มหากาพย์พุทธจริต ตอน ตอน ความเศร้าโศกของพระนางยโสธรา

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 6 มีนาคม 2016.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,440
    มหากาพย์พุทธจริต แปลโดยอาจารย์สำเนียงเลื่อมใส ตอน ความเศร้าโศกของพระนางยโสธรา
    [​IMG]
    41 "เพราะถ้าหากม้านี้จะพึงร้อยปลุกประชาชนให้ตื่นขึ้นมา หรือพึงทำเสียงดังด้วยกีบเท้าบนภาคพื้น หรือพึงทำเสียงดังที่คางให้เกิดขึ้นอย่างแรง ความทุกข์เช่นนี้คงจะไม่มีแก่เราเป็นแน่"

    42 เมื่อได้ฟังถ้อยคำที่เกิดจาความโศกเศร้ารำพึงรำพันซึ่งเจือปนด้วยพระอัสสุชลของพระเทวี ณ ที่นั้นดังนี้ นานฉันทกะผู้ก้มหน้าต่ำและน้ำตาไหลพรากจึงประคองอัญชลีกราบทูลคำตอบนี้เบาๆว่า

    43 "ข้าแต่พระเทวี พระองค์ไม่ควรตำหนิม้ากันุถกะและไม่ควรกริ้วโกรธหม่อมฉันเลย ขอพระองค์โปรดจงพิจารณาว่าหม่อมฉันทั้งสองไม่มีอะไรที่น่าตำหนิโดยประการทั้งปวง ข้าแต่พระเทวี เพราะว่าพระกุมารผู้ทรงเป็นนรเทพนั้นได้เสด็จไปแล้วเหมือนกับเทวดา"

    44 "เพราะถึงแม้หม่อมฉันจะรู้ดีในพระราชอาชญา แต่ก็เหมือนถูกเทวดาบางพวกสะกดไว้ในอำนาจ หม่อมฉันจึงได้นำม้ากันถกะนี้ออกไปอย่างรวดเร็ว และได้ติดตามม้านี้ไปบนถนนโดยไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเลย"

    45 "แม้ม้าตัวประเสริฐนี้ขณะวิ่งไปก็ไม่ได้สัมผัสพื้นดินด้วยปลายกีบม้าเลย ราวกับว่ามันถูกยกลอยขึ้นไปในท้องฟ้า และราวกับว่าถูกควบคุมปากไว้ด้วยกำลังของเทวดา มันจึงไม่ได้ทำเสียงที่ขากรรไกร และไม่ได้ส่งเสียงร้องใดๆออกมา"

    46 "เพราะในขณะที่พระราชกุมารเสด็จออกไปภายนอกนั้นประตูเมืองได้เปิดออกเอง และความมืดสนิทในกลางคืนก็ถูกกำจัดออกไป เหมือนกับถูกกำจัดด้วยแสงพระอาทิตย์ เพราะฉะนั้นจึงควรถือว่า นี้เป็นการกระทำของเทวดา"

    47 "เพราะแม้ประชาชนนับพันทั้งที่อยู่ในปราสาทและอยู่ในเมืองจะไม่ได้ประมาทหลงลืมต่อพระราชอาชญา แต่เวลานั้นประชาชนทั้งหลายก็หาได้รู้สึกตัวไม่ เพราะถูกความหลับครอบงำ เพราะฉะนั้นจึงควรถือว่า นี้เป็นการกระทำของเทวดา"

    48 "อนึ่ง เครื่องนุ่งห่มที่รู้กันว่าเหมาะสำหรับการอยู่ป่านั้น เทวดาก็นำมาถวายแด่พระองค์ในเวลาอันสมควร และพระมงกุฎนั้นเมื่อทรงถอดแล้วก็ได้ลอยขึ้นไปในท้องฟ้า เพราะฉะนั้นจึงควรถือว่านี้เป็นการกระทำของเทวดา"

    49 "ข้าแต่องค์นรเทวี ดังนั้น เมื่อเหตุการณ์เป็นอย่างนี้ พระองค์จึงไม่ควรเพ่งโทษหม่อมฉันทั้งสองเกี่ยวกับการเสด็จออกไปของพระกุมาร หม่อมฉันและม้ากันถกะไม่ได้ทำการลงไปด้วยความสมัครใจเลย เพราะพระกุมารนั้นได้เสด็จไปแล้วโดยมีทวยเทพทั้งหลายตามส่งต่างหาก"

