เสียงธรรม วิ่งตามกิเลสมีแต่ทุกข์

ในห้อง 'วัฏสงสารและกฎแห่งกรรม' ตั้งกระทู้โดย J.Sayamol, 30 มิถุนายน 2011.

  1. J.Sayamol

    J.Sayamol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2008
    โพสต์:
    6,190
    ค่าพลัง:
    +21,530
    [​IMG]

    ย่างพ่อแม่ครูจารย์มั่นนี้เราซึ้งจริง ๆ ถึงขนาดที่ได้เปิดให้พี่น้องชาวไทยฟังที่เราปฏิบัติต่อท่านเข้าใจไหมล่ะ เป็นไรถึงไหนถึงกัน เรามอบเลย กับพ่อแม่ครูจารย์มั่นเรานี้เรียกว่า เราไม่มีอะไรเหลืออยู่เลยในตัวของเราว่า เป็นของมีคุณค่ายิ่งกว่าองค์ท่านว่างั้นเถอะ เพราะฉะนั้นเราจึงรวมอยู่นั้นหมดเลย เป็นตายมอบให้หมด เราไม่ได้มีอะไรกับเรา ขอแต่ท่านต้องการอะไร ๆ เมื่อมีอยู่แล้วมอบถวาย เรียกว่าหมดทั้งตัวเลย เราเคารพขนาดนั้นนะ เพราะฉะนั้นวันเทศน์ที่วัดกุดก้อมจึงได้เล่าให้ฟังว่า นี่กระต๊อบกุฏิที่ท่านพักอยู่ ทางจงกรมเราอยู่นั้น แต่ก่อนพอออกจากนี้ปั๊บมันก็เป็นดง ดงต่อกันไปหมด เราไปเดินจงกรมอยู่ในป่า ไม่เห็นละเพราะเป็นดงล้วน ๆ เวลานี้มันโล่งหมดแล้วแหละ มองไปไหนทะลุหมด แต่ก่อนเป็นดง ท่านพักอยู่ที่นั่น

    เวลาออกจากมุ้งท่านไปก็ต้องบอกว่า นี่ผมจะไปเดินจงกรม อยู่ทางจงกรมเส้นนี้นะ เผื่อท่านจะเรียกได้ง่าย ความหมายว่างั้น เวลาต้องการเราก็ปั๊บเข้าไปนั้นเลย เราก็ออกมาจากนั้นเข้าเลย ๆ ไม่ได้ห่างไกลท่าน เคารพสุดยอด ๆ ท่านไม่นอนเราก็ไม่นอนทั้งคืนเวลาไหนก็ตาม ส่วนกลางวี่กลางวันโรควัณโรคท่านไม่ค่อยหนาวไม่ค่อยไอนะ พอตกเย็นมาวันไหนหนาวมากวันนั้นไม่ได้นอนเลย สำลีอยู่ในกะละมัง เอาวางไว้พูน จับกว้านช่วยท่าน ขากก็ไม่ออกเราต้องเข้าช่วยตลอดเวลาเลย ท่านไม่มีนะจะพูด แสดงอาการอะไร ๆ นี้ไม่มีเลย พิลึกจริง ๆ ไม่มีอะไรที่จะคาดถูกเลย คาดพ่อแม่ครูจารย์มั่นนี้คาดไม่ถูกเลย

    จริตนิสัยท่านหนักไปในทางใด ๆ นี้เราเคยมาพูด จับไม่ได้เลย ขนาดนั้นละ จะไม่ให้เคารพสุดยอดได้ยังไง เราก็เป็นเหมือนลิงตัวหนึ่งเหมือนกัน เรื่องซอกแซกซิกแซ็กเรื่องราวอะไร ๆ จะว่าจับผิดจับถูกอะไรก็ยอมรับ คือสังเกตท่านทำอะไรผิดถูกประการใดมันจะจับตลอด เพราะเรียนมาด้วยกันก็รู้ ไม่มีเลย เก็บหอมรอมริบไม่ให้เรี่ยราดสาดกระจายไปไหนแม้แต่เล็กแต่น้อย พระวินัยข้อไหนจับปั๊บ เดินเรียบ ๆ ไปตามนั้นเลย นั่นซิมันถึงได้ลง

    เรื่องธรรมที่ลึกซึ้งของท่านนี้ไม่ต้องพูดละนะ เรื่องธรรมที่ลึกซึ้ง เวลาท่านเทศน์ล่ะซี ฟังซิ ๔ ชั่วโมง ท่านเอาโวหารจากไหนมาเทศน์ เทศน์ในเบื้องต้นที่เราไปทีแรกนั้นท่านเทศน์ ๔ ชั่วโมงนะ พูดไม่หยุดปาก ตลอด ๆ ๔ ชั่วโมง ครั้นหลัง ๆ มานี้ท่านอ่อนลงก็ลดลง ๓ ชั่วโมง พอสุดท้ายนี้มาถึงแค่ ๒ ชั่วโมง ท่านเทศน์ถึง ๒ ชั่วโมงหยุด จากนั้นมาแล้วก็ไม่เทศน์อีกเลย เป็น ๓ พัก ๔ ชั่วโมง ๓ ชั่วโมง ๒ ชั่วโมง เทศน์นี้ไหลไปเลยเทียวนะ อู๊ย อยากให้พี่น้องทั้งหลายฟังนะ นั่นละเทศน์ที่ใจทั้งดวงนั้นถ้าเป็นมหาสมุทร คือน้ำมหาสมุทร คือน้ำแห่งธรรมเต็มหัวใจท่าน ไหลออกเท่าไรไม่มีหมดมีสิ้น ไหลตลอด น้ำมหาสมุทรฟังซิ มันหมดมันสิ้นที่ไหน นี่เทียบนะ ทีนี้ใจของท่านยิ่งครอบท้องฟ้ามหาสมุทร โลกธาตุครอบหมดธรรมอันนี้ มากยิ่งกว่ามหาสมุทรเป็นไหน ๆ แต่ไม่มีอะไรเทียบ เราก็เทียบว่าน้ำในโลกเรานี้คือน้ำมหาสมุทรมากที่สุด พอที่จะเทียบกับธรรมในหัวใจของท่านได้ว่างั้นเถอะ พอมีวี่แววบ้าง

