มันเกิดอะไรขึ้นกัน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย หยากหลุดพ้น, 25 ธันวาคม 2007.

  1. หยากหลุดพ้น

    หยากหลุดพ้น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    184
    ค่าพลัง:
    +359
    เมื่อก่อน ผมเริ่มฝึกสมาธิเมื่อประมาณเดือน กันยา 2550 เพราะอยากมีบารมี(เป็นกิเลสรึเปล่า ..แต่ตอนนี้เบื่อโลกครับอยากนิพพานจัง) ไม่ค่อยได้เข้าวัดเท่าไร ทำทานทำบุญใส่บาตร ถือศีลบ้าง บางกรณี ไม่ค่อยเข้าวัดเข้าวาเท่าไร เพราะไม่สะดวก(...ตื่นสาย&ทำงาน) ก็เลยศึกษาหาปฎิบัติเองตามตำรา(ร้านหนังสือ..ซื้อบ้าง..อ่านฟรีบ้าง) และจำๆเอาจาก ท่านผู้ทรงณานทั้งหลายในเว็บนี้แหละ
    อรัมภบทมาพอสมควร ขอถามครับ..?

    1..ผมสนใจเรื่องเกี่ยวกับ อิทธิปาฏิหารย มาตั้งแต่จำความได้และอยากมีฤทธ์บ้าง(สงสัยดูสิงหไกรภพมาก) ชอบค้นคว้าหาอ่านตำรา คาถา เวทย์มนต์ ตั้งแต่เริ่มอ่านหนังสือออก แต่ไม่เข้าหัวท่องไม่ได้(การ์ตูนก็อ่าน) ปัจจุบันนี้ก็ยังอยากมีอภิญญาเข้าอีก ...อย่างนี้ชาติก่อนๆๆๆๆๆๆ ผมเป็นตัวอะไรครับ

    2..เมื่อตอนเริ่มฝึกเอง เดือนสองเดือนแรก ด้วยอานาปานสติ แล้วก็พองยุบ(อ่านหนังสือเอง) ต่อมาวันนึงขณะนั่งหลับตาทำสมาธิอยู่บนที่นอนช่วงเย็นๆประมาณครึ่งชั่วโมง(ผมอยู่หอพักติดถนนครับเสียงดังมาก)อยู่ๆก็มีแสงสว่างมากเหมือนคนฉายไฟตัดหมอกใส่หน้า ประมาณ1-2วิ แล้วตกใจลืมตามาดูไม่มีอะไร มีแต่เสียงรถกับห้องข้างๆดังมาก เป็นร้านค้าด้วย(แต่ตอนเห็นแสงหูผมดับ ทุกอย่างดับหมด) ตอนนั้นผมเหงื่อออกมากหัวใจเต้นเร็วเหมือนคนออกกำลังกายมาเลย พอพยายามนั่งอีกก็ไม่เห็นอะไรแต่ร้อนมากเหงื่อท่วม ก็เลยเลิกนั่งครับวันนั้น...เกิดอะไรขึ้นกับผมครับ

    3..ต่อมาไม่นานก็รู้จักกสิณ เลยเปลี่ยนมาฝึกกสิณสีเหลือง สร้างกสิณเองในคอม(ง่ายดี) แล้วปิดไฟเพ่ง เพราะว่าแฟนจะนอน เพ่งจนจอเหลือง คีย์บอร์ดเหลือง แล้วหลับคาที่ แต่รู้สึกตัวเพราะรู้ว่าน้ำลายไหลไปโดนขา ตื่นขึ้นปวดหัวเหมือนคนเมาค้างเลยครับ ก็เลยเปลี่ยนมาเป็นเพ่งน้ำ ก็อาการเดียวกันเห็นเหมือนพื้นเป็นวงๆเหมือนน้ำนะครับแต่ว่ายังมีลายกระเบื้องอยู่แล้วก็หลับ เลยเปลี่ยนมาเพ่งลม เอาพัดลมเป่าใส่ตัวห่างประมาณ 2 เมตร คราวนี้ไม่หลับ แล้วก็เห็นอะไรไหวๆรอบๆตัว แต่หนาวเลยเลิกอีก..........
    .......ต่อมาไปเจอเว็บของคุณ "คนเมืองบัว" เลยลองฝึกมโนมยิทธิได้สองวันแล้ว เมื่อคืนเลยนึกถึงภาพพระพุทธรูปแก้ว (พระพุทธรูปเห็นตอนฝึกกสิณ) นึกไปนึกมาเลยเห็นเป็นภาพคนจริงๆขึ้นมา เหมือนกับพระพุทธเจ้า กำลังนั่งอยู่ในวิมานที่เหมือนกับศาลาวัดนะครับ มีแต่เสากับหลังคา ไม่มีกำแพง แต่ว่าเป็นแก้วทั้งหมดเลยอยู่ในเมืองหมอกด้วย ดรายไอซ์เพียบ แต่ว่ารู้สึกนะครับว่ายังนั่งอยู่ เพราะว่ายังรู้สึกปวดก้น และขาเป็นเหน็บ

