วิชาถอดกายทิพย์ มโนยิทธิ แยกรูปแยกนาม ที่แท้คือเรื่องเดียวกันใช่มั้ยครับ

ในห้อง 'ฝากคำถามถึงหลวงพ่อเล็ก' ตั้งกระทู้โดย Tboon, 13 สิงหาคม 2011.

  1. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    กราบนมัสการพระอาจารย์ ผมมีคำถามดังนี้ครับ

    1. ผมเกิดความเข้าใจขึ้นมาว่า การใช้กำลังใจตัดความพึงพอใจในร่างกาย แล้วให้จิตจับอารมณ์พระนิพพานไว้ ที่แท้คือการฝึกแยกรูปแยกนามแบบหนึ่งนั่นเอง เนื่องจากกายนี้เป็นสมมุติ เป็นโลกียะ เิกิดขึ้นมาด้วยแรงกรรม ต้องอาศัยปัจจัย 4 เพื่อให้สามารถดำรงขันธ์อยู่ได้ จิตเมื่อยึดมั่นถือมั่นในกาย จึงติดในสมมุติ เป็นโลกียจิต หากเราสามารถละความพอใจในกายได้ในคราใด จิตครานั้นก็จะพ้นสมมุติได้ (แม้เป็นเพียงชั่วคราว) การละความพอใจในกายนั้น เ่ท่าที่สังเกตได้ มีฝึกกันอยู่ 2 แบบ คือ

    แบบที่ 1 ผลักไสกาย รังเกียจกาย เช่นนั้นย่อมไม่พ้นสมมุติไปได้ เริ่มฝึกใหม่ ๆ จะเป็นกันแบบนี้เสียมาก แต่ก็ไม่ผิด ถ้าเริ่มมีปัญญาจะพัฒนาไปสู่แบบที่ 2

    แบบที่ 2 ละเพราะความเข้าใจในความเป็นไปของกาย คลายความหลงในกายแล้วปล่อยวางกายได้ แบบนี่จิตจึงพ้นสมมุติได้จริง แต่จะให้จิตพ้นสมมุติอย่างถาวรนั้นยังไม่ได้เสียทีเดียว ต้องเป็นอีกระดับหนึ่งคือ เมื่อจิตเกิดปัญหารู้เห็นตามความเป็นจริงในสังขารทั้งที่เป็นส่วนรูปธรรมและนามธรรมได้แล้ว จิตจึงจะก้าวไปสู่ระดับที่เรียกว่า โลกุตตรจิต โลกุตตระปัญญาได้อย่างแท้จริง

    ดังนั้นทางที่ปฏิบัติในขั้นตอนแรกที่พระอาจารย์สอน ผมจึงคาดเดาว่า พระอาจารย์สอนให้ละความพอใจในร่างกายเพื่อให้จิตพ้นสมมุติให้ได้ และให้ทรงอารมณ์ใจเช่นนั้นไว้ก่อน การที่จะทรงอารมณ์ใจเช่นนั้นไว้ได้ ก็คือต้องอาศัยการมีศีลบริสุทธิ์ เคารพในพระรัตนตรัย คิดถึงความตายเป็นอารมณ์ ฯลฯ หรือก็คือการทรงอารมณ์ใจอย่างพระโสดาบันนั่นเอง เมื่อทรงได้เช่นนี้บ่อย ๆ แล้ว รู้จักเพียรละบาป บำเพ็ญบุญ หมั่นชำระจิตให้ผ่องใสเป็นประจำแล้ว รู้จักสังเกตศึกษาและทำความเข้าใจการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป และการหลงในสังขารความปรุงแต่งทั้งปวงได้ตามความเป็นจริง ปัญญาจะเกิดขึ้นและทรงตัวได้อย่างถาวร จิตพัฒนาไปสู่โลกุตตระจิต โลกุตตระปัญญาได้จริง ความเข้าใจของผมอย่างนี้ถูกต้องหรือไม่ครับ

    2. ครูบาอาจารย์ของผมท่านเคยสอนผมว่า ผู้ที่จะสำเร็จมรรคผลนิพพานได้ จะต้องถอดกายทิพย์ให้ได้ สมัยก่อนผมก็ไม่เข้าใจว่า ทำไมต้องถอดกายทิพย์ได้ เพราะเท่าที่เคยเห็นเคยเข้่าใจ ก็คิดเอาเองว่าท่านสอนถอดกายทิพย์ก็เพียงเพื่อจะได้สงเคราะห์คนได้ตามสมควรเท่านั้น แล้วก็เฝ้าถามผู้ถอดกายทิพย์ได้่ว่าจะมีทางพัฒนาสติปัญญาไปได้อย่างไร ก็หาผู้ตอบที่จะทำให้เข้าใจไม่ได้ ได้แต่ก็เก็บความสงสัยนั้นเอาไว้นานนับสิบปี

