ร่วมสร้างเมรุถวายเพลิงสรีระหลวงปู่จันทร์แรม เขมสิริ ศิษย์รุ่นสุดท้ายหลวงปู่มั่น

ในห้อง 'พระพุทธรูป - วิหารทาน - สิ่งก่อสร้าง' ตั้งกระทู้โดย Pra Karan, 4 ธันวาคม 2011.

  1. Pra Karan

    Pra Karan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    116
    ค่าพลัง:
    +132
    เนื่องด้วย พระครูเขมคุณโสภณ (หลวงปู่จันทร์แรม เขมสิริ) อดีตเจ้าอาวาสวัดระหาน (เกาะแก้วธุดงคสถาน) ได้ละสังขารด้วยอาการสงบที่โรงพยาบาลบุรีรัมย์ เมื่อวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๕๒ และได้ตั้งศพบำเพ็ญกุศล ณ พระมหาธาตุรัตนเจดีย์ศรีบุรีรัมย์ วัดระหาน (เกาะแก้วธุดงคสถาน) ต.บ้านด่าน อ.บ้านด่าน จ.บุรีรัมย์ ซึ่งก่อนที่องค์หลวงปู่จะละสังขารท่านได้เคยสั่งกับลูกศิษย์พระ-เณรอุปฐาก ว่าท่านจะสร้างเมรุของท่านเหมือนเมรุหลวงปู่เหรียญ วรลาโภ จ.หนองคาย เมื่อท่านได้ละสังขาร พระอาจารย์สาธิต ชยสาธิตโต วัดป่าบ้านตาด ได้เขียนแบบเมรุถวาย ซึ่งรูปทรงคล้ายกับเมรุหลวงปู่เหรียญ
    ซึ่งปัจจุบัน ได้ดำเนินการก่อสร้างแล้วแต่ยังไม่แล้วเสร็จ จึงขอข่าวบุญมายังลูกศิษย์ลูกหาขององค์หลวงปู่ เพื่อร่วมสร้างเมรุขององค์หลวงปู่ให้แล้วเสร็จต่อไป

    โอนเงินผ่านทางธนาคาร
    ธนาคาร ออมสิน
    สาขา บุรีรัมย์
    ชื่อบัญชี ทุนสร้างฌาปนสถานหลวงปู่จันทร์แรม เขมสิริ
    เลขที่บัญชี 020007791450

    ขออนุโมทนากับทุกท่านมา ณ ที่นี้ด้วย


    ขอเชิญพทธศาสนิกชนทุกท่าน
    ร่วมงานบำเพ็ญกุศลวันคล้ายวันละสังขาร ปีที่ ๓
    พระครูเขมคุณโสภณ(หลวงปู่จันทร์แรม เขมสิริ)
    ณ วัดระหาน (เกาะแก้วธุดงคสถาน) อ.บ้านด่าน จ.บุรีรัมย์
    วันที่ ๘-๙ ธันวาคม ๒๕๕๕

    กำหนดการ
    วันเสาร์ที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๕๕
    เวลา ๑๖.๐๐ น. – พิธีบวชเนกขัมมะ รับฟังโอวาทธรรม
    จาก พระประสาธน์สารคุณ(เจ้าคณะจ.บุรีรัมย์(ธ)/รักษาการเจ้าอาวาส)
    เวลา ๑๙.๐๐ น. – คณะสงฆ์-ญาติโยมขอขมาสรีระสังขารหลวงปู่-เปลี่ยนผ้าห่มสรีระสังขาร
    – พระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ ๑๐ รูป สวดพระพุทธมนต์
    – รับฟังพระธรรมเทศนา ๑ กัณฑ์
    วันอาทิตย์ที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๕๕
    เวลา ๐๔.๐๐ น. – ทำวัตรเช้า รับฟังพระธรรมเทศนา ๑ กัณฑ์
    เวลา ๐๗.๓๐ น. – พระสงฆ์ ๑๐๐ รูป ออกรับบิณฑบาต บริเวณลานหน้าพระมหาธาตุฯ
    – ถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์ เป็นเสร็จพิธี

    ประธานฝ่ายสงฆ์ : พระราชปัญญาวิสารัท(หลวงปู่เหลือง ฉันทาคโม)
    ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดบุรีรัมย์(ธรรมยุต)
    ประธานจัดงาน : พระประสาธน์สารคุณ (หลวงพ่ออาจ อาวุธปัญโญ)
    เจ้าคณะจังหวัดบุรีรัมย์(ธรรมยุต)/รักษาการเจ้าอาวาสวัดระหาน

    ติดต่อสอบถามราละเอียด – ติดต่อจัดตั้งโรงทานอาหาร
    โทร. 0833143517 , 0892339735
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 พฤศจิกายน 2012
  2. Pra Karan

    Pra Karan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    116
    ค่าพลัง:
    +132
    ความคืบการก่อสร้างเมื่อ 19ตุลาคม2555

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 พฤศจิกายน 2012
  3. Pra Karan

    Pra Karan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    116
    ค่าพลัง:
    +132
    [​IMG]

    เชิญร่วมบวชเนกขัมมะปฏิบัติธรรมประจำปี2555
    อาจาริยบูชาหลวงปู่จันทร์แรม เขมสิริ
    รับฟังการอบรมธรรมะจากครูบาอาจารย์สายวัดป่า
    ฝึกการเจริญสมาธิ ภาวนา
    14-17 เมษายน 2555
    ณ วัดระหาน(เกาะแก้วธุดงคสถาน) อ.บ้านด่าน จ.บุรีรัมย์
    *สิ่งที่ต้องเตรียมมาด้วย 1.บัตรประจำตัวประชาชน 2.ชุดขาว 3.ผ่าห่ม 4.เต็นท์นอน(ถ้ามี)
    ร่วมบุญค่าอาหาร น้ำปานะ นักบวชบวชเนกขัมมะ
    บริจาคผ่าน ธนาคารออมสิน สาขาบุรีรัมย์
    ชื่อบัญชี วัดระหาน เลขที่บัญชี 020004818298
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มกราคม 2012
  4. Pra Karan

    Pra Karan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    116
    ค่าพลัง:
    +132
    [​IMG]

    หลวงปู่จันทร์แรม เขมสิริ
    พระผู้มากล้นด้วยเมตตาธรรม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มกราคม 2012
  5. Pra Karan

    Pra Karan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    116
    ค่าพลัง:
    +132
    เพจประชาสัมพันธ์การเตรียมงานพระราชทานเพลิงหลวงปู่จันทร์ เขมสิริ จัดทำโดยวัดระหาน

    https://www.facebook.com/luangpujanram


    [​IMG]
     
