สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์ทรงถาม(หลวงพ่อพุธ)-พระโสดาบันสามารถรู้จิตใจของคนอื่นได้แล้วจริงหรือเจ้าคะ?

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย แว๊ด, 29 ตุลาคม 2008.

  1. แว๊ด

    แว๊ด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    982
    ค่าพลัง:
    +509
    สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์ทรงถาม(หลวงพ่อพุธ)-พระโสดาบันสามารถรู้จิตใจของคนอื่นได้แล้วจร

    <TABLE width=700 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=100>ถาม :</TD><TD align=left width=600>คนที่เรียกตนเองว่าเป็นคริสต์ แต่ตัวเองเป็นพุทธ ดิฉันไม่เข้าใจ อย่างเพื่อนของดิฉันก็เหมือนกัน สงสัยเรื่องกรรม พระท่านว่าให้ทำดี เราทำดีแต่ไม่เห็นได้ดี คนอื่นเขาไม่เห็นได้ทำดีแต่กลับได้ดีและร่ำรวย มีอำนาจและวาสนา ส่วนเราทำดีนี่จะไม่ได้ดี ขอคำอธิบายว่าทำดีได้ดีนี้หมายถึงความดีที่ยั่งยืน มิได้หมายถึงดีสำหรับกายเนื้อเฉพาะตอนนี้เท่านั้น หรือในชาตินี้ คือเอาตัวรอด หรือเป็นผู้ประเสริฐ ทำดีแล้วจะเอาตัวรอดได้ปลอดภัยได้ หมายความว่าสักวันหนึ่งคงจะได้ความดี ใช่ไหมเจ้าคะ?


    </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle width=100>หลวงพ่อ :</TD><TD align=left width=600>ใช่ สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสเอาไว้ว่า คนทำความชั่ว เมื่อผลแห่งความชั่วยังไม่ปรากฏแล้ว เขาก็ยังไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาทำนั้นเป็นความชั่ว บางครั้งคนทำดี แต่ผลแห่งความดีนั้นยังไม่ปรากฏ เขาก็ยังไม่รู้ว่าที่เขาทำนั้นเป็นความดี <DD>ในความรู้สึกของคนเราโดยทั่วๆ ไป ก็มักจะพูดกันว่า บางคนทำแต่บาปแต่กรรม ทำไมเขาจึงร่ำรวยมียศฐาบรรดาศักดิ์ แต่เรานี้ทำดีแล้วไม่ได้ดี อันนี้คนเขามักจะพูดกันอย่างนั้น และเขาก็มาถามบ่อยๆ ก็ได้แก้ให้เขาไปว่า คนที่คุณกระทำความดีกับเขาแล้วไม่ได้ดี เพราะเขาไม่มีดีจะให้คุณ คุณจึงไม่ได้ดี เพราะคุณมุ่งไปเอาดีกับคนซึ่งไม่มีความดี คุณไม่มุ่งเอาความดีกับตนเอง ถ้าคุณทำดีกับตนเอง คุณย่อมจะได้ดี เช่น คุณปฏิบัติราชการ ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความดี ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต งดเว้นในสิ่งซึ่งผิดวินัยในหน้าที่ของราชการ แม้ผู้บังคับบัญชาไม่เห็นความดีของคุณ คุณก็ได้ทำความดีในหน้าที่ของคุณอย่างพร้อมมูลแล้ว และผลความดีของคุณย่อมปรากฏแก่ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง คือผู้ที่พึ่งอำนาจความดีของคุณ ยกตัวอย่างเช่น คุณอาจจะเป็นครูสอนนักเรียน ผลของความดีที่คุณทำอย่างตรงไปตรงมา ความดีก็ได้แก่นักเรียน คือลูกศิษย์ของคุณนั่นเอง นักเรียนคือลูกศิษย์ของคุณ ได้วิชาความรู้ ได้สอบผ่านไป ความภาคภูมิใจที่คุณได้ทำให้ลูกศิษย์ได้รับผลสำเร็จ นั่นแหละคือความดีที่ไม่มีใครจะลบล้างได้ เพราะฉะนั้น หากเราไปทำความดีแล้วไม่หวังเอาความดีจากผู้ทำ ถ้าผู้นั้นเขามีความดีของเขา ก็จะให้ความดีแก่เรา แต่ถ้าเขาไม่มีความดีพอ เขาก็ไม่ให้ความดีแก่เรา เราก็ผิดหวัง <DD>ในสังคมมนุษย์ คนดีประเภทหนึ่งเขาถือความมั่งมี ความร่ำรวย ถือยศฐาบรรดาศักดิ์เป็นความดี และคนดีอีกประเภทหนึ่ง เขาถือความดีที่เขากระทำด้วยความบริสุทธิ์ใจเป็นความดีที่ตนสร้าง คนประเภทนี้ถึงแม้ว่าใครจะให้ดีก็ตามไม่ให้ดีก็ตาม เขาก็ภูมิใจในการที่เขาได้ปฏิบัติงานตามหน้าที่ที่บริสุทธิ์สะอาดแล้ว</DD></TD></TR><TR><TD align=middle colSpan=2><HR width=350></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle width=100>ถาม :</TD><TD align=left width=600>ดิฉันยังไม่เข้าใจในเรื่องกรรม ทำไมลูกของเราจึงต้องสร้างความไม่สบายใจ ทำไมลูกคนอื่นซึ่งพ่อแม่เขาไม่ได้ทำบุญเลย เขาเสีย ไม่ดีในเรื่องเงินทองหน้าที่ราชการ ลูกเขาก็ออกมาดีๆ ทำไมลูกเราถึงได้มาเปลี่ยนไป ดิฉันไม่เข้าใจคำว่ากรรมเก่า


