วิธีทำทิพยสมบัติให้ถาวร

ในห้อง 'พระไตรปิฎก' ตั้งกระทู้โดย anand, 7 กันยายน 2009.

  1. anand

    anand เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,118
    ค่าพลัง:
    +641
    ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


    เรื่องนางลาชเทวธิดา

    พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภนางลาชเทวธิดา ด้วยพระธรรมเทศนานี้ว่า "ถ้าบุคคลพึงทำบุญไซร้" (ปุญฺญญฺเจ ปุริโส กยิรา) เป็นต้น. เรื่องเกิดขึ้นแล้วในเมืองราชคฤห์.

    หญิงถวายข้าวตอกแก่พระมหากัสสปะ

    ความพิสดารว่า ท่านพระมหากัสสปะอยู่ที่ปิปผลิคูหา เข้าฌานแล้ว ออกในวันที่ ๗ ตรวจดูที่เที่ยวไปเพื่อภิกษาด้วยทิพยจักษุ เห็นหญิงรักษานาข้าวสาลีคนหนึ่ง เด็ดรวงข้าวสาลีทำข้าวตอกอยู่ พิจารณาว่า "หญิงนี้มีศรัทธาหรือไม่หนอ" รู้ว่า "มีศรัทธา" ใคร่ครวญว่า "เธอจักอาจ เพื่อทำการสงเคราะห์แก่เราหรือไม่หนอ" รู้ว่า "กุลธิดาเป็นหญิงแกล้วกล้า จักทำการสงเคราะห์เรา ก็แลครั้นทำแล้ว จักได้สมบัติเป็นอันมาก" จึงครองจีวรถือบาตร ได้ยืนอยู่ที่ใกล้นาข้าวสาลี. กุลธิดาพอเห็นพระเถระก็มีจิตเลื่อมใส มีสรีระอันปีติ ๕ อย่างถูกต้องแล้วกล่าวว่า นิมนต์หยุดก่อน เจ้าข้า ถือข้าวตอกไปโดยเร็ว เกลี่ยลงในบาตรของพระเถระแล้ว ไหว้ด้วยเบญจางคประดิษฐ์* (คำว่า เบญจางคประดิษฐ์ แปลว่า ตั้งไว้เฉพาะซึ่งองค์ ๕ หมายความว่า ไหว้ได้องค์๕ คือ หน้าผาก๑ ฝ่ามื่อทั้ง๒ และเข่าทั้ง๒ จรดลงที่พื้น จึงรวมเป็น ๕) ได้ทำความปรารถนาว่า "ท่านเจ้าข้า ขอดิฉันพึงเป็นผู้มีส่วนแห่งธรรมที่ท่านเห็นแล้ว."

    จิตเลื่อมใสในทานไปเกิดในสวรรค์

    พระเถระได้ทำอนุโมทนาว่า "ความปรารถนาอย่างนั้น จงสำเร็จ" ฝ่ายนางไหว้พระเถระแล้ว พลางนึกถึงทานที่ตนถวายแล้วกลับไป. ก็ในหนทางที่นางเดินไป บนคันนามีงูพิษร้ายนอนอยู่ในรูแห่งหนึ่ง งูไม่อาจขบกัดแข้งพระเถระอันปกปิดด้วยผ้ากาสายะได้. นางพลางระลึกถึงทานกลับไปถึงที่นี้น งูเลื้อยออกจากรู กัดนางให้ล้มลง ณ ที่นั้นเอง นางมีจิตเลื่อมใสทำกาละแล้ว ไปเกิดในวิมานทองประมาณ ๓๐ โยชน์ ในภพดาวดึงส์ มีอัตภาพประมาณ ๓ คาวุต*(๑ คาวุต ๑ ยาวเท่ากับ ๑๐๐เส้น.) ประดับเครื่องอลังการทุกอย่าง เหมือนหลับแล้วตื่นขึ้น.