    .....และวันนี้ตอนกลางวัน ประมาณ10โมงเช้า เงียบดี และว่าง เลยลองนอนหลับตา กำหนด "นะมะพะธะ" เพ่งพระในความคิดเหมือนกลางคืนดูประมาณ 5 นาทีก็หลับ แต่ว่าลืมตาอยู่เพราะเห็นทุกอย่างในห้อง ได้ยินเสียงคนคุยกันเสียงรถ และก็รู้สึกว่ายุงกัดแต่ไม่คัน แขนขากระตุกนิดๆก็รู้สึก แต่ว่าหลับแน่เพราะมันเบลอๆ และก็รู้สึกเหมือนมีคนเอาเชือกมามัดไว้ขยับไม่ได้ แล้วผมก็สดุ้งลุกขึ้นนั่ง ดูนาฬิกาปรากฏว่าเป็นบ่ายโมง แล้วก็ปวดหัวตึ้บเหงื่อแตกนอนไม่ได้อีก............ตกลงผมฝัน หรือเห็นนิมิตครับ..(งงเพราะไม่เคย แถมไม่มีครูอีก หลายตำราด้วย) ขอบคุณครับ [​IMG][​IMG][​IMG]
     
  2. KomAon11

    KomAon11 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    4,802
    ค่าพลัง:
    +18,984
    สงสัยคงต้องตามดูกันต่อไปครับ อิอิ
     
  3. บัวใต้น้ำ

    บัวใต้น้ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2004
    โพสต์:
    888
    ค่าพลัง:
    +1,937
    ถ้าคิดจะฝึกจริงๆ ควรหาครูบาอาจารย์ครับ ถ้าไม่หามีแต่หลงทางกับหลงทาง

    ถ้าจะเอาความสุข ความสงบ และของเล่นต่างๆ ก็เน้นฝึกสมาธิ แต่ถ้าฝึกแล้วไปติดมิจฉาสมาธิก็มีผลทำให้มาต่อวิปัสนาลำบาก

    ถ้าจะเอาความพ้นทุกข์เป็นแก่นสานต้องหัดเจริญสติ ทำสัมมาสมาธิ ควบคู่กันไป
     
  4. GoonS

    GoonS เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    811
    ค่าพลัง:
    +2,682
    หาครูอาจารดีกว่าครับ...มีครูเก่งๆกสินเเปปเดียวก็จำภาพได้เเล้วครับ
    อยู่ที่เทคนิคครูด้วย
    ไอที่เกิดก็ไม่รู้มันคืออะไรอาจเป็นปิติ+นิมิตที่เห็นในอุปจารสมาธิก็ได้
     
  5. หยากหลุดพ้น

    หยากหลุดพ้น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    184
    ค่าพลัง:
    +359
    ขอบคุณมากที่สุดครับ กับคำแนะนำที่มีค่า
    ผมจะลองหาเวลาว่าง(ยุ่งเหลือเกินเลยเบื่อมั้ง) หาครูหรือที่ฝึกดูครับ
     