    50 หญิงเหล่านั้นได้ฟังการเสด็จออกบรรพชาที่น่าอัศจรรย์และเกี่ยวข้องกับเทวดาจำนวนมากของพระกุมารผู้ทรงมีพระทัยมั่นคงดังนี้ ต่างก็มีความประหลาดใจ ราวกับว่าความโศกเศร้าได้จางหายไป แต่กระนั้นพวกเธอก็ยังได้รับความทุกข์ทรมานใจเพราะการออกผนวชของพระกุมาร

    51 จากนั้น พระนางเคาตมี ผู้มีพระนตรไม่อยู่นิ่งเพราะความโศกและทรงเป็นทุกข์เหมือนกับแม่ช้างที่มีลูกน้อยหายไป เมื่อทรงละความมีพระทัยมั่นคงแล้วก็ทรงกันแสงออกมา พระนางทรงอ่อนล้าหมดเรียวแรงและตรัสถ้อยคำด้วยพระพักตร์ที่เต็มด้วยพระอัสสุชลว่า

    52 "พระเกศาของพระกุมารซึ่งมีขมวดพระเกศาใหญ่ อ่อนนุ่ม ดำสนิท งดงาม แต่ละเส้นงอก จากรากพระเกศาแต่ละราก ม้วนขึ้นเป็นเกลียว และมีค่ามารกเพราะถูกครอบไว้ด้วยพระมงกุฎของพระราชา ได้ตกลงไปที่พื้นดินหรือ"

    53 "พระกุมารผู้มีพระพาหายาว มีการเยื้องกรายดุจพญามฤคราช มีพระเนตรดั่งโคอุสภะ มีพระอักษะกว้าง มีพระสุรเสียงกังวานดุจกลองเทวดา และมีความสดใสด้วยความรุ่งเรืองแห่งทองพระองค์ผู้มีพระลักษณะเช่นนั้นควรจะประทับอยู่ในอาศรมหรือ"

    54 "แผ่นดินนี้คงจะไม่คู่ควรกับเจ้านายผู้มีการกระทำอันสูงส่งพระองค์นั้นอย่างแน่นอน ดังนั้น พระองค์จึงได้เสด็จหนีไป เพราะพระราชาผู้ทรงคุณความดีเช่นนั้นจะประสูติขึ้นมาก็ด้วยโชคและคุณความดีของประชาชน"

    55 "พระบาททั้งสองที่มีพระองคุลียึดติดกันด้วยเนื้อเยื่อที่สวยงาม บอบบาง มีข้อพระบาทซุกซ่อนอยู่ภายใน อ่อนนุ่มเหมือนกับใยบัวและเกสรดอกไม้ และมีรูปจักรอยู่กลางฝ่าพระบาท จำดำเนินไปบนภาคพื้นของแนวป่าที่ขรุขระอย่างไรหนอ"

    56 "พระวรกายที่แข็งแกร่งของพระกุมารซึ่งคุ้นเคยกับการบรรทมและการประทับนั่งบนปราสาท ซึ่งประดับด้วยพระภูษา ผงกฤษณา และกระแจะจันทร์ จักดำรงอยู่ในป่ายามที่ฤดูหนาว ฤดูร้อน และฤดูฝนมาถึงอย่างไรหนอ"

    57 "พระกุมารผู้สูงส่งด้วยราชตระกูล คุณความดี ความเข้มแข็ง ความงาม ความรู้ ความสง่า และความหนุ่มแน่น ทรงคุ้นเคยแต่การให้ ไม่ทรงคุ้นเคยกับการขอ จักเที่ยวขอภิกษาอย่างไรหนอ"

    58 "หลังจากเคยบรรทมบนพระแท่นอันสะอาดซึ่งทำด้วยทองแล้วทรงตื่นขึ้นด้วยเสียงดนตรีในเวลากลางคืน วันนี้พระกุมารของฉันผู้กำลังบำเพ็ญพรตจักบรรทมบนแผ่นดินที่ปูลาดด้วยผ้าเพียงผืนเดียวอย่างไรหนอ"

    59 หญิงเหล่านั้นได้ฟังคำพิลาปรำพันที่น่าสงสารนี้แล้วต่างโอบกอดกันและกันด้วยวงแขนและหลั่งน้ำตาออกจากนัยน์ตา เปรียบเหมือนเถาวัลย์ที่ถูกลมพันเอนไปเอนมาทำให้น้ำหวานตกลงจากดอกฉะนั้น