    </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle width=100>หลวงพ่อ :</TD><TD align=left width=600>คำว่ากรรมคือการกระทำ เมื่อเราถือว่าทำลงไปแล้วไม่มีผลอะไร ทำแล้วก็แล้วไป คนที่คิดเช่นนั้นก็มีมาก เว้นเสียแต่ผู้ที่ทำจิตทำใจหรือว่าฝึกฝนอบรมมาจนจิตใจน้อมเชื่อในผลแห่งกรรมนั่นแหละ จึงจะเชื่อว่ากฎของกรรมมีจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมัยปัจจุบันนี้ พวกที่ยังตื่นอยู่กับสังคมของโลก ตื่นอยู่กับความสนุกเพลิดเพลิน ตื่นอยู่กับความร่ำรวย หรือยศฐาบรรดาศักดิ์ พวกเหล่านี้มักจะลืมตน และมักไม่คำนึงถึงว่าผลกรรมที่เราได้กระทำในปางก่อนนั้นมาสนับสนุนให้เราได้ดิบได้ดีในปัจจุบัน <DD>โดยวิถีของกรรมแล้ว ปัญหาที่ว่าคนที่ทำชั่วมากทำไมเขาจึงได้ดี อันนี้ก็เพราะว่าความชั่วในปัจจุบันยังไม่ให้ผลแก่เขา เขาจึงเจริญรุ่งเรือง เพราะอาศัยผลกรรมในอดีตชาติปางก่อนมาสนับสนุน เขาจึงได้ดิบได้ดี เรื่องนี้ยากนักที่จะปลงใจเชื่อกันได้ นอกจากจะมาบำเพ็ญเพียรภาวนา ทำจิตบริกรรมภาวนา ทำใจให้สงบสว่าง นั่นแหละจึงจะโน้มน้าวใจให้เชื่อลงไปได้ เคยมีลูกศิษย์เป็นนายตำรวจผู้หนึ่ง เขามาอุปสมบทอยู่ด้วย ได้สอนให้เขาบริกรรมภาวนา เริ่มต้นด้วยการภาวนาพุทโธๆๆ ภายหลังเขาก็ตั้งใจจริง จนกระทั่งจิตสงบสว่าง มีความรู้ธรรมเห็นธรรมปรากฏขึ้นภายในจิตของเขา สิ่งที่น่าภูมิใจที่สุดที่เขาแสดงความคิดเห็นออกมามีอย่างหนึ่งคือ เขาพูดว่า "เมื่อก่อนนี้รับราชการเป็นนายตำรวจยังไม่ทันซึ้งถึงพระมหากรุณาธิคุณที่ท่านได้พระราชทานให้ได้เงินเดือนมาสำหรับเลี้ยงชีวิต เมื่อมาภาวนาจนจิตสงบแล้ว รู้เหตุ รู้ผล รู้สึกว่างานที่เรากระทำนี้ยังไม่คุ้มกับพระราชทรัพย์ที่ได้พระราชทานมาสำหรับเลี้ยงชีวิต" และเขาได้ปฏิญาณตนว่า "ผมจะตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ราชการด้วยความซื่อสัตย์สุจริตจนตลอดชีวิต"</DD></TD></TR><TR><TD align=middle colSpan=2><HR width=350></TD></TR><TR><TD align=middle colSpan=2>การเกิดบาปกรรม </TD></TR><TR><TD align=middle width=100>ถาม :</TD><TD align=left width=600>การเกิดบาปกรรมเป็นเรื่องของเจตนาใช่หรือไม่เจ้าคะ?