    ต่อมาภายหลัง ได้พบครูบาอาจารย์รูปหนึ่งซึ่งมีแนวทางการปฏิบัติที่แตกต่างออกไปจากที่เคยฝึกมา ท่านสอนเรื่องการดับการควบคุมจิต สอนให้เจริญสติให้ต่อเนื่อง จิตเกิดให้ดับ ความคิดจรให้ตามดู สติรู้ตัวให้ต่อเนื่อง และทำความเข้าใจ ฝึกแยกจิตจากความคิด หรือที่เรียกว่า แยกรูปแยกนาม ท่านสอนว่าต้องแยกรูปแยกนามให้ได้ก่อน ถึงจะเจริญวิปัสสนาได้จริง ผมก็ฝึกตามคำสอนท่านมาด้วยมีพื้นฐานมาบ้างจากอดีต จึงทำให้พอเข้าใจได้ และมีคำ ๆ หนึ่งที่ครูบาอาจารย์ผมท่านสอนไว้คือ เมื่อแยกรูปแยกนามได้แล้ว ก็ให้รู้จักฝึกฝนสติเอาไปใช้ ให้เร็วให้ไว ให้ดับกิเลสที่จิต ให้รู้จักประคบประหงมกายทิพย์ ผมจึงเริ่มเห็นความเชื่อมโยงกันของคำว่ากายทิพย์ของครูบาอาจารย์ทั้งสองรูป เริ่มเข้าใจอะไร ๆ มากขึ้นแล้ว

    วันหนึ่งผมก็พบความเชื่อมโยงกันทั้งหมดของครูบาอาจารย์ทั้ง 3 ท่าน ทั้งของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ของหลวงปู่ที่ผมเคารพยิ่ง และของหลวงพ่อที่ผมนับถือที่สุด เหมือนวิธีการจะต่างกัน แต่จริง ๆ แล้ว มันมีอะไรที่เหมือนกันพอสรุปได้ดังนี้คือ ครูบาอาจารย์ทั้ง 3 ท่านจะสอนให้เจริญสมถะก่อน เพื่อให้จิตเป็นหนึ่ง คือไม่หวั่นไหวต่ออารมณ์ที่มากระทบง่าย ๆ โดยท่านหนึ่งสอนมโนยิทธิ ให้เอาจิตเกาะพระนิพพาน (จะทำอย่างไรให้เกิดอุปสมานุสติได้ก็ดังที่เราท่านทั้งหลายเห็นกันแล้วในเว็บนี้) ท่านหนึ่งสอนให้เจริญอานาปานสติ กำหนดลมหายใจเข้าพุท-โธออก ให้จิตเป็นหนึ่งเอกัคคตารมณ์ และถ้าถึงขั้นจิตสว่างแล้ว ท่านจะสอนวิชาถอดกายทิพย์ให้ถ้ามีวาสนา และท่านหนึ่งสอนให้มีสติ ให้หยุดคิด ให้สร้างสติและกำลังจิตขึ้นมาให้ได้ สอนแบบละกิเลสกันตรง ๆ ตรงไปตรงมา ซึ่งทั้ง 3 ท่านล้วนสอนมุ่งผลเหมือนกันคือ ในระดับต้นคือสอนเพื่อให้จิตนิ่งจิตสงบ และพ้นสมมุติในเบื้องต้นก่อน (สอนให้รู้จักว่าจิตพ้นสมมุติเป็นอย่างไร แต่ไม่ได้ให้หนีสมมุติ) จิตที่สามารถพัฒนาไปสู่การพ้นสมมุติได้แล้ว จึงจะเป็นจิตที่ควรแก่การงานเพื่อพัฒนาไปสู่โลกุตตระจิตโลกุตตระปัญญาต่อไป ซึ่งขั้นต่อไปนั้นอยู่ที่วาสนา ปัญญาบารมีของแต่ละบุคคลที่สั่งสมมา เมื่อสามารถเห็นและเข้าใจตามความเป็นจริงได้แล้ว ปัญญา่ย่อมเกิด ความสงสัยก็จะหมดไป ทำให้สามารถละวางได้ตามลำดับจนถึงที่สุด อันนี้ผมเข้าใจถูกต้องมั้ยครับ