    น้ำมหาสมุทรมันกว้างมันลึกมันใหญ่มันมาก น้ำพระทัยน้ำหัวใจน้ำอรรถน้ำธรรมของท่านพอเทียบได้ ก็คือเอาน้ำมหาสมุทรไปเทียบ ถ้าให้เป็นตามหลักความจริงจริง ๆ แล้วเทียบไม่ได้เลย คือมันเลยสมมุติ ครอบสมมุติไปหมด จะเอาสมมุติไหนไปเทียบไม่ได้เลย นี่เราก็ดึงไปเทียบพอเข้าใจเท่านั้น เพราะฉะนั้นการเทศนาว่าการของท่านนี้ไหลเลยนะ เทศน์แต่ธรรมะสุดยอด ๆ ฟังนี้ลืมเนื้อลืมตัวนะ จะนานกว่านั้นก็ไม่มีความหมายอะไร เพราะจิตไม่ได้ออก ฟังเท่าไรยิ่งเพลิน ๆ ยิ่งดื่ม ๆ เลย ธรรมะพุ่ง ๆ เหมือนน้ำดับไฟ ๆ ไปเรื่อย ๆ

    เทศน์ในหัวใจ ถอดออกมาจากหัวใจเลย พูดแล้วสาธุ เราไม่ได้ประมาทปริยัตินะ ปริยัติเรียนมานี้จะหนาแน่นมากเท่าไรขนาดไหน ๆ อย่างท่านกล่าวไว้ว่าพอประมาณ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ นี้เพียงพอประมาณเท่านั้นนะ ท่านจะหยิบจะยกออกมาแต่จุดสำคัญ ๆ พอให้อ่านให้จดให้จำมาได้พอเป็นแนวเป็นทาง ถ้าหากมากกว่านั้นก็เหลือเฟือฟั่นเฝือจำไม่ได้ ท่านจึงเอามาพอประมาณ ๆ เป็นจุดสำคัญ เช่น อริยสัจ ๔ แก่นศาสนา สติปัฏฐาน ๔ รวมแล้วเป็นโพธิปักขิยธรรม นี้คือแก่นศาสนาอยู่จุดนี้ ท่านก็เอามาไว้หมด นอกนั้นก็ปลีก ๆ ย่อย ๆ ไป นี่หมายถึงพระไตรปิฎกท่านจดจารึกมาแต่จุดที่สำคัญ ๆ ที่จะพอจดจำท่องบ่นสังวัธยายและนำไปปฏิบัติได้ มากกว่านั้นเหลือประมาณ จะฟั่นเฝือเกินไป เหลือกำลังที่จะศึกษาเล่าเรียนและปฏิบัติตาม ไม่ทราบจะยึดอะไรต่ออะไร ทำให้ท้อถอยน้อยใจไปได้ ท่านจึงจดมาพอประมาณ นี่คือปริยัติธรรม

    ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์นี้ก็ว่ากว้างว่าลึกนะ เวลาธรรมได้เกิดในหัวใจ อันนี้ผิวเผินมากนะฟังซิ ผิวเผินมากที่สุด คือธรรมในคัมภีร์นั่นน่ะ เล่มนี้แหละ เราเรียนตรงไหนเราจะจำไปได้ตามแถวตามแนวที่เราได้ศึกษาเล่าเรียนไป หน้าไหน ๆ ในเล่มนั้นที่เราไม่ได้เรียนก็ไม่รู้ เราจะรู้เฉพาะหน้าเฉพาะช่องทางแถวที่เราเรียนไป ๆ จำได้เท่านั้น นอกจากนั้นที่เราไม่ได้เรียนในเล่มเดียวกันเราก็ไม่รู้ว่าท่านกล่าวถึงอะไรบ้าง ความจำนี้จะไม่ติดตามไปหาสิ่งที่ไม่ได้เรียน อันไหนไม่ได้เรียนความจำจะไม่ไป จะไปเฉพาะที่ได้เรียน ความจำจะจดจำไปตามนี้ ๆ

    ทีนี้เทียบปั๊บเข้าไปว่า ความจริงไม่เป็นอย่างนั้น ความจำนี้คือจำไปตามแถวตามแนว ความจริงนี้ขอแต่ว่า เล่มนี้มันมีอยู่กี่หน้ากี่แถวไปหมดเลย เช่นเดียวกับไฟได้เชื้อ เชื้อไฟจะอยู่ที่ไหนก็ตาม จ่อไฟลงไปปั๊บเท่านี้ ไม่ว่าอยู่กองใดมุมใดขึ้นชื่อว่าเชื้อไฟ มันจะเผาจะไหม้ติดตามลุกลามไปหมด ไม่ว่าเชื้อไฟส่วนหยาบ ส่วนกลาง ส่วนละเอียด มันจะส่งเปลวหรือกำลังความร้อน เปลวของมันขึ้นตามลำดับของเชื้อไฟที่มีหนาแน่นและเบาบางลงไป สุดท้ายก็เรียกว่าไหม้หมด เชื้อไฟมีเท่าไรไหม้หมด ไม่ได้คำนึงว่าอยู่กองใดที่ไหนบ้าง มันติดตามไหม้กันไปหมดเลย