  6. Pra Karan

    Pra Karan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    116
    ค่าพลัง:
    +132
    พระประสาธน์สารคุณ (หลวงพ่ออาจ อาวุธปัญโญ)
    เจ้าคณะจังหวัดบุรีรัมย์(ธ) รักษาการเจ้าอาวาสวัดระหาน(เกาะแก้วธุดงคสถาน)
    ประธานดำเนินการเตรียมงานถวายเพลิงสรีระสังขาร หลวงปู่จันทร์แรม เขมสิริ

    [​IMG]
     
  7. Pra Karan

    Pra Karan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    116
    ค่าพลัง:
    +132
    โอนเงินสร้างเมรุถวายเพลิงหลวงปู่ผ่านทางธนาคาร
    ธนาคาร ออมสิน
    สาขา บุรีรัมย์
    ชื่อบัญชี ทุนสร้างฌาปนสถานหลวงปู่จันทร์แรม เขมสิริ
    เลขที่บัญชี 020007791450
     
  8. Pra Karan

    Pra Karan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    116
    ค่าพลัง:
    +132
    รวมรูปภาพหลวงปู่


    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  9. Pra Karan

    Pra Karan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    116
    ค่าพลัง:
    +132
    ท่านที่ได้โอนเงินร่วมทำบุญสร้างเมรุหลวงปู่จันทร์แรม เขมสิริ โปรดโพสบนบอร์ดนี้ด้วย
    เพื่อที่จะได้บันทึกรายชื่อทำบัญชีของวัดต่อไป
     
  10. Pra Karan

    Pra Karan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    116
    ค่าพลัง:
    +132
    ประวัติสังเขป พระครูเขมคุณโสภณ (หลวงปู่จันทร์แรม เขมสิริ)

    "หลวงปู่จันทร์แรม เขมสิริ" หรือพระครูเขมคุณโสภณ วัดเกาะแก้วธุดงคสถาน อ.บ้านด่าน จ.บุรีรัมย์ พระวิปัสสนาจารย์สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ที่ได้รับความเลื่อมใสศรัทธาจากสาธุชนเป็นอย่างมาก
    อัตโนประวัติหลวงปู่จันทร์แรม มีนามเดิมว่า จันทร์ ร้อยตะคุ เกิดเมื่อวันจันทร์ที่ 17 เมษายน 2465 ที่บ้านปะหลาน ต.ปะหลาน อ.พยัคฆภูมิพิสัย จ.มหาสารคาม เป็นบุตรของนายอ่อนสีและนางแก้ว ร้อยตะคุ ท่านมีพี่น้องรวมทั้งสิ้น ๘ คน ประกอบด้วย
    ๑.นายคำมี
    ๒.นางมาลี
    ๓.นายมะลิ
    ๔.นางมะดี
    ๕.พระครูเขมคุณโสภณ (หลวงปู่จันทร์แรม เขมสิริ)
    ๖.นางหนู
    ๗.นายสุข
    ๘.นายแดง
    เดิมทีนั้น ครอบครัวของหลวงปู่ตั้งแต่ครั้งบรรพบุรุษ มีถิ่นฐานทำกินอยู่ที่บ้านตะคุ ตำบลตะคุ อำเภอปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา ประกอบอาชีพเป็นพ่อค้า ซึ่งตามภาษาอีสาน เรียกขานกันว่า “นายฮ้อย” อันเป็นที่มาของนามสกุลว่า ฮ้อยตะคุ (เรียกตามภาษาท้องถิ่นอีสาน) หรือร้อยตะคุ นั่นเอง ต่อมาโยมบิดาของท่านได้อพยพโยกย้ายครอบครัวไปทำมาหากินอยู่ที่บ้านปะหลาน อำเภอพยัคฆภูมิพิสัย จังหวัดมหาสารคาม ซึ่งหลวงปู่ได้ถือกำเนิด ณ หมู่บ้านแห่งนี้
    ต่อมาบิดาของท่าน ก็ได้โยกย้ายครอบครัวอีกครั้งหนึ่ง ไปทำมาหากิน ณ บ้านระหาร ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งวัดระหาน(เกาะแก้วธุดงคสถาน)ในปัจจุบันนี้ หลังจากที่ได้ไปสำรวจมาแล้วเห็นว่ามีชัยภูมิเหมาะสมแก่การตั้งถิ่งฐานบ้านใหม่ เพราะเป็นสถานที่อุดมสมบูรณ์ เหมาะแก่การเพาะปลูก จึงได้ตัดสินใจมาลงหลักปักฐาน ณ สถานที่แห่งนี้ การอพยพโยกย้ายก็เป็นไปด้วยความยากลำบาก เนื่องจากการเดินทางในสมัยนั้นต้องใช้เกวียนเป็นพาหนะ ต้องบุกบั่นฟันฝ่าป่าลึก เผชิญกับอันตรายจากไข้ป่าและสัตว์ร้ายทั้งหลาย
    ในวัยเด็ก หลวงปู่ท่านเล่าว่า
    “บิดามารดา เป็นชาวนาชาวไร่ ทำมาหาเลี้ยงชีพ ซึ่งชาวนาไทยเรานั้นถึงจะลำบากยากไร้แค่ไหนก็เป็นไปโดยธรรมชาติ ไม่รู้สึกทุกข์ร้อนจนเกินไป อันความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้านั้น ใคร ๆ ก็ไม่อยากได้รับ แต่ชาวนาจะหลบหลีกได้หรือ ก็ต้องอดทนจนกลายเป็นความเคยชินนั่นแหละ ก็อย่างญาติโยมชาวกรุงเทพฯ ที่ต้องตื่นนอนตั้งแต่ตี ๔ อาบน้ำแต่งตัว ทานกาแฟพอรองท้อง ก็ต้องขับรถออกไปทำงาน ถ้าออกสายรถก็ติด บางรายถึงกับต้องเอาเสบียงอาหารติดรถไปด้วย เมื่อไปถึงที่ทำงานก็ทานอาหารเสร็จแล้วแรงฟันอีกที เสร็จพิธีก็ทำงานกับหมู่คณะได้ ชาวนาก็เช่นเดียวกัน ทำงานเหนื่อยก็ต้องอาศัยร่มไม้ใบเงา หายเหนื่อยก็ทำงานต่อไป”

