สนทนากับองค์สัมมาสัมพุทธเจ้า โดย พ.อ.นพ.พงศ์ศักดิ์ ตั้งคณา

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย chilaoon, 11 ตุลาคม 2010.

  1. chilaoon

    chilaoon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    54
    ค่าพลัง:
    +748
    [​IMG]


    [​IMG]



    เขียนและเรียบเรียง โดย พ.อ.นพ.พงศ์ศักดิ์ ตั้งคณา (วิทยากรชื่อดัง)

    <O:p</O:p
    หนังสือเล่มนี้ถูกจัดวางขายไว้ในตำแหน่งที่ไม่โดดเด่นเอาเสียเลย แต่ที่ทำให้ผมสนใจคือชื่อหนังสือครับ...(เหมือนทุกท่านที่เข้ามาเพราะชื่อกระทู้ฉันท์นั้น) ดูเหมือนไม่ให้ความเคารพต่อองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย

    แต่พอดูปกหลังและพลิกดูด้านในก็ต้องเริ่มเปลี่ยนความคิด พร้อมเปิดใจรับ เพราะเนื้อหาโดนใจมากๆ น่าศึกษามากๆเลย แถมขายในราคา 100 บาท จาก 300 บาท ส่วนวิธีสื่อสารกับองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ในหนังสือเล่มนี้ และคำโฆษณาที่ว่า “ สิ่งที่เรียนรู้จากพระองค์ เอาเงินแสนล้านมาแลกผมก็ไม่เอา

    “ จะเกินเหตุหรือไม่นั้นเราคงต้องมาติดตามพร้อมๆกัน แล้วค่อยตัดสินใจกันเองก็แล้วกันตามความรู้และสติปัญญาของแต่ละท่านนะครับ <O:p</O:p
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 ตุลาคม 2010
  2. chilaoon

    chilaoon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    54
    ค่าพลัง:
    +748
    ต่อไปนี้จะเป็นเนื้อหาในหนังสือ เริ่มจากรองปกหน้ากันเลยครับ

    กรุณา...ใช้ใจอ่านอย่างพิจารณา อ่านทุกตัวอักษร แล้วทำความเข้าใจ ท่านก็จะรู้ว่าธรรมะทุกตัวอักษร สามารถเปลี่ยนชีวิตท่านได้ อย่าเพิ่งสงสัยก่อนจะอ่าน อย่าเพิ่งมีคำถามว่าจริงหรือ? อ่านให้จบ แล้วจึงพิจารณาว่า มีประโยคใดบ้างที่นำไปใช้แล้วทำให้ชีวิตของท่านดีขึ้น
    <O:p</O:p
    คำนำ<O:p</O:p
    ทันทีที่ท่านเริ่มอ่านหนังสือเล่มนี้ ท่านอาจจะมีคำถามในใจว่า...จริงหรือ? ใช่หรือ? เป็นไปได้หรือ? ทำได้จริงหรือ? ที่จะมีคนสนทนากับองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าได้จริง ในเมื่อได้ศึกษาเรียนรู้กันมาว่าพระองค์นิพพานแล้วไม่กลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก เสมือนกับว่าพระองค์ได้สูญหายไปแล้ว แปลกมั๊ย...ทั้งๆที่ไม่มีความหมายว่าสูญไปในคำว่านิพพานเลย แต่เราก็ตีความกันว่าสูญ ถ้าท่านมัวแต่ถามว่าจริง หรือไม่จริง คำว่าจริง หรือไม่จริง มันทำให้ท่านได้ประโยชน์อะไรหรือไม่? ท่านลองอ่านในสิ่งที่ผมได้สนทนาซึ่งเขียนไว้ให้จบก่อนดีไหม ผมคิดว่า สิ่งที่ผมได้สนทนาด้วยเป็นสิ่งดีงาม ให้สิ่งดีงามกับผม ซึ่งผมก็ไม่ทราบว่าท่านเป็นใครแต่จาการสนทนาหลายๆครั้ง พิจารณาคำสอนของท่านอย่างละเอียดรวมทั้งสิ่งที่ท่านมาช่วยแก้ปัญหาชีวิตของผมและคำสอนที่ได้จากการสนทนากับพระองค์ผมก็ไม่เคยได้ยินมาจากที่ไหนมาก่อนจึงทำให้ผมเชื่อได้ว่าสิ่งดีงานที่มาสนทนากับผมนั้นเป็นองค์สัมสัมพุทธเจ้าจริงๆ แต่ก็คงจะพิสูจน์ให้ใครเชื่อว่าเป็นองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าได้ยาก เพราะความเชื่อเก่าๆเราถูกปลูกฝังกันมานานว่าพระองค์สูญหาย และดับไปแล้ว แต่ถ้าเรา...มาพิจารณาตามหลักวิทยาศาสตร์ว่า วิญญาณของมนุษย์เป็นพลังงานซึ่งพลังงานไม่มีวันที่จะสูญหายไปไหนนอกจากเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ไปได้ซึ่งตรงกับหลักชาวพุทธที่ว่า มนุษย์มีวิญญาณ

    มีการเวียนว่ายตายเกิดนับภพนับชาติมาไม่ถ้วนแล้ว การที่พูดว่าองค์สัมมาสัมพุทธเจ้านิพพานแล้วดับสูญไป ไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว ถ้าพูดเช่นนั้น...พลังงานหรือวิญญาณขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้าท่านไปอยู่ที่ไหน? พลังงานของพระองค์จะสูญหานไปได้อย่างไร? เราเชื่อว่าหลวงพ่อทวด หลวงพ่อโต หลวงพ่อปาน หลวงพ่อฤาษีลิงดำ หลวงปู่มั่น และท่านอื่นๆ ท่านเป็นพระที่ศักดิ์สิทธิ์ การที่เราเชื่อ และกล่าว่าพระเกจิอาจารย์ของเราศักดิ์สิทธิ์ หมายถึงอะไร หมายถึงว่า เหรียญหรือรูปปั้นของพระเกจิทั้งหลายมีพลังงานของท่านสถิตย์อยู่จึงศักดิ์สิทธิ์...! พระเกจิ เราเชื่อว่าท่านศักดิ์สิทธิ์ถ้าเช่นนั้นแล้ว องค์สัมมาสัมพุทธเจ้าล่ะพระองค์ศักดิ์สิทธิ์ไหม? ผมเชื่อว่า...องค์สัมมาสัมพุทธเจ้าของเราศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งคำว่าศักดิ์สิทธิ์ นั่นหมายถึงมีพลังงานของพระองค์สถิตอยู่ในพระพุทธรูปทุกๆองค์ที่มนุษย์เคารพบูชาพระองค์ย่อมสถิตได้ ผมจึงเชื่อว่าถ้าเราจะอัญเชิญพระองค์ก็น่าจะเป็นไปได้เช่นกันซึ่งถ้าพระองค์เป็นพลังงานก็น่าจะลงสู่ร่างของมนุษย์ได้

