"ศีลไม่บริสุทธิ์การภาวนาก็ไร้ผล" : องค์หลวงปู่น้อย ญาณวโร

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย Nana nora, 11 กรกฎาคม 2023.

  1. Nana nora

    Nana nora สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    386
    กระทู้เรื่องเด่น:
    5
    ค่าพลัง:
    +68
    358591044_6715301585155725_656836897560018942_n.jpg

    #ศีลไม่บริสุทธิ์การภาวนาก็ไร้ผล

    “...แล้วก็เอาหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าปฏิบัติตามนั้นมาเป็นที่ยึดที่ถือแล้วก็ปฏิบัติตามนั้นเอาพระวินัยเป็นตัวบีบบังคับตัวข้อบีบบังคับเป็นรั้วกั้นจึงจะไปได้ ถ้าไม่มีระเบียบไม่มีวินัยพระก็ไม่เป็นพระที่สมบูรณ์ กึ่งพระกึ่งสัตว์เดรัจฉาน ถ้าจะบอกว่ากึ่งเปรตกึ่งผีมันก็เกินไป ถ้าว่ากึ่งพระกึ่งสัตว์เดรัจฉานกิริยาท่าทางก็เหมือนสัตว์เดรัจฉานยิ่งไม่มีธรรมภายในครองใจยิ่งหนักสาหัสสากรรจ์ ไม่มีความรู้สึกนึกคิดทางด้านที่ดี คือไม่มีความเชื่อความเลื่อมใสในหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าเลย ผู้นี้จึงเป็นโจรปล้นศาสนามากมายที่สุดเมื่อศาสนาเจริญรุ่งเรืองด้วยวัตถุ ย่อมเป็นอย่างนี้ทั่วโลกดินแดนไม่ว่าประเทศไทยหรือประเทศไหน หลักพระวินัยของพระไม่เอามาใช้ ใช้แต่ทางภายนอกว่าจะทำยังไงจึงจะดึงดูดความสนใจของอุบาสกอุบาสิกาด้วยยศถาบรรดาศักดิ์บ้าง ด้วยลาภสักการะคำสรรเสริญเยินยอมีแค่นั้นธรรมวินัยจึงถูกปิดตายไม่นำออกมาใช้ มรรคผลพระนิพพานจึงไม่เกิด ลูกต้องเข้าใจนะว่าถ้าศีลไม่บริสุทธิ์การภาวนาก็ไร้ผลยกเว้นการคุยโม้โอ้อวด ถ้าศีลบริสุทธิ์การภาวนาจึงจะได้ผลเพราะศีลสมาธิปัญญามันไปด้วยกันทิ้งกันไม่ได้จะเอาเฉพาะภาวนาก็ไม่ได้ ก็เป็นลัทธิอื่นศาสดาอื่นไม่ใช่พุทธศาสนาเป็นพวกชีเปลือย พวกเดียรถีย์นอกรีดนอกลอยไปพวกฤๅษีชีไพรไป

    ต้องมีศีลที่สมบูรณ์ ฤๅษีเขาเขาก็มีศีล ๘ ของเขาที่สมบูรณ์บริบูรณ์เขาก็ทำฌานทำญาณได้ พวกเณรเราก็มีศีล ๑๐ มีศีลไม่ด่างพร้อยก็ทำทำฌานทำญาณได้ทำมรรคทำผลได้ อุบาสกอุบาสิกาก็ศีล ๘ ศีล ๘ ศีลไม่ด่างพร้อยก็ทำฌานทำญาณ ทำสมาธิทำมรรคทำผลได้นั่น พระศีลไม่ด่างพร้อยก็สามารถทำฌานทำญาณทำมรรคทำผลได้ เมื่อมันไม่ด่างพร้อยมันก็สามารถทำได้ แต่ถ้ามันด่างพร้อยมันก็เหมือนน้ำรั่วตักเมื่อไรมันก็ไม่เต็ม ตักน้ำใส่ถังมันมีที่รั่วมันก็ไหลออก ไหลออก ไม่เต็มซักที เผลอไปบางทีเผลอไปน้ำแห้งนั่น เพราะว่ามันรั่ว อย่างงั้นถ้าน้ำมันไม่รั่วเราดูแลจุดที่มันรั่วปิดมันให้มันดีอย่าให้มันรั่วก็คือศีล