    ขณะที่ช่วยเหลือพ่อแม่ทำนาทำไร่นั้น จิตใจที่เคยคิดจะบวชก็ยังเรียกร้องอยู่ตลอดเวลา ตอนเช้าๆ คนบ้านนอกบ้านนาจะใส่บาตรพระสงฆ์ทุกวัน มองเห็นผ้าเหลืองที่พระท่านห่มคลุมเดินบิณฑบาตรทีไร จิตใจก็แช่มชื่นเบิกบาน นึกถึงภาพในอดีตอันประทับใจสมัยที่เคยเป็นเด็กวัด มโนภาพยังปรากฎชัด เกิดความปรารถนาอยากจะบวชมากยิ่งขึ้น
    พออายุได้ ๑๗ ปี บิดามารดาและญาติพี่น้องทุกคนต่างก็สนับสนุน อยากให้ลูกชายของท่านได้รับความรู้ในวิชาการสมัยใหม่บ้าง ซึ่งเห็นเพื่อนบ้านเขาบวชเรียนแล้วสอบนักธรรมได้ พอสึกออกมาก็ได้เป็นครู เป็นเสมียน รับเบี้ยหวัดเงินเดือนกันมาก เนื่องจากในสมัยนั้น การศึกษาส่วนใหญ่ยังจำกัดอยู่ในวัดเป็นสำคัญไม่แพร่หลายเหมือนในปัจจุบันนี้ หากใครมีอุปนิสัยฝักใฝ่ในเรื่องการศึกษาเล่าเรียน ก็จะต้องบวชเรียนกัน ท่านจึงได้บรรพชาเป็นสามเณร เมื่อปี พ.ศ.๒๔๘๒ ณ วัดสระทองนพคุณ อำเภอพยัคฆภูมิพิสัย จังหวัดมหาสารคาม มีพระครูจันทรศรีธรคุณ เจ้าคณะอำเภอพยัคฆภูมิพิสัย เป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงปู่ท่านได้กรุณาเล่าเหตุการณ์ตอนหนึ่งขณะเป็นสามเณรว่า
    “บวชตอนอายุได้ ๑๗ ปีเต็ม บวชเณรได้ ๓ พรรษา บวชแล้วก็ได้ศึกษาหาความรู้ทางด้านตัวอักษร เลขและพระปริยัติธรรม ตอนเด็กๆ นี่ขยันเรียน เรียนเก่งนะ นักธรรมนี่สอบได้ที่ ๑ ของจังหวัดเลยทีเดียว ตอนบวชเณรขอพูดตรงๆ ว่า บวชเพื่อจะศึกษาหาความรู้ใส่ตนเอง บวชปีแรกสอบได้นักธรรมชั้นตรี ปีต่อๆ มาสอบได้นักธรรมชั้นโท และนักธรรมชั้นเอกตามลำดับ การสอยสนามหลวงแต่ละครั้ง นับว่าได้คะแนนดีเยี่ยม คงเป็นเพราะมีความสนใจในเรื่องพระศาสนา จึงสามารถสอบได้ที่ ๑ ของจังหวัดตลอดมา”
    หลังจากที่สอบได้นักธรรมชั้นเอกแล้วขณะนั้นอายุได้ ๒๐ ปี เต็มจิตใจก็เริ่มเปลี่ยนแปลง เพราะความที่เริ่มจะเป็นหนุ่ม หลวงปู่เล่าว่า
    “เป็นหนุ่มแล้วอีกทั้งจะเข้าเกณฑ์ทหารด้วย ใจมันรักการเป็นทหารมาก แหม...ชอบใจจริงๆ นะ การเป็นทหารนี่ อยากรับใช้ชาติ สมเป็นชายชาตรี”
    จึงได้ลาสิกขาแล้วเดินทางกลับบ้านมาเกณฑ์ทหาร แต่จับได้ใบดำ จึงอยู่ช่วยงานทางบ้านปลูกพืชผักสวนครัว นำไปขายได้เงินเลี้ยงครอบครัวบ้างพอสมควร แบ่งเบาภาระพ่อแม่พี่น้องที่จากบ้านไปนาน
    สมัยนั้น หนุ่มๆ ทั้งหลาย ชอบเรียนคาถาอาคมไว้เพื่อป้องกันตัวเพราะมีความเชื่อในเรื่อง ไสยศาสตร์ว่า เป็นสิ่งที่ทำให้อยู่ยงคงกระพันแคล้วคลาดจากอุปัทวันตรายทั้งหลายได้ โยมแม่ซึ่งมีความศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงได้สั่งลูกชายให้ไปเรียนคาถาอาคมกับพระอาจารย์บุญหนัก เกสโว พระธุดงค์กรรมฐานศิษย์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต (ศิษย์ร่วมรุ่นกับหลวงปู่คำดี ปภาโส แห่งวัดถ้ำผาปู่ จังหวัดเลย) ซึ่งท่านได้จาริกธุดงค์ผ่านมาจำพรรษาในละแวกนั้นพอดี
    หลวงปู่ได้เล่าถึงความศรัทธาของโยมแม่ ที่มีต่อพระพุทธศาสนาว่า
    “โยมแม่นี่ เป็นคนที่มีความศรัทธาในพระสงฆ์เป็นอันมากท่านทำบุญทำทานในแต่ละครั้งนี่นะเหมือนกับจัดงาน เวลาไปทำบุญที่วัด ท่านไม่ทำปิ่นโตหรอก ท่านหาบไปทำบุญเลยทีเดียว ข้าวต่างหาก อาหารคาวต่างหาก ของหวานต่างหาก พระเณรที่มาอยู่ในป่าช้าไม่ต้องเดือดร้อยเลย เลี้ยงพระแล้วก็เลี้ยงคนที่มาทำบุญได้กินอิ่มหนำสำราญกันอีก ท่านเลื่อมใสพระกรรมฐานมากที่สุด เชื่อคำสอนท่านจะได้ไปสวรรค์ ท่านจึงรีบเร่งตักตวงเพื่อจะได้ไปสวรรค์ให้ได้”
    การเรียนคาถาอาคมนั้น จะต้องไปพักค้างแรมอยู่กับพระอาจารย์บุญหนัก ท่านมีโอกาสได้ใกล้ชิดครูบาอาจารย์ ถวายน้ำใช้น้ำฉัน ทำความสะอาดสถานที่อยู่อาศัย ตอนเช้าพระอาจารย์ออกบิณฑบาต หลวงปู่ซึ่งขณะนั้นเป็นปะขาว ก็เดินตามคอยรับอาหารบิณฑบาตที่ญาติโยมใส่มา ตอนเย็นท่านอาจารย์ก็เรียกมาสอนคาถาโดยให้ท่องตามที่ท่านบอก ซึ่งการให้ท่องคาถาอาคมนี้ จะเป็นอุบายการสอนของครูบาอาจารย์สมัยก่อน ที่ท่านฉลาดสอนภาวนาแก่ศิษย์ให้ถูกต้องตามลักษณะอุปนิสัย เพราะผู้ที่ชอบคาถาอาคมอยากให้คาถาอาคาขลังศักดิ์สิทธิ์ ก็จักขะมักเขม้นนั่งบริกรรมการบริกรรมนี้แหล่ะ เป็นเครื่องโน้มน้าวจิตใจไม่ให้ฟุ้งซ่านวอกแวก และได้สมาธิเกิดความสงบโดยไม่รู้ตัว เรียบเหมือนการให้รางวัลเครื่องล่อใจแก่เด็ก เพื่อให้เขามีกำลังใจในการทำงานนั่นเอง เพราะคนที่ชอบคาถาอาคม จะมีลักษณะนิสัยเป็นคนหนักไปทางโทสะจริตและศรัทธาจริต ถ้าให้นั่งบริกรรม พุทโธ อย่างเดียว หรือให้นั่งพิจารณากรรมฐานเลยทีเดียว จิตใจจะไม่มีหลักยึดเหนี่ยวพอจะทำให้เกิดเป็นสมาธิได้ ประกอบกับคนในสมัยนั้นมีความเชื่อในเรื่องคาถาอาคมเท่านั้น จึงจะเป็นที่ยอมรับนับถือว่ากล่าวสั่งสอนเขาได้ ถ้าไม่เอาอุบายเรื่องคาถาอาคมมาเป็นเครื่องล่อคงจะไม่มีใครสนใจมาปฏิบัติธรรมนั่งสมาธิสวดมนต์ภาวนา สมกับที่ท่านมุ่งหวังจะสอนเป็นแน่แท้ เพราะหลักธรรมในทางพระพุทธศาสนานั้น ถ้าเปรียบกับต้นไม้ซึ่งมีทั้งเปลือก แก่น และกระพี้ ธรรมะคำสอนก็ย่อมเหมาะกับบุคคลผู้มีอุปนิสัยหยาบ ละเอียดแตกต่างกันออกไป
