มหัศจรรย์...มังสวิรัติ...ทำให้หายจากโรคภูมิแพ้

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย วิมานะ, 18 พฤษภาคม 2010.

  1. วิมานะ

    วิมานะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2008
    โพสต์:
    139
    ค่าพลัง:
    +202
    สวัสดีครับ วันนี้ผมมีประสบการณ์ตรงของตัวเอง มาเล่าสู่กันฟัง เพื่อเป็นกรณีศึกษาและเป็นตัวอย่าง เผื่อใครที่ลองปฏิบัติตามแล้วจะได้ผลดีเหมือนที่ผมได้รับ ผมเป็นโรคภูมิแพ้มาประมาณ 20 ปี โดยมีอาการแพ้อากาศ ระคายเคืองในโพรงจมูก จามอย่างหนัก และมีน้ำมูกใสๆ ไหลออกมาตลอดเวลาเมื่อมันกำเริบ ถ้าเป็นหนักก็ถึงขนาดปวดศีรษะ จนทำอะไรไม่ได้ ออกไปไหนก็ไม่ได้ ทรมานมาก การกำเริบจะไม่แน่นอน จนหาสาเหตุไม่ได้แนวทางการรักษาของผมที่ได้ทำไปแล้วมีดังนี้

    1. ไปตรวจรักษาและรับยาแก้แพ้ ที่โรงพยาบาลของรัฐใกล้บ้าน โดยใช้สิทธิ์บัตรทอง ตลอดระยะเวลา 20 ปี ผมต้องทานยาทุกวัน หาหมอทุกเดือน และเปลี่ยนยามาแล้วหลายขนาน เพราะมีอาการดื้อยา หมอได้วินิจฉัยและเคยออกใบรับรองแพทย์ให้ผมว่า ผมเป็นโรค " ภูมิแพ้อากาศเรื้อรัง " ซึ่งการทานยาก็ได้แค่บรรเทาอาการ มิได้รักษาให้หายขาด

    2. ไปตรวจรักษาและรับยาสมุนไพรของไต้หวัน จากคลีนิคภูมิแพ้แห่งหนึ่ง ตัวยาจะเป็นไม้ นำมาบดเป็นผงสีเหลือง ยานี้สามารถกดอาการของโรคไว้ได้นานกว่ายาแผนปัจจุบัน แต่ราคาค่อนข้างแพง ประมาณ 1,200 บาทต่อเดือน ผมทานยานี้นานเป็นปี จนได้ข่าวจาก อย.มาเตือนว่า การกินยาสมุนไพรที่ไม่ได้มาตรฐาน อาจมีส่วนผสมของสเตียรอยด์ ถึงอาการของโรคจะทุเลา แต่จะมีผลเสียในระยะยาว จึงทำให้ผมหวาดกลัว และเลิกทานยานี้

    3. ไปตรวจรักษาและรับยาสมุนไพรจีน จากร้านขายยาจีนใกล้บ้าน โดยหมอยาประจำร้านได้จับชีพจร ที่เรียกว่าทำการ " แมะ " แล้วก็วินิจฉัยโรคออกมาได้ค่อนข้างตรง ส่วนใหญ่เกิดจากภาวะไม่สมดุลของร่างกาย หมอจึงได้จัดยาจีนให้ผมชุดใหญ่ ราคาประมาณ 4 พันกว่าบาท หมอรับรองกับผมว่าผมจะต้องหายแน่นอน ผมจึงยอมเสียเงินดังกล่าว ต้องยอมรับว่า ประสิทธิภาพของยาสมุนไพรจีนดีจริงๆ ช่วยปรับสมดุลในร่างกาย ทำให้อาการของโรคหายไป แต่หลังจากยาหมดได้ไม่นาน อาการก็กำเริบขึ้นอีก ผมจึงเลิกที่จะไปรับยาต่อ เพราะสู้ราคาไม่ไหว