    ผมจึงให้ผู้ที่เป็นผู้ช่วยวิทยากรของผมได้ตั้งจิตอัญเชิญพระองค์ลงร่างและในขณะเดียวกันผมก็ตั้งจิตขอสนทนากับพระองค์ด้วยจากสิ่งที่ได้สนทนานั้นทำให้ผมได้คิดและพิจารณาว่าเป็นองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าแน่นอนเพราะผู้ช่วยของผมก็ไม่มีความรู้ที่จะตอบคำถามของผมได้เช่นนั้นแน่นอนเพราะผมรู้จักเธอดี ท่านลองอ่านดูก่อนและให้การพิจารณาของท่านดูว่าคำพูดทั้งหลายเหล่านี้ท่านเคยได้ยินได้ฟังมาจากที่ไหนหรือไม่? ถ้านำมาปฏิบัติแล้วจะทำให้ชีวิตของท่านเปลี่ยนไปได้หรือไม่? ถ้าคำสอนเหล่านี้เปลี่ยนชีวิตของท่านได้จะเสียเวลาไปพิสูจน์เพื่ออะไร? ลองอ่านดูก่อนนะครับและพิจารณาให้ละเอียดถี่ถ้วนทุกๆคำพูดและนำไปปฏิบัติ สิ่งนี้จะดีกับท่านหรือไม่นั้น ผมบอกไม่ได้หรอกครับตัวท่านเท่านั้นที่บอกตัวท่านเองได้ดีที่สุดว่าสิ่งเหล่านี้ที่พระองค์ได้ถ่ายทอดมาทำให้ชีวิตของท่านดีขึ้นได้จริงหรือไม่<O:p</O:p
    ด้วยความเคารพ
    <O:p</O:p
    พ.อ.นพ.พงศ์ศักดิ์ ตั้งคณา<O:p</O:p
     
  3. chilaoon

    chilaoon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    54
    ค่าพลัง:
    +748
    สนทนากับองค์สัมมาสัมพุทธเจ้า
    สิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้นกับชีวิตผมโดยบังเอิญ ในขณะที่ชีวิตผมก็สุขบ้างทุกข์บ้าง วันไหนมีงานก็บรรยาย ไม่มีงานก็ศึกษาธรรมะ มีอยู่วันหนึ่งว่างจากบรรยาย ผมนั่งที่โต๊ะทำงานและมองไปที่โต๊ะหมู่บูชาเห็นพระพุทธรูป ผมก็นึกในใจว่า...พระองค์เป็นสัพพัญญู ผู้รู้ทุกสิ่งทุกอย่าง รู้เหมือนรู้ใบไม้ทั้งป่า แต่มาสอนมนุษย์เพียงใบไม้กำมือเดียวจากการศึกษาธรรมะของพระองค์ซึ่งเขียนไว้ในตำรา มนุษย์ยังได้ประโยชน์มากมายถึงเพียงนี้ ถ้าเราได้มีโอกาสสนทนากับพระองค์จริงๆ พระองค์คงได้สอนเราเหมือนคนสมัยพุทธกาล ซึ่งสอนสั้นๆ คนสมัยนั้นก็ได้บรรลุธรรมเป็นโสดาบัน หรือพระอรหันต์กันมากมาย เราจะโชคดีเหมือนคนเหล่านั้นไหมหนอ ในขณะนั้นก็รู้สึกขึ้นมาว่า พระองค์ได้ตอบมาว่าได้ ถ้าเจ้าตั้งใจจริงๆ ผมดีใจ แล้วจึงตั้งจิตขอปัญญาจากองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าและขอให้ผู้ช่วยวิทยากรของผมเป็นผู้อันเชิญพระองค์ลงร่างเพื่อศึกษาหลังจากนั้นเธอก็ตั้งจิตสักพักหนึ่ง เธอลืมตาขึ้นมองมาที่ผมด้วยสายตาที่เป็นประกาย ลำตัวตั้งตรง ท่าทางสง่างาม และน้ำเสียงที่เปี่ยมด้วยเมตตาผิดไปจากผู้ช่วยที่ผมรู้จัก แล้วสิ่งที่ผมคิดไม่ถึงก็เกิดขึ้น ผมได้เริ่มสนทนากับพระองค์ด้วนความดีใจครับ<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    หมอพงศ์ศักดิ์ ถ้ากระผมจะขอศึกษาธรรมะจากพระองค์และจะเขียนหนังสือสักเล่มหนึ่งด้วยตัวของผมเอง
    โดยตั้งชื่อหนังสือเล่มนี้ว่า “ สนทนากับองค์สัมมาสัมพุทธเจ้า “ พระองค์จะเห็นเป็นประการใดครับ?


    องค์สัมมาฯ การเผยแผ่ธรรมะก็ดีอยู่แล้ว ทำแล้วต้องไม่เป็นทุกข์นะ ไม่ว่าอะไรจะ<O:pเกิดขึ้นกับเจ้า เจ้าต้องยอมรับให้ได้
    เจ้าต้องพิจารณาคำพูดทุกคำที่เขียนลงไปอย่าสักแต่ทำให้มันผ่านไป เจ้าต้องมีจิตสำนึกที่ดีในการทำ
    เจ้าต้องมีเป้าหมายว่า...เจ้าจะทำเพื่ออะไร?