    อันนี้คัมภีร์เราเรียนมานั้นก็ไปตามช่องตามทาง ไม่ลุกลามไปนะ แต่สำหรับความจริงนี้ สภาวธรรมนั้นคือความจริง มีอยู่ทั่วไปเรียกว่าความจริง ความรู้ความเห็นของธรรมทั้งหลายนี่เท่ากับไฟ มันจะลุกลาม คือตามรู้ตามเห็นไปหมดเลย ต่างกันตรงนี้ เวลาได้รู้แล้วมันคาดไม่ถูก เรียกว่าเชื้อไฟอยู่ที่ไหน คือความจริงได้แก่สภาวธรรม มีลึกตื้นหนาบางหยาบละเอียดแค่ไหน ไฟคือความรู้ ได้แก่ธรรมทั้งหลายนี้จะตามรู้ตามเห็นตามสอดตามแทรกไปตาม ๆ กัน ซึ่งเท่ากับไฟได้เชื้อ ไหม้ไปเรื่อย ๆ นั่นมันต่างกันอย่างนั้น ผิดกันมากทีเดียว

    นี่ละธรรมประเภทนี้ ที่พระพุทธเจ้าเป็นอันดับหนึ่ง พระสาวกผู้เชี่ยวชาญเป็นอันดับรองลงมา ๆ เป็นผู้ที่เข้าใจในธรรมเหล่านี้เต็มกำลังความสามารถของตน สำหรับพระพุทธเจ้านั้นยกให้เลย ไม่มีเชื้อไฟใดจะเหลือหลอที่จะไม่ถูกทรงรู้ทรงเห็นไปทุกอย่าง จึงเรียกว่า โลกวิทู อาโลโก อุทปาทิ สว่างโร่ไปหมดเลย เห็นหมดเลย รองลงมาก็เรื่อย ๆ เหมือนกัน จะไหม้เหมือนกัน แต่พุทธวิสัยกับสาวกวิสัยต่างกัน สาวกวิสัยก็ขึ้นอยู่กับนิสัยวาสนาอีกด้วย องค์ไหนมีความเชี่ยวชาญทางไหนก็เป็นไปตามนิสัยวาสนาของตัวเอง ที่ได้ทำความปรารถนาไว้แล้วตั้งแต่ต้นทาง

    เช่น เราปรารถนาเป็นพระอรหันต์ ความเป็นพระอรหันต์นี้เป็นรากฐานอันใหญ่โต จุดยุติตรงนั้น แต่สิ่งปลีกย่อยที่จะได้มีได้รู้ได้เห็นเป็นพิเศษตามความปรารถนาของผู้นั้นยังมีอีก เช่น มีความเฉลียวฉลาด มีรอบรู้ มีฤทธาศักดานุภาพ มีหูทิพย์ตาทิพย์ แยกปรารถนาไป เวลาสำเร็จแล้วก็ไปตามสายทางของความปรารถนา อันนี้จึงไม่ค่อยเหมือนกัน จะว่าไฟได้เชื้อ เชื้อไฟก็ไหลไปตามนิสัยวาสนา วาสนากว้างแคบขนาดไหน ไฟก็มีอำนาจที่จะลุกลามไปตามนิสัยวาสนา วาสนานี้ครอบเอาไว้ สภาวธรรมก็อยู่ในวงนี้ ที่ผู้นี้จะสามารถรู้ได้ตามความปรารถนาของตน ๆ เพราะฉะนั้นความลึกตื้นหนาบางของผู้นำธรรมออกมาทำประโยชน์แก่โลกจึงมีแง่หนักเบาต่างกัน ไม่ได้เหมือนกันหมด สำหรับความบริสุทธิ์นั้นเหมือนกัน ไม่มีอะไรยิ่งหย่อน นับแต่พระพุทธเจ้าลงมาจนกระทั่งถึงสาวกองค์สุดท้ายเป็นผู้บริสุทธิ์ เรียกว่าเป็นธรรมธาตุด้วยกันหมดเลย อันนี้ไม่มียิ่งหย่อนต่างกัน

    ท่านจึงแสดงไว้ในธรรมว่า นตฺถิ เสยฺโยว ปาปิโย บรรดาท่านผู้บริสุทธิ์วิมุตติหลุดพ้นแล้วนั้น ไม่มีองค์ใดยิ่งหย่อนกว่ากัน เสมอกันหมด แต่นิสัยวาสนาที่จะเป็นไปตามของผู้ที่ทำความปรารถนานั้นต่างกัน เพราะฉะนั้นผู้ที่นำธรรมมาสอนโลกจึงมีผลมากน้อยต่างกัน อย่างครั้งพุทธกาลพระสารีบุตร เรียกว่าปัญญาเฉลียวฉลาดไม่มีใครเกินเลย เป็นที่หนึ่ง ยกเอตทัคคะให้เป็นผู้เฉลียวฉลาดทางด้านปัญญา พระโมคคัลลาน์ก็เก่งทางฤทธาศักดานุภาพ องค์อื่นท่านก็เก่ง แต่ผู้นี้เด่นกว่าเพื่อน ยกผู้นี้เป็นเอตทัคคะเลิศกว่าเพื่อนเสีย ไม่ใช่ว่าหมู่เพื่อนจะไม่รู้นะ อย่างพระสารีบุตรว่าเป็นผู้มีปัญญาเฉลียวฉลาด องค์อื่นท่านก็ฉลาดเหมือนกัน แต่ผู้นี้สูงกว่าเพื่อน ยกผู้นี้ให้เป็นอันดับหนึ่งเสีย เลิศในทางนี้ไปเสีย ประหนึ่งว่าองค์อื่นไม่มีปัญญา มีแต่ไม่เหมือนท่าน ลดหย่อนผ่อนผันกันลงมาอย่างนั้น