    4. ตัดสินใจกลับไปรับยาแผนปัจจุบันฟรี โดยใช้สิทธิ์บัตรทองที่โรงพยาบาลเดิมแถวบ้านอีกครั้้ง เพราะเสียเงินไปเยอะแล้วแต่ไม่ได้ผล แต่คราวนี้ผมขอให้โรงพยาบาลทำใบส่งตัวผมมารักษาที่ รพ.รามาธิบดี ทางรามาก็ได้ตรวจผมอย่างละเอียด มีการเอ็กซเรย์โพรงจมูก ดูว่าเป็นไซนัสหรือไม่ ผลก็ไม่ได้เป็น มีการทำสกินเทสต์ เพื่อหาสารที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ จะได้ทำวัคซีนฉีดรักษาให้ตามโปรแกรม แต่ผมการตรวจปรากฏว่าผมไม่แพ้สารใดเลย ในขณะที่คนข้างๆ แสดงอาการแพ้จากการทดสอบ เต็มแขนไปหมด หมอจึงให้ผมกลับไปสังเกตุตัวเองว่า สัมผัสหรือรับประทานอะไรแล้ว มีอาการแพ้ ก็ให้เลี่ยง และให้น้ำเกลือมาล้างจมูก ยาแก้แพ้มาทาน และยาพ่นจมูก ผมได้ใช้ยาที่หมอให้ทุกอย่าง แต่ก็ได้แค่บรรเทาอาการ

    5. ผมได้ไปพบพระอาจารย์ที่มีญานสูงท่านหนึ่ง แถวบางปะกอก ฝั่งธน ท่านบอกผมว่าอาการโรคภูมิแพ้ของผม จะไม่หายขาด แต่อาการจะไม่มากไปกว่านี้ แค่พอให้รำคาญเท่านั้น แต่ผมก็ไม่ยอมแพ้ ผมได้หันมาปฏิบัติธรรม ทำทาน ถือศีล และนั่งสมาธิภาวนา ทั้งสมถกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐาน จากครูบาอาจารย์หลายสำนัก อาการก็ดีขึ้นบ้าง แต่ก็ยังไม่หายขาดอยู่ดี

    6. จนผมได้มารู้จักเวปพลังจิต ได้ศึกษาถึงเรื่องการใช้พลังจักรวาลรักษาโรค ผมจึงได้ไปเรียน หวังที่จะใช้รักษาตนเอง อาการก็ดีขึ้นอีกเล็กน้อย แต่ก็ไม่หายขาดเช่นเดิม ถึงแม้ว่าอาจารย์และรุ่นพี่ในสายพลังจักรวาล จะช่วยกันรักษาผมด้วยก็ตาม อาการก็ยังกำเริบได้อีกเหมือนเดิม

    7. จนมีคนแนะนำผมให้ทานเนื้อสัตว์ให้น้อยลง แต่ยังทานไข่และนมได้ ที่เรียกกันว่า " มังสวิรัติ " อาการอาจจะดีขึ้น ผมได้ทำการรักษามาหมดทุกวิธีแล้ว ทั้งแผนปัจจุบัน แผนโบราณ พลังจักรวาล ทำทาน ถือศีล นั่งสมาธิ ก็ได้แค่บรรเทา แต่ไม่หายขาด จะลองอีกสักวิธี ก็คงไม่เสียหาย เพราะการกินมังสวิรัติ ไม่ได้สิ้นเปลืองเงินทองอะไรมากขึ้นเลย แต่อาจจะต้องสั่งพิเศษนิดหน่อย เวลาไปทานร้านธรรมดา หรือจะสั่งอาหารธรรมดาแล้วมาเขี่ยเอาเนื้อสัตว์ออกเอา ที่เรียกว่า " เจเขี่ย " ก็ได้ หลังจากผมทานมังสวิรัติได้ 3 เดือน ผมก็ได้ประจักษ์ถึงผลกับตนเองว่า อาการของภูมิแพ้ มันได้หายขาดไปจริงๆ โดยไม่มีอาการอีกเลย แม้ช่วงอากาศจะเปลี่ยน จะร้อน จะหนาว จะชื้น จะฝุ่น แล้วก็ไม่ทำให้ผมเป็นหวัดง่ายเหมือนแต่ก่อนอีกด้วย มันเป็นความมหัศจรรย์จริงๆ ตอนนี้ผมก็ได้ทานมังสวิรัติมาครบ 1 ปี แล้ว อาการของภูมแพ้ก็ไม่เคยกำเริบอีกเลย แม้เพียงเล็กน้อย ทุกวันนี้ผมไม่ต้องทานยาทุกวัน ไม่ต้องหาหมอทุกเดือนอีกแล้ว แต่ผมขอย้ำว่า สิ่งนี้เป็นประสบการณ์ตรงส่วนตัวเท่านั้น ผลที่ได้ก็เกิดกับตัวผมเอง เพียงแต่นำมาเล่าสู่กันฟังเท่านั้น ใครจะเชื่อ ไม่เชื่อ หรือจะลองนำไปปฏิบัติดูบ้าง ก็คงไม่มีอะไรเสียหาย ใช่่ไหมละครับ เพราะการกินมังสวิรัติ หรือไม่กิน มันก็ขึ้นอยู่กับตัวของท่านเอง ปากของท่าน ท้องของท่านเอง แต่ถ้ามันได้ผลดี เช่นเดียวกับผม มันก็คุ้มไหมละครับ ที่จะทดลอง