    หมอพงศ์ศักดิ์ ผมคิดว่าจะทำเพื่อเป็นการเผยแผ่ธรรมะที่ดีเข้าใจง่าย และสามารถนำไปใช้ได้จริงในการดำเนินชีวิต
    มนุษย์จะได้รู้ว่าสิ่งใดที่ทำให้เกิดทุกข์จะได้รู้ทุกข์และวางทุกข์ได้ ความสุขที่แท้จริงก็จะตามมาเองครับ


    องค์สัมมาฯ เจ้าคิดทำอะไรในสิ่งที่ดี ก็ดีทั้งนั้นขึ้นอยู่กับเจตนาของผู้ทำ ถ้าเจ้าตั้งใจทำดี ย่อมดีแน่นอน
    ถ้าใครเห็นประโยชน์แล้วนำไปใช้ก็ดีกับชีวิตเขาเอง ถ้าใครไม่เห็นประโยชน์ก็เรื่องของเขา
    เพราะเราทุกคนย่อมเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเองเสมอ<O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 ตุลาคม 2010
  4. chilaoon

    chilaoon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    54
    ค่าพลัง:
    +748
    หมอพงศ์ศักดิ์ ผมคิดว่าคนไทยยังได้รับประโยชน์จากธรรมะของพระองค์น้อยมาก เงิน<O:p</O:p
    และวัตถุ กลับมีผลต่อการดำเนินชีวิตของมนุษย์ในปัจจุบันนี้ พระองค์คิดว่า เงินและวัตถุ จะให้ความสุขที่แท้จริงได้หรือไม่ครับ?

    <O:p
    องค์สัมมาฯ ถ้ามนุษย์ไม่เข้าใจความสุขที่แท้จริง มนุษย์ก็ไม่มีความสุขที่แท้จริง ถ้าจะถามว่า...จริงๆแล้ว เงิน ทอง ที่อยู่อาศัยนั้นอาจจะให้ความสุขได้ก็จริง แต่เป็นความสุขที่ให้ร่างกายซึ่งร่างกายของมนุษย์แต่ละคนก็ไม่ต้องการอะไรมากมาย แต่มนุษย์...ก็คิดที่จะหาอะไรมาปรนเปรอร่างกายของตนเองโดยที่ไม่เคยถามตนเองเลยว่า เท่าไหร่จึงจะพอ? ชีวิตมนุษย์จึงมีแต่ความวุ่นวายไม่รู้จักจบสิ้น เพราะคำว่า “ ไม่รู้จักตนเอง จึงไม่รู้จักพอ “ มนุษย์เกือบทุกคนรู้ว่าตนเองมีส่วนประกอบไปด้วยร่างกาย และจิตใจ แต่จะมนุษย์สักกี่คนที่รู้ว่าส่วนประกอบของจิตใจก็มี 2 ส่วนด้วยกัน<O:p</O:p
    ส่วนที่ 1 จิตสังขาร (ใจ)<O:p</O:p
    ส่วนที่ 2 จิตวิญญาณ (วิญญาณ)<O:p</O:p
    มนุษย์ส่วนใหญ่ทำเพื่อร่างกายส่วนจิตใจ มนุษย์ให้ความสำคัญน้อยและในส่วนของจิตใจนั้น ซึ่งมนุษย์ให้ความสนใจน้อยอยู่แล้วยังย่อยเป็นจิตสังขารและจิตวิญญาณ มนุษย์ก็สนใจเฉพาะจิตสังขาร(ใจ) มนุษย์แทบไม่เคยสนใจในเรื่องของจิตวิญญาณเลยทั้งๆที่จิตวิญญาณเป็นอมตะเพราะเป็นพลังงาน ไม่สูญไปไหนเก็บข้อมูลไปตลอดทุกภพทุกชาติ ส่วนจิตสังขาร(ใจ)จะสูญไปพร้อมร่างกาย ถ้าเจ้ารู้จุดหมายปลายทางของชีวิตที่แท้จริงเจ้าคงไม่ปรนเปรอแต่ร่างกายเพียงเท่านั้น เจ้าคงให้ความสนใจกับจิตใจของเจ้าด้วย เพราะในส่วนจิตใจของเจ้ามีจิตวิญญาณซึ่งจิตวิญญาณนั้นเป็นอมตะ อยู่ไปตลอดกาล!<O:p</O:p
    มนุษย์ทุกวันนี้...ดำเนินชีวิตเหมือนตาชั่งเอียงไปแต่ด้านร่างกาย จิตใจไม่มีน้ำหนักและในส่วนของจิตใจมนุษย์ก็สนใจเฉพาะเรื่องของจิตสังขาร ส่วนจิตวิญญาณมนุษย์ก็ไม่เคยสนใจ หรืออาจพูดว่า...มนุษย์ไม่รู้จักเลยด้วยซ้ำ ถ้าดำเนินชีวิตโดยให้จิตสังขารของเจ้ามีความสุขและจิตวิญญาณของเจ้าก็มีความสุขด้วยจะดีกว่าไหม?<O:p</O:p
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 001.jpg
      001.jpg
      ขนาดไฟล์:
      101.1 KB
      เปิดดู:
      1,244
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 ตุลาคม 2010
  5. chilaoon

    chilaoon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    54
    ค่าพลัง:
    +748
    หมอพงศ์ศักดิ์ ดีครับ! เพื่อให้กระจ่างมากกว่าเดิม ผมขอให้พระองค์อธิบายเรื่องจิตสัง
    ขารและจิตวิญญาณโดยละเอียดว่า คืออะไรครับ?
    <O:p</O:p
    องค์สัมมาฯ ในร่างกายของมนุษย์ ถ้าเราพูดถึงตัวมนุษย์ก็จะมีร่างกาย กับจิตใจ <O:p</O:p
    กาย ก็คือ รูปร่างหน้าตา ทุกๆส่วนมาประกอบเป็นร่างกาย<O:p</O:p
    ส่วนความรู้สึกนึกคิดทั้งปวง สิ่งเหล่านี้มนุษย์เรียกรวมๆว่าจิตใจ<O:p</O:p
    จิตใจ ประกอบด้วย จิตสังขาร และจิตวิญญาณ <O:p</O:p
    จิตสังขาร คือ ความรู้สึกนึกคิดของมนุษย์ที่จะตัดสินใจทำอะไร<O:p</O:p
    ส่วนจิตวิญญาณนั้น...ไม่ใช่เรื่องของไสยศาสตร์ ดังเช่นมนุษย์หลายคนเข้าใจ พอพูดถึงวิญญาณ ชาวพุทธเราก็มักจะคิดว่าเป็นเรื่องของไสยศาสตร์ ไม่ใช่เรื่องของพุทธศาสนา ทั้งๆที่จิตวิญญาณเป็นของชาวพุทธโดยตรงซึ่งจิตวิญญาณเป็นพลังงาน ซึ่งประกอบเป็นส่วนหนึ่งในตัวมนุษย์ จิตวิญญาณซึ่งเป็นพลังงานนี้มีหน้าที่เก็บข้อมูลของมนุษย์ จิตวิญญาณไม่สูญหายไปไหน เพราะเป็นพลังงานมีหน้าที่สะสมข้อมูลของมนุษย์ที่เวียนว่ายตายเกิดมานับชาติไม่ถ้วน และบันทึกการกระทำของมนุษย์ในชาตินั้นๆ รวมทั้งบุญและกรรม เพราะฉะนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นกับมนุษย์ทุกคนในปัจจุบันก็เป็นผลมาจากการบันทึกของจิตวิญญาณนั่นเอง สิ่งนี้แหละ...ที่กำหนดชะตาชีวิตมนุษย์แต่ละคนในชาตินี้<O:p</O:p
    จิตวิญญาณ ของมนุษย์ไม่มีการตาย เป็นสิ่ง อมตะ อยู่ชั่วนิรันดร์<O:p</O:p
     