    พ่อแม่ครูสายป่านี่ช่วงที่องค์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ท่านออกมาช่วงบั้นปลายครั้งสุดท้ายที่องค์ท่านจะเข้าสู่พระนิพพาน
    มีพระมหาต่างๆหลั่งไหลไปมาก หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ไม่ได้สอนทางด้านอื่นสอนว่าให้พวกเธอ #ตรวจดูศีลของตัวเองซะว่าศีลด่างพร้อยไหมตั้งแต่เรียนหนังสือมา #ถ้าศีลถึงขั้นปาราชิกก็สิกขาลาเพศไปซะ นอกนั้นก็พอที่จะดูแลกันได้ในช่วงที่ยังไม่ต้องปาราชิกก็ดูแลกันได้ #ศีลที่ไม่บริสุทธิ์ก็ทำให้บริสุทธิ์ซะ แล้วก็เข้าสู่ภาคปฏิบัติได้ #ถ้าศีลไม่บริสุทธิ์เข้าสู่ภาคปฏิบัติไม่ได้ก็เป็นวิปลาสทันที คลาดเคลื่อน จะบอกว่าสัญญาวิปลาสคือความจำอะไรมันต่างๆมันผิดพลาดไปเมื่อความจำผิดพลาดก็เกิดจิตวิปลาสคือความคิดเห็นผิดเพี้ยนแตกต่างออกไปจากพระไตรปิฎกจากหลักคำสอนของพระพุทธเจ้านั่นแหละ จะหาธรรมะที่แท้เข้าสู่ใจไม่ได้เพราะว่าหลักศีลด่างพร้อย หลวงปู่มั่นให้นั่งดูศีลเมื่อนั่งดูศีลแล้วศีลไม่ด่างพร้อย อย่าเพิ่งทำอะไรนั่งดูศีลเสียก่อนให้ทวนดูศีลเสียก่อน เมื่อตรวจดูศีลแล้วไม่ต่างพร้อยตอนนี้นั่งดูความคิดอย่าเพิ่งทำอะไรให้นั่งดูความคิดซะก่อน เมื่อนั่งดูความคิด เห็นความคิดของตัวเองว่ามันดีและมันไม่ดีเริ่มที่จะเข้าสู่การภาวนาเริ่มเข้าสู่การภาวนา เริ่มเข้าสู่การภาวนาคือพักจิตเข้าสู่พระพุทโธ พระธัมโม พระสังโฆ ในการเดินจงกรมนั่งภาวนา เริ่ม เริ่มที่จะใช้ความคิดใหม่เริ่มที่จะแบนความคิดใหม่จากความคิดที่ดีและไม่ดีที่มองเห็นทั้งชั่วบ้างทั้งดีบ้างอยู่ทางโลกมันเป็นอะไรมามันเผยขึ้นมาหมด สิ่งที่ไม่ดีมันก็เผยขึ้นมาหมด สิ่งที่ดีมันจะปิดไว้เมื่อเห็นสิ่งที่ไม่ดีมาก บางรูปบางองค์เป็นบ้าไปก็มีและบางรูปบางองค์ก็ไม่ภาวนาอีก ถ้าภาวนาอีกก็จะไม่เห็นมัน เมื่อไม่เห็นมันมันก็เหมือนลวงโลกสิก็เหมือนเอาผ้าเหลืองคลุมพวกตอไม้ไว้ บุญกุศลก็ไม่เกิดเพราะยังไม่เห็นสิ่งที่แท้ที่พระพุทธเจ้าบอกว่าพุทธะ พุทธะคือผู้รู้ พุทธะแบบหยาบรู้ว่าความคิดเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปทั้งดีและทั้งไม่ดีนี่เป็นความเป็นพุทธะแบบหยาบ พุทธะแบบกลางเข้าสู่จิตมันตั้งมั่นเป็นสมาธิ พุทธะแบบสูงแต่ยังไม่สูงสุดดื่มด่ำกับรสชาติของฌานของญาณของปิติ ของจิตที่บริสุทธิ์แต่ทิ้งจิตบริสุทธิ์ไม่ได้