    เหตุผลที่เราควรหันมาทานมังสวิรัติ

    1. เพื่อสุขภาพ เพราะมนุษย์เป็นสัตว์กินพืช โดยสรีระทางกายภาพ ไม่ว่าจะเป็นฟัน ลำไส้ ระบบย่อยอาหาร และสัญชาตญาน การที่เรากินเนื้อสัตว์เป็นการฝืนธรรมชาติของร่างกาย อะไรที่ฝืนธรรมชาติ ย่อมอยู่ได้ไม่นาน เนื้อสัตว์ทั้งหลายเป็นแหล่งรวมของโรคภัย ฮอร์โมนทั้งหลายที่เราฉีดให้กับสัตว์เพื่อเร่งโต เร่งเนื้อแดง รวมทั้งสารอะดีนาลีนที่หลั่งออกมาก่อนที่สัตว์นั้นจะตาย ล้วนเป็นสารเคมีที่จะกลับมาทำร้ายเรา ทำให้เราเป็นโรคที่รักษาไม่หาย เช่น มะเร็ง ความดัน คอเลสตอรอล ภูมิแพ้ เป็นต้น

    2. เพื่อลดเจ้ากรรมนายเวรรายใหม่ๆ อันเกิดจากการมีส่วนในการฆ่า และเบียดเบียน มีตัวอย่างของสัตว์ที่ได้กลับชาติมาเกิดเป็นคน แล้วระลึกชาติได้หลายกรณี สัตว์เหล่านั้นมีความอาฆาตแค้น และจิตวิญญานได้วนเวียนอยู่ในร้านขายเนื้อสัตว์ เฝ้าหวงแหนศพของตนเอง และคอยติดตามคนที่ซื้อไปทำอาหาร ถึงจิตวิญญานนั้นจะได้ไปเกิดในเวลาต่อมาก็ตาม แต่พลังงานแห่งความเคียดแค้น ยังคงอยู่แทรกซึมอยู่ในชิ้นเนื้อแต่ละชิ้นที่เรากินเข้าไป รวมทั้งกฏแห่งกรรม ซึ่งเป็นพลังงานที่เที่ยงตรงที่สุด ก็ต้องทำหน้าที่ต่อไป

    3. เพื่อเสริมสร้างจิตเมตตา ให้เกิดขึ้นในใจตน เหมือนดังจิตของพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ที่เป็นมหาเมตตา ไม่กิน ไม่ซื้อ ไม่่ขาย ไม่ฆ่า ไม่เบียดเบียน ไม่ข้องเกี่ยวกรรม ในเรื่องของชีวิต เลือดเนื้อ ของผู้อื่น สัตว์เหล่านั้น เค้าก็มีชีวิต มีจิตวิญญาน มีครอบครัว พ่อแม่ พี่น้อง รักชีวิต รักตัวกลัวตาย เช่นเดียวกับมนุษย์เรา เขาเหล่านั้น อาจเคยเกิดเป็นญาติ เป็นพ่อแม่ พี่น้อง เป็นเพื่อนของเรา พวกเขาล้วนเป็นเพื่อนร่วมวัฏสงสาร เพื่อนร่วมเกิดแก่เจ็บตายของเรา ล้วนเกิดมาจากดวงจิตดวงใหญ่ เช่นเดียวกันกับเรา มีต้นธาตุต้นธรรม ต้นกำเนิดที่เดียวกันกับเรา เราจึงควรเลิกที่จะมีส่วนในการเบียดเบียนสรรพชีวิตทั้งหลาย