  6. chilaoon

    chilaoon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    54
    ค่าพลัง:
    +748
    หมอพงศ์ศักดิ์ ดังนั้นมนุษย์เราจะเป็นอย่างไรนั้นก็ถูกกำหนดมาจากการกระทำ
    ของตนเองในชาติก่อนๆ ไว้แล้วใช่หรือไม่ครับ?

    องค์สัมมาฯ ใช่ตั้งแต่ปฏิสนธิ! เมื่อไข่ได้รวมกับอสุจิแล้วแค่นี้ความเป็นมนุษย์
    ยังเกิดขึ้นไม่ได้ต้องมีปัจจัยที่สำคัญคือ จิตวิญญาณ
    จิตวิญญาณ ซึ่งเป็น พลังงาน ซึ่งสะสมทั้งบุญและกรรมในทุกภพ
    ทุกชาติ ได้มาจัดเรียงสภาพของทั้งไข่และอสุจิซี่งรวมกันแล้วที่เรา
    เรียก และบันทึกไว้ในพระไตรปิฎกว่า " กลละ " ภายในหนึ่งกลละ
    ประกอบด้วยสิ่งมากมาย บันทึกลักษณะต่างๆของมนุษย์ไว้
    ซึ่งสามารถกำหนดได้ว่าเป็น หญิง หรือ ชาย
    มีลักษณะอย่างไร สวย หรือ ไม่สวย
    สมบูรณ์ หรือ พิการ ไม่สมประกอบ
    มนุษย์ผู้นั้นจะถูกกำหนดไว้ตั้งแต่หน่วยแรกของชีวิตแล้ว
    ถูกกำหนดตามกรรมที่เคยสร้างไว้ในอดีตของทุกๆชาติ
    เมื่อเกิดเป็นมนุษย์แล้ว
    ช่วงอายุไหนจะเกิดอะไร เมื่อไร อย่างไร
    ก็ถูกกำหนดไว้แล้วเช่นกัน
    ซึ่งมนุษย์เรียกว่า...เป็น ดวงชะตา หรือ ชะตาชีวิตนั่นเอง
     
  7. wholesome

    wholesome เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    118
    ค่าพลัง:
    +303
    จบแล้วหรือคะ กำลังอ่านเพลินเลย
     
  8. หาธรรม

    หาธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,164
    ค่าพลัง:
    +3,739
    คน (human) และ สัตว์ (animals) บนโลกนี้ ประกอบด้วย รูปและนาม

    รูป คือ ร่างกายอันประกอบด้วยมหาภูตรูป ๔ (ดิน หรือธาตุที่เป็นของแข็ง น้ำหรือธาตุที่เป็นของเหลวทั้งหลาย ลม คือธาตุที่เป็นก๊าซต่าง ๆ และ ไฟ คือ ธาตุที่ให้ความร้อนความอบอุ่นหรือพลังงาน)

    นาม สิ่งที่ไม่สามารถจับต้องไม่ได้ นามประกอบด้วย จิต(วิญญาณ หมายถึง ตัวรู้) และ เจตสิก (ความรู้สึกนึกคิด) เจตสิกประกอบด้วย เวทนา (ความรู้สึกที่เป็นสุข ทุกข์ และไม่สุขไม่ทุกข์) สัญญา (ความจำได้หมายรู้) สังขาร ((จิตสังขาร)การปรุงแต่งจิต)

    สรุป คนและสัตว์ประกอบด้วย ขันธ์ ๕ นั้นเอง ขันธ์ ๕ ประกอบด้วยอะไรบ้าง ขันธ์ ๕ ประกอบด้วย รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ

    ส่วนรูปอื่นที่ไม่ใช่ร่างกายของคนและสตว์ เช่น หิน ดิน ทราย ต้นไม้ แม่น้ำ ภูเขา อาคารบ้านเรือน ดวงดาว ฯลฯ เรียกว่าสิ่งของ ทั้งหมดนี้ก็เป็นรูปที่ประกอบด้วยมหาภูตรูป ๔ (ดิน น้ำ ไฟ ลม) เช่นกัน แต่ไม่มีจิต(ตัวรู้)หรือวิญญาณครอง เมื่อไม่วิญญาณครองหรือไม่มีจิตก็ไม่มีเจตสิก(เวทนา สัญญา สังขาร (รวมเรียกว่าความรู้สึกนึกคิด))

    ทั้งคน สัตว์ (รูป-นาม หรือ ขันธ์ ๕) และ สิ่งของ (รูป) มีสภาวะธรรมชาติที่จริงแท้แน่นอน คือ ๑. เมื่อมีขึ้นมามันไม่เที่ยง (อนิจจัง) ๒ ไม่สามรถอยู่สภาพเดิมได้ (ทุกข์ขัง)โดยทั้งรูปและนามเปลี่ยนแปลง(เคลื่อนตัวตลอดเวลาเป็นเสี้ยวล้านๆครั้งต่อวินาที) ๓. ดับไปคือมีสภาวะที่ไม่ใช่ตัวใช่ตน (อนัตตา)