  6. นิมิตรธัญญา

    นิมิตรธัญญา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    66
    ค่าพลัง:
    +199
    จิตที่ฝึกดีแล้วย่อมนำสุขมาให้
    รักษาอารมณ์มั่นในรูปพระและภาวนา เจริญไปตามลำดับ อย่าเปลี่ยนบ่อยนัก เอาดีให้ได้ซักอย่าง ไม่ต้องอยากรู้ ไม่ต้องอยากเห็นสิ่งอื่น สมาธิคือความตั้งมั่น
    รักษากรรมบท10 อิทธบาท4
    ดูคู่มือฝึกพระกรรมฐาน ด้านซ้ายหน้าแรก หรือดูฝึกสมาธิ-กรรมฐาน ด้านขวา กลาง
     
  7. วิทย์

    วิทย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    2,036
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,439
    สาธุ...ขออนุโมทนาด้วยนะครับ ผมขอแสดงความคิดเห็นสรุปตามประสบการณ์ที่ตนเองเคยประสบและเคยอ่านเคยรับรู้มาเกี่ยวกับเรื่องนี้ในบางส่วนนะครับ หวังว่าผู้อ่านจะสามารถนำแนวคิดนี้ไปศึกษาเพิ่มเติมขยายความรู้ และพอกพูนประสบการณ์ในการปฏิบัติธรรมได้ไม่มากก็น้อยนะครับ


    สิ่งที่เกิดเหล่านี้ในหมู่นักปฏิบัติจะเรียกรวมๆว่า "สภาวะธรรม" ครับ ถ้าลองนำประสบการณ์ของแต่ละคนมาเล่าสู่กันฟังก็จะพบว่า มีอะไรหลายๆอย่างที่ใกล้เคียงและคล้ายกัน

    สภาวะธรรมในที่นี้จะแบ่งได้เป็น 2 ลักษณะน่ะครับ คือ

    1.สภาวะธรรมที่เกิดจากเจตนาความมุ่งมั่นของตน เช่น ภาพนิมิต ความคิด หรืออารมณ์ ที่เรากำหนดเป็นกรรมฐาน ฯลฯ ซึ่งสิ่งที่เกิดจะเป็นไปตามที่เราต้องการ แบบนี้ไม่ค่อยมีปัญหาอะไรเท่าไหร่

    2.สภาวะธรรมที่เกิดขึ้นมาเองโดยที่เราไม่ได้ตั้งใจในขณะปฏิบัติธรรม หรือขณะผ่อนคลาย เช่น สภาวะธรรมต่างๆที่คุณได้ประสบอยู่ก็จัดอยู่ในข้อนี้ ซึ่งปัญหาก็คือมักจะเกิดสิ่งที่นักปฏิบัติธรรมไม่ได้ตั้งใจให้เกิด จึงทำให้เกิดความสงสัยว่าสิ่งที่เกิดคืออะไร โดยตามหลักการทั่วไปแล้วเมื่อนักปฏิบัติธรรมเจอสภาวะเหล่านี้ ก็ต้องวางใจให้เป็นกลางไม่ยินดียินร้าย และตั้งสติให้ดีตามระลึกรู้ และพิจารณาสภาวะธรรมเหล่านั้นอย่างเป็นธรรมชาติ เกิดขึ้น เปลี่ยนแปลงไปอย่างไรเราก็ตามรู้ตามดูไป

    ซึ่งโดยส่วนมากแล้ว สภาวะธรรมเช่นนี้มักจะหายไปเองในที่สุด(ไม่ว่าจะตามรู้ตามดูจนเห็นการดับไปหรือตกใจจนจิตถอนออกมาจากสภาวะนั้นก็ตาม) และส่วนใหญ่ก็มักจะเกิดขึ้นครั้งหรือสองครั้งแล้วก็ไม่เกิดขึ้นอีก(บางท่านหรือบางสภาวะก็อาจจะเกิดบ่อยมากกว่านั้นหน่อย แต่ที่สุดแล้วสภาวะเหล่านี้ก็จะหายไปเอง)

    ตัวแปรที่สำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้เกิดสภาวะธรรมต่างๆก็คือ กรรมฐาน ที่เรากำหนดครับ ถ้าเป็นการฝึกกสิณหรือกรรมฐานที่ใช้ภาพนิมิตเป็นสิ่งกำหนด จะค่อนข้างมีสภาวะธรรมแปลกๆเกิดขึ้นมากกว่า การใช้ความคิด ความรู้สึก หรืออารมณ์เป็นสิ่งกำหนด

