเป็นแหล่งบำบัดสุขภาพของประชาชน โดยเรียนรู้มาจากชาวแอตแลนติส ชื่อเฮปซาฟ ที่เป็นผู้นำทางจิตฝ่ายธรรมะของแอตแลนติสส่วนข้างน้อ ย วิหารที่สร้างขึ้น มีการรักษาผู้ป่วย นันทนาการต่างๆ แต่สิ่งที่พระราตะเน้นก็คือ "การทำสมาธิ"เพื่อสัมผัสโดยตรงกับพลังของพระเจ้าเพื่อขจัดกิเลสให ้หมดไปจากใจ เพราะเป็นข้อบกพร่องทางกายภาพของมนุษย์ ในทัศนะของ "ราตะ" และในช่วงที่พระราตะไม่อยู่ ได้มีกลุ่มการเมืองซึ่งเป็นชาวแอตแลนติส ที่กระหายในอำนาจ ได้วางแผนกำจัดพระราตะ โดยใส่ร้ายว่า พระราตะทำผู้หญิงท้อง พระเจ้าอารารัท หลงเชื่อในคำยุยง ได้เนรเทศพระราตะไปอยู่เมืองชายแดน แต่เมื่อความจริงกระจ่าง ชาวเมืองอียิปต์จึงเชิญพระราตะ กลับมาดังเดิมช่วงนี้เอง ที่พวกผู้นำของอียิปต์ ตัดสินใจที่จะสร้างปิระมิด กับสฟิงส์ขึ้นมา เพื่อใช้เป็นสถานที่เก็บความรู้ บันทึก และหลักวิชาศาสตร์ต่างๆที่เร้นลับของแอตแลนติส กับพระเจ้าไรและพระราตะ ให้ปลอดภัย และอยู่นานเท่านาน เพราะเขารู้ว่า โลกใบนี้จะต้องเผชิญกับการ "เคลื่อนย้ายของแกนโลก" เหมือนอย่างในยุคของแอตแลนติส จึงตัดสินใจสร้างและเลือกที่ราบกิเซนี้เป็นที่ตั้ง เพราะอยู่สูงปลอดภัยจากน้ำท่วม (ในทางตัวเลข ยังอยู่ใกล้ศูนย์กลางของโลก ทำให้ได้รับภัยแผ่นดินไหวได้ยาก) สถานที่เก็บความรู้เร้นลับของชาวแอตแลนติสนี้ อยู่ในห้องลับ ที่เชื่อมระหว่างมหาปิระมิดกับสฟิงซ์ โดยมีทางเข้าใต้ดินอยู่ที่ด้านขาหน้าข้างขวาของสฟิงซ ์ มหาปิระมิดถูกสร้างขึ้นในปี 10,490 ก่อนคริสต์กาล ใช้เวลาก่อสร้าง 100 ปีเต็ม โดยผู้รับผิดชอบเรื่องนี้คือ เฮลเมส ที่เป็นชาวแอตแลนติส


    เอ็ดการ์ เคย์ซี เริ่ม "อ่าน" เรื่องราวเกี่ยวกับแอตแลนติสจาก "บันทึกจักรวาล" ในขณะที่เขาเข้าสู่ภวังค์ ครั้งแรกเมื่อ ค.ศ.1923 และก็อ่านเรื่อยมา เป็นเวลา 23 ปีเต็ม อิทธิพลของชาวแอตแลนติส ที่กลับมาเกิดในยุคนี้ ส่งผลใหญ่หลวงต่ออารยธรรม ในยุคต้นๆของชาวแอตแลนติส "มนุษย์" กับ "เทพ" มีความแตกต่างกันไม่มาก เพราะมนุษย์สมัยนั้นมีตาที่สามสามารถพัฒนาต่อมไพนิลใ นสมองจนมีพลังจิตมีฤทธิ์เดชต่างๆ แต่เมื่อมนุษย์ยอมแพ้ต่อกิเลส ศีลธรรมเสื่อม โศกนาฏกรรมจึงเกิดขึ้นกับชาวแอตแลนติส 3 ครั้ง ครั้งแรกราวๆ 50,700 ปีก่อนคริสต์กาล เพราะมนุษย์นำสารเคมีมาทำเป็นระเบิด ขับไล่สัตว์ร้ายจนก่อให้เกิดแผ่นดินไหว ภูเขาไประเบิด ทำให้แกนโลกเอียง เข้าสู่ยุคน้ำแข็ง ครั้งที่สอง ราวๆ 28,000 ปีก่อนคริสต์กาล เกิดน้ำท่วมใหญ่ที่คำภีร์ไบเบิลบอกว่าเป็นยุคของโนอาห์ โดยมีสาเหตุมาจากการใช้พลังคริสตัล ซึ่งเป็นพลังค้ำจุนอารยธรรมมากจนเกินไป จนเกิดภูเขาไประเบิดและแผ่นดินไหว และครั้งสุดท้าย ราวๆ 10,700 ปีก่อนคริสต์กาล
    แต่คราวนี้พวกผู้นำทางจิต ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยในหมู่ชาวแอตแลนติสได้มองเห็นเหต ุการณ์จึงได้อพยพและนำความรู้และศาสตร์ต่างๆ มาเก็บไว้เพื่อมิให้สูญหายวิชาเหล่านั้นในยุคของเราร ู้จักกันในชื่อของ โยคะ , ตันตระ , เต๋า และพราหมณ์ นั่นเอง

    อ้างอิง
    http://www.dhammakid.com/board/ano/adaaiano/?prev_next=next#new
     
  4. วสุธรรม

    วสุธรรม พลังรักอมตะ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    2,323
    ค่าพลัง:
    +8,220
    อาวุธพลังจิตในแดนหมีขาว

    จากพยานหลักฐานซึ่งรวบรวมได้จากอดีตจารชนเคจีบีของโซเวียตที่แปรพักตร์ และจากแหล่งข่าวองค์การข่างกรองทางทหาร หรือ ดีไอเอ (De Inteligence Agency DIA) ก็พอแน่ว่าตลอดเวลาเกือบครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา โซเวียตได้พยายามอย่างหนักในที่จะศึกษาวิจัยเพื่อนำเอาปรากฏการณ์ทางจิตหรือ พลังจิตมาใช้ในการหา โดยตลอดระยะเวลา 15 ปี ที่ผ่านมานี้ สหรัฐฯ มีหลักฐานทางทหารยืนยันว่า โซเวียตได้มีการทดลองใช้อาวุธพลังจิตนี้กับสหรัฐฯ อย่างน้อยสุด 4 ครั้ง และที่ผ่านมานี้ ประมาณ พ.ศ. 2526 องค์การวิจัยของรัฐสภา (Congressional Research Service) ของสหรัฐฯ ก็ได้สืบทราบว่า รัฐบาลโซเวียตได้ให้เงินทุนสนับสนุนการวิจัยด้าน ปรจิตวิทยา (parapsychology) เพื่อพัฒนาการประยุกต์ใช้พลังจิตทางทหารถึง 250 ล้านบาทต่อปี​