    เช้าวันหนึ่ง ในขณะที่หลวงปู่ได้เดินตามพระอาจารย์บุญหนักเข้าบิณฑบาตในหมู่บ้าน พระอาจารย์บุญหนักชี้ให้ดูสาวๆ ที่กำลังเดินตามถนนผ่านมา ซึ่งแต่ละนางก็ล้วนแต่มีหน้าตาสวยสดงดงาม อรชอนอ้อนแอ้น ผิวขาวเรือนร่างช่างน่าทัสนาชี้ชวนให้หลงไหล ยิ่งนัก เพราะกำลังเจริญสู่วัยสาวทุกคน ยิ่งเสียงสนทนาพาทีของพวกเธอก็ยิ่งชวนเคลิบเคลิ้ม หวานไพเราะเสนาะโสต พอได้โอกาสเหมาะสม พระอาจารย์บุญหนักได้ถามหลวงปู่ขึ้นว่า
    “เซียงจันทร์ เห็นสาวๆ พวกนั้นไหม ?”
    หลวงปู่ตอบว่า
    “เห็นครับ”
    ท่านพระอาจารย์บุญหนักถามต่ออีกว่า
    “สวยไหม ?”
    หลวงปู่ตอบว่า
    “สวยครับ”
    หลังจากเดินไปได้อีกครู่หนึ่ง ก็มีคนแก่กลุ่มหนึ่งเดินผ่านมาซึ่งแต่ละคนช่างดูน่าเวทนาอาดูรยิ่งนัก บ้างก็ผมหงอก หนังเหี่ยวย่น หลังค่อม ดูการแต่งกายก็ซอมซ่อ เงอะๆ เงิ่นๆ กว่าจะเดินได้แต่ละเท้ากว่าจะก้าวได้แต่ละที ดูช่างลำบากเสียนี่กระไรเสียงคุยสนทนาก็แตกพร่านัยน์ตาก็มืดมัว พระอาจารย์บุญหนักท่านได้พูดให้ข้อคิดว่า
    “ ต่อไป พวกสาวๆ ที่ว่างามเหล่านั้น ก็จักเป็นอย่างนั้น ”
    พอท่านชี้ให้เห็นเฉกเช่นนั้นแล้ว ในใจหลวงปู่ได้แต่ตรึกตามอารมย์ที่บังเกิดเพราะเห็นความแตกต่างระหว่างคนสองวัย คนเราเกิดมาแล้ว ก็จักต้องแก่ ต้องเจ็บ และต้องตายด้วยกันทุกคน เรามัวแต่หลงวัย ลืมความจริงไปว่า เราเองก็จักต้องเป็นเช่นนั้นเหมือนกัน
    วันต่อมา ท่านพระอาจารย์บุญหนักชี้ไปที่เรือนหลังงานใหญ่โตหลังหนึ่งแล้ว ถามว่า “เรือนหลังนั้นสวยไหม” หลวงปู่ท่านก็ตอบไปตามความคิดว่า
    “สวยครับ”
    ต่อมาท่านพระอาจารย์บุญหนักก็ชี้ไปที่เรือนอีกหลังหนึ่ง ซึ่งเก่าแก่ทรุดโทรมจะพังมิพังแหล่ แล้วท่านก็พูดขึ้นว่า
    “ต่อไปอีกไม่นาน เรือนหลังงามหลังนั้น ก็จะทรุดโทรมเหมือนเรือนหลังนี้”
    ท่านพระอาจารย์บุญหนัก ท่านใช้วิธีการสอนด้วยการยกเอาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้ามาเป็นตัวอย่าง แล้วชี้ให้เห็นภาพความเป็นจริงของสิ่งทั้งปวง หลังจากที่ได้พิจารณา ท่านใช้วิธีการสอนด้วยการยกเอาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้ามาเป็นตัวอย่าง แล้วชี้ให้เห็นภาพความเป็นจริงของสิ่งทั้งปวง หลังจากที่ได้พิจารณาไตร่ตรองตามแล้ว ก็ทำให้จิตใจของหลวงปู่เกิดความสลดสังเวชเบื่อหน่ายในฆราวาสวิสัย เห็นแจ้งตามความเป็นจริงว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ ไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอน ไม่มีสิ่งใดจะเป็นของเราสักอย่างเดียว ที่เรามัวเห็นว่าสวยงาม ว่าเป็นของๆ เราอยู่นั้นก็เพราะเรามีอุปาทานยึดมั่นถือมั่นลุ่มหลงไปตากระแสแห่งอารมณ์ที่เปลี่ยนไปทุกขณะจิต ด้วยอิทธิพลของกิเลสแท้ๆ
    หลวงปู่ได้เล่าถึงพระอาจารย์บุญหนักว่า
    “ พระอาจารย์บุญหนักท่านเป็นชาวบ้านจังหวัดขอนแก่น เป็นศิษย์ของหลวงปู่เสาร์และหลวงปู่มั่น นี่แหละ ท่านเป็นพระรุ่นเดียวกับหลวงปู่คำดี ปภาโส เดินธุดงค์ และเคยมาฝึกจิตอบรมธรรมะที่วัดป่าสาลวันด้วยกัน โดยมีพระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม เป็นผู้ให้กรรมฐาน ท่านเดินธุดงค์มาจากอุดรธานี ขอนแก่น มาถึงนครราชสีมา ไปอยู่ถ้ำพระเวสถ้ำพระ และสถานที่อันวิเวกหลายๆ แห่ง ปฏิปทาของท่านงดงามมาก ตามแบบฉบับศิษย์หลวงปู่มั่นเลยทีเดียว
    ในเรื่องการสอน การอบรม ท่านพระอาจารย์บุญหนัก ท่านมีปฏิภาณโวหารในการสอนคนได้เก่งมาก อย่างเหตุการณ์ที่ปรากฎแก่ตนเอง พอได้ฟังครั้งแรกก็คิดในใจว่า เอ...เราไม่เคยได้ยินธรรมะแบบนี้มาก่อนเลย ท่านเริ่มพูดก็เสียดแทงหัวใจได้เผงๆ เลยไม่เหมือนที่เราเคยเห็นพระองค์อื่นๆ เลย ก็อ่านตามใบลานที่ช่างพิมพ์มาให้ เอาตามใบลานมาเทศน์มาสอนชาวบ้าน นี่ท่านไม่มีหนังสืออะไรทั้งนั้นนั่งหลับตาก็พูดๆ ออกมา มีอะไรที่ทำชั่วช้าอยู่ ท่านดักใจหงายท้องไปหลายราย