    </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle width=100>หลวงพ่อ :</TD><TD align=left width=600>ที่เกิดของบาปกรรมเป็นเรื่องของเจตนา พระพุทธเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่าเจตนานั้นแลเป็นกรรม อันนี้เป็นพุทธภาษิต เรื่องของบาปของกรรม กรรม เป็นเรื่องของการกระทำ บาป เป็นผลของการกระทำ การกระทำที่เป็นไปในแนวทางที่ชั่ว ผลเกิดมาก็คือ บาป การกระทำในแนวทางที่ดี เป็นกุศลเป็นบุญ ผลเกิดมาก็คือบุญ เรียกว่า บุญ <DD>ทั้งบุญทั้งบาปเป็นผลของธรรมชาติ ซึ่งเกิดจากการกระทำซึ่งพร้อมไปด้วยการเจตนา <DD>คนเรามีกายกับใจซึ่งประกอบกัน เมื่อกายกับใจยังอยู่ร่วมกัน เรียกว่า คน เป็นสิ่งที่มีชีวิต กายกับใจแยกกันเมื่อใดกายก็เป็นคน ส่วนวิญญาณก็คือจิตใจก็เป็นอย่างอื่น <DD>เมื่อกายกับใจอยู่ร่วมกัน ในหลักธรรมะท่านว่า ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นใหญ่ สำเร็จแล้วแต่ใจ ใจจึงเป็นนายของกาย เช่น โดยธรรมชาติของใจ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า จิต ก็ดีและโดยธรรมชาติของจิตและใจอันนั้น เมื่อมีกายเป็นส่วนประกอบ สามารถทำดีทำชั่วได้หมด ดังที่นักวิทยาศาสตร์ชาวตะวันตกเขาว่า วิญญาณไม่มีพลังงาน เขาจึงไม่เชื่อว่าผีมี <DD>ความจริงวิญญาณที่ออกจากร่างกายของมนุษย์หรือสัตว์ก็ดี ยังไม่มีปฏิสนธิคือยังไม่มีการเกิด ก็ยังไม่มีร่าง เป็นแต่เพียงวิญญาณล้วน ๆ อย่างเดียวเท่านั้น ในตอนนี้วิญญาณนั้นจะไม่มีพลังงาน <DD>แต่เมื่อวิญญาณไปเกิดเป็นโอปปาติกะ เกิดเป็นเทวดาเป็นภูติผี ปีศาจ เป็นเปรต เป็นอสุรกาย พลังงานของเขาก็จะเกิดขึ้นทันที <DD>ข้อเปรียบเทียบได้ก็คือว่า ในขณะใดที่ผู้ปฏิบัติทำจิตให้สงบนิ่งลงเป็นอัปปนาสมาธิ จิตรู้อยู่เฉพาะจิตอย่างเดียวเท่านั้น กระแสจิตที่จะส่งออกมาทาง ลิ้น หู ตา กาย ไม่มีในตอนนั้นสมรรถภาพของจิตก็เป็นแต่เพียงว่าสามารถประคองตัวอยู่ได้ในความสงบสว่างเท่านั้น ทำอะไรก็ยังไม่ได้ <DD>อันนี้คือจิตที่ปล่อยวางความมีร่างกายไปหมดแล้ว อารมณ์ซึ่งเป็นคู่ของใจก็ไม่มี จิตวิญญาณจึงไม่มีพลังงานเพราะไม่มีส่วนประกอบ จึงยังไม่สามารถที่จะก้าวหน้าไปสู่จิตที่มีความรู้และภูมิธรรมได้ <DD>เรื่องของบุญและบาปนั้น บุญบาปก็ดี ซึ่งเป็นผลอันเกิดจากการกระทำโดยผลของธรรมชาติ <DD>ในเมื่อจิตตั้งเจตนาว่าจะทำบาปอย่างใดอย่างหนึ่งลงไปแล้ว เมื่อกระทำลงไปแล้วโดยเจตนา ภายหลังมาสำนึกตัวเองว่าการกระทำอย่างนี้ไม่ดีมันเป็นบาป เราสักแต่ว่าทำเฉย ๆ เราจะไม่รับผลกรรมที่เราทำนั้น แม้ว่าเราจะปฏิเสธไม่รับผลนั้นก็ตาม โดยธรรมชาติแล้วผู้นั้นเขาจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งการทำดีแลการทำชั่ว เพราะอันนี้เป็นผลที่เกิดขึ้นมาโดยธรรมชาติ <DD>ในเมื่อกายกับใจร่วมกันไปกระทบสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ในตอนนั้นสิ่งนั้นอยู่ในเกณฑ์แห่งความดีก็ตาม เกณฑ์แห่งความชั่วก็ตาม เมื่อทำลงไปแล้ว ผู้ทำจะปฏิเสธว่า ฉันไม่ต้องการผลแห่งการกระทำนั้น เพราะว่าผลของบุญของบาปไม่ใช่เหตุผลที่เราจะปฏิเสธได้ หรือโยนให้คนอื่น หรือโยนทิ้งไปได้ผู้ทำจะต้องได้รับผลโดยธรรมชาติ แม้เขาจะไม่ยินดีรับก็ตาม </DD></TD></TR><TR><TD align=middle colSpan=2><HR width=350></TD></TR><TR><TD align=middle colSpan=2>เหตุที่สำเร็จช้า </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle width=100>ถาม : </TD><TD align=left width=600>พระอานนท์มีความกตัญญูกตเวทีต่อพระพุทธองค์ถึงเพียงนั้น ทำไมท่านจึงสำเร็จช้ากว่าองค์อื่น </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle width=100>หลวงพ่อ : </TD><TD align=left width=600>ที่เป็นเช่นนั้น ก็เพราะพระอานนท์มีความรักความเคารพ มีความห่วงใยในพระพุทธเจ้ามาก เพราะความกตัญญูอย่างมาก ความรำลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้าอย่างมาก ในเมื่อมีความระลึกถึงพระคุณพระพุทธเจ้า