    จาก หลักฐานทางวัตถุและจากคำบอกเล่าของเคจีบี ก็เป็นที่คาดกันว่าหากการพัฒนาเพื่อใช้พลังจิตในการทหารนี้สำเร็จละก็ ต่อไปมันก็ไม่แน่ว่าบรรดานักรบพลังจิตของมอสโคว์อาจจะใช้การนั่งทางในที่ เครมลินพิสูจน์ทราบตำแหน่งที่ตั้งของไซไลเก็บขีปนาวุธในเนบราสก้าบนดินแดน ของสหรัฐฯ ได้..หรือไม่เช่นนั้นก็ใช้พลังแพ่งข้ามทวีปมาลบความจำทางแม่เหล็กของ คอมพิวเตอร์ทางทหาร และอาจจะใช้กระแสจิตบังคับควบคุมจิตใจของผู้นำสหรัฐฯ ให้เป็นฝ่ายโซเวียต และก็อาจจะถึงขั้นแช่งชักหักกระดูกทางกระแสจิตให้เจ้าหน้าที่ระดับสูงของ สหรัฐฯ ชักดิ้นชักงอตายไปเดี๋ยวนั้นเลยก็ได้..นี่ไม่ใช่เรื่องล้อกันเล่นนะขอรับ.. แต่สิ่งเหล่านี้สหรัฐฯ มีหลักฐานและพยานว่ามันเป็นเรื่องที่เป็นไปได้.และอาจเป็นจริงขึ้นมาสักวัน หนึ่งในอนาคตข้างหน้านี้ หากโซเวียตไม่วางมือซะก่อน..ครับ จากข้อมูลที่ได้จากการสอบถามชาวโซเวียตที่อพยพไปอยู่ในสหรัฐฯ ก็เป็นที่เชื่อแน่ชัดว่า ฝ่ายทหารของพี่หมีนั้นมีความสนใจในเรื่องพลังจิตนี้มาเป็นเวลาอย่างน้อยที่ สุดก็ประมาณ 30 ปีแล้ว แต่เนื่องจากว่าการทำวิจัยในเรื่องนี้พี่หมีท่านปกปิดเป็นความลับ ฉะนั้นจึงมีรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้ออกมาน้อยมาก ข้อมูลและหลักฐานที่สหรัฐฯ มีอยู่ในเวลานี้ ส่วนหนึ่งก็ถูกเก็บเงียบอยู่ในกระทรวงกลาโหมหรือเพนตากอนของสหรัฐฯ และนอกนั้นบางส่วนก็อาจจะพบได้จากเอกสารการวิจัยที่มีการลักลอบออกมาจาก โซเวียตซึ่งแน่นอนว่า หากอยู่ในมือของรัฐบาลสหรัฐฯ แล้วละก็ ต้องถูกเก็บเงียบอีกเช่นกัน แต่อย่างไรก็ดี สำหรับสื่อมวลชนหรือนักคุ้ยนักเขียนที่ชอบสอดรู้สอดเห็นในเรื่องนี้ก็ยังพอ ที่จะแสวงหาข้อมูลจากนักจิตวิทยาชาวโซเวียต สายลับหรือนักวิทยาศาสตร์ด้านอื่น ๆ ของโซเวียตที่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการวิจัยเหล่านี้ ซึ่งปัจจุบันนี้ก็มีเจ้าหน้าที่ของโซเวียตดังกล่าวนี้ขอลี้ภัยมาอยู่ในค่าย ตะวันตกเป็นจำนวนมาก..
    [​IMG]



    ก่อนยุคพัฒนาอาวุธพลังจิต

    ข้อมูล เกี่ยวกับเบื้องหลังความเป็นมาของการพัฒนาใช้พลังจิตในการทหารของโซเวียตนี้ ส่วนใหญ่ก็ได้มาจากการให้สัมภาษณ์ของนักจิตวิทยาชาวโซเวียตที่มีนามกรว่า นิโคโล โคคลอฟ (Nikolai Khokholv) ซึ่งเป็นบุคคลที่ได้ใกล้ชิดในการค้นคว้าวิจัยเรื่องนี้มากที่สุดผู้หนึ่ง ปัจจุบันนี้เขาได้ขอลี้ภัยอยู่ในสหรัฐฯ และเข้าทำงานอยู่มหาวิทยาลัยแห่งรัฐแคลิฟอร์เนีย ซานเบอร์นาร์ดิโน ย้อนความหลังครั้งกระโน้นในปี พ.ศ. 2484 คุณพี่โคคลอฟนี้ก็เคยทำงานให้กับองค์การ เอ็นเควีดี (NKVD) ซึ่งเป็นต้นกำเนิดขององค์การเคจีบีในปัจจุบันนี้ซึ่งในตอนนั้นเขาอายุได้ 19 ปี เขาได้เริ่มงานสายลับด้วยการปลอมเป็นนักบันเทิงอาชีพที่มีนามกรว่า นิโคโล โวลิน เพื่อหลอกล่อทหารเยอรมันเข้าไปสังหารในห้องชมคอนเสิร์ต และต่อมาก็เปลี่ยนนามใหม่เป็น อเล็กซี คริลอฟ เพื่อทำหน้าที่เป็นทหารปฏิบัติการหลังแนวข้าศึกหลังจากนั้นอีกไม่นาน ด้วยหน้าที่จารชนก็จำต้องเปลี่ยนชื่อเป็นร้อยตรี ออตโต วิตต์แกนสไตน์ จนกระทั่งมาปฏิบัติการครั้งสุดท้าย เขาได้รับมอบหมายหน้าที่ให้คุมลูกสมุนไปสังหารนาย จีออร์กีเอสโอโคโรวิช ซึ่งเป็นหัวหน้าต่อต้านคอมมิวนิสต์ในแฟรงเฟิร์ตของเยอรมนีตะวันตก ซึ่งปรากฏว่าทำงานไม่สำเร็จและไม่อาจจะบากหน้ากลับประเทศได้ก็เลยขอลี้ภัยใน เยอรมนี​

    ใน ช่วง 2-3 ปีแรกหลังจากลี้ภัยนั้นโคคลอฟว่างงาน จึงเดินทางท่องเที่ยวไปในสหรัฐฯ และยุโรปอย่างไร้จุดหมายปลายทาง จะกระทั่งในที่สุด เขาก็ได้สมัครเข้าเรียนปริญญาเอกในสาขาจิตวิทยา และนี่เองที่เป็นเหตุให้เขาได้พบกับหัวหน้างานด้านปรจิตวิทยาของอเมริกา และในปี พ.ศ. 2511 เขาก็ได้เขียนเอกสารสัมมนาเรื่อง "ความสัมพันธ์ระหว่างปรจิตวิทยากับค่ายคอมมิวนิสต์" (The Relationship of Parapsychology to communism) ใน เอกสารสัมมนาฉบับนี้ โคคลอฟได้กล่าวอธิบายไว้ว่า ก่อนยุคที่จะมีการศึกษาด้านปรจิตหรือพลังจิตอย่างจริงจังนั้น ชาวรัสเซียมีความเชื่อในเรื่องผีสางและเวทมนตร์มาเป็นเวลาหลายศตวรรษแล้ว เช่นมีความเชื่อว่าหมอผีสามารถรักษาคนเจ็บให้หายได้โดยการวางมือแตะลงไป เพียงครั้งเดียว พอมาถึงในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 ก็ปรากฏว่าองค์การข่าวกรองและหน่วยงานทางวิทยาศาสตร์ต่าง ๆ ของรัสเซียได้หยิบยกเรื่องของพลังจิต การสะกดจิต และปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ มาศึกษาวิจัยกันอย่างจริงจัง​

    ในปี พ.ศ.2540 นักประสาทวิทยาของโซเวียตชื่อ วี.เอ็ม เบคห์เทอเรฟ ได้ก่อตั้ง สถาบันจิตประสาท (Psychomeural Institute) ขึ้นโดยมีจุดมุ่งหมายที่จะศึกศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างจิตวิทยาและปรจิต วิทยาจนเกิดการปฏิวัติขึ้นในปี พ.ศ. 2460 การศึกษาค้นคว้าในเรื่องนี้ก็ต้องหยุดชะงักและเปลี่ยนโฉมหน้าไปอย่างสิ้น เชิง ทั้งนี้เพราะลัทธิมาร์กซิสนั้นปฏิเสธที่จะยอมรับเรื่องปรากฏการณ์ลึกลับของ จิตหรือเรื่องวิญญาณ และผู้นำโซเวียตในสมัยนั้นเชื่อว่า เรื่องปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติเหล่านี้เป็นเรื่องที่เหลวไหลไร้สาระ แต่อย่างไรก็ตาม งานศึกษาด้านพลังจิตก็ยังดำเนินต่อไป และมาฟูเฟื้องอีกครั้งหนึ่งในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 20 เมื่อ ดร.เลโอนิค วาซิลิเอฟ ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของเบคห์เทอเรฟ แห่งสถาบันวิจัยสมองเลนินกราด (Leningrad Institute of Brani Research) ได้ทำการวิจัยการส่งโทรจิต (teltpathe) ระยะ ไกล แต่อย่างไรก็ดี เนื่องจากกลัวเกรงความผิดของกฎหมาย เขาจึงปกปิดงานวิจัยชิ้นนี้เงียบไว้จนกระทั่งสตาลินถึงแก่อสัญกรรม จึงได้เปิดเผยออกมา จึงได้รู้ว่าวาซิลิเอฟ ได้แบทำการทดลองในเรื่องนี้ไปแล้วนับร้อยครั้งทีเดียว​

