"สมมติสุขกับทุกข์ถอดถอนไม่ได้" : : องค์หลวงปู่น้อย ญาณวโร

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย Nana nora, 30 พฤษภาคม 2023.

  1. Nana nora

    Nana nora สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    386
    กระทู้เรื่องเด่น:
    5
    ค่าพลัง:
    +68
    312892018_5902553526430539_3965481424150051777_n.jpg

    #สมมติสุขกับทุกข์ถอดถอนไม่ได้

    “…การที่จะถอดถอนอุปทานตัวยึดมั่นถือมั่นมันถอดถอนได้ แต่สมมติล่ะสมมุติถอดถอนได้ไหม สมมุติสุขกับทุกข์ถอดถอนไม่ได้หรอกจนถึงวาระสุดท้ายแห่งการสิ้นลมโน่นนั่นลูกเข้าใจหรือยัง ย่อมมีสุขย่อมมีทุกข์ คือ รู้สุขรู้ทุกข์ เพียรพยายามทนมันอยู่อย่างงั้น นั่นแหละธรรมชาติของมัน ธรรมชาติของจิตธรรมชาติของขันธ์ บอกไม่ให้มันยึดได้ไหมล่ะ มึงอย่ายึดมึงอย่าถือบอกมันได้ไหมล่ะ อ้าว...ไหนก็บอกว่าประพฤติปฏิบัติธรรมไปแล้วนะอุปทานตัวยึดมั่นถือมั่นได้ถูกถอนรากถอนโคนถูกทำลายไปหมดสิ้น แล้วพระอริยะบุคคลปลงธรรมสังเวชทำไม น้ำตาร่วงทำไมนั่นลองคิดตัวนั้น มีสุขมีทุกข์ทำไมนั่นมันเรื่องของขันธ์นี่ มันเรื่องของจิตนี่นั่น แล้วเวลาตัวอุปทานตัวยึดมั่นถือมั่นถูกถอนรากถอนโคนแต่ไอ้ตัวนี้มันเป็นสมมุติแห่งวิบากกรรมมันถอนได้ไหมล่ะ พระโมคลาถอนได้ไหมล่ะ อุบลวรรณาถอนได้ไหมล่ะ พระจักขุบาลถอนได้ไหมล่ะนั่นเรื่องของเรื่องมัน กิเลสมันถอดถอนได้นั่นนะ แต่อุปทานตัวยึดมั่นถือมั่นของขันธ์นี่ใครถอดถอนได้ล่ะ
    ถ้าถอดถอนได้ไม่ต้องกินข้าวสิใช่ไหมล่ะ ไม่ต้องมีร้อนไม่ต้องมีหนาวสิ ไม่ต้องมีสุขไม่ต้องมีทุกข์สิ อย่างงั้นพระพุทธเจ้าเวลาที่จะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน เวลาที่เดินทางระยะไกลนี่พระองค์ทำไมจึงเหนื่อยเปลี้ยเดินไม่ไหวสั่งให้คณะสงฆ์ปูลาดสังคาเพื่อพักผ่อนกระหายน้ำสั่งให้พระอานนท์ไปตักน้ำทั้งที่น้ำขุ่น อุปทานตัวยึดมั่นถือมั่นตัวไหนละนั่นพิจารณาดูสินี่คือความเป็นจริง ตอนแรกเราก็ไม่เข้าใจเราก็ไม่ใช่ไหมล่ะ อ๋อ...ตัวนี้กับตัวนั้นมันต่างอันต่างจริงต่างอันต่างอยู่ จิตส่วนจิตขันธ์ส่วนขันธ์ อุปทานตัวยึดมั่นถือมั่นแห่งสมมุติย่อมที่จะมี ไม่งั้นก็ไม่ต้องใส่เสื้อผ้า ไม่ต้องกินข้าว ไม่ต้องขี้ไม่ต้องเยี่ยว ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมที่จะมีอุปทานตัวยึดมั่นถือมั่นทั้งนั้นหิวก็คืออุปทานตัวยึดมั่นถือมั่นแห่งสมมุตินะ ฟังให้ดีนะนี่แยกแยะออกมานะเป็นอุปทานตัวยึดมั่นถือมั่นแห่งสมมุติวิมุติตัวหลุดพ้นไปไม่ได้สนใจกับตัวสมมุตินี้อีกไม่ได้เกี่ยวกัน ต่างอันต่างจริงต่างอันต่างอยู่นี่เข้าใจหรือยังตอนนี้นะ แล้วจะบอกว่าอ้าว...พระอริยะบุคคลนี้ไม่มีความทุกข์อีกมีแต่ความสุขล้วนๆมันเป็นไปได้ยังไง อย่างงั้นพระองค์ทำไมจึงบอกว่าอานนท์เราเหนื่อยมาก เรากระหายมาก แล้วตรัสทำไม