    วิธีทำทิพยสมบัติให้ถาวร

    นางนุ่งผ้าทิพย์ประมาณ ๑๒ ศอกผืนหนึ่ง ห่มผืนหนึ่ง แวดล้อมด้วยนางอัปสรตั้งพัน เพื่อประกาศบุรพกรรม จึงยืนอยู่ที่ประตูวิมานอันประดับด้วยขันทองคำ เต็มด้วยข้าวตอกทองคำห้อยระย้าอยู่ ตรวจดูสมบัติของตน ใคร่ครวญด้วยทิพยจักษุว่า "เราทำกรรมสิ่งไรหนอ จึงได้สมบัตินี้" ได้รู้ว่า "สมบัตินี้เราได้แล้ว เพราะผลแห่งข้าวตอกที่เราถวายพระผู้เป็นเจ้ามหากัสสปเถระ." นางคิดว่า "เราได้สมบัติเห็นปานนี้ เพราะกรรมนิดหน่อยอย่างนี้ บัดนี้เราไม่ควรไม่ประมาท เราจักทำวัตรปฏิบัติแก่พระผู้เป็นเจ้า ทำสมบัตินี้ให้เถาวร" จึงถือไม้กวาด และกระเช้าสำหรับเทมูลฝอยสำเร็จด้วยทองไปกวาดบริเวณของพระเถระ แล้วตั้งน้ำฉันน้ำใช้ไว้แต่เช้าตรู่. พระเถระเห็นเช่นนั้นสำคัญว่า จักเป็นวัตระที่พระเถระหนุ่งหรือสามเณรบางรูปทำ. แม้ในวันที่ ๒ นางก็ได้ทำอย่างนั้น. ฝ่ายพระเถระก็สำคัญเช่นนั้นเหมือนกัน. แต่ในวันที่ ๓ พระเถระได้ยินเสียงไม้กวาดของนางและเห็นแสงสว่างแห่งสรีระฉายเข้าไปทางช่องลูกดาล จึงเปิดประตู (ออกมา) ถามว่า "ใครนั่น กวาดอยู่?"

    นาง. ท่านเจ้าข้า ดิฉันเอง เป็นอุปัฏฐายิกาของท่าน ชื่อลาชเทวธิดา.
    พระเถระ. อันอุปัฏฐายิกาของเราผู้มีชื่ออย่างนี้ ดูเหมือนไม่มี.
    นาง. ท่านเจ้าข้า ดิฉันผู้รักษานาข้าวสาลี ถวายข้าวตอกแล้วมีจิตเลื่อมใสกำลังกลับไป ถูกงูกัดทำกาละแล้ว บังเกิดในเทวโลกชั้นดาวดึงส์ ท่านเจ้าข้า ดิฉันคิดว่า "สมบัตินี้เราได้เพราะอาศัยพระเป็นเจ้า แม้ในบัดนี้ เราจักทำวัตรปฏิบัติแก่ท่าน ทำสมบัติให้มั่นคงจึงได้มา."
    พระเถระ. ทั้งวานนี้ถึงวานซืนนี้ เจ้าคนเดียวกวาดที่นี่ เจ้าคนเดียวเข้าไปตั้งน้ำฉันน้ำใช้ไว้หรือ?
    นาง. อย่างนั้น เจ้าข้า.
    พระเถระ. จงหลีกไปเสีย นางเทวธิดา วัตรที่เจ้าทำแล้ว จงเป็นอันทำแล้ว ตั้งแต่นี้ไป เจ้าอย่ามาที่นี้(อีก).
    นาง. อย่าให้ดิฉันฉิบหายเสียเลย เจ้าข้า ขอพระผู้เป็นเจ้าจงให้ดิฉันทำวัตรแก่พระผู้เป็นเจ้า ทำสมบัติของดิฉันให้มั่นคงเถิด.
    พระเถระ. จงหลีกไป นางเทวธิดา เจ้าอย่าทำให้เราถูกพระธรรมกถึกทั้งหลาย นั่งจับพัดอันวิจิตรพึงกล่าวในอนาคตว่า ได้ยินว่านางเทวธิดาผู้หนึ่ง มาทำวัตรปฏิบัติ เข้าไปตั้งน้ำฉันน้ำใช้ เพื่อพระมหากัสสปเถระ แต่นี้ไป เจ้าอย่ามา ณ ที่นี้ จงกลับไปเสีย.
    นางจึงอ้อนวอนซ้ำๆ อีกว่า "ขอท่านอย่าให้ดิฉันฉิบหายเลยเจ้าข้า."
    พระเถระคิดว่า "นางเทวธิดานี้ไม่เชื่อฟังถ้อยคำของเรา" จึงดีดมือด้วยกล่าวว่า "เจ้าไม่รู้กจักประมาณของเจ้า."
    นางไม่อาจดำรงอยู่ในที่นั้นได้เหาะขึ้นในอากาศ ประคองอัญชลีได้ยืนร้องไห้ (คร่ำครวญอยู่) ในอากาศว่า "ท่านเจ้าข้า อย่าให้สมบัติที่ดิฉันได้แล้วฉิบหายเสียเลย จงให้เพื่อทำให้มั่นคงเถิด."