    วาซิ ลิเอฟเปิดเผยว่า ในการทดลองครั้งหนึ่ง เขาได้ผู้นำร่วมทดลองไปนั่งในห้องที่ได้รับการป้องกันกระแสไฟฟ้า และให้นักจิตวิทยาหรือนักพลังจิตเพ่งกระแสจิตไปบังคับให้ผู้ร่วมทดลองดัง กล่าวง่วงนอนและหลับไปในที่สุด..ในการทดลองอีกอันหนึ่ง เขาก็ได้จับนักพลังจิตขังได้ที่เลนินิกราดในขณะที่นำผู้ร่วมทดลองที่เป็น เหยื่อไปอยู่ที่เมืองเซวาสโตพอล ซึ่งอยู่ห่างออกไปอีก 1000 ไมล์ ซึ่งผลการทดลองก็ปรากฏว่า เหยื่อถูกสะกดจิตทางไกลให้นอนหลับและปลุกให้ตื่นได้ในเวลาตรงกันกับที่นัก เพ่งพลังจิตส่งกระแสจิตออกมาหลัง จากที่สตาลินตายไปแล้วนั้น นอกจากจะมีการเปิดเผยผลงานวิจัยของวาซิลิเอฟแล้ว ก็ปรากฏว่ามีนักวิจัยของรัสเซียอีกเป็นจำนวนมากได้เผยแพร่ผลงานวิจัยของตน ออกมา และพอโซเวียตเปลี่ยนผู้นำใหม่เป็นคุณพี่ครุชเซฟ ในราวปี พ.ศ. 2498 ดินแดนหมีก็กลับฟูเฟื่อง และรุ่งเรืองในด้านพลังจิตอีกครั้งหนึ่ง เพราะผู้นำคนใหม่ของโซเวียตชอบเรื่องนี้และก็บ้าโยคะถึงขนาดบินไปอินเดีย เพื่อศึกาาเรื่องนี้เพื่อนำมาฝึกสอนให้กับชาวโซเวียต ซึ่งพอกลับจากอินเดียแล้ว ครุชเชฟก็มีคำสั่งว่า "เราต้องมีโยคีของเราเองให้ได้..ในวันพรุ่งนี้" ​


    [/COLOR]


    การทดลองพลังจิตทางการทหารของสหรัฐฯ
    การ ประกาศให้ความสนับสนุนของครุชเชฟในช่วงปลายคริสต์ทศวรรษที่ 50 นี้ มีผลต่อการพัฒนาอาวุธพลังจิตของโซเวียตอย่างมาก เพราะหลังจากนั้นคณะกรรมการกลางของพรรคคอมมิวนิสต์โซเวียตก็ได้เริ่มทำการ ระดมนักวิทยาศาสตร์จัดตั้งห้องปฏิบัติการปรจิตวิทยาขึ้นอีกครั้งหนึ่ง แต่ปรากฏว่านักวิทยาศาสตร์ โซเวียตก็ฮึกเหิมอยู่ได้ไม่นานก็ต้องหุบ เพราะในราวปี พ.ศ. 2503 นิตยสารของฝรั่งเศส ชื่อ Science et Vie ได้ รายงานว่า กระทรวงกลาโหมของอเมริกันก็ได้มีการวิจัยเรื่องพลังจิตเช่นกัน ..กล่าวคือ ทหารสหรัฐฯ ได้ทำการทดลองการส่งข่าวสารทางโทรจิตจากห้องปฏิบัติการเวสติงเฮาส์ใกล้บัล ติมอร์ไปยังลูกเรือบนเรือดำน้ำนอร์ติลุสซึ่งดำน้ำอยู่ใต้น้ำแข็งทวีป อาร์กติกที่ลึกถึง 4 ไมล์ แต่อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญฝ่ายตะวันตกก็ปฏิเสธบทความรายงานการทดลองในครั้งนี้ "เราไม่รู้เรื่องใด ๆ เกี่ยวกับการทดลองนี้เลย" เกลนน์ บราวน์ ผู้จัดกากรด้านติดต่อสื่อสารที่ศูนย์เวสติงเฮาส์ดีเฟนซ์ แอนด์ อิเล็กทรอนิกส์ (Westing house Defense and Electronics Center) ในบัลติมอร์ กล่าว และเขายังกล่าวต่อไปอีกว่า ทางบริษัทก็ไม่เคยทำการวิจัยทางจิตวิทยาดังกล่าวนี้แต่อย่างใด ครับ ในครั้งกระโน้น พี่เบิ้มของเราก็คงแกล้งปฏิเสธไปอย่างนั้นแหละเพราะมันเรื่องอะไรล่ะครับที่ จะต้องบอกให้คนอื่นรู้ด้วย ในเมื่อพี่หมีเวลาทำอะไรก็เก็บเงียบปากก็ว่า "เค้าเปล่านะ" แต่ ที่ไหนได้ เผลอเผล็บเดียวพี่ท่านก็มีอาวุธมหัศจรรย์เข้าประจำการทุกที (เช่น จรวด สกัดกั้นขีปนาวุธและดาวเทียมล่าสังหาร) ..เรื่องพลังจิตนี้ก็เช่นกัน สหรัฐฯ จะประมาทไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่มองดูแต่ภายนอกแล้วมันดูเป็นเรื่องเหลวไหล..เพ้อเจ้อไม่น่าจะเป็นจริง แต่ถึงกระนั้นก็ตามปรากฏการรณ์เหล่านี้ก็ยังไม่มีนักวิทยาศาสตร์หน้าไหน อธิบายได้อย่างแจ่มแจ้งว่ามันคืออะไรกันแน่? ครับ หลังจากที่สหรัฐฯ ไปทำการวิจัยในเรื่องนี้อยู่นานมาเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้เอง เพนตากอนของสหรัฐฯ ก็ประกาศตูมว่า จะทำการพัฒนาอาวุธพลังจิตแข่งกับโซเวียต เพราะเป็นที่ทราบแน่ชัดว่า โซเวียตกำลังก้าวไปถึงขั้นที่จะใช้การนั่งทางในลาดตระเวนหาตำแหน่งที่ตั้ง ทางทหารเรือขีปนาวุธแล้ว​



    [/COLOR] [/COLOR]
    [​IMG]