    ท่านสอนให้นั่งขัดสมาธิ ตั้งกายให้ตรง หลับตาแล้วบริกรรมภาวนาในใจพร้อมกับกำหนดลมหายใจเข้าว่า พุท กำหนดลมหายใจออกว่า โธ พุท โธ ๆ ๆ พอนั่งไป ๆ ฟังท่านพูดไปเรื่อย ๆ จิตใจก็เกิดความสงบอย่างบอกไม่ถูก เป็นความรู้สึกใหม่ที่ได้รับ พูดได้ว่าพระอาจารย์บุญหนักรูปนี้เป็นผู้มีพระคุณมาก ด้วยท่านเป็นผู้ให้กรรมฐานเป็นรูปแรก”
    วันหนึ่ง หลวงปู่ได้ไปถากไร่บริเวณใกล้ป่าช้า เพื่อเตรียมสถานที่สำหรับเพาะปลูก ถางไรอยู่จนเวลาใกล้เพล แม่ก็ยังไม่เอาข้าวมาส่ง เหนื่อยอ่อนล้ามาก ท่านเล่าว่า “ เหนื่อยมาก แทบจะขาดใจตาย” แล้วฉับพลัน สายตาก็เหมือนเห็นหัวกะโหลก และโครงกระดูกของคนตาย ที่ญาตินำเอาศพมาฝังบ้างเผาบ้างในป่าช้า กระจัดกระจายไปทั่ว พอมีไฟป่าเกิดไหม้ป่าขึ้น จึงทำให้มองเห็นโครงกระดูกเกลื่อนกลาดไปทั่วบริเวณนั้น เมื่อเห็นภาพเหล่านั้น ในใจมันฉุกคิดขึ้นมาว่า
    “ต่อไปข้างหน้าตัวเราเองก็ต้องเป็นเหมือนโครงกระดูกที่นอนเรียงรายกันอยู่อย่างนี้ เราเองก็ต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ไม่อาจพ้นไปได้ สรรพสัตว์ทุกตัวตนที่เกิดมาในโลกนี้ ก็ต้องเป็นอย่างนี้ คนเราทุกคนไม่มีใครพ้นจากความตายไปได้เลย แม้แต่คนเดียว ในใจขณะนั้นได้พิจารณาเห็นหลักสัจธรรม คือ อนิจจัง ไม่เที่ยงแท้แน่นอน ทุกขัง เป็นทุกข์ อนัตตา ไม่มีตัวตนมองเห็นไตรลักษณ์ ตามสภาพความเป็นจริง จิตใจก็ยอมรับความเป็นจริงนั้นเอง โดยอัตโนมัติ ไม่ว่าจะลืมตาหรือหลับตาก็ปรากฏแต่รูปโครงกระดูก โครงกระดูกลอยมาติดตามเป็นนิมิต ได้แต่พิจารณาถึงธรรมที่เกิดขึ้นในขณะนั้น จนกระทั่งแม่เอาอาหารมาส่ง และยิ่งเห็นจริงอย่างลึกซึ้งถึงใจว่า คนเราต้องตายแล้วตายเล่า เปลี่ยนภพเปลี่ยนชาติ ภพแล้วภพเล่า ชาติแล้วชาติเล่า ชีวิตนี้ช่างหาที่สิ้นสุดไม่ได้เลย”
    ก่อนที่หลวงปู่จะอุปสมบทนั้น ได้มีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อันเป็นสาเหตุทำให้เกิดความสลดสังเวชใจ เบื่อหน่ายในการครองชีวิตฆราวาสหลายครั้งหลายครา จนกระทั่งถึงกาลเวลาแห่งความแก่รอบของบารมีธรรม ท่านจึงตัดสินใจเป็นแน่วแน่ว่าจะบวช แต่ก่อนที่จะบวชจริงๆ ท่านได้ครุ่นคิดพิจารณาอย่างถี่ถ้วนว่าจะทำอย่างไรกับชีวิตดีหนอ เพราะตอนนี้เป็นเหมือนเดินมาสู่ทางสองแพร่ง ลังเลสงสัยว่าจะเลือกทางไหนดี จะออกบวชหรือจะอยู่ครองฆราวาสวิสัย ได้นั่งวาดมโนภาพในเรื่องฆราวาสวิสัยว่า
    “ถ้าหากเราแต่งงานมีภรรยา มีลูก ๓ คน มีบ้านมีที่นา มีสวน มีทุกสิ่งทุกอย่างตามที่ชาวโลกเขามีกัน แล้วสมมติว่า เราตายก่อนภรรยา ภรรยาเราเขาก็ต้องแต่งงานใหม่ เพราะยังสาวอยู่ บังเอิญไปได้นักเลง นักการพนัน ขี้เหล้าเมายา คนไม่ดีมาเป็นสามีใหม่ เขาก็ต้องมาล้างผลาญทรัพย์สมบัติที่เราหามาไว้จนหมดเกลี้ยง มิหนำซ้ำยังทิ้งลูกเราภรรยาเรา ให้อดอยากลำบากยากแค้น แล้วเราจะทำอย่างไร”
    เมื่อพิจารณาถึงเหตุนี้ ก็ตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวว่า
    “อย่างกระนั้นเลยกับชีวิตฆราวาส การแต่งงาน การสร้างโลก สร้างภพ สร้างชาติ ไม่มีที่สิ้นสุด เราจะเลือกเอาทางบวชดีกว่า”
    เมื่อตัดสินใจจะบวชก็คิดทบทวนอีกว่า “ถ้าบวช ก็จะเสียเวลาทำมาหากิน สมมติว่าเราบวช ๕ ปี ถ้าปลุกมะม่วงในระยะเวลาเท่านี้ ก็จะได้กินหมากกินผล หากสึกออกมาก็จะสร้างฐานะสร้างตัวไม่ทันคนอื่นเขา ถ้าบวชเราต้องไม่สึก ถ้าบวชแล้วสึก เราจะไม่บวช” ท่านได้ตั้งปณิธานไว้ในใจเช่นนี้ ฝ่ายบิดาของหลวงปู่ก็ถามลูกชายว่า
    “เซียง จะเอาอย่างไรกับชีวิต จะแต่งงานไหม?
    ก็ไม่ได้รับคำตอบจากลูกชายสักที จึงได้ยื่นคำขาดว่า
    “ถ้าไม่แต่งงาน ก็ต้องบวชและถ้าบวชก็ต้องอยู่ให้ได้เป็นพระครู อย่าสึกนะ”
    เมื่อบิดาเปิดทางให้ดังนี้ จึงได้ตัดสินใจเป็นครั้งสุดท้าย
    “จะบวช”
    และได้ตั้งสัจจะไว้ในใจแต่ไม่พูดให้ใครรู้ว่า
    “เอาล่ะ บ้านแห่งนี้ ฉันจะไม่กลับมาเหยียบในเพศเป็นฆราวาสอีก”
    เพราะพิจารณาเห็นว่า ชีวิตของฆราวาสแก่นสารสาระไม่ได้เลย มันขัดข้องวุ่นวานไปหมด เฉกเช่นคนอื่นๆ ได้อีกต่อไป แม้ว่าจะพยายามทำตามอย่างหนุ่มๆ รุ่นราวคราวเดียวกัน ถึงจะมีสาวๆ มาหลงรัก ก็ไม่ได้ทำให้จิตใจสนุกสนานเพลิดเพลินอย่างที่คนอื่นๆ เขาต้องการได้เลย กลับมามองเห็นว่า คนเราทุกคน ไม่ว่าจะเป็นพระราชามหากษัตริย์ผู้สูงศักดิ์ หรือยาจกผู้เข็ญใจ ก็ไม่มีใครหนีพ้นความตายไปได้ ไม่ว่าจะคิดอะไรก็มาลงที่ความตายทุกทีฯจนกระทั่งถึงกาลเวลาแห่งบารมีธรรม ท่านจึงตัดสินใจเป็นแน่วแน่ว่าจะบวช