    ถ้าจะพูดถึงตามหลักคำสอนก็คือพระอนาคานั่นไง #ดื่มด่ำกับจิตที่บริสุทธิ์แต่ไม่สามารถทิ้งจิตบริสุทธิ์ได้ ละเอียดสุดปัญญาละเอียดสุดพุทธะละเอียดสุดก็คือทิ้งทวน #สัพเพธัมมาอนัตตาโน่นลูกจึงจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ตัวนี้ขึ้นอยู่ที่ว่าบารมีของแต่ละรูปแต่ละองค์หรืออุบาสกอุบาสิกาของแต่ละคนว่าสร้างบารมีมาแบบไหน แต่ถ้าจะพูดถึงพระพุทธเจ้าบัญญัติก็ให้ลงปัจจุบัน เอาปัจจุบันให้ดีที่สุดนั่งดูความคิดของตัวเองซักพัก มันน่ากลัว มันน่ากลัวก็เข้าสู่ภาคปฏิบัติแบบเป็นสมถะถ้าจะแยกออกมาคือมีคำบริกรรมคำใดคำหนึ่งที่ให้ออกจากความคิดที่มันน่ากลัวตัวนั้นเข้าสู่พุทโธ ธัมโม สังโฆให้ได้สักพัก แล้วก็ดูมันอีกมันออกมาเป็นเพ่นพ่านหน่อย ก็กลับเข้าสู่การข่ม ข่มคือไม่ให้มันออกมาเพ่นพ่านมากค่อยทำไปค่อยดูแลกันไป #เมื่อกำลังข่มมากก็ตัดสินปัญหาเหยียบแล้วก็ถอนรากถอนโคนความคิดที่ไม่ดีต่างๆที่มันเกิดขึ้นได้ แต่ถ้ากำลังยังไม่ถึงมันก็ข่มมันไม่ได้มันก็ข่มเรา เราก็ตกระกำลำบาก ทุกข์ทรมานด้วยความคิดไม่อยากให้มันคิดแต่มันก็ต้องคิด ไม่อยากนึกไม่อยากตรึกไม่อยากตรอง มันก็นึกก็ตรึกก็ตรอง เพราะห้ามมันไม่ได้ #ทำไมถึงห้ามมันไม่ได้พระพุทธเจ้าตรัสว่าทุกสิ่งอย่างมันไม่ใช่เรา #จิตมันก็ไม่ใช่เราไม่มีอะไรเป็นของเรา #แต่เราพัฒนาและสอนได้ถึงจะไม่ใช่ของเราแต่เราก็พัฒนามันได้สอนมันได้ การสอนจิตถึงจะยากลำบากแต่มันก็สอนได้ ใครจะกล้าที่จะสอนจิต พระพุทธเจ้ากับสงฆ์สาวกเป็นผู้กล้าเป็นผู้อาจเป็นผู้หาญเป็นเลือดนักรบเลือดขัตติยะ แต่พวกเราล่ะจะเป็นเลือดนักรบเลือดขัตติยะเหมือนพ่อไหม ถ้าเป็นเลือดนักรบเลือดขัตติยะเหมือนพ่อก็สามารถสอนจิตของตัวเองได้ เมื่อสอนจิตของตัวเองได้จิตตัวนั้นก็จะปรับสภาพใหม่เป็นกลาง ไม่ได้สนใจกับว่าความคิดดีหรือไม่ดี จะบอกว่าเป็นใจก็หากเป็นสมมติใช้แทนกันได้หรือว่าเป็นไวพจน์ของกันคือใช้แทนกันได้ก็แล้วแต่ที่จะพูดตามสมมุติ เพราะเหนือสมมุติมีอยู่แห่งพุทธะที่ละเอียดสุด นี่คือภาคปฏิบัติจะเป็นอย่างงี้ แต่ภาคปริยัติจะไม่มีภาคปริยัติยังเป็นของหยาบแห่งตัวหนังสือเรียนไปจนถึงวันตายมันก็เป็นของหยาบแห่งการเรียนและไม่สามารถรู้เห็นได้...”

    โอวาทธรรม: องค์หลวงปู่น้อย ญาณวโร
    วัดป่าห้วยริน ต.หัวนาคำ อ.กระนวน จ.ขอนแก่น
    ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒
     

แชร์หน้านี้

Loading...