มีความเป็นห่วงเป็นใยในความเป็นอยู่ของพระพุทธเจ้าก็มีมาก เพราะความกังวลอันนี้เองเป็นอุปสรรคทำให้พระอานนท์บรรลุพระอรหันต์ช้า <DD>ความห่วง ความกังวลก็เป็นสังโยชน์ ซึ่งจะต้องพิจารณาสักกายทิฎฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส ท่านก็ละได้แล้ว โดยวิสัยของพระโสดาบัน เป็นผู้กตัญญูรู้คุณ เป็นผู้มีความห่วง โดยเฉพาะการเอาใจใส่พระพุทธศาสนา เพราะเหตุนี้เองเป็นเหตุให้พระอานนท์บรรลุพระอรหันต์ช้า <DD>แต่ถ้าโดยวิสัยของพระอานนท์แล้ว พระอานนท์นั้นพระพุทธเจ้าท่านทรงทำนายไว้ก่อนหน้าแล้ว คือ พระอานนท์จะสำเร็จพระอรหันต์ในวันปฐมสังคายนา เพราะพระอานนท์นี้ได้สร้างบารมีมาว่า จะให้ตนสำเร็จพระอรหันต์ในวันสำคัญเพื่อจะได้เป็นประวัติศาสนาให้คนอื่นได้ศึกษาด้วยเรื่องนี้ได้เล่าติดต่อกันมาเป็นตัวอย่าง <DD>และอีกตัวอย่าง เกี่ยวกับความเป็นห่วง เป็นกังวล <DD>มีพระภิกษุ ๓๐ รูปไปบำเพ็ญอยู่ในป่า มีมหาอุบาสิกาเป็นโยมอุปัฏฐากคอยถวายจังหัน คอยปฏิบัติพระคุณเจ้า ๓๐ รูปเป็นอย่างดี และมหาอุบาสิกาก็ตั้งใจปฏิบัติต่อพระเถระทั้ง ๓๐ รูปเป็นอย่างดี ครั้นเมื่อปฏิบัติเสร็จแล้ว อุบาสิกาได้สำเร็จเป็นพระโสดาบัน เมื่อสำเร็จเป็นพระโสดาบันแล้ว ก็นึกสงสัยว่าพระคุณเจ้าของเรานี้จะสำเร็จพระคุณธรรมขั้นใดหรือไม่หนอ ? <DD>ท่านพระโสดาบันอุบาสิกาได้พิจารณาแล้วทราบว่าพระคุณเจ้าแต่ละองค์ยังไม่สำเร็จมรรคผลใด ๆ แล้วก็พิจารณาต่อไปว่า เหตุใดจึงไม่สำเร็จ ขัดข้องอะไร <DD>พระโสดาบันอุบาสิกาก็ทราบว่าขัดข้องเรื่องอาหารพระบางองค์ชอบของเผ็ด พระบางองค์ชอบหวาน พระบางองค์ชอบเปรี้ยว เมื่อไม่ได้อาหารที่ถูกใจ จิตก็ไปกังวลอยู่ที่นั่น จึงเป็นอุปสรรคแก่การที่จะบรรลุคุณธรรม <DD>ในเมื่ออุบาสิกาทราบอย่างนั้น รุ่งขึ้นวันใหม่ท่านก็จัดอาหารให้ถูกกับจริตของพระภิกษุสงฆ์ทั้ง ๓๐ รูป องค์ไหนชอบอย่างไรก็จัดถวายอย่างนั้นและแล้วเมื่อพระต้องการอะไรขึ้นมาก็จัดให้ถูกต้องตามอัธยาศัยของพระ จนกระทั่งพระทั้ง ๓๐ รูปเกิดความละอายแก่ใจ คิดอะไรท่านอุบาสิกาก็รู้หมดจัดให้ถูกต้องตามที่ต้องการ พระเหล่านั้นก็พากันลาอุบาสิกาไปกราบพระพุทธองค์ ทิ้งอุบาสิกาไว้ในป่าเช่นนั้นแต่เพียงผู้เดียว <DD>เมื่อไปถึงพระพุทธเจ้าแล้ว พระองค์ก็รับสั่งความว่า พวกเธอยังมีความสุขสบายดีหรือ? โยมแม่ของพวกเธอสบายดีหรือเป็นอย่างไร ทำไมถึงหนีโยมแม่มาเสียเล่า? <DD>พระภิกษุผู้เป็นหัวหน้าได้ทูลพระพุทธเจ้าว่าไม่สามารถจะอยู่กับมหาอุบาสิกานั้นได้ เพราะเมื่อคิดอะไรท่านก็รู้หมดเลยเกิดอายก็หนีทิ้งท่านมา <DD>พระพุทธเจ้าก็รับสั่งว่า นั่นแหละพวกเธอควรจะอยู่กับมหาอุบาสิกานั้นได้ เพราะมหาอุบาสิกาเป็นแม่ของพวกเธอมาหลายภพหลายชาติแล้ว เลี้ยงพวกเธอมาหลายภพหลายชาติแล้ว ชาตินี้ก็มาทำหน้าที่เลี้ยงพวกเธอให้ได้รับความดิบความดี เพราะฉะนั้นจงพากันไปอยู่กับโยมแม่ของพวกเธอเสีย <DD>พระภิกษุทั้งหลายก็นมัสการลาพระผู้มีพระภาคเจ้ากลับไปอยู่ร่วมกับมหาอุบาสิกาในป่าซึ่งเป็นที่บำเพ็ญสมณธรรมต่อไป <DD>ดังนั้น พระแต่ละองค์ก็พิจารณาตามความเหมาะสมโดยพิจารณาว่า อาหารทั้งหลายทั้งปวงที่เราได้มาด้วยการบิณฑบาตจากลำแข้ง อาหารทั้งหลายทั้งปวงที่เราได้มาด้วยการบิณฑบาตจากลำแข้ง เป็นอาหารที่เหมาะสม เป็นอาหารที่คู่ควรแก่การเลี้ยงชีวิต เราจะบริโภคอาหารเหล่านี้โดยไม่สำคัญมั่นหมายในรสชาติ เพียงแต่ว่าจะบริโภคอาหารเหล่านี้เพื่อให้มีชีวิตยังอยู่ เมื่อมีชีวิตยังอยู่ก็จะแสวงหาความดี ความงาม ความรู้ เพื่อบรรลุธรรม มรรค ผล นิพพาน <DD>เมื่อจิตวางลงเป็นกลางแล้ว ก็สำเร็จพระโสดาบัน สกทา อนาคา และพระอรหันต์ ตามลำดับ เว้นไว้แต่พระภิกษุผู้เป็นหัวหน้า สำเร็จแค่พระโสดาบันเท่านั้น <DD>ทีนี้ท่านมหาอุบาสิกาก็ได้พิจารณาดู พระทั้งหลายเหล่านั้นได้สำเร็จเท่านั้นยังไม่สำเร็จพระอรหันต์ เพราะท่านเป็นกังวลที่จะควบคุมดูแลตักเตือน ความกังวลอันนี้จึงเป็นอุปสรรค