    เมื่อตัดสินใจบวช โยมบิดามารดาได้นำไปฝากเป็นนาคที่วัดกระดึงทอง ซึ่งขณะนั้นมีพระอาจารย์แก้วเป็นผู้ปกครอง ในสมัยนั้น การบวชเป็นพระสายธรรมยุตเป็นเรื่องที่ยากลำบากพอสมควร จะต้องเดินทางไปเป็นแรมคืน เพราะในแถบจังหวัดสุรินทร์ บุรีรัมย์ วัดธรรมยุตที่มีพัทธสีมา สามารถให้การอุปสมบทได้ มีเพียงวัดเดียวเท่านั้นคือ วัดบูรพาราม อ.เมือง จ.สุรินทร์
    ท่านได้เข้าพิธีอุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดบูรพาราม อ.เมือง จ.สุรินทร์ เมื่อ วันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ.2488 โดยมี พระครูรัตนากรวิสุทธิ์ (หลวงปู่ดูลย์ อตุโล) เป็นพระอุปัชฌาย์, พระครูคุณสารสัมปัน (หลวงปู่โชติ คุณสัมปันโน) วัดวชิราลงกรณวราราม อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระมหาเปลี่ยน วัดป่าโยธาประสิทธ์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับนามฉายาว่า เขมสิริ
    ถึงแม้หลวงปู่จันทร์แรมจะไม่ได้อยู่อุปัฏฐากพระอุปัชฌาย์ในฐานะที่เป็นสัทธิวิการิก แต่ท่านก็ยึดถือปฏิปทาของพระอุปัชฌาย์เป็นแบบอย่างในการปฏิบัติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่ท่านเป็นพระที่พูดน้อย แต่เคร่งครัดในการปฏิบัติ ยึดมั่นในพระธรรมวินัยเป็นหลักตามแบบฉบับของหลวงปู่ดูลย์ สิ่งเหล่านี้ หลวงปู่จันทร์แรมได้ยึดถือเป็นแบบปฏิบัติ ดังปรากฏเป็นคติสอนศิษยานุศิษย์เรื่อยมาจวบจนกระทั่งถึงปัจจุบัน
    หลวงปู่จันทร์แรม บวชได้ ๔ พรรษาได้เข้าไปพักกับหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ที่วัดป่าบ้านหนองผือ ต.นาใน อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร อยู่ได้เพียงเดือนกว่า ไม่ได้อยู่ประจำเพราไม่มีผู้รับรอง วันหนึ่ง หลวงปู่จันทร์แรม ทำข้อวัตรโดยถือไม้กวาดลงกุฏิเพื่อกวาดตาด ขณะที่หลวงปู่จันทร์แรม กวาดตาดอยู่นั้น หลวงปู่มั่นได้เดินผ่านมา หลวงปู่จันทร์แรมเห็นหลวงปู่มั่นเข้าก็รีบหนีด้วยความเกรงกลัว แต่ท่านพระอาจารย์มั่นได้พูดว่า
    ”หยุดก่อนๆ พระน้อย อย่าเดินหนี อย่ากวาดเร็ว มันไม่สะอาด”
    แล้วหลวงปู่มั่นก็ได้ถามหลวงปู่จันทร์แรมว่า
    “มาจากจังหวัดไหน”
    หลวงปู่จันทร์แรมกราบเรียนว่า
    ”มาจากบุรีรัมย์ ขอรับ”
    หลวงปู่มั่นกล่าวต่อว่า
    “เพิ่งเห็นพระมาจากบุรีรัมย์”
    หลวงปู่มั่นถามต่อว่า
    “ไล่ทหารหรือยัง?”
    หลวงปู่จันทร์แรมตอบว่า
    “เรียบร้อยแล้วครับ”
    หลวงปู่มั่นได้เตือนหลวงปู่จันทร์แรมว่า
    “อย่าหนีน่ะ อย่ากลับบ้านน่ะ ถ้ากลับบ้าน ก็จะกลายเป็นคนบ้าน ตัด น ออก”
    จากนั้นหลวงปู่มั่นได้ให้โอวาทกับหลวงปู่จันทร์แรม ตรงริมทางนั้นเองว่า
    “การภาวนาอย่านอน 3 ทุ่ม 4 ทุ่มจึงนอน นอนตื่นเดียวไม่ให้นอนซ้ำ เมื่อตื่นขึ้นให้ภาวนาต่อ ก่อนภาวนาต้องมีสติ เอาใจใส่ต่องานที่เราทำ อย่าทำแบบลวกๆ กลางวันอย่านอน ให้เดินจงกรมนั่งสมาธิ ให้ไปทำหลังวัดที่เป็นป่ากระบาก นอกจากนั้นให้ไปที่ถ้ำพระบ้านนาใน เป็นถ้ำที่มีเสือเดินผ่าน ด้วยความกลัวจะทำให้จิตเป็นสมาธิเร็ว อย่าขี้เกียจ”
    ซึ่งปกติท่านหลวงปู่มั่นจะไม่อบรมธรรมะโดยยืนพูดกับเณรข้างทางเลย หลังจากท่านเมตตาเทศน์ให้หลวงปู่จันทร์แรมแล้ว ท่านก็เดินกลับกุฏิ พระรูปอื่นก็เข้าไปถามว่า
    “หลวงปู่มั่นท่านดุอะไร”
    เป็นที่แปลกใจของหมู่เพื่อนพระภิกษุด้วยกันเป็นอย่างมาก เพราะเข้าใจว่าหลวงปู่จันทร์แรมถูกหลวงปู่มั่นดุ ซึ่งโอวาทธรรมที่หลวงปู่จันทร์แรมได้รับจากหลวงปู่มั่นในครั้งนั้น เป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่หลวงปู่จันทร์แรมมีโอกาสได้รับธรรมะโดยตรงจากท่านหลวงปู่มั่น เป็นที่ปลื้มปีติและซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่งจนถึงทุกวันนี้ในเมตตาธรรมของพ่อแม่ครูบาอาจารย์
    หลังจากบวชได้ประมาณ ๖ พรรษา หลวงปู่ได้ติดตามพระอริยเวที (หลวงปู่มหาเขียน ฐิตสีโล) เพื่อไปช่วยสร้างวัดป่าบ้านโพน (วัดรังสีปาลิวัน) อำเภอคำม่วง จังหวัดกาฬสินธุ์โดยได้จำพรรษาอยู่ที่วัดแห่งนี้เพื่อดูแลความเรียบร้อยแทนองค์หลวงปู่มหาเขียน และ ณ ที่แห่งนี้เองที่ได้เกิดเหตุการณ์หนึ่ง ซึ่งเป็นการทดสอบความแน่วแน่ในการครองเพศบรรพชิตของท่าน
    เรื่องมีอยู่ว่ามีสาวสวยประจำหมู่บ้านนางหนึ่งได้แอบหลงรัก และเผยความนัยด้วยการเขียนจดหมายสอดไว้ในซองยาสูบที่นำมาใส่บาตรในตอนเช้าเมื่อหลวงปู่รับบิณฑบาตเสร็จ แกะซองยาสูบเพื่อจะจุดสูบ ก็ได้พบข้อความ