    การทำงานของรูป-นาม ในกรณีของคนและสัตว์

    เมื่อมีรูปก็มีจิต เมื่อมีจิตก็ต้องมีเจตสิก (ความรู้สึกนึกคิด) รูป จิต เจตสิก ทำงานอย่างไรให้ผลอย่างไร?
    เมื่อมีรูปก็มีอยาตนะ(ภายใน) ๖ (ตา หู จมู ลิ้นลิ้มสร กายสัมผัส และ ธรรมารมณ์)

    ๑. ตาเห็นรูปภายนอก จิตรู้ ผล คือ เกิด เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ (เจตสิก) รวมให้ผลคือสุขหรือ/และทุกข์
    ๒. หูได้ยินเสียงภายนอก จิตรู้ ผล คือ เกิด เวทนาสัญญา สังขาร วิญญาณ รวมให้ผล คือ สุขหรือ/และทุกข์
    ๓. จมูกได้กลิ่นภายนอก จิตรู้ ผล คือ เกิด เวทนา สัญญา สังขารวิญญาณ รวมให้ผล คือ สุขหรือ/และทุกข์
    ๔. ลิ้นลิ้มรสภายนอก จิตรู้ ผล คือ เกิด เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ รวมให้ผล คือ สุขหรือ/และทุกข์
    ๕. กายสัมผัสภายนอก จิตรู้ ผล คือ เกิด เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ รวมให้ผล คือ สุขหรือ/และทุกข์
    ๖. ธรรมารมณ์รับรู้ภายนอก จิตรู้ ผล คือ เกิด เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ รวมให้ผล คือ สุขหรือ/และทุกข์

    ถ้าไม่ต้องการให้มีทั้งสุขและทุกข์ เราก็ต้องดับขันธ์ทั้ง ๕ (รูปละนาม) อย่างไม่มีเชื้อเหลือ ผลคือ นิพพาน

    ถ้าไม่ดับและไม่มีสติตามทัน ผลของข้อ ๑ ถึง ๖ จะเป็นเหตุ (การก่อเกิดกิเลสและตัณหา) ซึ่งเป็นเหตุให้คนทำกรรม (กระทำ) ทั้งดีและชั่วเพื่อตอบสนองกิเลสและตัณหานั้น ๆ ผลที่ได้รับคือวิบาก (ผลของกรรมหรือการกระทำ) ดีหรือเลวตามกรรมที่ทำทั้งชาตินี้ และส่งผลไปยังการเกิด(ชาติ) ต่อ ๆ ไป แบบไม่มีที่สิ้นสุด

    การหยุด ๖ ข้อข้างบนอย่างถาวร การหยุดเกิดสืบต่อไปจึงเป็นผลได้ จึงได้ชื่อว่า "ดับขันธ์ปรินิพพาน"

    ความหมายของคำในทางอภิธรรม

    ๑. จิต เรียกชื่ออื่น ๆ ได้อีก เช่น วิญญาณ ใจ โมโน มนัส มนินทรีย์ หมายถึง ตัวรู้หรือสภาวะรู้
    ๒. สังขาร มี ๓ อย่าง คือ ๒.๑ กายสังขาร (หมายถึง ร่างกายหรือรูป) ๒.๒ วจีสังขาร (คำพูด)
    และ ๒.๓ จิตสังขารหรือมโนสังขาร หมายถึง การคิดการปรุงความคิดหรือการคิดฟุ้งปรุงแต่งจิต
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 ตุลาคม 2010
  9. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,288
    จะจริงหรือไม่จริงก็แล้วแต่ แต่การที่ท่านออกมาเปิดเผยเรื่องราวนี่ก็ต้องยอมรับว่าท่านมีความกล้าหาญมาก และมีจิตที่คำนึงถึงสาธารณประโยชน์ ไม่คำนึงถึงตัวเองว่าจะมีผู้ไม่เห็นด้วย ผู้คัดค้าน มันมีอยู่ตลอดนะครับอยู่ในสังคมจะต้องมีความเห็นที่แตกต่างกันการที่ท่านออกมาพูดนี่จะมองว่าเป็นการประสงค์ร้ายไม่ได้ จะต้องมองกันด้วยปัญญาที่พิจารณาอย่างรอบคอบและไร้อัคติ คือดูเนื้อความในหนังสือเป็นหลัก
     
  10. หาธรรม

    หาธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,164
    ค่าพลัง:
    +3,739
    โดยปกติพระอรหันต์ที่ท่านนิพพาน (อนุปาทิเสนิพพาน) สิ้นชีวิตไปแล้ว มาปรากฏกายเพื่อพูดคุยหรือสอนธรรมอีกได้ไหม คำตอบ คือ ได้ เรื่องนี้ หลวงปู่มั่นท่านได้อธิบายไว้แล้ว (อ่านได้ในหนังสือประวัติหลวงปู่มั่น) ว่า ถึงแม้พระอรหันต์ทั้งหลายจะวิมุตหลุดพ้นไปแล้ว แต่ท่านมาด้วยสภาวะที่เป็นสมมุตินั้นมาได้ส่วนผู้ที่พูดคุยก็เป็นสมมติเช่นกัน (สมมติในที่นี้มีความหมายตรงข้ามกับวิมุติ)

    อีกอย่างหนึ่งเรื่อง พุทธานุภาพ และ สังฆานุภาพ ถึงแม้ท่านนิพพานตายไปแล้ว อนุภาพยังคงอยู่ได้โดยที่ไม่ได้หายไปด้วย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 ตุลาคม 2010
  11. ชนะ สิริไพโรจน์

    ชนะ สิริไพโรจน์ ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,891
    กระทู้เรื่องเด่น:
    14
    ค่าพลัง:
    +35,260
    สาธุ ขออนุโมทนาเป็นอย่างสูงครับ
    เว็บทางนิพพาน เว็บไซด์ เผยแพร่ ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น<O:p
    ที่รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน<O:p
    ขอเชิญทุกท่านเข้าไปอ่านได้ที่
    www.tangnipparn.com
    <?XML:NAMESPACE PREFIX = O /><O:p>ขอเชิญแวะเยี่ยมชมและโมทนาบุญเว็บศูนย์พุทธศรัทธา </O:p>
    *
    [​IMG]
     
  12. หาธรรม

    หาธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,164
    ค่าพลัง:
    +3,739
    แต่ที่ว่าจิตเป็นพลังงาน ดังนั้นพลังงานจึงไม่สูญหายไปไหนแต่เปลี่ยนรูปไปได้ตามกฎ Thermodynamics ข้อที่ ๑