    เนื่องจากการฝึกกสิณเป็นการเอาสติแยกกายกับใจออกจากกันโดยอาศัยกำลังสติ(สังเกตได้ว่าเมื่อเรานึกถึงสิ่งใดมากๆ การรับรู้ของเราจะค่อยๆเคลื่อนไปรวบรวมอยู่ที่สิ่งนั้น) เมื่อฝึกมากเข้าก็จะเริ่มแยกส่วนที่เป็นจิตใจกับร่างกายออกจากกันได้(บางครั้งก็แยกจากกันในระดับหนึ่ง บางครั้งก็แยกออกจากกันทั้งหมด) ทำให้สามารถดึงเอาความสามารถและธรรมชาติของจิตมาใช้ได้โดยตรง ทำให้มีการรับรู้ต่างๆที่แปลกแยกออกไปกว่าตอนที่เรารับรู้โดยผ่านทางร่างกายด้วย(จิตหลอมรวมกับกายก็ใช้ความสามารถได้ในระดับของกายที่เกิดจากวิบาก แต่ถ้าแยกจิตออกมาจากกายได้ ก็อาจสามารถใช้ความสามารถของจิตได้โดยตรง)

    แม้แต่ทางหลักจิตวิทยาเองนักจิตวิทยาบางท่านก็บอกว่ามนุษย์เรานั้นมีโครงสร้างและระบบภายในที่มหัศจรรย์มาก สิ่งที่มนุษย์ใช้ออกมาทุกวันนี้ในคนปกติทั่วไปนั้นใช้ความสามารถออกมาเพียงแค่ประมาณ 10% เท่านั้น ส่วนที่เหลืออีก 90% นั้นเป็นความสามารถที่ซุกซ่อนอยู่ภายในของมนุษย์เรา โดยนักจิตวิทยาบอกว่าถ้ามนุษย์สามารถดึงเอาความสามารถที่ซุกซ่อนอยู่ภายในของตัวเราออกมาใช้ได้หมดเต็ม 100% นั้น มนุษย์ก็จะไม่แตกต่างอะไรไปจากซุปเปอร์แมนเลยล่ะครับ

    มีหลายกรณีที่มนุษย์สามารถดึงเอาพลังแฝงเหล่านี้ออกมาใช้ได้โดยไม่ได้ตั้งใจ ในยามที่ตื่นเต้นหรือตกใจ เช่น เรื่องราวที่มีคนตกใจเมื่อเจอไฟไหม้ แล้วสามารถยกเอาตู้หรือสิ่งของที่มีน้ำหนักมากๆหนีตายออกมาได้ ทั้งๆที่ในยามปกติแล้วเป็นไปไม่ได้เลยที่คนคนนั้นจะยกสิ่งของชิ้นนั้นได้ ฯลฯ และในอีกหลายๆกรณี......เป็นต้น ซึ่งนักจิตวิทยาทำได้เพียงแค่วิเคราะห์แต่ว่าไม่ทราบวิธีที่จะดึงเอาความสามารถเหล่านั้นออกมา

    แต่ว่าพระพุทธเจ้าท่านทำได้แต่ทรงรู้วิธีที่จะดึงเอาความสามารถแฝงเหล่านั้นออกมาครับ แถมพระองค์ยังบัญญัติไว้เป็นแนวทางให้ผู้อื่นปฏิบัติตามได้อีก ผ่านทางกรรมฐานต่างๆ ซึ่งผู้ปฏิบัติจะทำได้แค่ไหนนั้นก็ขึ้นอยู่ที่ความสามารถในการซึมซับและเข้าถึงความรู้ที่พระพุทธองค์ได้ทรงสั่งสอนและวางเป็นแนวทางเอาไว้

    กรรมฐานจำพวกกสิณนั้นอาจกล่าวได้ว่าเป็นวิธีการที่สามารถดึงเอาพลังแฝงในตัวมนุษย์ให้ออกมาใช้งานได้ แต่ก็เป็นความสามารถในลักษณะหนึ่ง ส่วนกรรมฐานแบบอื่นเช่น การดูลมหายใจ การเดินลมปราณ ก็จะดึงเอาความสามารถออกมาในอีกลักษณะหนึ่ง ความชำนาญเชี่ยวชาญและความละเอียดก็จะแตกต่างออกไปตามการรับรู้และการฝึกฝน