    “เห็นวันแรกก็เกิดหลงรักจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ ถ้าญาครูเป็นโยม จะพาหนีไปสร้างครอบครัวอยู่ด้วยกัน"
    แม้ว่าข้อความจะเปิดเผยความในใจอย่างชัดแจ้ง และเจ้าของข้อความก็มีรูปร่างหน้าตาสะสวยแต่พระหนุ่มก็มิได้หวั่นไหวไปกับกลกิเลสเลยแม้แต่น้อยเป็นเวลาถึง ๔ เดือนที่หญิงนางนี้เขียนจดหมายสอดซองยาสูบใส่บาตรเป็นประจำ ทว่ากลับเป็นความพยายามอันไร้ผลโดยสิ้นเชิง มิอาจทำให้ท่านหวั่นไหวเลยแม้แต่น้อย จนกระทั่งออกพรรษาหลวงปู่จึงออกจากหมู่บ้านเพื่อแสวงหาความวิเวกต่อไปท่านได้เล่าถึงความรู้สึกในขณะนั้นว่า
    “ในใจตอนนั้นมันแกล้วกล้ามาก ตั้งปณิธานไว้ว่าถ้าหากตาย เราต้องตายภายใต้ผ้ากาสาวพัสตร์ อันเปรียบเสมือนธงชัยพระอรหันต์ มันมีคุณค่ามีศักดิ์ศรีมากกว่าการตายในเพศฆราวาสยิ่งนัก"
    ด้วยความมั่งคงไม่ไหวหวั่นไปกับเล่ห์กลของกิเลส มุ่งในธรรมะเพื่อการพ้นทุกข์อย่างแท้จริงทำให้หลวงปู่จึงสามารถดำรงเพศพรหมจรรย์ตราบวาระสุดท้ายเป็นที่เคารพบูชาของพุทธศาสนิกชนในฐานะของพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบผู้เป็นสาวกแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    ทั้งนี้ หลวงปู่จันทร์แรม เป็นพระนักปฏิบัติที่มีความเชี่ยวชาญในด้านวิปัสสนากัมมัฏฐานเป็นอย่างดียิ่ง มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของศิษย์ยานุศิษย์มากมาย ทั้งนักการเมือง ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ นักธุรกิจ พ่อค้า และประชาชนทั่วไปทั่วทุกภาคของประเทศ และต่างประเทศ
    ในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๔๖ หลวงปู่ เริ่มอาพาธด้วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลวิชัยยุทธ และ ศิริราช อยู่ในการดูแลของคณะแพทย์อย่างใกล้ชิดตลอดมา เมื่อหลวงปู่สุขภาพดีขึ้นก็จะออกรับกิจนิมนต์ต่างๆอยู่เสมอ จนหลวงปู่เป็นที่รู้จักและเคารพของบรรดาญาติโยม โดยเฉพาะชาวกรุงเทพมหานคร และในปีนั้นเองหลวงปู่ได้เริ่มดำริก่อสร้างพระมหาธาตุเจดีย์
    จนกระทั่งเมื่อเวลา ๑๑.๐๐ น. วันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ เป็นช่วงเวลาที่ไม่มีใครคลาดคิดว่าจะมีเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้น ขณะหลวงปู่กำลังฉันภัตตาหารเพล ที่กุฏิภายในวัดระหาน(เกาะแก้วธุดงคสถาน)โดยมีลูกศิษย์ทั้งพระ แม่ชี และฆราวาสอยู่ด้วย หลวงปู่เกิดอาการ หน้าแดง หมดสติล้มฟุบลงกับพื้น หัวใจหยุดเต้น คณะศิษย์ที่อยู่บริเวณนั้นต่างตกใจโดยไม่คลาดคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้ จึงช่วยกันนำหลวงปู่ส่งรักษาที่โรงพยาบาลเอกชนบุรีรัมย์ทันที
    เมื่อมาถึงโรงพยาบาลเอกชนบุรีรัมย์ คณะแพทย์ช่วยกันปั๊มหัวใจ จนหัวใจทำงานอีกครั้ง แต่หลวงปู่จันทร์แรมก็ยังอยู่ในสภาพไม่รู้สึกตัว โรงพยาบาลเอกชนบุรีรัมย์ได้ส่งไปรักษาต่อที่ห้องไอ.ซี.ยู. โรงพยาบาลศูนย์บุรีรัมย์ เนื่องจากขณะนั้นโรงพยาบาลเอกชนบุรีรัมย์ยังแพทย์ที่มีความชำนาญทางด้านหัวใจ เมื่อมาถึงโรงพยาบาลศูนย์บุรีรัมย์ได้เข้าทำการรักษาในห้อง ซี.ซี.ยู. ในระหว่างที่ทำการรักษาอยู่ที่โรงพยาบาลบุรีรัมย์ ได้มีครูบาอาจารย์หลายรูป เช่น หลวงปู่เหลือง ฉันทาคโม วัดกระดึงทอง จ.บุรีรัมย์,หลวงปู่ประสาน สุมโน วัดป่าหนองไคร้ จ.ยโสธร,หลวงปู่เอียน ฐิตวิริโย จ.สุรินทร์,หลวงพ่ออาจ อาวุธปัญโญ วัดทุ่งโพธิ์ จ.บุรีรัมย์ และคณะศิษย์ทั้งพระและฆราวาสเป็นจำนวนมากได้เข้าเยี่ยมอาการอาพาธของหลวงปู่ ทุกคนที่มาล้วนมีความรู้สึกอันเดียวกันว่าร่มโพธิ์ร่มไทรของลูกศิษย์คงจะอยู่กับพวกเราได้อีกไม่นาน
    ในที่สุดช่วงเวลาแห่งความวิปโยคของบรรดาลูกศิษย์ก็มาถึง ในยามดึกสงัดก่อนรุ่งของ วันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๕๒ หลวงปู่เริ่มแสดงอาการอาการลาธาตุขันธ์ การทำงานระบบต่างๆของร่างกายเริ่มยุติลงกระทั่ง เวลา ๐๑.๕๐ น. หลวงปู่ก็ได้ละทิ้งธาตุขันธ์ เข้าแดนเกษมแห่งธรรมด้วยอาการสงบ สิริอายุ 87 ปี 203 วัน พรรษา 65 ทิ้งมรดกธรรม คุณงามความดีไว้แก่โลก ให้บรรดาลูกศิษย์ได้ยึดถือเป็นคติตัวอย่าง ดำเนินรอยตามพระอริยเจ้าผู้งามพร้อมด้วยคุณอันประเสริฐ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กุมภาพันธ์ 2012
  11. Pra Karan