    ใจนี้ที่เป็นธรรมล้วน ๆ ก็คือว่า กิเลสนี้ออกหมดไม่มีอะไรเหลือเลย เป็นฝั่งของกิเลส เป็นฝั่งของวัฏจักร อันนี้เป็นธรรมล้วน ๆ เป็นวิสุทธิธรรมล้วน ๆ เป็นฝั่งนี้ เรียกว่าวิมุตติ ฝั่งนี้เป็นวิมุตติ ฝั่งนั้นเป็นสมมุติ ต่างกันอย่างนั้น เวลารู้ คือจิตนี่นะ คือผู้ปฏิบัติเพื่ออรรถเพื่อธรรมจริง ๆ มุ่งหน้าปฏิบัติตามแนวทางดำเนินของพระพุทธเจ้าซึ่งแสดงไว้แล้วว่าเป็นแบบแปลนแผนผัง คือสวากขาตธรรมนั่นละ เรายกมาพอประมาณนะที่ตรัสไว้แปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ เท่ากับแบบแปลนแผนผังของธรรมทั้งหลาย คำว่าธรรมทั้งหลายนี้ มีทั้งบาปทั้งบุญ ทั้งดีทั้งชั่ว มีทั้งสูงทั้งต่ำ จึงเรียกว่าแปลนแห่งธรรมทั้งหลาย แห่งสภาวธรรมทั้งหลาย พระองค์ทรงแสดงไว้นั้นหมด เห็นหมด รู้หมด แสดงไว้นั้น ๆ หมดเลย
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • a21-02-2544.wma
      ขนาดไฟล์:
      7.5 MB
      เปิดดู:
      1,432
  2. J.Sayamol

    J.Sayamol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2008
    โพสต์:
    6,190
    ค่าพลัง:
    +21,530
    ทีนี้เวลาเราเรียน ถ้าเรียนตั้งแต่ตำรับตำรา มันก็จำได้แต่ชื่อแต่นามของแปลน ว่าบาปว่าบุญว่านรก สวรรค์อะไร ก็จำได้แต่ชื่อ ตัวบาปจริง ๆ ไม่เห็นในหัวใจ บุญจริง ๆ ไม่เห็นในหัวใจ นรก สวรรค์ พรหมโลก นิพพาน ตลอดเปรตผีประเภทต่าง ๆ ที่แสดงไว้แล้วในแปลนแห่งพุทธศาสนานั้นไม่มีในใจ จึงได้แต่ชื่อไม่ได้ตัวจริง อย่างศาสนาที่ว่าเวลานี้มีอยู่ในคัมภีร์ ก็เรียกว่าบ้านไม่มี มีแต่แปลน ไม่ผิดกัน เปิดห้องไหนก็มีแต่แปลนบ้าน แต่ไม่มีใครนำแปลนออกมากางแล้วสร้างบ้านสร้างเรือนตามแปลน ก็ไม่สำเร็จเป็นบ้านเป็นเรือนขึ้นมา

    ทีนี้แปลนพระพุทธเจ้าคือแปลนแห่งพุทธศาสนา แปลนแห่งสภาวธรรม แปลนแห่งความดีความชั่วทั้งหลาย รวมอยู่ในศาสนธรรมทั้งหมดก็จำได้แต่เรียนเท่านั้นเอง ตัวจริงของสิ่งเหล่านั้นไม่เห็นไม่มี เพราะไม่ได้ดึงแปลนคือศาสนธรรมออกมากางมาปฏิบัติ เมื่อเอาออกมากางมาปฏิบัติ ดังสาวกทั้งหลายเอาออกมากางมาปฏิบัติตามพระพุทธเจ้า ก็สำเร็จเป็นบ้านเป็นเรือนขึ้นมา องค์นี้สำเร็จโสดา องค์นี้สำเร็จสกิทา องค์นั้นสำเร็จอนาคา องค์นั้นสำเร็จอรหันต์เรื่อย สิ่งทั้งหลายที่จะรู้จะเห็นกระจายอยู่ทั่วโลกดินแดน จะรู้จะเห็นไปเต็มกำลังความสามารถจากแปลนที่ท่านปฏิบัติรู้เห็นไปแล้ว นี่ละเรียนสมบูรณ์แบบ

    ศาสนาพุทธของเราก็เหมือนกับแปลนบ้านนั่นเอง ให้สมบูรณ์แบบ แปลนบ้านทำแล้วให้เอามากางมาทำมาปลูกบ้านปลูกเรือน จะสำเร็จตามแปลนนั้นหมด แปลนอย่างทางโลกเขาทำถึงเขาจะมีกิเลสก็ตาม แต่เขาก็คำนึงคำนวณรับรองยืนยันไว้หมดว่า แปลนนี้ถูกต้องแล้ว เมื่อดึงแปลนนี้มาทำก็ถูกต้องตามนั้น ทีนี้แปลนพระพุทธเจ้า ยิ่งเป็นแปลนของผู้สิ้นกิเลสด้วยแล้วจะผิดไปที่ไหน นี่ต่างกันตรงนี้ แปลนนี้แปลนของผู้สิ้นกิเลส รู้ประจักษ์ในพระทัยแล้วกางออกมา คือสอนโลกมาว่าอันใดมี ๆ นั้นละคือความจริงล้วน ๆ บาปมีบุญมีจริงทั้งนั้น ๆ นรกมีสวรรค์มี นรกมีกี่หลุม ๆ แจงออกไป บอกหมดเลย จนกระทั่งถึงสวรรค์ พรหมโลก แล้วเปรตผีประเภทต่าง ๆ เต็มอยู่ทั่วโลกดินแดน แดนวัฏจักรนี้เป็นสถานที่อยู่ของเปรตของผีของสัตว์ประเภทต่าง ๆ เต็มไปหมดไม่ใช่น้อย ๆ

    เราอย่าเอามาอวดนะมนุษย์เรา อย่างพวกเราอยู่เพียงศาลานี้กี่คน แล้วสัตว์อยู่ในนี้มันมากขนาดไหน พิจารณาซิ ที่มันลึกลับในสายตาของคนตาบอดอย่างพวกเรา แต่เปิดเผยสำหรับท่านผู้มีนัยน์ตาดี คือมีความบริสุทธิ์มีพระญาณหยั่งทราบ เปิดเผยไปหมด ท่านเอาความเปิดเผยด้วยพระญาณของท่านมาสอนเรา แล้วเราเวลาฟัง เอาแบบหูหนวกตาบอดไปฟังก็เข้ากันไม่ได้ซิ มันขัดกันตรงนี้ละ คือกิเลสเป็นผู้ขัด กิเลสหลับตาฟังหลับตาดู ธรรมเปิดตาฟังเปิดตาสอน มันต่างกัน ธรรมพระพุทธเจ้าสอนตามหลักความจริง กิเลสมันตาบอดมันปิดไม่มี ๆ มันบอกไม่เห็น ๆ โลกก็โลกตาบอดด้วยแล้วกิเลสลากไปไหนก็ไปตามนั้นเลย ตาบอดไปด้วยกันเลย เพราะฉะนั้นจึงมีแต่กองทุกข์นะในโลกนี้ ไม่ได้มีอะไรเป็นสุขนะ อย่าพากันเป็นบ้า