    ภาพกองทัพรัสเซีย​

    งานวิจัยลับของโซเวียต

    ใน ปี พ.ศ. 2505 หลังจากที่โซเวียตได้ทราบข่าวว่า สหรัฐฯ กำลังทำการวิจัยในเรื่องนี้ไล่กวดอยู่ พี่ท่านก็รีบตีกรรเชียงหนีห่างด้วยการมอบอำนาจให้วาซิลิเอฟ ควบคุมห้องปฏิบัติการลับในเลนินิกราดและพอถึงช่วงกลางคริสต์ทศวรรษที่ 60 รัฐบาทเครมลินก็ประกาศตั้งห้องปฏิบัติการสำหรับศึกษาวิจัยและประยุกต์ใช้ พลังจิตเพิ่มขึ้นอีกเป็นจำนวนมาก
    ครับ รายละเอียดเกี่ยวกับงานวิจัยลับของโซเวียตนี้ ส่วนหนึ่งก็ได้มาจากคำบอกเล่าของนาย อับราฮิม ซิฟริน ซึ่งในอดีตเคยเป็นที่ปรึกษากระทรวงยุทธาการของโซเวียต แต่ในปัจจุบันนี้ขอลี้ภัยอยู่ในอิสราเอล เขาได้ทำงานกับรัฐบาลโซเวียตอยู่จนกระทั่งปี พ.ศ.2496 ก่อนที่จะถูกพิพากษาให้ส่งตัวไปยังค่ายกักกันในข้อหาทำจารกรรม และที่เคยกักกันนี้เงอเขาได้รู้จักกับนักปรจิตวิทยาของโซเวียตและ กูรู (guru รูปบน) หรือผู้นำทางศาสนาจากธิเบต เขาเล่าว่า พวกเขาทั้งสามคนได้รวมหัวกันวิจัยเรื่องโยคะ ซึ่งก็ทำให้ได้รับความสนใจจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสถาบันวิจัยลับ หลังจากที่ชิฟรินถูกปล่อยตัวในปี พ.ศ.2506 เขาก็ถูกชวนให้เข้าทำงานในห้องปฏิบัติการลับแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่บนถนน โบล "ชายา คอมมิวนิสติชิสกายา ในใจกลางกรุงมอสโคว์ ณ ที่แห่งนี้เองทำให้เขาได้รู้จักกับ ดมิตริเมอร์ซา ซึ่งเป็นผู้อำนวยการบริหารและ โซโลมอน เกลเลอร์สไตน์ ซึ่งเป็นอำนวยการด้านวิทยาศาสตร์ของห้องปฏิบัติการ
    บุรุษ ทั้งสองท่านนี้ได้บอกเขาว่าห้องปฏิบัติการแห่งนี้ตั้งขึ้นในช่วงกลางคริสต์ ทศวรรษที่ 50 หลังจากที่ครุชเชฟไปทัวร์อินเดีย งานวิจัยที่นี่เป็นงานลับสุดยอด เจ้าหน้าที่ที่ทำงานในนี้ก็มีทั้งนักวิทยาศาสตร์ นักพลังจิตหรือแม้แต่หมอวิเศษที่ไปควานหาตัวมาจากทั่วประเทศ ชิฟรินกล่าวว่า "พวกเขาบอกว่าถ้าผมมาร่วมงานกับพวกเขา ผมจะได้รับเงินเดือนและแฟลตดี ๆอยู่"
    ปัท โธ่! ในดินแดนคอมมิวนิสต์รัฐบาลเสนอขอดีให้อย่างนี้ไม่รับก็โง่ละ ดังนั้นชิฟรินก็เลยรับข้อเสนอยอมทำงานในห้องปฏิบัติการแห่งนั้นซึ่งก็ให้เขา ได้ทำงานใกล้ชิดกับนักวิทยาศาสตร์ของโซเวียต ชิฟรินเล่าต่อไปว่า มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เกลเลอร์สไตน์ป่วยต้องไปนอนโรงพยาบาล และวันหนึ่งขณะที่เขาข้าไปเยี่ยมก็ได้พบว่ามีนักบินอวกาศโซเวียตสามคนมา เยี่ยม "ผมก็เลยถามเกลเลอร์สไตน์ว่า ทำไมเขาถึงให้ความสำคัญถึงขนาดที่นักบินอวกาศต้องมาเยี่ยม " ชิฟรินเล่าถึงความหลัง" และเขาก็ตอบผมว่า เขาเป็นผู้ฝึกโทรจิตให้กับนักบินอวกาศเหล่านั้น"​



    [​IMG]

    [/COLOR]​
    ภาพสายลับ KGB แห่ง รัสเซีย ใช้ พลังจิต

    จากการตรวจสอบในเวลามาพบว่า เรื่องที่ชิฟรินเล่านี้เป็นความจริง ซึ่งตรงกับข่าวที่ได้จากแหล่งข่าวแห่งหนึ่งที่บอกว่า นายเกลเลอร์สไตน์ได้ตีพิมพ์หนังสือเกี่ยวกับการฝึกสอนนักบินอวกาศ ในการทำนายหรือพยากรณ์เหตุการณ์ล่างหน้า (precognition) และจากบทความที่ตีพิมพ์ในวารสาร "โซเวียตมาริไทม์ นิวส์" (Soviet Maritime News) ได้ยืนยันว่า "การฝึกทางพลังจิตดังกล่าวนี้ได้รับการบรรจุเข้าใว้ในหลักสูตรการฝึกนักบินอวกาศของโซเวียตแล้ว"

    จาก การสืบทราบขององค์การข่าวกรองทางทหารของสหรัฐฯ พบว่า ห้องปฏิบัติการลับทางพลังจิตของเกลเลอร์สไตน์นี้ ไม่ใช่เป็นห้องปฏิบัติการเพียงแห่งเดียวที่อยู่ในโซเวียต แต่ยังมีงานวิจัยลับทางพลังจิตที่วิจัยอยู่ตามสถาบันอื่นด้วย อาทิเช่น สถาบันปฏิบัติการทางประสาทขั้นสูง (Pavlov Institute of Higher Neurons Activity) ในมอสโคว์. สถาบัน ดูรอฟ (Durov Institute) และสถานีทดลองในไซบีเรีย และมาเมื่อปี พ.ศ. 2518 นี้รายงานข่าวรองที่จั่วหัวว่าการวิจัยปรจิตวิทยาของโซเวียต และเชคโกสโลวาเกีย" ก็ได้เปิดเผยให้ทราบว่า ยังมีห้องปฏิบัติการวิจัยด้านพลังจิตอยู่!!!

    http://www.dhammakid.com/board/ano/aicoai-aaio-1nanooeaoaxeiaeoaaooeeoaeeiaaaoo/?prev_next=next#new
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กรกฎาคม 2010
  5. วสุธรรม

    วสุธรรม พลังรักอมตะ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    2,323
    ค่าพลัง:
    +8,220
    การดึงพลังงานจากแร่เหล็กไหลมาใช้ในด้านอภิญญา

    [​IMG]



    การดึงพลังงานจากแร่เหล็กไหลมาใช้ในด้านอภิญญา

    เหมาะสำหรับผู้ที่ฝึกมาแบบอานาปานุสสติและการเดินลมปราณจักร


    ในทีนี้จะใช้เฉพาะเหล็กไหลเท่านั้น เพราะถือว่าเป็นแร่ที่มีอานุภาพมากที่สุด การดูดพลังงานจากเหล็กไหลมาใช้นี้ สามารถทำได้ง่ายๆ แค่อุปจารสมธิก็ทำได้แล้วโดยอย่างแรกผู้ที่ทำการดูดพลังจากเหล็กไหลจะต้องฝึกสมาธิแบบอานาปานุสสติหรือแบบเดินลมปราณมาก่อน จึงจะสามารถดูดพลังได้โดยง่ายปกติร่างกายมนุษย์จะเป็นตัวดูดพลังงานรอบตัวมาใช้อยู่แล้ว เช่น การหายใจ แต่การฝึกสมาธิแบบอานาปานุสสติหรือแบบเดินลมปราณ จะทำให้เราสามารถดูดพลังงานทางผิวหนังมาใช้ได้ ซึ่งเป็นพลังงานที่ละเอียดกว่ามาก โดยจุดที่รับพลังงานได้ดีจะอยู่ที่ ปลายนิ้ว ฝ่ามือ ฝ่าเท้า จุดกลางหน้าผาก ณ ที่นี้จะเน้นเฉพาะ จุดรับพลังงานทางฝ่ามือ เพราะเป็นจุดที่รับและปล่อยพลังได้ง่ายที่สุด ส่วนจุดที่กลางหน้าผาก โดยส่วนมากจะเป็นจุดที่ไว้ใช้สำหรับรับข้อมูล การสื่อสาร การติดต่อต่างๆ เช่นโทรจิต การควบคุมสมองระยะไกล ซึ่งเกี่ยวข้องกับพลังจิตระดับการสั่งการ เพราะถือว่าเป็นจุดที่ใกล้สมอง เพื่อให้สมองได้ทำการแปลสัญญาณที่ได้รับมาและ เกิดการกระทำตอบกลับได้อย่างฉับพลันเป็นที่ทราบกันดีว่า พลังที่สามารถดูดซับจากรอบตัวมาได้นั้น เมื่อใช้ไปแล้วก็ต้องหมดไป จึงต้องมีการดูดซับซับเข้ามาเรื่อยๆ เพื่อสะสมไว้ใช้เหมือนกับการรองน้ำให้เต็มอยู่เสมอ เพราะถ้าหากพลังงานหมดย่อมส่งผลทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย หรืออย่างหนักคือถึงขั้นเสียชีวิตได้พลังงานจากเหล็กไหลจึงเป็นพลังงานที่มีความเสถียรมากที่สุดเพราะ ไม่มีวันหมด สามารถดูดพลังมาใช้ได้เรื่อยๆ โดยตัวเหล็กไหลเองเมื่อถูกดึงพลังงานไปก็จะสร้างพลังงานเพิ่มขึ้นเองได้เรื่อยๆ ตรงกันข้ามคือเหล็กไหลจะมีพลังงานมากกว่าเดิม เพราะเหมือนเป็นการไปกระตุ้นให้เหล็กไหลเกิดการแตกตัว คือแตกพลังออกงานได้มากขึ้นเรื่อยๆ​