    Pra Karan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    116
    ค่าพลัง:
    +132
    ฟังเสียงธรรมหลวงปู่จันทร์แรม เขมสิริ แสดงไว้เมื่อวันมาฆบูชาปี2546

    [​IMG]

    http://www.fungdham.com
     
  12. deelek

    deelek เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    6,696
    ค่าพลัง:
    +16,255
    อนุโมทนา สาธุ ๆ
    กับทุกท่านที่ได้ร่วมกัน
    ทำบุญสร้างกุศลทุกอย่าง
    ไว้ที่วัดแห่งนี้ด้วยครับ
    นิพพานัง ปัจจโย โหตุ
     
  13. ศุภโชค99

    ศุภโชค99 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2008
    โพสต์:
    42
    ค่าพลัง:
    +16
    โอนเงินร่วมทำบุญสร้างเมรุหลวงปู่จันทร์แรม เขมสิริ
    โอนแล้วครับ 300บาท
    ชื่อ วันดี ใจอารีพร และครอบครัว
    อนุโมทนาบุญ ด้วยครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 301..JPG
      301..JPG
      ขนาดไฟล์:
      69.2 KB
      เปิดดู:
      112
  14. Pra Karan

    Pra Karan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    116
    ค่าพลัง:
    +132
    อนุโมทนาบุญกับโยมวันดี ใจอารีพร และครอบครัว
    ที่ร่วมทำบุญสร้างเมรุหลวงปู่
    อนุโมทนาบุญ ด้วยนะ
     
  15. Pra Karan

    Pra Karan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    116
    ค่าพลัง:
    +132
    อนุโมทนา
     
  16. Pra Karan

    Pra Karan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    116
    ค่าพลัง:
    +132
    นำประมวลภาพงานบำเพ็ญกุศล
    ครบรอบวันละสังขาร ปีที่ ๒ หลวงปู่จันทร์แรม เขมสิริ
    ณ วัดระหาน(เกาะแก้วธุดงคสถาน) ต.บ้านด่าน อ.บ้านด่าน จ.บุรีรัมย์
    วันที่ ๗-๘ ธันวาคม ๒๕๕๔ มาฝากสำหรับญาติโยมที่ไม่ได้ไปร่วมงาน ให้ได้ชมกัน

    [​IMG]

    https://www.facebook.com/media/set/?set=a.261408587248026.75305.160417767347109&type=1
     
  17. pinkpink

    pinkpink เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    1,246
    ค่าพลัง:
    +11,631
    ร่วมสร้างเมรุถวายเพลิงหลวงปู่จันทร์แรม เขมสิริ วัดระหาน จ.บุรีรัมย์

    เพื่อถวายบูชาคุณพ่อแม่ครูอาจารย์ สาธุ

    โอนเมื่อ วันที่ 9ธันวาคม 2554 เวลา 10.48 จากเครื่องฝากเงินสด<!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 ธันวาคม 2011
  18. Pra Karan

    Pra Karan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    116
    ค่าพลัง:
    +132
    อนุโมทนา สาธุ
     
  19. Pra Karan

    Pra Karan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    116
    ค่าพลัง:
    +132
    อนุโมทนาบุญ กับ

    คุณนงลักษณ์ สินสุข ร่วมทำบุญสร้างเมรุหลวงปู่ 1,000 บาท
    คุณกชกร เดชกุลนาท 100 บาท

    ขอให้มีความสุขกาย สุขใจ ตลอดกาลนานเทอญ
     
  20. Pra Karan

    Pra Karan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    116
    ค่าพลัง:
    +132
    โอนเงินสร้างเมรุถวายเพลิงหลวงปู่ผ่านทางธนาคาร
    ธนาคาร ออมสิน
    สาขา บุรีรัมย์
    ชื่อบัญชี ทุนสร้างฌาปนสถานหลวงปู่จันทร์แรม เขมสิริ
    เลขที่บัญชี 020007791450

    ติดต่อสอบถาม โทร 0833143517 0819774040
     

แชร์หน้านี้

Loading...