    อันนี้ต้องระวัง การเชื่อแบบวิทยาศาสตร์ อาจจะยังอธิบายเรื่องจิตในทางนามธรรมไม่ตรงเผ๋งนัก จิตในทางนามธรรมนั้นไม่สามารถอธิบายได้ด้วยตรรกศาสตร์หรืออภิปรัชญา

    พวกนักจิตวิทยามักจะอธิบายว่าจิต คือ พลังงาน มีตำราจิตวิทยาเล่มไหนบ้างที่อธิบายสภาวะจิตหลุดพ้นได้ ไม่มี เพราะไม่รู้ หรือรู้ก็ไม่ตรงประเด็น เพราะคิดว่าจิตคือพลังงาน

    จิตในทางธรรม หรือ อภิธรรม มันเป็นนามธรรม แต่นักวิทยาศาตร์บอกว่าเป็นพลังงาน นั่นแสดงว่าเป็นรูป(ธรรม) มันแย้งกันอยู่นะ

    ที่น่าถูกต้องคือ จิตเป็นนาม ไม่ใช่รูป ดังนั้นจิตจึงไม่ใช่สภาวะของพลังงานตามหลักวิทยาศาสตร์ เมื่อไม่ใช่สภาวะของพลังมันจึงไม่ได้สืบทอดไปยังภพต่อ ๆ ไป แบบการเปลี่ยนแปลงรูปของพลังงานตามกฎเทอร์โมไดนามิกส์ข้อที่ ๑ ดังที่กล่าวแล้วข้างบน แต่การกระทำซึ่งในทางธรรมเรียกว่า "กรรม" กรรมหรือการกระทำ จะทาง กาย วาจา ใจ นี่ซิมันเป็นงานหรือการกระทำที่ต้องใช้พลังงาน ดังนั้นพลังงานที่เกิดจากการกระทำทางกายวาจาใจนี้นี้ไม่สูญหายไปไหนตามกฎเทอร์โม ฯ ดังข้างบน ดังนั้นผลของการกระทำ(กรรม)มันจึงไม่หายไปไหนแต่จะติดจิตไปทุกภพชาติและให้ผลในเบื้องหน้าเป็นวิบาก (วิบากคือผลของกรรมหรือผลของการกระทำ)


    จะเห็นได้ว่าครูบาอาจารย์สอนเรื่องจิต ท่านจะสอนให้เห็นจริงเรื่องว่าจิตเป็นกุศลหรืออกุศล จิตมีกิเลส ไม่มีกิเลส คือท่านสอนให้รู้ เพื่อละ แต่พอถึงขั้นหลุดพ้นแล้วปรากฏว่าไม่มีคำอธิบายใด ๆ ทั้งสิ้นจากทั้งพระพุทธเจ้าเองและจากพระอหันต์ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย เพราะมันเหนื่อสมมุติทั้งปวง มีการพูดบ้างว่า ว่างที่สุด สุขอย่างยิ่ง (อันนี้เป็นเป็นผลของการหลุดพ้น แต่ไม่ใช่สภาวะของจิตที่หลุดพ้น)

    จิตแบบที่คิดแบบวิทยาศาสตร์นี้มันเป็นสมมติ

    จิตของผู้ที่หลุดพ้นแล้วและตายไปแล้วมันเหนือสมมติทั้งมวล จะจัดว่ามีอยู่ก็ไม่ใช่ไม่มีอยู่ก็ไม่ใช่ จะบอกว่าสูญก็ไม่ใช่ ไม่สูญก็ไม่ใช่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 ตุลาคม 2010
  13. คิดดีจัง

    คิดดีจัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2010
    โพสต์:
    1,626
    ค่าพลัง:
    +5,353
    หลวงพ่อฤษีลิงดำก็คุยกับพระพุทธเจ้าออกบ่อยนะครับ

    ผมฟังเทศของหลวงพ่อบ่อยๆหลวงพ่อท่านก็จะบอกว่าได้คุยด้วย

    ของแบบนี้ถ้าใครเขาไม่เชื่อก็ชั่งเขาจะดีกว่า ไม่จะเป็นที่จะต้องให้ใครเชื่อ

    จริงไหมครับ
     
  14. สามเณรเคน

    สามเณรเคน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มกราคม 2010
    โพสต์:
    78
    ค่าพลัง:
    +198
    ขออนุโมทนาบุญครับ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่เคยทิ้งพวกเราพุทธบริษัท มีแต่ชาวพุทธเฉพาะในทะเบียนบ้านที่กำลังจะทอดทิ้งพระองค์ เพราะความโลภ โกรธ หลง เข้าครอบงำจิตใจ ทำให้เกิดความลุ่มหลง ในทรัพย์สินเงินทอง ลาภยศสักการะ ชื่อเสียง แก่งแย่งชิงดี เห็นแล้วได้แต่ปลงอนิจจังครับ
     
  15. YUT_KOP

    YUT_KOP เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2008
    โพสต์:
    458
    ค่าพลัง:
    +1,033
    ผมบอกตามตรง ผมอ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว
    ขอเตือนจากใจจริงเลยว่า....
    ผมเชื่อหนังสือเล่มนี้ได้ไม่ถึง 30%เลย

    แล้วโปรดใช้ ปัญญามากๆๆๆวิเคราะห์มากๆๆในการอ่านหนังสือเล่มนี้ด้วย
    เพราะดูจากการอ่าน คำสนทนา ก็ให้รู้ได้เลยว่า นั้นไม่ใช้พระพุทธเจ้าแน่นอน
    เอาง่ายๆนะครับ เริ่มแรกเลย

    1.พระพุทธเจ้าจะมาสนทนากับ อ.พงศ์ศักดิ์ ผ่านร่างทรงของผู้ช่วยอาจารย์ (ที่เป็นผู้หญิง)

    ซึงก็ผิดวิสัยอย่างมากพ่อ-แม่ครูบาอาจารย์ ไม่ว่าจะเป็น หลวงปู่มั่น-ดู่-หลวงพ่อฤาษี ทุกๆท่านพบพระพุทธองค์
    ด้วยพลังแห่งสมาธิในจิต สนทนากับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขณะตั้งอยู่ในฌาณบ้างอยู่ในสมาธิบ้าง แต่ไม่เคยปรากฏเลยว่า หลวงปู่-หลวงตา..... สนทนากับพระพุทธเจ้าผ่านร่างทรง