    60 จากนั้น พระนางยโศธราผู้เปรียบเสมือนนกจักรวากีที่พลัดพรากจากนกจักรวากะ ทรงล้มลงบนพื้น พระนางผู้ทรงระทมทุกข์ได้พร่ำรำพันเบาๆ ถึงสิ่งนั้นสิ่งนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก ด้วยน้ำเสียงติดๆ ขัดๆ เพราะการสะอื้นว่า

    61 "ถ้าพราวามีต้องการจะประพฤติธรรมโดยทอดทิ้งเราผู้ไร้ที่พึ่งและมีปกติประพฤติธรรมร่วมกับพระองค์ละก็ ธรรมของพระองค์ผู้ต้องการบำเพ็ญตบะโดยเว้นจากเราซึ่งมีปกติประพฤติธรรมร่วมกันจะมีได้อย่างไร"

    62 "พระองค์คงจะไม่เคยฟังเรื่องราวของบรรพบุรุษผู้ทรงเป็นกษัตริย์ในปางก่อน ผู้เสด็จเข้าสู่ป่าพร้อมด้วยพระมเหสี เช่นกันพระมหาสุทรรศนะ เป็นแน่แท้ เพราะพระองค์ทรงปรารถนาจะประพฤติธรรมอย่างนั้นโดยเว้นจากเรา"

    63 "อนึ่ง พระองค์คงจะไม่ทราบว่าสามีและภรรยาเป็นคู่บูชาที่บริสุทธิ์ตามคำสอนของพระเวทในเรื่องการบูชายัญและมีความปรารถนาที่จะเสวยผลของการบุชานั้นพร้อมกันในภพหน้า ดังนั้น พระองค์จึงเกิดความตระหนี่ในธรรมกับเรา"

    64 "พระองค์ผู้ทรงรักในธรรมคงจะทราบว่าใจของเรามีความริษยาและชอบการทะเลาะตลอดเวลาเป็นแน่ พระองค์ผู้ไม่มีความกลัวเกรงจึงปรารถนาที่จะรับเอานางอัปสรในสวรรค์ หลังจากทอดทิ้งเราผู้กำลังโกรธเคืองไปอย่างเต็มใจ"

    65 "เราคิดว่าหญิงทั้งหลายในเทวโลกนั้นจะต้องทรงไว้ซึ่งความงามและคุณสมบัติที่ดีอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นแน่ พระสวามีจึงละทิ้งราชสมบัติและความภักดีของเราไปบำเพ็ญตบะในป่าเพื่อให้ได้หญิงเหล่านั้น"

    66 "เราไม่ได้ปรารถนาความสุขในสวรรค์เลย (เพราะ) ความสุขนั้นหาได้ไม่ยากสำหรับคนที่ฝึกตนดีแล้ว แต่เรามีความปรารถนาว่าทำอย่างไรหนอพระสวามีผู้ทรงเป็นทีรักนั้นจึงจะไม่ทอดทิ้งเราทั้งในโลกนี้และโลกหน้า"

    67 "ถ้าเราไม่มีโชคพอที่จะได้เห็นพระพักตร์ซึ่งมีพระเนตรยาวและมีรอยยิ้มอันบริสุทธิ์สดใสของพระสวามี แม้ราหุล ผู้อับโชคนี้ก็คงจะไม่ได้กลิ้งเกลือกในพระเพลาของพระบิดา ไม่ว่าในกาลไหนๆ"

    68 "พระองค์ทรงทอดทิ้งได้กระทั่งพระโอรสผู้ยังเป็นทารก ผู้ส่งเสียงอ้อแอ้ และผู้ทำให้สุขใจ เช่นนี้ โอ้ พระทัยของพระองค์ผู้ทรงมีความเบิกบาน ผู้ทรงสง่างามเพราะความหนุ่มแน่น ช่างโหดร้ายและทารุณจริงหนอ"

    69 "แน่นอน ใจของเราถึงแม้จะทำด้วยหินหรือทำด้วยเหล็ก เมื่อพระสวามีผู้ทรงคุ้นเคยกับความสุขทรงสละราชสมบัติเสด็จไปสู่ป่า ก็เหมือนกับไร้ที่พึ่ง (ใจนั้น) แม้จะไม่แตกสลายแต่ก็เจ็บปวดยิ่งนัก"

    70 พระเทวีทรงเป็นสมหมดสติเพราะความโศกถึงพระสวามี ทรงกันแสง ทรงครุ่นคิด และทรงพร่ำเพ้ออยู่ ณ ที่นั้นซ้ำแล้วซ้ำอีกด้วยประการฉะนี้ แม้จะทรงมีพระทัยมั่นคงโดยธรรมชาติ แต่เพราะความโศกพระนางจึงไม่ทรงคิดถึงการควบคุมพระทัยและไม่ทรงละอายเลย