    การดูดพลังจากเหล็กไหลในไว้ในตัว

    อย่างแรกให้สังเกตลมหายใจเข้าออกก่อน จนคิดว่าเราสามารถหายใจเข้าออกได้เบาในระดับหนึ่งแล้ว ทีนี้ให้สังเกตช่วงที่หายเข้าออกนั้น บริเวณมือเราทั้งสองข้างมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง (แนะนำให้ปิดพัดลมและหน้าต่างให้หมดก่อนจะได้สังเกตได้ง่ายขึ้น) อาการที่เกิดขึ้นคือสังเกตุว่า...​

    1. ขณะหายใจเข้าจะรู้สึกว่ามีกระแสบางอย่างดูดเข้ามาอยู่ในมือ
    2. ขณะหายใจออกจะรู้สึกว่ามีกระแสบางอย่างถูกปล่อยออกไปทางฝ่ามือ​

    หรือจะรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างกำลังยืดออกและหดเข้าจากปลายนิ้วและฝ่ามือ​

    พูดง่ายๆ ก็คือจะรู้ได้ทางกายเนื้อเลยว่า มือเรากำลังหายใจเข้าออกอยู่พร้อมกับการหายใจเข้าออกทางจมูก แต่การหายใจเข้าออกทางฝ่ามือนี้ เป็นการดูดพลังงานรอบตัวเข้ามาและปลดปล่อยออกไป ในทษฤฏีเดียวกัน พลังของเหล็กไหลก็เช่นดียวกัน หากเรานำมาวางไว้บนฝ่ามือแล้วลองสังเกตดู จะรู้สึกได้ถึงพลังงานไฟฟ้าที่วิ่งเข้ามาตามเส้นเลือดต่างๆในช่วงที่หายใจเข้า และคายพลังงานที่ไม่ใช้ออกไป แล้วก็ดูดเข้ามาอีกเรื่อยๆแบบนี้ เพื่อดูดพลังงานมาสะสมไว้ และใช้เมื่อยามที่ต้องการ โดยจุดที่จะเอาไว้สะสมพลังงานนั้นก็มีอยู่หลายจุด แต่ตัวข้าพเจ้าเองจะรวบรวมเก็บไว้ที่ฝ่ามือมากกว่าเพราะสะดวกต่อการใช้งาน โดยพลังงานนี้สามารถใช้ในการเล่นฤทธิ์ช่วยคนและการรักษาคนก็ได้​

    (ถ้าสังเกตเทวดาที่มีฤทธิ์มากๆ ฝ่ามือจะมีสีแดงจัดที่บ่งบอกได้ถึงมีพลังงานจำนวนมากรวมตัวกันบริเวณฝ่ามือ)​

    การฝึกแบบนี้ ถ้าถามว่ามีประโยชน์ตรงไหน ก็ตอบแบบเข้าใจง่ายๆคือ สามารถดูดพลังงานใช้ได้เร็วกว่าเดิมเมื่อพลังงานของเราใกล้หมด เรียกว่ามีประโยชน์อย่างมาก เพราะการจะสะสมพลังงานด้วยตัวเองนั้นต้องอาศัยเวลาพอสมควร ไม่เหมือนกับการดูดพลังงานจากเหล็กไหลมาใช้ เพราะประหยัดเวลาและรวดเร็วกว่ามาก​

    เรียบเรียงโดย ๛ชมรมผู้สนใจพลังลี้ลับ๛.[/COLOR]​



    [​IMG]


    การดูดพลังงานในทีนี้ คล้ายกับการขอบารมีจากสิ่งศักสิทธิ์ เมื่อเราขอบารมีไปแล้ว เราก็มีพลัง ความเป็นทิพย์ก็เพิ่ม แต่เมื่อพลังที่ขอมานั้นหมด ก็ต้องมีการขอมาใหม่เรื่อยๆ เพื่อให้ความเป็นทิพย์มีความเสถียรตลอดเวลา โดยสังเกตว่าเวลาที่เราขอบารมีจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาใช้นั้น เราจะสามารถรับได้ทางกายและใจเช่น จะมีอาการเย็นสบาย สงบ มีความสว่างไสวในจิตกว่าเดิมเป็นต้น และการขอบารมีจากสิ่งศักดิสิทธิ์จะรับทางจุดกลางหน้าผาก เพราะพลังจะวิ่งจากบนลงล่างจุดที่รับได้ง่ายที่สุดก็คือจุดบริเวณกลางหน้าผาก และบริเวณกลางกระหม่อม

    แต่การดูดพลังจากเหล็กไหลเป็นการรับพลังจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์โดยตรง (เพราะนำมากำไว้ในมือเลย) โดยไม่ผ่านสื่อทางอากาศแต่อย่างใด ทำให้เราสามารถดูดซึมซับพลังได้ง่ายกว่า เพราะจิตมีสมาธิ มีการจดจ่อในวัตถุที่กำลังสัมผัส

    ***ในวิธีการดูดซึมซึบพลังนี้สามารถใช้ได้กับแร่กายสิทธิ์ทุกชนิด รวมถึงพระธาตุและวัตถุมงคล เพราะวัตถุมงคลส่วนใหญ่มักมีส่วนประกอบของแร่กายสิทธิ์ ที่นำมาเป็นส่วนผสมด้วย

    http://www.dhammakid.com/board/ano/iocoanoa1a1eaooc/?prev_next=next#new
     
  6. วสุธรรม

    วสุธรรม พลังรักอมตะ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    2,323
    ค่าพลัง:
    +8,220
    จิตเป็นตัวรับสัญญาณข้อมูลของจักรวาล

    [​IMG]

    จิตเป็นตัวรับสัญญาณข้อมูลของจักรวาล

    พลังงานในรูปแบบของข้อมูลจำนวนมหาศาลที่กระจายไปทั่วจักรวาล เป็นองค์ความรู้รวมที่บอกถึงความเป็นมาของจักรวาลทั้งหมด เช่น เหตุแห่งการกำหนดเกิดขึ้นของสิ่งต่างๆ ความเปลี่ยนแปลงของระบบจักรวาลในอดีตที่ผ่านมา หรือสามารถใช้วิเคราะห์เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