ทำให้ท่านสำเร็จพระอรหันต์ช้ากว่าภิกษุผู้เป็นลูกศิษย์ท่านทั้งหลาย <DD>เมื่อท่านมหาอุบาสิกาพิจารณารู้ว่าพระเถระผู้เป็นหัวหน้าไม่สำเร็จพระอรหันต์ ได้แต่เพียงพระโสดาบันเท่านั้นก็พิจารณาว่าขัดข้องอะไร <DD>ท่านก็ส่งภูมิจิตไปบอก กระแสจิตของพระเถระผู้นั้นก็ก้าวหน้าไปสู่ภูมิจิต ภูมิธรรม จนสามารถบรรลุบุพเพนิวาสานุสติญาณ สามารถระลึกชาติหนหลังได้ และได้รู้ว่ามหาอุบาสิกาที่เป็นโยมอุปัฏฐาก ชาติก่อนเคยเป็นภรรยาตนแล้วก็เอาอาวุธยื่นให้โจรฆ่าตัวเองตาย พอรู้ขึ้นมาอย่างนั้น ความโกรธมันก็เกิดขึ้น <DD>มหาอุบาสิกาท่านก็ส่งจิตไปคอยควบคุม ให้คำเตือนอยู่เสมอว่า ท่านพระคุณเจ้า อย่าไปโกรธ ให้ระลึกถอยหลังไปอีกชาติหนึ่ง พอระลึกถอยหลังไปแล้ว ก็รู้ว่าในชาตินี้มหาอุบาสิกาเป็นภรรยาโจร พระภิกษุรูปนี้ถูกโจรจับไปฆ่า มหาอุบาสิกาคนนี้ขอชีวิตไว้ เลยสำนึกถึงความดีของมหาอุบาสิกา ความโกรธก็ระงับไป จิตก็แจ่มใสได้สำเร็จพระอรหันต์ </DD></TD></TR><TR><TD align=middle colSpan=2><HR width=350></TD></TR><TR><TD align=middle colSpan=2>รู้ใจตน รู้ใจท่าน </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle width=100>ถาม : </TD><TD align=left width=600>ขอเรียนถามว่า พระโสดาบันนี้สามารถรู้จิตใจของคนอื่นได้แล้วหรือเจ้าคะ </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle width=100>หลวงพ่อ : </TD><TD align=left width=600>พระโสดาบันสามารถรู้จิตใจของคนได้แล้ว แม้ผู้ที่ยังไม่สำเร็จพระโสดา เป็นแต่เพียงทำสมาธิ ฝึกจิตให้ชำนิชำนาญ สามารถทำจิตใจให้สงบนิ่งเป็นสมถะจนชำนิชำนาญ สามารถเข้าสมาธิ ออกสมาธิ ได้อย่างคล่องแคล่วชำนิชำนาญ แม้ภูมิจิตยังอยู่ในวิสัยของโลกีย์ เป็นโลกียธรรม ก็สามารถรู้จิตใจของคนอื่นได้ <DD>สมาธิที่อบรมดีแล้วเป็นฐานให้เกิดปัญญาและอิทธิปาฏิหารย์ เช่น การล่วงรู้จิตใจของคนอื่นได้ ก็เป็นอำนาจกำลังของสมาธิ <DD>สมาธิขั้นสมถะทำจิตให้เป็นอัปปนาสมาธิ หรือได้ฌานตั้งแต่ปฐมฌานถึงจตุตฌานนี้ จะสามารถล่วงรู้เหตุการณ์ต่างๆ และล่วงรู้จิตใจของคนต่างๆได้ ถ้าจิตยังมั่นอยู่ในขั้นสมถะ <DD>แต่ถ้าหากว่าจิตมันก้าวขึ้นสู่ภูมิธรรม เข้าสู่ภูมิวิปัสสนาจ้องพิจารณาอะไรอยู่ สภาวธรรมที่เป็นพระไตรลักษณ์ การใช้ความคิด การใช้ปัญญา จิตที่ค้นคว้านั้น บางครั้งอาจจะทำให้กำลังของสมาธิอ่อนลง มัวมาค้นคว้าอยู่กับสภาวธรรม ไม่เที่ยงเป็นทุกข์ เป็นอนัตตา กำลังของสมาธิขั้นสมถะย่อมอ่อนกำลังลง ไม่สามารถที่จะล่วงรู้เหตุการณ์ต่างๆได้ แม้แต่สภาวจิตของตนเอง <DD>การล่วงรู้จิตของคนอื่นก็ดี การล่วงรู้อนาคตที่ยังมาไม่ถึงก็ดี ผู้ภาวนาใช่ว่าจะรู้กันได้ทุกท่านก็หาไม่ ย่อมเป็นไปตามวาสนาบารมี <DD>บางท่านก็สามารถทำจิตให้สงบ รู้สภาพความเป็นจริงของตนเอง และรู้อุบายที่จะแก้ไขจิตของตนเองว่า ส่วนใดที่มันขาดตกบกพร่อง ส่วนใดที่มันเกิน สามารถรู้และปรับปรุงให้อยู่ในลักษณะสม่ำเสมอ คือ ความเป็นมัชฌิมาปฏิปทาทางสายกลาง มีภูมิความรู้ได้เพียงแค่นี้ <DD>แต่บางท่านพอภาวนาจิตสงบลงไปหน่อย ก็เป็นสมาธิ ยังไม่ชำนิชำนาญเท่าใดนัก สามารถรู้โน่นรู้นี่ เห็นได้ชัดเจน <DD>เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นเป็นแต่เพียงผลได้ของสมาธิ ไม่ใช่สิ่งที่นักปฏิบัติมุ่งหวังให้เกิดผลอย่างนั้น <DD>ในเมื่อทำจิตให้เป็นสมาธิแน่วแน่ดีแล้ว สิ่งเหล่านั้นก็อาจจะเกิดขึ้นได้สำหรับผู้ที่มีสมาธิอย่างมั่นคง เพราะสมาธิเป็นพื้นฐานให้เกิดวิชชา <DD>วิปัสสนาฌานจัดว่าเป็นวิชชาอันหนึ่ง เป็นผลเกิดสืบเนื่องมาจากจิตเป็นสมาธิ เพราะหลักมีอยู่แล้วว่า ศีลอบรมสมาธิ สมาธิอบรมจิตให้เกิดปัญญา และปัญญาย้อนกลับมาอบรมจิตที่มันจดจ้องอยู่ ซึ่งในขณะนั้นเป็นลักษณะของปัญญาฟอกจิตหรืออบรมจิตนั่นเอง <DD>จิตจะมีลักษณะนิ่งสงบ สว่างไสว ไม่มีความหวั่นไหวใดๆ แม้สิ่งที่ผ่านเข้ามา จิตจะสว่างไสวอยู่นั้น ปัญญาก็เกิดขึ้นมามากมายและรวดเร็ว จิตก็ยิ่งสว่างไสว ยิ่งบริสุทธิ์ สะอาดยิ่งขึ้น เพราะความรู้ที่ผุดขึ้นมาในใจนั้นเป็นภูมิความรู้ เป็นภูมิปัญญาของจิต จิตปรุงขึ้นมาสำหรับซักฟอกตนเองให้มีความรู้ <DD>กริยาที่จิตนิ่งเกิดความรู้ขึ้น ความรู้เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป แต่ไม่มีความสำคัญมั่นหมายว่าอะไรเป็นอะไร สักแต่ว่ามีความรู้ปรากฏขึ้น แต่มันก็มีอยู่อย่างนั้น เป็นอยู่อย่างนั้น สิ่งรู้ก็รู้อย่างนั้น สิ่งที่ไม่รู้ก็ปรากฏอยู่อย่างนั้นเรียกว่าอะไรจิตไม่ยอมเรียกชื่อ <DD>ตอนนี้จิตรู้สัจธรรม ซึ่งอยู่เหนือสมมุติบัญญัติ แม้แต่สัจธรรมที่ปรากฏขึ้นในจิตของผู้ปฏิบัติในลักษณะนี้ ผู้ปฏิบัตินั้นไม่สามารถเรียกชื่อธรรมะที่ปรากฏขึ้นในจิตได้ว่า นั่นคืออะไร นี่คืออะไรก็ตาม แต่ภูมิความรู้อันนี้ สามารถทำจิตให้สงบสว่างและรู้ยิ่งเห็นจริงได้ เป็นประโยชน์แก่ผู้ปฏิบัติในภูมิรู้ภูมิธรรมของผู้ปฏิบัติธรรมะในขั้นนี้ ผู้ที่มีภูมิจิตละเอียดย่อมมีรูปจิตขั้นละเอียดเดิมอยู่ในระดับนี้ <DD>การปฏิบัติของเราในขั้นนี้ ไม่ต้องไปกำหนดจดจ้องดูอะไรมากมาย เพียงแต่กำหนดดูที่จิตของตนเองเท่านั้น <DD>ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดที่จิต ความโง่ ความฉลาด ก็เกิดที่จิต ธรรมะทั้งหลายมันเกิดจากจิตทั้งนั้น เพราะฉะนั้นเราต้องดูจุดที่มันเกิดอย่างเดียว <DD>อะไรเกิดขึ้นมาเราก็รู้ เมื่อรู้แล้วอย่าไปปรุงไปแต่ง เป็นแต่เพียงกำหนดรู้ เมื่อรู้แล้วก็ปล่อยวางไป <DD>ในขั้นนี้จิตมันกำหนดรู้ของมันเองโดยอัตโนมัติผู้ปฏิบัติมิได้ตั้งใจเจตนาหรือมีสัญญาใด ๆ เอาไว้ อันนี้เป็นภูมิจิตเดินอยู่ในภูมิธรรมชั้นสูง <DD>การนิ่งเด่นของจิต มีความเป็นกลาง นิ่งเฉยโดยเที่ยงธรรม ประกอบด้วยความสว่างไสวที่ปรากฏอยู่ นั่นคือจิตดำรงอยู่ในอริยมรรค ซึ่งเป็นการประชุมพร้อมของมรรคคือ มรรคสมังคี ศีล ปัญญา หรือมรรค ๘ ประชุมลงเป็นหนึ่ง ย่อมสามารถปฏิวัติจิตของผู้ปฏิบัติให้ดำเนินไปสู่ภูมิจิต ภูมิธรรม ให้ถึงซึ่งความบริสุทธิ์แห่งสัจธรรม </DD></TD></TR><TR><TD align=middle colSpan=2><HR width=350></TD></TR><TR><TD align=middle colSpan=2>ถึงอนุโมทนาได้ไหม </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle width=100>ถาม :</TD><TD align=left width=600>ดิฉันมีความยึดมั่นในพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ คิดถึงพระเดชพระคุณของบรรพบุรุษของไทยทั้งหลายว่า ถ้าท่านมิได้รักษาแผ่นดินไว้ พวกเราคงมิได้มาเกิดในแผ่นดินนี้ <DD>ทุกครั้งที่ทำบุญตักบาตร ก็ได้นึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตราธิราชเจ้า บรรพบุรุษของไทยทุกพระองค์ <DD>เมื่อเช้านี้ได้ใส่บาตรก็คิดถึง ว่าไปแต่ละพระองค์ระลึกถึงพระสยามเทวาธิราช ระลึกถึงสมเด็จพระนเรศวร ระลึกถึงท่านจริง ๆ ที่ท่านลำบาก ที่ได้รักษาแผ่นดินไว้ ถวายพระราชกุศลให้ท่านมีจิตแจ่มใสเบิกบาน <DD>ดิฉันเคยฝันว่าตกอยู่ในภาวะที่วุ่นวาย ในฝันว่า ถ้าดิฉันได้ถวายบุญกุศลให้สมเด็จพระศรีสุริโยทัย จะทำให้เหตุการณ์ดีขึ้น ดิฉันก็เลยนึกว่า การให้ช่างเขาปั้นรูปของท่านขึ้นไว้กราบไหว้ นึกถึง ตั้งชื่อที่พระรูปของท่าน รูปของท่านมีลักษณะที่งดงาม ช่างก็เลยหล่อออกมา องค์ที่วางอยู่หน้าหิ้งนี้ ยังมิได้เข้าพุทธาภิเษก สมเด็จพระนเรศวรเข้าพุทธาภิเษกแล้ว <DD>ดิฉันไม่สบายใจอยู่ว่า เมื่อปั้นรูปของท่านขึ้นมาแล้ว มีคนเขาบอกว่ารูปเหมือนดิฉัน รูปที่เขาปั้น บางครั้งก็ไม่กล้าบูชาท่าน ไปต่อว่าช่างเขา ช่างก็บอกว่าเป็นที่ใจของเขาเองที่อยากจะให้เหมือนกับดิฉัน เกรงว่าจะเป็นอันตรายอะไรไหมคะ เพราะท่านก็ได้สวรรคตไปแล้ว จะเป็นอย่างไรเจ้าคะ?</DD></TD></TR><TR><TD align=middle width=100>หลวงพ่อ :</TD><TD align=left width=600>พระบรมฉายาลักษณ์ของพระองค์ท่านก็มีอยู่ใช่ไหม? </TD></TR><TR><TD align=middle width=100>ถาม :</TD><TD align=left width=600>รู้สึกจะไม่มีพระบรมฉายาลักษณ์ของท่านอยู่ จะเป็นอันตรายไหมเจ้าคะ?