    เราอยากจะพูดให้เต็มยันถอดออกมาจากหัวอกนี้ว่างั้นเลยนะ หัวใจนี้มันเคยบรรทุกความทุกข์ความร้อนเป็นฟืนเป็นไฟมาแต่ไหนตั้งแต่เกิดมา นี่เอายันกันตรงนี้เลยนะหัวใจดวงนี้ ดวงที่เป็นอยู่เวลานี้ เกิดมาตั้งแต่เป็นเด็กเป็นเล็กเรามาคำนึง เวลานี้มันเท้าความหลังนะ ข้างหน้าไม่ไป ข้างหน้ามันสุดทุกอย่างแล้ว คือหายสงสัยทุกอย่าง จะไปที่ไหนก็มีแต่ปัจจุบันเท่านั้น อนาคตก็ไม่มีในจิตดวงนี้ แต่อดีตที่ผ่านมาเป็นยังไงมันตามของมัน เมื่อมาถึงจุดนี้แล้วเรียกว่าสิ้นสุดที่จะไปข้างหน้า อะไรก็หายสงสัยหมดแล้วไปหาอะไร อนาคตก็ไม่มี ปัจจุบันก็บริสุทธิ์แล้ว ส่วนอดีตที่เป็นมายังไง ๆ ที่มันย้อนได้ที่นี่นะ

    อย่างพระพุทธเจ้าทรงพิจารณาบุพเพนิวาสานุสติญาณนั่นละ ทรงเล็งญาณพิจารณาย้อนหลังว่าเคยเกิดเป็นอะไร ๆ นี่เป็นอดีตที่ผ่านมา ทีนี้จิตของเราเอาปัจจุบันที่ว่าเกิดมานี้ตั้งแต่เป็นเด็กเป็นเล็กมา จำได้จนกระทั่งไปลักอ้อยเขาเราก็จำได้ นั่นน่ะอดีตของมัน อีตาบัวนี้เป็นเด็กมันไปลักอ้อยเขา อ้อยก็เป็นอ้อยพวกญาติกันด้วย แต่น่าชมอันหนึ่งเราจำไม่ลืมนะ เอ๊ มันไปได้อุบายมายังไงมาแก้ แก้น่าเชื่อเหลือเกิน ทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่ความจริงมันโกหกเขาเป็นครั้งที่สอง ครั้งแรกก็ไปขโมยอ้อยเขามา พอเขาจับตัวได้ อยู่หน้าประตูลากอ้อยออกมากับพี่ชาย เด็กเหล่านี้ทำไมสูไปขโมยอ้อยกูล่ะว่างั้นนะ

    ป้าฝ้าย ชื่อแกชื่อฝ้าย โอ๊ย แกเป็นคนสวยงามมาก กิริยามารยาทนี้เหมือนผ้าพับไว้ สวยงามมากเราก็ชม ทีนี้เวลาแกถามเรา แกไม่มีกิริยาขึงขังตึงตังนะ เพราะมันเด็กเกินกว่าจะมาถือสีถือสา พูดยิ้ม ๆ นะ เด็กเหล่านี้ทำไมสูมาขโมยอ้อยกูล่ะ มองดูเรา เราก็มอง โอ๋ย ผมไม่ได้ขโมยนะป้า นู่นน่ะฟังซิ มันจำได้นะ ผมไม่ได้ขโมยนะป้า คือผมผ่านไปผ่านมาผมหิวทนไม่ไหว ผมเลยจะเข้าไปตัดเอาอ้อยของป้า แล้วจะแบกอ้อยนี้ไปบอกป้า แล้วถึงจะเอาไปบ้านว่างั้นนะ โถมันเก่งจริง ๆ เราไม่ลืมนะ ก็เราจำได้นี่นะ ถ้าอย่างงั้นก็เอาเสีย ถ้างั้นเจ้าก็เอาไปเสีย โอ๊ย กูไม่เอาแล้ว สูตัดไปแล้วสูก็เอาไปเสีย จึงได้เอาอ้อยนี้แบกไปอวดตาล่ะซี ตาจึงขนาบเอาเสีย

    นี่พิจารณามาย้อนหลังมาถึงเรื่องบาปเรื่องบุญไม่ค่อยคำนึงนะ มีแต่ความอยากความทะเยอทะยานความดีดความดิ้นเรื่องของกิเลสทั้งนั้น มันดึงมันลากมันไถไป จนกระทั่งถึงเข้าบวชดังที่ว่านี่ พอเข้าบวชจิตค่อยเปลี่ยน ๆ สนใจในธรรม สะดุดเรื่อย ๆ ทีนี้ออกปฏิบัติเข้าถึงจิตเลย เข้าปฏิบัติจิตมันก็มืดตื้อแปดทิศแปดด้าน เวลาชำระเข้าไป ๆ อย่างว่านี่นะ พอทางนี้ค่อยสว่างออกสิ่งเหล่านั้นมันมีอยู่แล้วนี่ ก็ค่อยเริ่มเห็น ๆ เห็นทั้งกิเลสเห็นทั้งสิ่งภายนอกที่เกี่ยวโยงกัน มันก็เห็นลงไป แต่อะไรก็ไม่สนใจยิ่งกว่าสนใจดูกิเลสฆ่ากิเลส สิ่งเหล่านั้นก็มีสัมผัสสัมพันธ์กันมา ไม่ปฏิเสธว่าไม่รู้ไม่เห็น แต่มันไม่สนใจมากยิ่งกว่ากิเลสซึ่งเป็นตัวภัย มันจะแก้มันจะถอดจะถอนจุดนี้ ๆ ทีนี้ก็ไม่พ้นที่มันจะรู้ออกไป ๆ นี่ภาคปฏิบัตินะมันจะเป็นของมันเองอย่างนี้