    2.ในหนังสือที่กล่าวอ้างว่า บอกว่าพระพุทธเจ้า(ในหนังสือ)บอกว่า การเกิดของมนุษย์เกิดจากฟ้าส่งมาเกิด
    แล้วมีการถามต่อไปว่า ฟ้าคืออะไร คำตอบของ พระพุทธเจ้า(ในหนังสือ)บอกว่า
    ฟ้าที่ว่าคือ พระเจ้า คือ อัลเลาะห์ คือเทวดา คือ สิ่งศักสิทธิ์
    การเกิดของมนุษย์เกิดจาก มโนจิต-ธาตุ โน้มนำ อวิชชา คือตัวไม่รู้เข้ามาใส่แล้วเกิดการปรุงแต่ง เกิดการยึดมั่นว่ามีในตน ยึดมั่นในอายตนะภายนอก ฯลฯ จนกลายมาเป็น มนุษย์ในที่สุด
    แล้วที่เราเกิดๆกันมานี้ โดนฟ้าสั่งมากันหรอกหรือ นี้มันไม่ใช้ พุทธ แล้วนะนี้

    3.คำกล่าวอ้างมากมายในหนังสือ ขัดกับพระไตรปิฏกและคำสอนของพระอาจารย์ชัดเจน

    ไม่ว่าจะเป็นบอกว่า เรามาจาก นิพพาน ฟ้าส่งมาเราเกิดจากนิพพาน
    การดับขันย์ในครั้งนี้คือ การกลับนิพพาน(อีกครั้ง)

    นิพพาน มันเกิดใหม่จากคำสั่งฟ้าได้ด้วยหรอ
    แบบนี้ถ้าผมกลับนิพพานแล้ว โดนฟ้าสั่งมาเกิดใหม่อีกไม่ต้องเซงจิตหรอกหรือ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 ตุลาคม 2010
  16. YUT_KOP

    YUT_KOP เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2008
    โพสต์:
    458
    ค่าพลัง:
    +1,033
    1.ยังมีเรื่องการตัดต้นไม้อีก พระพุทธองค์(ในหนังสือ อ.พงศ์ศักดิ์)ซึ่งกล่าวขัดกับพระไตรปิฏก
    ถ้าผู้ไม่เคยศึกษาพระไตรปิฏก ก็จะเชื่อง่ายๆ
    แต่ถ้าจะให้จริงในพระไตรปิฏกมีหลายตอนที่กล่าวถึงเกี่ยวกับการตัดไม้ของพระสงฆ์
    จนเทวดา ที่อาศัยใน ต้นไม้ จะทำร้ายพระอรหันต์ แต่ก็กลัวบาปหนักจึงไปขอพระพุทธองค์ให้ บัญญัติ พระสงฆ์ห้ามตัดไม้ เพราะเป็นการเบียดเบียน เทวดาในต้นไม้ด้วย
    ซึ่งมีจริง ลองไปหาอ่านดูนะครับ

    ปล.1.อันที่จริงมีมากมายที่ ขัดต่อพระไตรปิฏกแต่ไม่ขอกล่าวอีก ดูๆไปอาจจะเกือบทั้งเล่มนั้นแหละ
    2.หนังสือเล่มนี้มีส่วนดีอยู่ถ้าได้อ่านให้เอาส่วนดีนี้มาใช้ แต่ว่าผู้อ่านจะต้องกรอง หิน กรวด ทราย ที่เยอะแยะมากมายให้ดี มิเช่นนั้น จะกลายเป็น กิน หิน กรวด ทราย สะปล่าว
     
  17. mkmk_kmkm1

    mkmk_kmkm1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2010
    โพสต์:
    93
    ค่าพลัง:
    +220
    น่าเสียดาย หนังสือเล่มนี้มาเกิดในสมัย กาลียุค คนจึงไม่ค่อยเชื่อ แต่ที่ได้อ่านคร่าวๆ ก็พอเชื่อถือได้
     
  18. ผู้มีสติ1

    ผู้มีสติ1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    750
    ค่าพลัง:
    +3,637
    ผมก็มีประสบการณ์กับตัวเองเหมือนกัน คือเจอกับตัวเอง แต่ไม่จำเป็นต้องเชื่อผมนะครับ คิดเสียว่าฟังเล่นๆเป็นประสบการณ์
    อีกด้านหนึ่ง มุมหนึ่ง ของคน คนหนึ่งก็แล้วกัน
    คือปกติผมเป็นคนชอบทำสมาธิ เพราะทำแล้ว ทำไห้ใจผมสงบ
    เยือกเย็น ทำงาน ทำอะไรก็แล้วแต่ รู้สึกว่าประสิทธิภาพดีกว่าเก่า
    ถ้าจิตใจเราวอกแวก สมาธิไม่ดีผลที่ได้รับ ก็รู้สึกว่า ไม่ค่อยดีเท่าที่ควร และการทำสมาธิ ก็เป็นการลด บรรเทา ขัดเกลากิเลส ตามที่พระพุทธองค์ได้ทรงสอนเอาไว้ ผมก็เลยคิดว่า การทำสมาธิ มีแต่ประโยชน์ มีแต่ผลดี จิตใจก็มีความสงบเย็น มีความสุขทางใจ โดยที่ไม่ต้องซื้อต้องหา ลงทุน ลงแรงอะไร