    บุญให้เกิดสุขในภพทั้งสอง

    พระศาสดาประทับนั่งในพระคันธกุฎีนั่นเอง ทรงสดับเสียงนางเทวธิดานั้นร้องไห้ ทรงแผ่พระรัศมีดุจประทับนั่งตรัสอยู่ในที่เฉพาะหน้านางเทวธิดา ตรัสว่า

    "เทวธิดา การทำความสังวรนั่นแล เป็นธุระของกัสสปะผู้บุตรของเรา แต่การกำหนดว่า นี้เป็นประโยชน์ของเราแล้วมุ่งกระทำแต่บุญ ย่อมเป็นธุระของผู้มีความต้องการด้วยบุญ ด้วยว่า การทำบุญเป็นเหตุให้เกิดสุขอย่างเดียว ทั้งในภพนี้ทั้งในภพหน้า"
    ดังนี้ เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม จึงตรัสพระคาถานี้ว่า
    "ถ้าบุรุษพึงทำบุญไซร้ พึงทำบุญนั้นบ่อยๆ พึงทำความพอใจในบุญนั้น เพราะว่าความสั่งสมบุญ ทำให้เกิดสุข"
    เนื้อความแห่งพระคาถานั้นว่า ถ้าบุคคลพึงทำบุญไซร้ ไม่พึงงดเว้นเสียด้วยเข้าใจว่า เราทำบุญครั้งเดียวแล้ว พอล่ะ ด้วยบุญเพียงเท่านี้ พึงทำบ่อยๆ แม้ในขณทำบุญนั้น พึงทำความพอใจ ด้วยความขอบใจ ได้แก่ความอุตสาหะในบุญนั่นแหละ.

    ถามว่า "เพราะเหตุไร?"
    วิสัชนาว่า เพราะว่าความสั่งสมบุญให้เกิดสุข อธิบายว่า เพราะว่าความสั่งสมคือความพอกพูนบุญ ชื่อว่าให้เกิดสุข เพราะเป็นเหตุนำความสุขมาให้ในโลกนี้และโลกหน้า.

    ในกาลจบเทศนา นางเทวธิดานั้น ยืนอยู่ในที่สุดทาง ๔๕ โยชน์นั่นแล ได้บรรลุโสดาปัตตผลแล้ว ดังนี้แล.

    เรื่องนางลาชเทวธิดา จบ

    พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล
    พระสุตตันตปิฎก
    ธัมมปทัฏฐกถา อรรถกถาขุททกนิกาย
    คาถาธรรมบท
    เล่ม ๓
    หน้า ๑๑-๑๔
    ฉบับมหามกุฎราชวิทยาลัย

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 กันยายน 2009

แชร์หน้านี้

Loading...