    71 เมื่อเห็นพระนางยโศธราผู้ทรงว่าวุ่นพระทัยเนื่องจากความโศกและความพิลาปรำพันทรงล้มลงบนพื้นอย่างนั้น จากนั้นหญิงทั้งหลายจึงร้องไห้ระงมด้วยใบหน้าที่เปียกชุ่มด้วยน้ำตา ราวกับดอกบัวจำนวนมากมีหยาดฝนตกลงมากระทบ

    72 ฝ่ายพระราชาครั้นทรงสาธยายมนตร์และทรงประกอบพิธีบูชาที่เป็นมงคลเสร็จแล้วจึงเสด็จออกจากเทวลัย แต่เมื่อถูกเสียงร้องไห้ระคนทุกข์ของประชาชนรบกวน พระองค์จึงทรงหวันไหวสะทกสะท้าน เหมือนกับพญาช้างถูกรบกวนด้วยเสียงของอสนีบาต

    73 ครั้นทอพระเนตรเห็นนายฉันทกะและม้ากันถกะทั้งสองและได้สดับถึงการตัดสินพระทัยอันแน่วแน่ของพระโอรส พระราชาผู้ถูกความโศกครอบงำจึงทรงล้มลงเหมือนกับธงของพระอินทร์ ๑ ที่ตกลงเมื่องานเฉลิมฉลองเสร็จสิ้นแล้ว

    ๑ คำว่าพระอินทร์ในที่นี้ มาจากคำว่า ศจีปติ ซึ่งแปลว่า สวามีของนางศจี เพราะพระอินทร์มีชายานามว่าศจีนั่นเอง จึงมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ศจีปติ

    74 ต่อจากนั้นเพียงชั่วขณะ พระราชาผู้ทรงเป็นลมหมดสติเพราะความโศกถึงพระโอรสก็ทรงได้รับการประคองขึ้นโดยคนที่มีชาติเสมอกัน ขณะประทับยืนบนพื้นพระองค์ทอดพระเนตรม้าด้วยพระเนตรที่เปียกชุ่มด้วยพระอัสสุชลทรงรำพันว่า

    75 "กันถกะเอ๋ย หลังจากทำงานที่น่าพอใจมากมายในสนามรบให้แก่เราแล้ว เจ้าก็ทำสิ่งที่ไม่น่าพอใจอย่างมาก พระกุมารผู้รักในความดีซึ่งเป็นลูกรักของเรา ถึงแม้จะเป็นที่รัก (ของเจ้า) แต่เจ้าก็ยังนำเขาไปปล่อยทิ้งไว้ในป่าเหมือนกับเขาไม่เป็นที่รัก"

    76 "ดังนั้น วันนี้เจ้าจงนำเราไปยังที่ที่ลูกของเราอยู่ หรืออีกอย่างหนึ่งเจ้าจงไปโดยเร็ว จงนำลูกของเรากลับมาอีก เพราะเว้นจากลูกแล้วเราก็ไม่อาจจะมีชีวิตอยู่ได้ เปรียบเหมือนคนที่ป่วยหนัก (ไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้) เมื่อเว้นจากยาที่ถูกกับโรค"

    77 "การที่สัญชัย ไม่ตายในขณะที่สุวรณนิษฐีวิน ถูกความตายพรากจากไปนั้นเป็นสิ่งที่ทำได้ยากยิ่ง ส่วนตัวเราเมื่อลูกผู้ใฝ่ในธรรมหนีไปแล้วก็มีแต่ต้องการจะปล่อยดวงวิญญาณ (อาตมัน) ให้หลุดลอยไป เหมือนกับคนที่ควบคุมตนไม่ได้"

    78 "เพราะว่าแม้หทัยของพระมนุ ผู้เป็นโอรสของวิวัสวัต ผู้รอบรู้ในสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนและเกิดขึ้นภายหลัง ผู้ทรงเป็นใหญ่แห่งชาวโลก ผู้ทรงก่อตั้งอาณาจักรทั้งสิบ ผู้ทรงกล้าหาญจะไม่พึงสับสนได้อย่างไรเมื่อเว้นจากโอรสผู้เป็นทีรักซึงมีแต่คุณความดี"

    79 "เราช่างอิจฉาพระราชาผู้ทรงเป็นสหายของพระอินทร์ซึ่งเป็นพระโอรสที่ชาญฉลาดของพระเจ้าอชะ ครั้นเมื่อพระโอรสเสด็จไปสู่ป่า พระองค์ก็เสด็จไปสู่สวรรค์เสียเลย ไม่ทรงประทับอยู่อย่างทรมานด้วยพระอัสสุชลที่เปล่าประโยชน์"