    นั่นคือความเป็นจริงเป็นอย่างงั้น อันนี้ก็เฉกเช่นเดียวกัน แม้นสิ้นสงสัยแต่อุปทานตัวยึดมั่นถือมั่นที่เป็นกรรมตัวนี้สิ้นไม่ได้เพราะตัวนี้เป็นเรื่องของขันธ์ ไม่ใช่เรื่องของจิตตัวนั้น เรื่องของจิตที่มันขาดแล้วจากอุปทานตัวยึดมั่นถือมั่นมันมีนะลูกนะ มันต่างอันต่างจริงต่างอันต่างอยู่แต่จิตที่เป็นสมมุติย่อมมี ใจที่เป็นสมมุติย่อมมีนี่ ถ้าใจสมมติไม่มีจิตสมมติไม่มีแล้วมันนึกตรึกตรองทำไม มันก็คิดไม่ได้นั่นติดสมมติ แต่จิตที่ไม่สมมติมี ใจที่ไม่ติดสมมติมี ต่างอันต่างจริงต่างอันต่างอยู่ตรงนั้นไม่ได้ก้าวก่ายกันต่างอันต่างจริงต่างอันต่างอยู่เวลาร่างกายนี้แตกสลายกรรมก็ยุติ กรรมของขันธ์ แต่กรรมของจิตมันไม่มีอีกแล้วคือจิตที่เหนือกรรมตัวนั้น เพราะตัวนั้นเป็นตัวที่ทำลายอุปทานตัวยึดมั่นถือมั่น เพราะจิตก็ไม่ใช่เราเราก็ไม่ใช่จิตนั่นอุปทานตัวยึดมั่นถือมั่นมันก็เลยไม่มี อย่างงั้นเมื่อมีชีวิตอยู่มันย่อมที่จะมีตัวนั้น อย่างงั้นก็ไม่มีความจำได้หมายรู้ สวดมนต์ก็ไม่ได้ท่องบ่นสาธยายอะไรก็ไม่ได้พูดก็ไม่ได้เพราะไม่มีตัวอุปทานตัวยึดมั่นถือมั่น ด่าใครก็ไม่เป็น พูดเพราะก็ไม่เป็น เพราะไม่มีตัวอุปทานตัวยึดมั่นถือมั่น

    งั้นอุปทานตัวยึดมั่นถือมั่นที่มันหยาบย่อมที่จะหลงเหลือไว้กับขันธ์จนวาระสุดท้าย ไม่งั้นถ้าพูดถึงเพ็ญ ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ มาฆบูชา คณะสงฆ์ที่ไม่ได้นัดหมายมารวมตัวกันจะรู้ได้ยังไงถ้าไม่มีสัญญาจำได้หมายรู้และอุปทานตัวยึดมั่นถือมั่นตัวนี้ว่านี่คือความเป็นจริงในเพ็ญ ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ มาฆบูชา เห็นไหมล่ะนี่ลงไปตรงนั้นปัญญามันไม่มีเราก็ไม่สามารถรู้ได้ ปัญญามันต้องมีนะลูก ปัญญาที่ละเอียด ปัญญาที่หยาบ ปัญญาที่หยาบก็ต้องรู้สิ่งที่เป็นหยาบเข้าหาละเอียด ปัญญาที่ละเอียดก็ต้องถอยคืนมาสู่ปัญญาที่หยาบว่าก่อนที่จะละเอียดมันเป็นไปได้ยังไงมันต้องรู้ว่าตัวนั้นนี่สมมุติกับวิมุตมันต่างกันมากนะ คนเรามันไม่ถึงนี่มันพูดกันยากนะ ถ้ามันถึงแล้วมันพูดกันง่ายนี่ เห็นไหมพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์สาวกการแสดงฤทธิ์อิทธิปาฏิหารย์ของพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์สาวกก็ต้องใช้อุปทานตัวนั้น อุปทานของขันธ์นะ แต่อุปทานของจิตที่ไม่ยึดมั่นถือมั่นมันต่างอันต่างกินต่างอันต่างอยู่ที่เรียกว่าจิตอรหันต์ พระจิตอรหันต์ของพระพุทธเจ้า จิตอรหันต์ของพระสงฆ์สาวก ยังใช้สมมุติเรียกได้ว่าพระจิต ใช้สมมุติเรียกได้ ใช้สมมติที่เรียกว่าจิตอรหันต์
    เราไม่ได้เรียกตัวนั้นวกเข้ามาทางด้านนี้จิตของพระสงฆ์สาวก พระจิตของพระพุทธเจ้าเราแยกแยะตามสมมติได้นี่คือสมมุติที่เรียกอย่างงั้นสมมุติที่ทำกรรมไว้มันย่อมที่จะส่งผล
    อย่างงั้นพระโมคคัลลาและพระนางอุบลวรรณาคงไม่รับกรรมตัวนี้ พระจักขุบาลคงไม่รับกรรมตัวนี้ และคณะสงฆ์ก็คงไม่ได้รับกรรม เพราะสิ้นกรรมแล้วยุติแล้ว เมื่อขันธ์นี้ยังอยู่ก็สิ้นกรรมแล้ว...”

    ระธรรมเทศนา : องค์หลวงปู่น้อย ญาณวโร
    วัดป่าห้วยริน ต.หัวนาคำ อ.กระนวน จ.ขอนแก่น
    ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖
     

แชร์หน้านี้

Loading...