    แล้วไม่ถามใครเสียด้วยนะ เวลาเจอเข้าตรงไหน ๆ นี้มันแม่นยำ ๆ เพราะสิ่งเหล่านั้นแม่นยำแล้ว พอจิตเจอเข้าปั๊บ ต่างอันต่างแม่นยำต่อกันสงสัยกันหาอะไร นั่นมันต่างอันต่างจริงแล้ว มันค่อยกระจายออก ๆ ถึงขึ้นสมาธินี้ก็สว่างไสวเต็มภูมิของสมาธิ อยู่ที่ไหนสะดวกสบายหมดเลยนะ อู๋ย ง่ายสบายที่สุดขั้นสมาธิ เพราะฉะนั้นถึงได้นอนใจได้ซิ จิตนี้มีตั้งแต่อยากอยู่อันเดียวเท่านั้น ไม่อยากยุ่งเหยิงวุ่นวายคิดนั้นคิดนี้ คือตามธรรมดาแต่ก่อนจิตไม่คิดไม่ได้นะ มันดีดมันดิ้นมันอยากคิดอยากรู้อยากเห็นอยากนั้นอยากนี้ อยากตลอดเวลาอยู่ภายในใจ ทีนี้พอสมาธิซึ่งเป็นเหมือนกับน้ำดับไฟเข้าไประงับความฟุ้งซ่านทั้งหลาย จิตมีความสงบเย็นใจ ทีนี้อยู่ที่ไหนสบายหมด แม้ที่สุดความคิดที่มันเคยก่อกวนมากมาย กลายเป็นเรื่องรำคาญไปแล้วไม่อยากคิด อยู่อย่างนี้ตลอดเวลา แน่ว รู้อยู่เท่านั้นพอแล้ว ความคิดแย็บขึ้นมากวนแล้ว ๆ นั่นสมาธิถืออารมณ์ทั้งหลายเป็นเครื่องก่อกวน ตำหนิ ขั้นนี้มันก็สบาย

    ทีนี้มันก็ขยันอยู่ในนี้แหละ มันก็เป็นความเพียรอันหนึ่งของตัวเอง ก็อยู่อย่างนั้นทั้งวันมันก็อยู่ได้ ไปอยู่ที่ไหนก็มีแต่อย่างนั้น มันก็เป็นงานของจิตที่สงบอยู่ด้วยอารมณ์อันเดียว ๆ อย่างนี้ ก็เป็นงานอันหนึ่ง ทีนี้เวลาออกทางด้านปัญญา อันนี้ละพิลึกนะ คือสมาธิมันเหมือนน้ำเต็มโอ่งน้ำเต็มแก้ว เอาให้เต็มขนาดไหนล้นกว่านั้นไม่ได้เลยนะ มันสุดขีดก็อยู่แน่ว ละเอียดก็สุดขีดอยู่นั้นไม่เลย จะเข้าเวลาเท่าไรกี่ชั่วโมงกี่วันกี่คืนมันก็เท่าเดิม เรียกว่าน้ำเต็มแก้ว น้ำเต็มโอ่ง ทีนี้พอเปิดทางด้านปัญญาออกเท่านั้นละที่นี่ มันจะเริ่มเป็นน้ำล้นโอ่งที่นี่นะ พอเปิดทางด้านปัญญาออกมานี่เป็นน้ำล้นโอ่ง ๆ ล้นออกเรื่อย ๆ ๆ อันนี้ละที่เป็นเรื่องของความแปลกประหลาดอัศจรรย์ เจ้าของเองก็ไม่เคยคาดเคยคิดว่าจะรู้จะเห็นจะเป็นขึ้นมา ครั้นแล้วมันก็เป็นขึ้นมาจากเจ้าของเอง จะสงสัยที่ไหน

    ความรู้ความเห็นทางด้านปัญญาทั้งฆ่ากิเลส ทั้งความสว่างไสวแพรวพราว ทั้งความคล่องตัว ๆ ไปเรื่อย เห็นกิเลสก็เห็นชัด เห็นสิ่งภายนอกที่เข้ามาเกี่ยวข้องสัมผัสสัมพันธ์กันมันก็เห็น แต่รวมแล้วมันต้องหนักไปทางฆ่ากิเลส เห็นอย่างนั้นก็เห็นแต่ว่าผ่านไป ๆ ไม่ได้ตั้งใจจดจ่ออะไร ๆ เหมือนจดจ่อจะฆ่ากิเลสนะ ทีนี้ก็เปิดออก ๆ ซิ เวลาถึงขั้นปัญญานี้พูดไม่ได้นะ คือละเอียดลออเข้าไปเป็นลำดับทั้ง ๆ ที่เจ้าของรู้อยู่เห็นอยู่แต่จะนำอะไรพูดนี่พูดไม่ถูกนะ มันกระจ่าง ๆ ความรู้ความเห็นทางตาทางหูเรานี้อย่าเอาไปเทียบกับความรู้ความเห็นภายในจิตใจโดยเฉพาะนะ ผิดกันคนละโลกเลย ตาเราเห็นอันนี้ ๆ เขา ๆ เรา ๆ มันก็พอ ๆ กันไม่เห็นแปลกประหลาด แต่เวลาจิตใจเป็นนามธรรมรู้สิ่งที่เป็นนามธรรมด้วยกันนี้มันแปลกประหลาดไปโดยลำดับ