    สัพเพ สัตตา สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรซึ่งกันและกันเลย อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย เราสวดกันอยู่แทบทุกวัน แต่เราหารู้ไม่ว่า ไม่มีคนกิน ไม่มีคนซื้อ ก็จะไม่มีคนขาย ไม่มีคนฆ่า สัตว์เหล่านั้นก็จะรอดตาย สัตว์เหล่านั้นเกิดมาเพื่อใช้กรรม เช่นเดียวกับเรา มิได้เกิดมาเพื่อเป็นอาหารของเรา ถ้ามันเป็นอาหารของเราจริง เหตุใด เมื่อเราจะกินมัน มันจะต้องดิ้น ต้องหนี เอาชีิวิตรอด โดยไม่เต็มใจด้วยเล่า ลองดูเทศกาลกินเจ ของทุกปี จะมีร้านอาหารเจ ปักธงเหลืองกันมากมาย คนงดกินเนื้อสัตว์กันมาก ทำให้ร้านที่ขายเนื้อสัตว์ขายได้น้อยลง หลายร้านได้งดขายเนื้อสัตว์ชั่วคราว แล้วหันมาขายอาหารเจแทน เห็นไหมละว่า เมื่อไม่มีคนกิน ไม่มีคนซื้อ ก็จะไม่มีคนขาย ไม่มีคนฆ่า ในเทศกาลกินเจ สถิติการฆ่าสัตว์จะลดลงมาก เสียดายที่เทศกาลนี้มีเพียงแค่ 10 วัน น่าจะมีตลอดทั้งปี ก็คงจะดีไม่น้อย

    บทความนี้ เป็นความคิดเห็นส่วนบุคคล เป็นประสบการณ์ตรงส่วนบุคคล ในการปฏิบัติ และเห็นผลจริง ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 พฤษภาคม 2010
  2. วิมานะ

    วิมานะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2008
    โพสต์:
    139
    ค่าพลัง:
    +202
    เสียงกรีดร้องขอชีวิตจิตหวาดหวั่น
    เสียงห้ำหั่นเข่นฆ่าน่าสยอง
    เสียงซวบซาบคมดาบเชือดเลือดไหลนอง
    เสียงกรีดร้องสะท้านจิตสะกิดใจ
    เสียงสัพเพสัตตาให้พาคิด
    ว่าชีวิตนี้มีค่ากว่าสิ่งไหน
    อเวราอย่ามีเวรอย่าเป็นภัย
    ชีวิตใครใครก็หวงอย่าล่วงเกิน
    ท่องสัพเพสัตตามาแต่ไหน
    ยังเข้าใจเนื้อแท้แต่ผิวเผิน
    ยังฆ่าบ้างกินบ้างอย่างเพลิดเพลิน
    ยังใช้เงินซื้อชีวิตอนิจจา
    สัตว์เกิดกายมาใช้กรรมที่ทำไว้
    เป็นเป็ดไก่กุ้งปูเป็นหมูหมา
    ตามเหตุต้นผลกรรมที่ทำมา
    มิใช่ฟ้าประทานไว้ให้คนกิน
    มีปัญญาแต่ไฉนจึงไม่คิด
    มองชีวิตกลับเห็นเป็นทรัพย์สิน
    เสียงกรีดร้องก่อนตายใครได้ยิน
    น้ำตารินเมื่อถูกเชือดเลือดกระเซ็น
    พูดว่าเขาเกิดมาเป็นอาหาร
    เขาลนลานหนีตายมีใครเห็น
    เขาจนใจพูดไม่ได้เถียงไม่เป็น
    ช่างเลือดเย็นเข่นฆ่าไม่ปราณี
    มีพืชผักมากมายนับไม่ถ้วน
    ทุกอย่างล้วนรสสดใสหลากหลายสี
    ธรรมชาติจัดวางอย่างดิบดี
    สัตว์วิ่งหนีพืชเต็มใจให้กินมัน
    เพราะเรากินเขาจึงฆ่าเอามาขาย
    เราสบายแต่สัตว์โลกต้องโศกศัลย์
    ท่องสัพเพสัตตามาทุกวัน
    เมตตากันโปรดอย่าฆ่าและอย่ากิน
     
  3. ณ.