    แต่ก็มีกรณียกเว้นอยู่บ้างถ้าผู้ใดเคยฝึกฝนจนมีฤทธิ์มีอภิญญาหรือมีความสามารถพิเศษบางอย่างในอดีตชาติ พอมาชาตินี้แม้จะกำหนดกรรมฐานที่ไม่ได้เป็นเหตุให้เกิดฤทธิ์เกิดอภิญญาหรือเกิดความสามารถพิเศษอันใดเลย แต่เมื่อปฏิบัติไปถึงจุดจุดหนึ่ง ความสามารถพิเศษหรือฤทธิ์อภิญญาที่เคยทำได้ในอดีตชาติก็อาจจะปรากฏขึ้นมาได้เองแม้ว่านักปฏิบัติจะไม่ได้มีเจตนาปฏิบัติธรรมเพื่อให้เกิดฤทธิ์เดชอภิญญาแต่อย่างใด(แต่ขีดความสามารถอาจจะไม่เท่ากับที่ทำได้ในอดีต ยกเว้นแต่จะนำมาขัดเกลาใหม่ก็จะสามารถเชี่ยวชาญได้อย่างอดีตชาติที่ทำได้นั้น)
     
  8. อาหลี_99

    อาหลี_99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    744
    ค่าพลัง:
    +2,992
    โห ฝึกเยอะจังเลย*0*
     
  9. chentenryu

    chentenryu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    66
    ค่าพลัง:
    +206
    เฮ้อ...น่าเบื่อจัง ไม่มีใครมีความรู้เรื่องกรรมฐานจริงๆ เข้ามาตอบเล้ยยยย ทำใจเถอะนะ คนที่เข้าเว็บฯมาน่ะ ไม่ว่าเว็บฯไหน ก็เหมือนกันน่ะแหล่ะ นั่นคือ คนรู้จริงไม่อยาก โผล่เข้ามาหรอก คนที่โผล่เข้ามา จึงมีแต่ผู้รู้ไม่จริง ทั้งน้านนน...
    ส่วนที่เธอสงสัยนั่นน่ะ ตอบให้อย่างนี้แล้วกัน
    ๑. อดีตมันผ่านไปแล้ว อยากฝึกกรรมฐานจริงๆ อย่าไปสนใจ อดีต กับ อนาคต นะ กำหนดสติรู้ "ปัจจุบัน" เท่านั้นพอ...
    ๒. ถ้าจะฝึกกสิณ ให้ใช้คำภาวนา "นะมะพะธะ" นะ พองยุบเอาไว้เล่นอานาปาฯ และ แสงที่เห็นขณะภาวนา ก็คือ อารมณ์ สุข จ้ะ เมื่อถึง อารมณ์สุข นั้น สังเกตง่ายๆ คือ จะเกิดความรู้สึกพึงพอใจกับสถานะที่เป็นอยู่ จนอยากจะอยู่ไปอย่างนี้นานๆ บางคนที่เพิ่งถึง อารมณ์สุขใหม่ๆ จะรู้สึกบางๆ ราวกับสายลมพัด ไม่ทันได้คิดเลย แต่..อารมณ์สุข นั่น เป็นองค์ ๑ ใน ๔ ของอุปจารสมาธิ ฉะนั้น ความคิดจึงยังมีอยู่ได้ ใครเค้าขี้โม้ว่า ถึง ฌานฯนั้นฌานฯนี้ แล้วคิดอย่างนั้น คิดอย่างนี้เนี่ย มั่ว อารมณ์ฌานสมาบัติ เป็น เอกกัคตารมณ์ หมายถึง สนใจไปในสิ่งเดียว แม้ร่างกายก็ไม่สนใจ ดังนั้น จึงไม่มีอารมณ์คิดเลย ต้องจำข้อนี้ไว้ให้มากๆๆๆๆๆ ใหม่ๆ นั้น เมื่อมาถึง สุข ความคิด ความรู้สึก ซึ่งขังไว้ในจิตใต้สำนึก จะแสดงตัวออกมา เช่น เห็นแสง ได้ยินเสียง ได้เห็นภาพต่างๆ จากจุดนี้ ใครไปต่อ มัก "ตกภวังค์" คือ สติอ่อนไปไม่มีกำลังแห่งสติ คุมอารมณ์กรรมฐานไม่ได้ แล้วก็ หลับ แต่หลับอย่างนี้ดี ครูบาอาจารย์ท่านอนุโมทนา...
    บางคนตกใจไม่เคยเห็นแสงอย่างนี้ ไม่เคยได้ยินเสียงอย่างนั้น เกิดความสะดุ้ง สะเทือนใจ รีบรุดผลุนผลัน ลืมตาขึ้น หัวใจที่เต้น เบาๆในช่วงภาวนา ก็ต้องรีบปั๊มเลือด ตูมๆ เราจึงรู้สึกว่า หัวใจเต้นแรงมาก คล้ายเรากำลังเดินขึ้นบันไดเลย ใช่มะ...
    ๓. ข้อนี้ ขอตอบสั้นๆ นะ อย่าใช้ตาเพ่ง เพียงใช้ตาดู จำภาพ ปิดเปลือกตาลงสบายๆ แล้วนึกถึงภาพนั้นไปเรื่อยๆ
    เอาแค่นี้นะ ถ้าอยากได้ความรู้ละเอียด ไปหาหนังสือ กรรมฐาน ๔๐ ที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ท่านอรรถกถาเอาไว้จะดีกว่านะจ๊ะ
    บ๊าย บาย
    ป.ล. อย่าเชื่อเรา เชื่อพระพุทธเจ้าดีที่สุด ส่วนที่เราตอบนั้น เอามาจากพระไตรปิฎก นั่นแหล่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 ธันวาคม 2007
  10. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    1..ผมสนใจ....อิทธิปาฏิหารย....ปัจจุบันนี้อยากมีอภิญญา....อย่างนี้ผมเป็นอะไรครับ ?