    </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle width=100>หลวงพ่อ :</TD><TD align=left width=600>ไม่เป็นอันตราย อย่างพระพุทธรูปที่หล่อขึ้นมากราบไหว้บูชานี้ ทรงก็ไม่เหมือนกัน สมัยเชียงแสนก็เป็นอย่างหนึ่ง สมัยอู่ทองก็เป็นอย่างหนึ่ง สมัยสุโขทัยก็เป็นอย่างหนึ่ง สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ก็ประยุกต์ไปอีกอย่างหนึ่ง อันนี้เป็นพระรูปที่เราสมมติเอา สมมุติว่ารูปของพระองค์ท่าน สำเร็จอยู่ที่สมมติ </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle width=100>ถาม :</TD><TD align=left width=600>เมื่อเช้าใจคอไม่สบาย รีบใส่บาตร และเมื่อคืนนี้ได้ไหว้พระสวดมนต์และกรวดน้ำถวาย <DD>ดิฉันได้ระลึกในความกตัญญูพระคุณท่าน หากพระองค์มิได้รักษาแผ่นดินไว้ ก็คงมิได้เกิดมาในพระพุทธศาสนา ซึ่งแต่ก่อนมิได้เห็นความสำคัญมาก รักมาก และได้พบอะไรต่อะไรหลายอย่างในชีวิตที่คิดว่าถ้าไม่มีพระพุทธศาสนาแล้วคงจะวุ่นวาย แต่พอมีพระพุทธศาสนาแล้วอะไรก็ทำให้เบาได้ <DD>เพียงแต่คิดว่า หากเราจะไปเกลียดใคร โกรธใคร ทำไม เขาก็เป็นเพื่อนร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกัน ก็ทำให้คลายความโกรธลง <DD>อยากเรียนถามท่านว่า การระลึกถึงพระคุณท่าน และการกรวดน้ำให้ท่าน จะมีหวังถึงอนุโมทนาได้หรือไม่เจ้าคะ</DD></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle width=100>หลวงพ่อ :</TD><TD align=left width=600>มีหวังจะอนุโมทนาได้</TD></TR><TR><TD align=middle colSpan=2><HR width=350></TD></TR></TBODY></TABLE>
    http://www.geocities.com/thaniyo/answerqueen.html
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 ตุลาคม 2008
  2. ภาวิโต