    ณ. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2006
    โพสต์:
    3,387
    ค่าพลัง:
    +9,080
    อนุโมทนาด้วยค่ะ ไม่เจอกันนานเลยเนอะ...ยังคิดถึงอยู่เสมอ
    ดีใจที่ได้ทราบข่าวว่าสบายดีขึ้นมาก
    อนุโมทนาด้วยในการพัฒนาขึ้นของสุขภาพกายและจิตค่ะ...

    สัตว์ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ก็เป็นสัตว์...
    บางทีเราก็ไม่ได้ตั้งใจ เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำอะไรลงไป
    แต่มันย่อมแสดงผลเสมอ...

    ถือว่าคุณวิมานะเดินมาถูกทางในการรักษาโรคได้...บุญยังนำทางมาดี
    ขอให้มีสติปัญญาในการนำทางทุกเรื่องนะคะ...สาธุ
     
  4. สองโลก

    สองโลก สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    20
    ค่าพลัง:
    +12
    ผมก็เป็นอยู่ครับทรมานมาก เป็นมาประมาณ14 ปี อาการเหมือนท่านจขกทเลยครับ ปวดโพรงจมูก เบ้าตา ขมับทั้ง 2 ข้าง แต่ไม่จาม อาการจะเป็นตลอด24 ชม 365 วัน เลยครับ เวลาหน้าหนาวอาการจะหนักหน่อยคือ่ คักจมูกทั้ง2ข้างเลยถ้าหากทนไม่ไหวจริง จะนอนไมหลับต้องใช้ยาหยอดจมูกแบบลดอาการบวมของโพรงจมูกในทันทีถึงจะนอนหลับแต่ได้แต่8 ชม.ก็จะบวมไหม่ เคยไปตรวจ แล้วก็เอ็กซเร ก็ไม่เป็นไซนัส ครับอาการแพ้ก็ไม่มี หมอก็ให้น้ำเกลือล้างจมูก ยาพ่น แล้วก็ยาแก้ปวดแบบแรง ก็ไม่ดีขึ้นครับ ทุกวันนี้ก็ทน จนชินแล้วครับหากวิธีนี้ได้ผล ก้ออยากจะลองดูอีกซักครั้งครับ.:cool:
     
  5. kiatti1234

    kiatti1234 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2009
    โพสต์:
    1,839
    ค่าพลัง:
    +811
    เปงอย่างยาวนานมากครับท่าน
     
  6. Charmaar

    Charmaar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    78
    ค่าพลัง:
    +341
    เป็นโรคภูมิแพ้เหมือนกันค่ะ ไปหาหมอที่รพ (แผนปัจจุบัน)...คุณหมอบอกว่าไม่หายขาด แต่เราไม่เชื่อ จะต้องหายให้ได้ เพราะไปหาคุณหมอที่บัลวี คุณหมอบอกว่าหายได้

    วิธีคือ
    1. ไม่ทานผงชูรส เนย นมวัว มาม่า
    2. ทานผลไม้ 1 ชนิด ทั้งวัน 1 วันต่ออาทิตย์
    3. ทานวิตามินซี 4000 มิลลิกรัมต่อวัน
    4. ทานเม็ดยาจีนของบัลวี
    5. ออกกำลังกาย
    6. นอนก่อน 4 ทุ่ม
    เราทานได้อาทิตย์หนึ่ง ภูมิแพ้ขึ้นหนักมาก เพราะพิษในตัวออกมาเยอะ
    คุณหมอที่บัลวีจึงให้ ฉีดวิตามีนซีเข้าเส้นเลือดทุกอาทิตย์

    อีกไม่นานคุณแม่ให้ต้มยาจีนกิน เป็นรากไม้+พุทรา กินได้ 1 เดือน หายสนิท

    ตอนนี้ไม่เป็นภูมิแพ้แล้วค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...