    3. เมื่อเรารู้ธรรมชาติของกาย รู้สภาพทุกข์ของกายตามความเป็นจริงได้ รู้ว่ามันเป็นก้อนสมมุติ เป็นก้อนทุกข์ที่ยังต้องเนื่องกันอยู่กับสมมุติอื่น ๆ คือยังต้องกินอยู่ขับถ่ายมีสังคม เราก็เริ่มละวางความยึดมั่นถือมั่นในกายได้ เริ่มหมดความสำคัญมั่นหมายเป็นจริงเป็นจังในกายได้ จิตของเราก็จะเป็นอิสระจากมายาพวกนี้ได้ ยิ่งละวางได้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นอิสระมากขึ้นเท่านั้น ผลพลอยได้อื่น ๆ ก็จะตามมาเอง เช่น ความแจ่มใสทางทิพยจักขุเป็นต้น หรือ การทำสมาธิก็จะมีความคล่องแคล่วคล่องตัวมากขึ้น ในที่สุดจิตกับกายก็ต่างอันต่างอยู่ แต่ก็เอื้ออาศัยกันไปตามหน้าที่ นั่นก็คือการแยกรูปแยกนามโดยสมบูรณ์ หรือก็คือการถอดกายทิพย์ หรือการแยกจิตออกจากกาย ใช่หรือเปล่าครับ

    กราบเรียนถามพระอาจารย์มา ก็ไม่ได้มีสิ่งใดมากไปกว่า ด้วยเพราะได้พบเห็นและเกิดความเข้าใจความเชื่อมโยงกันของการปฏิบัติดังนี้ ซึ่งแต่เดิมตนเองยังเคยรู้สึกไม่ค่อยมั่นใจในแนวทางการปฏิบัติของหลวงพ่อพระราชพรหมยานบ้าง หรือหลวงปู่บ้าง แต่ก็แค่เก็บความสงสัยไว้ จนวันหนึ่งเมื่อปัญญามันเกิดเริ่มหายโง่ขึ้นมาบ้าง จึงขอทวนสอบในสิ่งที่ตนเองเข้าใจอีกครั้งครับ เผื่อว่าผมจะโง่ซ้ำซาก จะได้ฉลาดมากขึ้น และยังเชื่อว่า น่าจะเป็นประโยชน์กับท่านอื่น ๆ ที่ผ่านมาได้อ่านบ้างครับ

    จึงกราบเรียนมาด้วยความเคารพอย่างสูง

    ผู้ฝักใฝ่ในความพ้นทุกข์
     
  2. PrinceCharming

    PrinceCharming เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    158
    ค่าพลัง:
    +773
    จะถามอะไรเยอะแยะละครับ ปฏิบัติเอาแค่ตาย ถ้ามันไม่ดีก็ให้มันตายไป ทำจริงเดี๋ยวก็ได้เจอของจริงในพระพุทธศาสนาเอง ไม่ต้องไปถามใครมากนัก

    การศึกษาตำราความรู้เยอะแยะบางทีก็ขัดขวางการปฏิบัติและผลที่จะพึงได้รับอย่างมาก เพราะมัวแต่คิด ไม่ทำจริง เอาสักอย่างที่มั่นใจ ชอบใจ แล้วทำอย่างนั้นไปจนกว่าจะได้ผลก่อน ติดขัดอะไรในการปฏิบัติค่อยมาถาม

    ปล.พอได้อ่านที่พิมพ์มาก็อยากทราบว่าตกลงจะมากราบเรียนถามท่าน หรือจะมาอวดภูมิความรู้ตัวเองกันแน่ ก็แค่ความเห็นส่วนตัวน่ะครับ เพราะวิธีการถามมันไม่ใช่ของผู้ที่ปฏิบัติ มันเป็นวิธีการถามคล้ายๆของคนที่ไม่ปฏิบัติ แต่อยากแสดงให้คนอื่นรู้ว่าตัวเองปฏิบัติ ยังไงยังงั้น คนปฏิบัติจริงเขาไม่"เยอะ"หรอกครับ ^^
     
  3. NCK2046

    NCK2046 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    628
    ค่าพลัง:
    +3,793
    เรียนคุณ Tboon

    จากประสบการณ์ที่ผ่านมาของดิฉัน เป็นไปตามนั้นแหละค่ะ
     
  4. อำนวย. ส

    อำนวย. ส สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    23
    ค่าพลัง:
    +6
    การปฎิบัติอย่าไปตั้งสมมุติไว้ก่อนที่จะลงมือปฎิบัติ จะทำให้เราหลงกับสมมุติที่เราตั้งไว้ ให้พิจารณาอารมณ์ที่เกิดขึ้นในปัจุบันเท่านั้นเอง สุดท้ายมันก็อยู่ในกฎไตรลักษณ์ทั้งหมด เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป
     
  5. ยศวดี

    ยศวดี ยายแก่แล้ว*_*

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2010
    โพสต์:
    4,255
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +5,796
    อนุโมทนาท่านผู้ปฎิบัติคะ ได้กำลังใจและเป็นกำลังใจให้นะคะ
     
  6. deelek

    deelek เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    6,696
    ค่าพลัง:
    +16,255
    อนุโมทนา สาธุ สาธุ สาธุ
    ในบุญกุศลทุกอย่างด้วยครับ
    นิพพานัง ปัจจโย โหตุ
     

แชร์หน้านี้

Loading...