    ภาวิโต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    269
    ค่าพลัง:
    +268
    ขอพระองค์จงทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน
     
  3. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนานและทรงพระเกษมสำราญด้วยเทอญพระเจ้าค่ะ
     
  4. wvichakorn

    wvichakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    3,679
    ค่าพลัง:
    +9,239
    พระราชินี

    ทรงมีพระเมตตาต่อปวงราษฎร์
    ทรงช่วยชาติไทยให้สุขสันต์
    ทรงบำเพ็ญสร้างบุญอันอนันต์
    ทรงฝ่าฝันผองภัยกับปวงชน

    ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ
    ขอทรงพระเจริญ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  5. magic_storm

    magic_storm เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2007
    โพสต์:
    464
    ค่าพลัง:
    +3,053
    ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน<!-- google_ad_section_end -->
     
  6. นิลจันทร์

    นิลจันทร์ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    32
    ค่าพลัง:
    +2
    ขอพระองค์ทรงพระเจริญ......รักในหลวง...รักประเทศไทยจ้า รักกันไว้เถิด
     
  7. 5314786

    5314786 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    737
    ค่าพลัง:
    +3,801
    ขอพระองค์ทรงพระเจริญ ยิ่งยืนนาน ตลอดกาล ตลอดไป
     

แชร์หน้านี้

Loading...