    ที่ตามหลักของพระพุทธศาสนาที่กล่าวไว้ว่า ทุกอย่างเกิดขึ้นได้เพราะอาศัยเหตุ ไม่ใช่อยู่ดีๆ ก็เกิดขึ้นมาลอยๆ จักรวาลและสิ่งมีชีวิตทุกอย่างบนโลกก็เช่นเดียวกัน ล้วนมีเหตุแห่งการเกิดขึ้น ดำเนินไป และท้ายสุดก็สูญสลายตามวัฏจักร

    ข้อมูลแห่งจักรวาลนี้ มนุษย์สามารถรับได้โดยการนั่งสมาธิ ให้ได้ถึงระดับหนึ่ง เพื่อให้จิตว่างจากความคิดต่างๆ จิตนิ่งรวมเป็นจุดเดียว เพื่อเป็นการสร้างสนามพลังบางส่วนในการรรับสัญญาณข้อมูลองค์ความรู้ต่างๆ ของจักรวาลเข้ามาในสมอง

    จะรู้ได้อย่างไรว่าจิตของเราเริ่มรับข้อมูลได้ สิ่งที่สังเกตได้ไม่ยากคือ ในช่วงที่จิตเราเริ่มเข้าสู่สมาธิเล็กน้อย บริเวณหน้ากลางผากหรือตามใบหน้าจะมีการกระตุกเบาๆ อย่างต่อเนื่อง เป็นลักษณะที่บอกได้ว่าจิตของเราเริ่มมีการรับสัญญาณได้บ้างแล้ว(บางคนจะเป็นอาการอื่นแทนหรือบางคนอาจไม่เกิดขึ้นเลย) เพราะใช้กำลังของสมาธิเพียงเล็กน้อย ก็สามารถรับได้แล้ว แต่ทว่าถึงรับมาได้ก็ไม่สามารถตีความหมายของข้อมูลที่รับมาได้ จำเป็นต้องใช้พลังของสมาธิที่มากขึ้นเพื่อใช้ในการตีความหมายข้อมูลที่ได้รับมาว่าข้อมูลที่รับมาได้นั้นคืออะไร

    ถ้าจะถามว่าจะรู้ได้อย่างไรว่าข้อมูลเข้ามาในสมองของเราแล้ว คำตอบก็คือ เมื่อใดที่เราสามารถเข้าใจสิ่งต่างๆที่สงสัยได้ โดยปกติที่เราไม่เคยรู้คำตอบของมันมาก่อนเลย แต่กลับรู้คำตอบได้ด้วยตนเองจากการนั่งสมาธินั้นคืออีกจุดสังเกตง่ายๆ เช่น ความเข้าใจในเรื่องของธรรมะต่างๆ ที่ได้คำตอบมาจากการนั่งสมาธิ

    ส่วนอีกข้อมูลระดับหนึ่งเป็นข้อมูลที่มีองค์ความรู้ละเอียดมากขึ้น คือเป็นข้อมูลบางอย่างที่เราไม่เคยรับรู้มาก่อนเลย แต่กลับรับรู้และเข้าใจความเป็นไปของสิ่งต่างๆ ได้แบบฉับพลันหรือทยอยเข้ามา เช่น รู้ว่าภพแต่ละภพเกิดขึ้นได้อย่างไรตามหลักของวิทยาศาสตร์ และจะสามารถเดินทางไปยังมิติอื่นๆได้อย่างไร การเข้าใจในเรื่องของมิติกาลเวลา การเกิดโลกและจักรวาล มิติจักรวาลคู่ขนาน เหตุแห่งการกำเนิดพลังในรูปแบบต่างๆ วัฏจักรแห่งจักรวาล ฯลฯ นั่นก็คือความรู้แจ้งแห่งสัจจะธรรม ซึ่งแต่ละคนสามารถรับได้มากน้อยแตกต่างกัน ซึ่งขึ้นอยู่กับกำลังสมาธิ และปัญญาที่สั่งสมมา

    http://www.dhammakid.com/board/ano/oaoano1oaaeaeacaeaaoaaea1eo1iaoo/?prev_next=next#new
     
  7. วสุธรรม

    วสุธรรม พลังรักอมตะ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    2,323
    ค่าพลัง:
    +8,220
    ใช้ผิวหนังมองแทนดวงตา พลังลี้ลับของคนป่าแห่งซามัว

    ใช้ผิวหนังมองแทนดวงตา พลังลี้ลับของคนป่าแห่งซามัว

    เรียงเรียบใหม่โดย ๛ชมรมผู้สนใจพลังลี้ลับ๛.

    ซามัว เป็นประเทศที่ประกอบด้วย หมู่เกาะอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิกตอนใต้ ชาวซามัวเป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับอิทธิพลมาจากอารยธรรมโบราณของ "อาณาจักรมู" ซึ่งเป็นอารยธรรมเก่าแก่ในยุคกำเนิดมนุษย์คนแรก ซึ่งเป็นอาณาจักรที่ได้เคยมีความเจริญสูงสุดในเรื่องของศาสนาหลักคำสอนและความก้าวหน้าในเรื่องดาราศาสตร์ และพลังแห่งจักรวาล

    อาณาจักรมู หรือ นี้มีชื่อเรียกอีกชื่อว่า "อาณาจักรแห่งดวงอาทิตย์" ตั้งถิ่นฐานอยู่ที่มหาสมุทรแปซิฟิก และได้จมลงสู่ท้องทะเลเมื่อประมาณ 11,500 ปี ที่ผ่านมา การเผยแผ่อิทธิพลคำสอนในเรื่องของศาสนา ดาราศาสตร์ สิ่งก่อสร้างต่างๆ ของอาณาจักรมู ถูกนำเข้ามาทางพม่า อินเดีย ไอยคุป ธิเบต จีน ญี่ปุ่นและอาณาเขตกระจายโดยรอบของอาณาจักรมู (สามารถติดตามอ่านเรื่องอาณาจักรมูได้ในกระทู้อื่น)

    ก่อนหน้านี้หลายปีมีรายงานมาว่า ในซามัว มีชาวซามัวที่เป็นคนตาบอดสามารถมองเห็นสิ่งต่างๆได้ โดยมองผ่านทางผิวหนังของเขา รายงานนี้ถูกหัวเราะเยาะเย้ยหยัน และมองว่าเป็นเรื่องตลกขบขันของนักวิทญาศาสตร์และประชาชนส่วนใหญ่ เพราะคิดว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้ในหลักความเชื่อของบรรดานักวิทยาศาสตร์ในสมัยนั้น

    รายงานต่อไปนี้เป็นรายงานของ นิวยอร์ก เวิลด์ จากปารีส ซึ่งรายงานถึงความสำเร็จของปรากฏการณ์ เกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในซามัว รายงานนี้เป็นคำตอบให้กับคำหัวเราะเย้ยหยันที่บรรดานักวิทยาศาสตร์ต่อรายงานของคนป่าแห่งซามัว

    บทความนั้นมีอยู่ว่า... "คุณไม่เพียงมีดวงตาในส่วนศีษระ แต่คุณยังมีดวงตาในส่วนที่เป็นร่างกายของคุณด้วย ร่างกายของคุณเต็มไปด้วยดวงตา! และดวงตาเหล่านั้นสามารถนำมาใช้ได้! หากได้รับการฝึกฝนอย่างถูกวิธี!.."