    --- คุณเห็นกิเลสความอยาก หรือ ราคะนะ แต่ประมาทในมัน ปล่อยให้มันบงการสิ่งที่คุณคิดว่าเป็นตัวคุณ อย่างนี้เรียก ปุถุชนคนธรรมดา ไม่ผิดอะไร

    2..สองเดือนแรก ....อานาปานสติ .....อยู่ๆก็มีแสงสว่าง....แล้วตกใจ....แต่ตอนเห็นแสงหูผมดับ.........พอพยายามนั่งอีกก็ไม่เห็นอะไร......เกิดอะไรขึ้นกับผมครับ

    --- คุณทำสมาธิได้ดี น่าจะเลยเลิกการบริกรรม จิตสามารถจับอาการของลมได้ จนทำให้หายใจได้แผ่วเบาขึ้น และเมื่ออารมณ์นิ่งเป็นหนึ่งอยู่แต่ที่ลม ตอนนี้แม้ได้ยินเสียง ได้กลิ่น ตาเนื้อเห็นแสงลำไร ก็ไม่สน -- ไม่ใช่ดับนะ มันไม่ดับหรอก เพียงแต่ไม่สน -- คือ กำลังเจริยเข้าสู่อุเบกขารับรู้การดูลมอย่างเดียว -- ก็ถึงจังหวะของ ปิติ เกิด แสงโอภาสจึงสว่างขึ้น เหมือนกับตาเห็น แต่ไม่ใช่ตาหรอกที่เห็น -- เป็นนิมิตที่เกิดขึ้นให้จิตเห็น -- แต่พอเกิดแล้วไม่สามารถวางอารฒณ์อุเบกขาต่อได้ เพราะเกิดสงสัย( นิวรณ์ ) สมาธิเลยถอนออกอย่างรวดเร็ว

    --- วันหลังทำอีกแต่ไม่เกิดอะไรเลย อันนี้ก็โดนความอยากเล่นงานเอาเสียแต่ก่อนนั่งสมาธิ ก็จะไม่มีทางได้อะไร เพราะนั่งไปนิดหน่อย ก็จะเอาแต่ สงสัยว่า จะมายังๆ ก็สงสัย( นิวรณ์ )ตัวเดียวกันที่ทำให้เราหลุดจากสมาธินั้นแหละ --- ถามว่า ผมเป็นอะไร --- ก็ ปุถุชนคนธรรมดา ไม่ผิดอะไรนะ

    3..ต่อมาไม่นานก็รู้จักกสิณ ....แต่...เลิกอีก.....