    องค์ไหนเห็นก็แปลกประหลาดตัวเอง ๆ ไปทั้งนั้นละ เพราะฉะนั้นจึงไม่มีวันอิ่มพอที่จะรื่นเริงบันเทิงหรือว่าอุทธัจจะก็ถูกนะ ฟุ้ง เพลิน เพลินรู้เพลินเห็นเพลินดูสิ่งต่าง ๆ ทั้งเพลินฆ่ากิเลสทั้งเพลินสิ่งที่มาเกี่ยวข้องจิปาถะมันรอบด้าน เพราะจิตเป็นนักรู้รอบตัว อะไรที่จะไม่ให้มันรู้ไม่ได้ มันสัมผัสสัมพันธ์กันมันต้องรู้จนได้ ๆ นั่นเห็นไหมล่ะภาคปฏิบัติ มันกระจ่างออก ๆ จนกระทั่งเอาสรุปเลยว่า เปิดออกหมดเลย อะไรที่มีเคลือบแฝงนิดหนึ่งนั่นละ หากว่าเป็นดวงไฟก็แก้วไม่ใสสะอาดดี เวลาไฟส่องออกมาจากดวงไฟนี้มันก็มัว ๆ ถึงสว่างก็สว่างด้วยความมัว ความมัวนั้นแลคือกิเลสมันปิดแก้วครอบ เหมือนมลทินติดแก้วครอบ พอเปิดอันนั้นออกหมดไม่ให้มีเหลือ แก้วครอบก็ไม่มีที่นี่นะ เวลามันเปิดนะ แก้วครอบว่าใสอย่างนั้นใสอย่างนี้ไม่มี เพราะแก้วครอบก็เป็นสมมุติอันหนึ่ง เวลาเปิด เปิดออกหมด ดวงไฟก็ไม่มี ดวงไฟที่เป็นต้นเหตุแห่งการแสดงสีแสงออกมานั้นก็พังไปด้วยกัน เพราะอันนี้ก็เป็นสมมุติ นั่นเห็นไหมที่นี่

    ทีนี้ความสว่างนอกสมมุติเป็นหลักธรรมชาติมีดั้งเดิมของจิตดวงนี้ เป็นแต่เพียงว่าสิ่งเหล่านี้ครอบไว้ ๆ จนกระทั่งถึงดวงสว่างก็เป็นสิ่งที่ครอบเอาไว้เสีย แก้วครอบก็เป็นสิ่งที่ครอบใจดวงนั้นเสีย พังออกหมดแล้วไม่มีเหลือ นี่เรียกว่าสมมุติหมดโดยประการทั้งปวง นั่นท่านให้ชื่อว่าวิมุตติ เอาทีนี้จะกำหนดยังไงไม่ได้เลย คำนวณคำนึงไม่ได้แต่ไม่สงสัย นั่นชัดเจน นี่ละจิตที่ว่าเปิดเต็มเหนี่ยวแล้วเป็นอย่างนั้น นี่ที่ว่ารู้จริงเป็นอย่างนี้ ที่รู้ไป ๆ ไม่มีอะไรสงสัย ๆ เลยนะ นี่ความรู้จริง เหมือนไฟได้เชื้อลุกลามไปหมดรู้ไปหมดเห็นไปหมดอย่างนี้นะ นี่ละธรรมพระพุทธเจ้าเลิศเลอขนาดไหน พวกเรายังมากอดคัมภีร์เป็นหนอนแทะกระดาษ มิหนำซ้ำยังเห็นคัมภีร์ใบลานเป็นของครึของล้าสมัย เป็นตุ๊กตาเครื่องเล่นของเด็ก เห็นขี้หมูราขี้หมาแห้งเป็นของดิบของดี พากันขยี้ขยำคั้นอยู่ตลอดเวลา ครั้นผลที่ได้มาใครอยู่ที่ไหนมีแต่กองทุกข์ ๆ

    โลกอันนี้โลกตรงไหนน่ะที่ว่ามีความสุข อย่าเอามาอวดธรรมหนา ในโลกอันนี้คือโลกเรือนจำแห่งวัฏจักร สุขก็มีเพียงเหยื่อล่อเท่านั้นเอง ส่วนทุกข์มหันตทุกข์แสนสาหัส เหยื่อล่อมี เพราะฉะนั้นสัตวโลกจึงได้ปีนป่ายกันกับเหยื่อล่อ ๆ แล้วก็ไปเจอเอาแต่ทุกข์ ๆ ตลอดเวลา ไม่หาทางออกเสียด้วย ถ้าจะหาทางออก อันนี้ก็ดีนะ นั่นเหยื่อล่อมาแล้ว อันนี้ก็ดีนะ เหยื่อล่อมาแล้วพันกันไป ๆ ติดแต่เบ็ด ปลาปากไม่ว่างแหละเบ็ดเต็มปาก พวกนี้ดูซิมีเบ็ดไหมนี่ หลวงตาบัวนี้มันพอแล้วแหละเรื่องเบ็ดเกาะปาก กิเลสหลอกคน เวลาเราดูแล้วในสามแดนโลกธาตุนี้ เราจะเอาอะไรมาวัดว่าใครมีความสุขเหนือธรรมพระพุทธเจ้า แล้วเอามาอวดธรรมได้มีที่ไหน ไม่มีเลย เป็นแบบเดียวกันหมด มีแต่ความทุกข์ความร้อน