    มีขี้อสรุปจากนักวิทยาศาสตร์ ผู้ที่ได้เป็นพยานในการทดลองของจูลส์ โรเมน(Jules Romain) นักเขียนหนังสือเกี่ยวกับดวงตาพิเศษนี้ว่า ใต้ผิวหนังของเรามี โอเซลลัส(ocelles) ซึ่งเป็นอวัยวะที่มีขนาดเล็กมาก ที่เชื่อมต่อกับระบบประสาทส่วนกลาง ซึ่งเป็นที่มาของ "ดวงตาพิเศษ"

    ในรายงานมีบันทึกว่า เอ็ม. โรเมน (M. Romain)ได้ประสบความสำเร็จในการฝึกให้คนหลายคนใช้ดวงตาพิเศษนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ พวกเขาสามารถแยกสีและอ่านออกขณะที่ถูกปิดตาอย่างมิดชิด บางคนสามารถมองเห็นได้ด้วยแก้ม นิ้วมือ หรือจมูก คนหนึ่งสามารถบอกลักษณะของหมวกได้ด้วยระยะไกลกว่า 4 หลา ซึ่งเป็นผลมาจากการฝึกพลังสมาธิโดยการเพ่งไปยังจุดใดจุดหนึ่งของร่างกาย ซึ่งต้องใช้พลังจากศูนย์กลางของจิตใจเป็นหลัก ***การฝึกเช่นนี้ไม่เกี่ยวข้องกับมาถูกสะกดจิตแต่อย่างใด

    การทดลองครั้งแรกได้ผลได้ไม่เด่นชัดนัก แต่การทดลองในครั้งต่อไปๆใด บางคนมีการพัฒนามากขึ้น และจากการทดลองค้นพบได้ว่า ยิ่งคนที่ถูกนำมาฝึกนี้ได้รับการฝึกมากขึ้นเท่าไหร ก็ยิ่งพัฒนาความสามารถในการมองเห็นขยายวงออกไปได้เรื่อยๆ...

    ซึ่งบัดนี้เป็นที่พิสูนจ์ได้แน่ชัดแล้วว่า การใช้ผิวหนังในการมองแทนดวงตานั้นสามารถทำได้จริง!!! ดวงตาพิเศษนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ที่ได้รับการฝึกมาอย่างถูกวิธี ซึ่งการฝึกแบบนี้ชาวซามัวได้รับการฝึกสืบทอดกันมาไม่ต่ำว่าหลายพันปีแล้ว...

    เป็นที่น่าสังเกตได้ว่า ยิ่งวิทยาศาสตร์ก้าวหน้ามากขึ้นเท่าไหร กลับเหมือนยิ่งถอยหลังลงเรื่อยๆ มากขึ้นเท่านั้น วิทยาศาสตร์สมัยใหม่จึงใช้วิธีเดียวที่จะหาทางพัฒนาองค์ความรู้ให้ก้าวไกลกว่าเป็นไปได้ นั้นก็คือ การศึกษาเรื่องในอดีตที่เคยเกิดขึ้น อารยธรรมโบราณที่สูญสลาย แล้วทำความเข้าใจมันให้รู้ซึ้ง แล้วนำมันมาใช้ให้เป็นประโยชน์ในยุคของปัจจุบัน

    http://www.dhammakid.com/board/ano/oac1ncanoeno3eiauainacoa/?prev_next=next#new
     
  8. วสุธรรม

    วสุธรรม พลังรักอมตะ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    2,323
    ค่าพลัง:
    +8,220
    การทำสมาธิด้วย “ไทเก๊กโบราณ” ตามหลักปรามาจารย์จางซานฟง

    การทำสมาธิด้วย “ไทเก๊กโบราณ” ตามหลักปรามาจารย์จางซานฟง


    ต้นไม้ชนิดเดียวกันทั้งโลก มีกี่ต้น? (น่าจะมากกว่าล้าน)

    ต้นไม้ชนิดเดียวกันแต่ละต้น มีรูปร่างทับกันสนิทหรือไม่? (น่าจะแตกต่างกันทุกต้น)

    ต้นไม้ที่เกิดมาแต่ละต้น เป็นธรรมชาติใช่ไหม? ปรับตัวตามธรรมชาติใช่ไหม? (ก็ใช่สิ)

    เช่นนั้น สภาวธรรมจะจำได้ไหม? จะมาจากการจดจำได้หมดถ้วนไหม? (ไม่น่าจะได้)
    เช่นนั้น ท่วงท่าของไทเก๊กเหตุไฉนจะได้มาด้วยการจดจำ? (ไทเก๊กมาจากสภาวธรรม)

    ปัจจุบันมีการฝึกไทเก๊กกันทั่วโลกมากมาย มากเสียยิ่งกว่ามวยชี่กง และมวยเส้าหลิน และหากเทียบกับการฝึกสมาธิแนวโยคะอื่นๆ เช่น สหจโยคะ และกุณฑาริณี ต่างก็เสื่อมหายไปหมด จนเพิ่งมาเริ่มต้นใหม่เมื่อไม่นานมานี้ แสดงให้เห็นถึงความเรียบง่ายเป็นธรรมชาติเข้ากับคนได้กว้างขวางของไทเก๊ก ว่าเป็นหลักการฝึกจิต ฝึกสมาธิ หลอมรวม กาย, จิต, วิญญาณ เข้าสู่สภาวธรรมได้ง่ายและกว้างขวางและได้รับความนิยมตลอดมา

    ทว่าในปัจจุบัน วิชชาการต่างๆ ในสมัยโบราณล้วนเสื่อมลงและถูกกลืนหาย ทำให้การเรียนการสอนเป็นแบบท่องจำ มีแต่ท่วงท่าที่จดจำกันมา ไม่กี่พันท่า ทั้งๆ ที่ไทเก๊กมีมากกว่าล้านๆ ท่าเสียอีก นับได้ว่าไร้ท่าไร้ลักษณ์ ย่อมมีนานัปการนับไม่ถ้วนท่านั่นเอง การเรียนไทเก๊กกันในปัจจุบันจึงขาดตกบกพร่องในหลักหัวใจที่สำคัญที่สุด คือ เคล็ดวิชชานั่นเอง อันได้แก่ หลักการทำสมาธิ, การฝึกปราณ, การหลอมรวมสามเป็นหนึ่ง

    หลักการทำสมาธิแบบร่ายรำ
    ในประเทศไทยมีการทำสมาธิแบบเคลื่อนกายของหลวงพ่อเทียน แต่จะไม่มีการร่ายรำและเคลื่อนลมปราณเป็นท่าการต่อสู้ต่างๆ ไทเก๊กก็มีการทำสมาธิขณะเคลื่อนที่เช่นกัน

    หลักการฝึกลมปราณแบบไทเก๊ก
    หลักการฝึกลมปราณของไทเก๊ก เป็นหลักการเดียวกับของเส้าหลิน เนื่องจากปรมาจารย์จางซานฟง เคยบวชเป็นเณรที่วัดเส้าหลิน และฝึกลมปราณพื้นฐานจากวัดนี้ ซึ่งก่อตั้งโดยปรามาจารย์ตั๊กม้อ (ซึ่งเป็นองค์อวตารแห่งพระอวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตว์)


    http://www.dhammakid.com/board/ano/aaeoce1naia1co-anaoeanoi1eoaeeoanc/?prev_next=next#new
     
  9. วสุธรรม

    วสุธรรม พลังรักอมตะ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    2,323
    ค่าพลัง:
    +8,220
    ฝึกอำนาจพลังจิตรักษาตนเองแบบง่ายๆ

    <HR class=hrcolor SIZE=1 width="100%">
    จากหนังสือ แนวคำสอนสมเด็จโต สมาธิ ทางสงบ ถอดจิต

    คนส่วนมาก มักรอคอยขอรับความช่วยเหลือจากผู้อื่น น้อยนักที่คิดช่วยตนเองก่อน ท่านควรที่จะฝึกให้เป็นคนที่พร้อมจะช่วยเหลือตนเอง

    “ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ”
    ขอให้ท่านพยายามหาโอกาสปฏิบัติฝึกจิต นั่งสมาธิวันละชั่วโมง ก็จะสร้างอำนาจพลังจิตเบื้องต้นได้

    1.ฝึกจิตรวมเป็นหนึ่ง

    ถ้าท่านมีจิตใจผวาบ่อยๆหรือจิตใจหงุดหงิด อ่อนเพลียปวดหัวอยู่บ่อยๆ โดยหาสาเหตุไม่ได้ ซึ่งหาหมอแล้วก็ไม่หาย ท่านอาจจะตกอยู่ภายใต้อำนาจแห่งไสยคุณที่ใครทำมาบังคับท่านให้เกิดมีอาการต่างๆและบังคับให้กระทำสิ่งที่ไม่ดีไม่งามได้โดยปกติแล้วคนไข้ที่ถูกไสยคุณไม่ลึกนั้น จะมีสติเป็นของตนเองไม่มากก็น้อย ท่านจะต้องช่วยตนเองด้วยการรวมจิตใจความนึกคิดให้เป็นหนึ่งด้วยการท่อง