    --- อันนี้ก็โดนความอยาก ราคะ เล่นงานอยู่อย่างเดิม ถูกสงสัยตามเล่นงานอย่างเดิม

    ก็สรุปนะว่า โดน นิวรณ์ เครื่องกั้นสมาธิ 2 ตัวเล่นงานอยู่ซ้ำๆ ไม่ไปไหน

    ยังมี ถีนมิททะ ( ง่วง มึน ) อุทธัจจะ ( ฟุ้งซ่าน คิดว่าสำเร็จ ) รอเล่นงานต่ออีกขั้น

    สุดท้ายก็ตัว พยาบาท อันนี้จะเจริญดีเมื่อฟุ้งซ่านแล้ว

    สังเกตนะ คนนั่งสมาธิ นั่งได้นิดหน่อย วูบๆวาบๆ ฟุ้งซ่านคิดว่าสำเร็จอะไรสักอย่าง แล้วมาถามเพื่อนๆ ครู แล้วได้คำตอบไม่ตรง โกรธเลยนะ แค้นเขาอีกถ้าตอบไม่ตรงใจ คราวนี้ อดกันเลยนะ นิวรณ์ ทำงานครบ 5 ตัว

    ดังนั้น ต้องไปสร้างบารมี 10 ก่อนนะ ไปเจริญ ศีล ทาน ..... ให้ใจมีกำลังที่จะขันติในการน้อมรับสิ่งดีๆ ที่จะไหลมาสู่ตัวก่อน ถ้าบารมีไม่มี ดีไม่พอ ของดีๆ เขาไม่ให้กันนะ มาก็เอาไว้ไม่อยู่ สว่างวูบเดียวหายไปเลย เป็นต้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 ธันวาคม 2007
  11. tamsak

    tamsak ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2004
    โพสต์:
    7,857
    กระทู้เรื่องเด่น:
    22
    ค่าพลัง:
    +161,171

    เท่าที่อ่านจากที่เขียนมา บ่งบอกว่า เป็นคนที่สนใจในฤทธิ์อภิญญา

    ฝึกมาหลายวิธี จนมาระยะหลังฝึก "นะมะพะธะ" ตามแนวของพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง

    ดังนั้น หากมุ่งมั่นจะเอาอภิญญาให้ได้ ก็ควรตั้งใจแน่วแน่ไปในสายนี้เลย

    ขอแนะนำให้ไปกราบฝากตัวเป็นศิษย์กับหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ที่บ้านสายลมหรือที่วัดท่าซุงก็ได้

    เริ่มตั้งแต่วันเสาร์ - อาทิตย์ ที่ 29 - 30 ธ.ค.นี้ เลยก็ได้ ไปที่บ้านสายลม ช่วงประมาณ 11.00 น. ทานข้าวเที่ยงให้เรียบร้อย แล้วไปที่ตึกกรรมฐาน บอกกับเจ้าหน้าที่ที่ชั้น 1 ว่า มาฝึกมโนมยิทธิขั้นต้น เขาจะจัดถาดดอกไม้ ธูป เทียน ให้ เราต้องใส่เงินไหว้ครูอย่างน้อย 1 บาท แล้วเดินขึ้นไปนั่งรอที่ชั้น 3

    การฝึกมโนมยิทธิ จะเริ่มฝึกตั้งแต่เวลา 12.00 น. - 15.00 น โดยประมาณ (อาจคลาดเคลื่อนไปบ้าง จึงควรไปนั่งรอตั้งแต่ 11.30 น. เป็นต้นไป)

    ขอโมทนาบุญ และขอให้เจริญในธรรมและการปฏิบัติพระกรรมฐานยิ่งๆ ขึ้นไป

    .
     
  12. นายฉิม

    นายฉิม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2004
    โพสต์:
    2,099
    ค่าพลัง:
    +2,696
    เป็นคนที่ชอบทดลองและปฏิบัติ ขอให้ประสบความสำเร็จตามสิ่งที่มุ่งหวังนะครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...