    มีช่วงหนึ่งนะ ผมก็รักษาศีลำสมาธิ และลองเอาคำสั่งสอนของ
    พระพุทธองค์ ก็คืออริยสัจสี่ กายานุสติกรรมฐาน มรณานุสติกรรมฐาน
    อสุภะกรรมฐาน ผมเอามาคิดพิจรณาแบบ เป็นจริง เป็นจัง คิดอย่างวิเคราะห์ อย่างพิจรณา แต่การพิจรณา ธรรมมะของพระพุทธเจ้า ของผมนั้น คิดแบบคนมีสามธิ ใช้สมาธิในการคิด จึงทำไห้การคิด พิจรณา
    ของข้าพเจ้าค่อนข้างจะลึกซึ้ง ละเอียด ละออ เป็นพิเศษ และก็มีความเข้าใจ ซึ้งเข้าไปในจิตใจเลยทีเดียว
    อย่างการพิจรณาร่างกายแบบนี้นะครับ โห ใจข้าพเจ้าเห็นสภาพร่างกายชัดมาก เห็นตับ ใต ใส้ เลือด เห็นโครงกระดูก ทั่งเรืองร่างเลย
    เห็นแล้ว มีแต่ความสกปรก เห็นแล้วมีแต่ความน่าเบื่อหน่าย ไม่อยากเอา
    ไม่อยากเป็น ไม่อยากได้มันเลย ร่างกายที่เต็มไปด้วยคาวมสกปรกแบบนี้
    ผมก็ทำอยู่ตลอด มีวันหนึ่ง ผมก็ทำสมาธิ แล้ววิปัสสนาญาณ
    อารมณ์วิปัสสนาของข้าพเจ้า แจ่มใส ขัดเจนดีมาก การพิจรณาธรรม
    ทะปรุโปร่งดีมาก
    ปรากฏ ขณะที่ทำสมาธิ ผมเห็นภาพพระพุทธเจ้า ปรากฏอยู่ตรงหน้าข้าพเจ้า ท่านห่มจีวรสีเหลือง ผมสังเกตที่หูของท่าน หูท่านจะยานนะ
    แต่ยานแบบได้รูป เหมาะเจาะพอดี แบบนั้น
    ผมก็ก้มลงกราบเลย แล้วก็ถามท่านว่า น้ำหน้าอย่างผม คนอย่างผม
    จะไปนิพพานได้ไหมครับ(คือใจลึกๆจริงๆ คิดว่าคนอย่างผมไม่มีหวังแน่ แต่ก็เก็บเอาไว้ในใจคนเดียว ไม่เคยเล่าไห้ใครฟัง เป็นความลับส่วนตัว แต่ท่านมารู้ได้ไงก็งงนะ)

    พระพุทธเจ้าทรงตอบ สั้นๆว่า"ไปได้ ไห้หมั่นฝึกฝน"(เสียงไม่ใหญ่ พูดธรรมดา แต่เสียงเพราะกังวาล ฟังแล้วชุ่มชื่น ปิติใจ) ผมเองก็รู้สึกแปลกใจมาก เมื่อก่อนเราก็ทำสมาธิ บางทีทำได้ดีด้วย ดีกว่าตอนนี้ด้วยซ้ำ ทำได้สงบดีมากเลย

    แต่ก็ไม่เคยเจอพระพุทธเจ้ามาในลักษณะ แบบนี้เลย ก็คือมาพูดคุยกับเรา
    แต่พอเราพิจรณาธรรม เห็นว่าร่างกายเป็นโทษ มีแต่ทุกข์ ไม่อยากได้มันแล้วเจ้าร่างกายแบบนี้ พอกันทีการเกิด
    คิดแบบนี้ ด้วยสมาธิ ผมก็เจอพระพุทธเจ้าแบบไม่ได้คิดเอาไว้ล่วงหน้า ไม่เคยคิดว่าจะเจอ ใครจะไปคิด คิดแต่เพียงว่าคำสอนของท่านเป็นสัจจะแท้จริง ชอบใจพอใจ ในคำสอนของพระองค์ พอลงมือปฏิบัติแล้ว มีผลจริง ตามภูมิธรรม แต่ละขั้นตอน ที่เราจะเข้าถึงได้ ก็คิดเท่านี้

    แต่กลับเป็นว่า ไปเห็นพระพุทธเจ้าท่านเสด็จมาเอง มาเหมือนกับว่าจะยืนยันว่า ทำอย่างที่ผมทำอยู่น่ะ ถูกแล้ว เป็นหนทางมุ่งสู่พระนิพพาน (เรื่องการพบเจอพระพุทธเจ้าไม่เคยอยู่ในหัวผมมาก่อนเลยนะ)

    เมื่อก่อนข้าพเจ้า ฝึกสมาธิ รักษาศีล แต่ก็ไม่เคยเจอแบบนี้เลย
    แม้แต่ครั้งเดียวนะ

    แต่ก็มาได้แง่คิดว่า ทำสมาธิบวกอริยสัจสี่ และพิจรณาตัดร่ากาย จึงทำไห้ผมได้เจอพระองค์ท่าน

    .. ผมคิดว่านะ ถ้าอยากเจอคนที่ไม่รู้จักเกิด เราก็ต้องทำใจไห้ไม่อยากเกิดได้ก่อน

    แล้วคลื่นกระแสใจ สัญญาความถี่จะตรงกัน เท่ากัน รับส่ง กันได้

    ทำใจตัวเราไห้สะอาดหมดจดได้ ในขณะใด ขณะหนึ่ง จึงจะสัมผัสคนที่ไม่รู้จักคำว่าเกิดได้


    แลกเปลี่ยนนะครับ ประสบการณ์ของผมเอง

    อนุโมทนากับทุกๆท่านครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 12 ตุลาคม 2010
  19. YUT_KOP

    YUT_KOP เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2008
    โพสต์:
    458
    ค่าพลัง:
    +1,033
    คนที่เขาไม่เชื่อตามหนังสือเล่มนี้ จะบอกว่าเป็นพวก กาลียุค คุณก็ใจคับแคบมากเกินไป

    ผมจะบอกว่าผมเชื่อตาม พระไตรปิฏก ก่อนก็แล้วกัน
    หนังสือเล่มไหนที่แต่งขึ้นมาใหม่
    แล้วขัดจ่ากพระไตรปิฏก ผมจะไม่เชื่อ
    คนที่เชื่อผมก็ ไม่ได้ว่าอะไร แต่คุณควรใช้หลักกาลามาสูตรให้เพียงพอแล้ว
    ใช้ปัญญาต่อนะครับ พิจรณาดีๆทุกคำ ทุกบันทัด อย่างสักแต่บอกว่า อ่านคราวๆ
    แล้วก็เชื่อลงไปเลย...ขอเตือนไว้ว่าไม่ดีนะ
     
  20. คมศักดิ์

    คมศักดิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2006
    โพสต์:
    790
    ค่าพลัง:
    +886
    อนุโมทนา สาธุ ด้วยครับ ถ้าเราสามารถไม่ยึดติดขันธ์ 5 แล้วนั้นโอกาสที่เราจะนิพพานก็มีสูงมากเลยครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...