    จะพูดถึงเรื่องหยาบ ๆ เช่นมนุษย์เราอยู่ด้วยกัน นี่เอาหยาบ ๆ นะ บ้านเราไม่เจริญว่าบ้านเขาเจริญกว่าบ้านเรา เมืองเราไม่เจริญสู้เมืองเขาไม่ได้ไปเรื่อย ๆ นะ ต่อจากนั้นก็ประเทศเราประเทศเขาไม่เจริญ สู้ประเทศเขาไม่ได้ คนเราไม่เจริญสู้คนของเขาไม่ได้ เลยมีแต่สู้เขาไม่ได้ ๆ ครั้นไปดูเขาจริง ๆ เขาก็เป็นแบบเดียวกันนะ ไม่ได้มีใครมีความสุขต่างกัน ว่าพอใจแล้วที่เขามาชมเชยเราว่าเรามีความสุข เราไม่ได้มีความสุขเขาชมเชยเฉย ๆ เป็นลมปากความสำคัญต่าง ๆ หัวใจของเรามีแต่ไฟเผาอยู่นั้นมันเอาความสุขมาจากไหน หัวใจดวงนั้นคืออะไร คือกิเลสอยู่ในนั้น นั้นละกิเลสอยู่ตรงไหนไฟอยู่ตรงนั้น ๆ แล้วโลกอันนี้คือโลกของกิเลส ก็ต้องเป็นโลกของฟืนของไฟโดยตรง แล้วใครจะหาความสุขมาจากไหนไม่มี

    อย่าพากันบ้าตื่นข่าวไปนักหนานะ พออยู่พอกินพอเป็นพอไปก็ให้ทำกัน อย่าดีดอย่าดิ้นเกินเหตุเกินผล จะเอาฟืนเอาไฟมาเผาตัวเอง ใหญ่เท่าไรตามความสำคัญของตนและความสำคัญของผู้อื่นผู้ใดก็ตาม นั่นมันใหญ่ด้วยความสำคัญเพื่อจะส่งเสริมทิฐิมานะกล้าแข็งขึ้นโดยลำดับ แล้วโกยเอาฟืนเอาไฟมาเผาตัวเอง ผู้นั้นเป็นทุกข์มากกว่าเพื่อน เงินทองมีมากเท่าไรยิ่งโอ่อ่าฟู่ฟ่า นั้นแหละคือกองไฟ ยศถาบรรดาศักดิ์สูงเท่าไรมีบริษัทบริวารมากเท่าไร ๆ ยิ่งมีความลืมเนื้อลืมตัว นั้นคือกองไฟ ๆ เผาเข้าไป สุดท้ายสู้ตาสีตาสาอยู่ตามท้องนาไม่ได้นะความสุข พวกนี้พวกหาบหามกองทุกข์ทิฐิมานะความสำคัญมั่นหมายซึ่งเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้ตลอดเวลา แล้วโลกไหนที่มีความสุขหามาอวดธรรมบ้างซิน่ะ

    ธรรมท่านประกาศป้าง ๆ มา พระพุทธเจ้าพระองค์ใดมาตรัสรู้สอนธรรม สอนแบบเดียวกัน สอนจากบรมสุขด้วยกันหมด ไม่ได้สอนจากมหันตทุกข์นะพระพุทธเจ้าองค์ไหน พระสงฆ์สาวกอรหัตอรหันต์มีแต่บรมสุข ๆ มาสอนโลก นี่ธรรมที่ท่านครองความสุขเป็นผลที่ท่านได้จากการปฏิบัติธรรม แล้วความทุกข์ที่เราได้จากการวิ่งตามกิเลสมันมีแต่ฟืนแต่ไฟเผาไหม้ แล้วพวกไหนที่วิ่งตามกิเลสเอาผลของกิเลสมาแข่งธรรมพระพุทธเจ้ามีไหม ไม่เห็นมี มีแต่ฟืนแต่ไฟ ส่วนพระพุทธเจ้าไม่ว่าพระองค์ใดแบบเดียวกันหมด บรมสุข ๆ ให้พากันจำเอานะ วันนี้เอากิเลสกับธรรมไปอวดกันไปแข่งขันกัน ธรรมเป็นธรรมของพระพุทธเจ้า กิเลสเป็นของวัฏจักร เอาผลที่วัฏจักรพาดีดพาดิ้นนั้นมาแข่งความสุขแห่งธรรมของพระพุทธเจ้าใครจะเก่ง แล้ววันพรุ่งนี้มาอวดหลวงตาด้วยนะ ถ้าอวดยังไงแล้วหลวงตาจะเป็นคนคอยฟัง ถ้าวิ่งตามได้หลวงตาก็จะวิ่งตามนะ คนนี้มีความสุขมาก หลวงตาไม่มีหลวงตาจะขอสักหน่อย จะติดตามขอนะวันพรุ่งนี้ เอาละพอ

    เป็นยังไงเทศน์วันนี้ วันนี้มีธรรมมากนะ วันไหนก็มีแต่โลกยั้วเยี้ย ๆ วันนี้มีธรรมบ้าง ให้พากันนอนกอดกองกระดูกอยู่นี่อย่าพิจารณานะปัญญา นอนกอดกองกระดูกอยู่นี่ นี่กระดูกโยนลงในกระโถนตะกี้นี้ใครเอาไป เอามาให้พวกนี้ดูมันเหมือนกันไหมกับกระดูกในตัวของเรานั่น พิจารณาบ้างซิ นี่มีแต่กระดูกนี้อร่อยนะกระดูกนั้นอร่อย มันอะไรก็ไม่รู้

    [​IMG]
     
  3. xmen123

    xmen123 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    431
    ค่าพลัง:
    +152
    ขอ ขอบคุณ และโมทนาบุญ ด้วยครับ +++
     
  4. มาลาภรณ์

    มาลาภรณ์ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2011
    โพสต์:
    70
    ค่าพลัง:
    +22
    ขออนุโมทนา สาธุ สาธุ สาธุ
     
  5. เทพหิรัญ

    เทพหิรัญ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    84
    ค่าพลัง:
    +134
    ขออนุโมทนา สาธุ สาธุ สาธุ<!-- google_ad_section_end -->
     
  6. P.S._FabriNET

    P.S._FabriNET เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2010
    โพสต์:
    366
    ค่าพลัง:
    +803
    ขอบพระคุณเป็นอย่างสูง อนุโมทนาสาธุครับ
     
  7. สุโขสุขี

    สุโขสุขี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    914
    ค่าพลัง:
    +1,470
    อนุโมทนา สาธุๆ ครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...