    80 ดูก่อนม้าตัวประเสริฐ เจ้านำลูกผู้จะเอามือกอบน้ำ (ในพิธีรดน้ำศพ) ของเราไปไว้ที่อาศรมแห่งใด จงบอกที่ตั้งอาศรมแห่งนั้นมาเถิด เพราะว่าลมหายใจของเราผู้กระหายน้ำและต้องการจะไปสู่ทางแห่งความตายกำลังอยากพบลูกคนนั้น"

    81 พระราชาผู้ทรงเกิดความทุกข์เพราะการพลัดพรากจากพระโอรสทรงละความมีพระทัยมั่นคงดั่งแผ่นดินอันมีมาแต่กำเนิดแล้วพร่ำรำพันมากมายราวกับคนเสียสติ เปรียบเหมือนพระเจ้าทศรถ ผู้ตกอยู่ในอำนาจแห่งความเศร้าโสกถึงพระรามฉะนั้น

    82 จากนั้น พระราชครูผู้ฉลาดผู้มีคุณสมบัติดีทั้งด้านการศึกษาและความประพฤติ และปุโรหิตผู้มีอายุมาก (ทั้งสอง) ไม่แสดงสีหน้าเป็นทุกข์แต่อย่างใด แม้ว่าจะมีความโศกอยู่ก็ตาม (ทั้งสอง)ได้พร้อมกันกราบทูลคำนี้กับพระราชาตามความเหมาะสมว่า

    83 "ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐในหมู่ชน ขอพระองค์จงละความโศกและจงมีพระทัยมันคงเถิด ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงมีพระทัยหนักแน่น ไม่ควรเลยที่พระองค์จะหลั่งพระอัสสุชลเหมือนดั่งคนที่ควบคุมตนไม่ได้ เพราะกษัตริย์จำนวนมากในโลกหลังจากสละราชสมบัติซึ่งเปรียบเสมือนมาลัยที่ถูกเหยียบย่ำแล้วต่างก็เสด็จไปสู่ป่าทั้งนั้น"

    84 "อีกประการหนึ่ง การตัดสินพระทัยของพระกุมารนั้นก็ถูกกำหนดไว้แล้วล่วงหน้า ขอจงระลึกถึงคำพูดของอสิตฤาษีในครั้งก่อนโน้น เพราะว่าใครๆ ก็ไม่อาจจะทำให้พระกุมารนั้นประทับอยู่ในสวรรค์หรือในราชสมบัติของพระเจ้าจักรพรรดิโดยง่ายแม้แต่ชั่วขณะ"

    85 "ข้าแต่ผู้ประเสริฐในหมู่มนุษย์ แต่ถ้าจะทำความพยายามจริงๆ ละก็ ขอพระองค์จงรับสั่งโดยเร็วเถิด หม่อมฉันทั้งสองจะไป ณ ที่นั้นเดี๋ยวนี้ ในเรื่องนี้ขอจงมีความพยายามที่หลากหลายทั้งต่อพระโอรสของพระองค์และต่อแนวทางนาการปฏิบัติ"

    86 ครั้งนั้น พระราชาทรงรับสั่งแก่พระราชครูและปุโรหิตทั้งสองว่า "ถ้าเช่นนั้น ท่านทั้งสองจงรีบออกเดินทางไปจากที่นี่โดยเร็ว เพราะว่าใจของเราไม่สงบนิ่งเลย เปรียบเหมือนใจของนกป่าที่อยากได้ลูกน้อยกลับคืน ฉะนั้น"

    87 พระราชครูและปุโรหิตทั้งสองกราบทูลว่า "พะยะค่ะ" ดังนี้แล้วจึงออกเดินทางไปยังป่านั้นตามพระบรมราชโองการ ฝ่ายพระราชาพร้อมทั้งพระสุณิสาและพระมเหสีเมื่อทรงใคร่ครวญว่า "สิ่งนี้ได้ทำแล้ว" จึงได้ทรงประกอบพิธีที่เหลือต่อไป

    สรรคที่ 8 ชื่อ นนฺตะปุรวิลาป

    ในมหากาพย์พุทธจริต จบเพียงเท่านี้
    ที่มา http://palungjit.org/threads/ขอเชิญร่วมบุญฉลองพระพุทธรูปรับวัตถุมงคล.561939/
     

แชร์หน้านี้

Loading...