    “ พุท ” “ โธ ”

    อยู่ตลอดเวลาที่จิตว่าง จะได้ปักใจไม่ให้ไปรับรู้อำนาจอื่นที่มาบีบประสาทเรา พยายามปลุกใจตนเองว่าเราจะต้องชนะทุกสิ่งทุกอย่าง ความชั่วทั้งหลายต้องไม่สามารถทำอะไรเราได้ เราจะต้องหายจากความเจ็บปวดปฏิบัติเช่นนี้เรื่อยๆบ่อยๆ ฝึกจนเกิดความเคยชินท่านก็จะได้รวมจิตเป็นหนึ่งแข็งแกร่งขึ้น อยู่เหนือสิ่งเลวร้าย จนไสยคุณเกาะท่านไม่ติด เพราะเรามีจิตเป็นหนึ่งและระลึกบารมีพุทธคุณคุ้มครองเราอยู่ตลอดเวลา

    2.ฝึกขับไล่ไสยคุณ

    ท่านที่มีอาการหงุดหงิดปวดหัว หรือปวดตามตัว แน่นหน้าอก ไม่ว่าท่านรู้ดีว่าถูกไสยคุณหรือว่าไม่ถูกกระทำ ควรปฏิบัติดังนี้


    สวดมนต์ไหว้พระแล้วขอบารมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ครูบาอาจารย์ช่วยรักษา โดยท่านนั่งหันหลังให้กับหิ้งพระแล้วเหยียดเท้าไปข้างหน้า ที่ปลายเท้าจุดเทียนไว้เล่มหนึ่ง เมื่อพร้อมแล้ว ก็เพ่งเทียนจนจำเปลวเทียนได้ หลับตานำรูปเปลวเทียนขึ้นบนศีรษะ แล้วนำเปลวเทียนค่อยๆไล่ลงมาถึงปลายเท้าปลายแขน พอรูปเปลวเทียนหายไป ก็ลืมตาเพ่งจนจำเปลวเทียนได้ใหม่ฝึกขับไล่ต่อไป
    ผู้ที่ฝึกจนชำนาญแล้ว ไม่ต้องจุดเทียนก็สร้างเปลวไฟขึ้นขับไล่ได้ ปฏิบัติเช่นนี้วันละ 15-30 นาที อาการต่างๆก็จะดีขึ้นตามลำดับ

    3.ฝึกช่วยสะเดาะเคราะห์ให้กับตนเอง

    คนเราไม่ว่าจะป่วยหรือว่าการเงิน การงาน ภาวะสิ่งแวดล้อมมีแต่ความติดขัดบ่อยๆติดๆกัน หรือว่าฝันร้ายอยู่บ่อยๆฝันแต่นิมิตที่ไม่ดี ขอให้เข้าใจว่า ดวงกำลังไม่ค่อยจะดี อกุศลกรรมวิบากเริ่มมาหาท่านแล้ว ท่านควรจะระวังเนื้อระวังตัว ทำอะไรก็อย่าประมาท อย่าให้เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่ และหลายๆท่านชอบไปหาคนมาช่วยทำการสะเดาะเคราะห์ ขอแนะนำท่านช่วยเหลือตนเองดังนี้
    พยายามทำบุญด้วยความไม่เห็นแก่ตัว พร้อมที่จะช่วยเหลือคนอื่นให้พ้นทุกข์เสมอ หมั่นสวดมนต์ไหว้พระฝึกปฏิบัติจิตให้สงบ จะได้ไม่ทำอะไรวู่วาม ปล่อยสิ่งมีชีวิตที่ถูกกักขังให้ได้ความอิสระ โดยเฉพาะปล่อยสัตว์ที่เขากำลังจะนำไปฆ่ายิ่งดี กระทำเป็นระยะหนึ่งจนกว่าจะพ้นดวงมืด และทุกปีก่อนครบวันเกิด 30 วัน ก็ควรปฏิบัติทำบุญเช่นนี้

    ดวงไม่ค่อยดี ส่วนมากเมื่ออายุลงท้ายด้วยเลข 9-0 หรือตรงที่ใกล้จะครบวันเกิดในรอบปี หรือเมื่ออายุ 24 จะขึ้น 25 บริบูรณ์ที่เรียกว่า เบ็ญจเพศ เมื่อพ้นกำหนดที่จังหวะดวงไม่ดีก็ต้องปฏิบัติสร้างบุญกุศลอีก 30 วันเรียกว่า

    “ มาก็ทำบุญต้อนรับ ไปก็สร้างกุศลหนุนส่ง

    http://www.dhammakid.com/board/ano/nad-aduan-eueoaoai/?prev_next=next#new
     
  10. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,696
    ค่าพลัง:
    +51,932
    *** ตัดแล้วรู้ ****

    พระพุทธเจ้า...วางทุกอย่าง วางตำราทุกเล่ม หนีเข้าไปอยู่ในป่าคนเดียว
    พระพุทธเจ้า....รู้ทุกอย่าง ด้วยการตัดลดปลดนิสัยตนเอง
    ยิ่งตัดได้มาก...ก็ล่วงรู้ความจริงได้มาก
    รู้ด้วย....ตัวกระทำ ที่เกิดจากการปลดนิสัยตนเอง

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  11. Somroo

    Somroo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2010
    โพสต์:
    202
    ค่าพลัง:
    +329
    อยากใช้พลังจิตได้มั้งจังแฮะ
     
  12. Jera

    Jera เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2009
    โพสต์:
    1,001
    ค่าพลัง:
    +2,040
    น่าสนใจครับเรื่องนี้
     
  13. ทิวลิปขาว

    ทิวลิปขาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    134
    ค่าพลัง:
    +1,555
    ขอบคุณ เนื้อหาสาระทั้งหมด น่าสนใจมาก..... ถ้าเราจะปฏิบัติฝกฝนเองที่บ้าน จะทำได้ป่าว วานท่านผู้รู้ ช่วยชี้แนะ
     
  14. TheMoonz

    TheMoonz สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    21
    ค่าพลัง:
    +18
    อืมมมม... น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง
     
  15. วสุธรรม

    วสุธรรม พลังรักอมตะ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    2,323
    ค่าพลัง:
    +8,220
    กระแสวงจรจิต

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=hpwydcrA-rE&feature=player_embedded"]YouTube - กระแสวงจรจิต[/ame]
     
  16. วสุธรรม

    วสุธรรม พลังรักอมตะ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    2,323
    ค่าพลัง:
    +8,220
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=D7LVYLTsCTg&feature=related]YouTube - เรื่องจริงผ่านจอ พลังจิตมีจริงหรือ![/ame]
     
  17. วสุธรรม

    วสุธรรม พลังรักอมตะ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    2,323
    ค่าพลัง:
    +8,220
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=JQO-2xTReQY&feature=related]YouTube - พลังจิต 01[/ame]
     
  18. วสุธรรม

    วสุธรรม พลังรักอมตะ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    2,323
    ค่าพลัง:
    +8,220
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=xQSlJaaxobc&NR=1]YouTube - พลังจิต 02[/ame]
     
  19. วสุธรรม

    วสุธรรม พลังรักอมตะ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    2,323
    ค่าพลัง:
    +8,220
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=sArFZGQC_MU&NR=1]YouTube - พลังจิต 03[/ame]
     
  20. วสุธรรม

    วสุธรรม พลังรักอมตะ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    2,323
    ค่าพลัง:
    +8,220
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=APX5GizjEIU&feature=related]YouTube - พลังจิต 04[/ame]
     

แชร์หน้านี้

Loading...