พุทธศาสนาในฮอลแลนด์

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย zipper, 9 มิถุนายน 2008.

  1. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,226
    ค่าพลัง:
    +10,590
    ไปเจอเรื่องน่าสนใจมาเลยเอามาแบ่งปันกัน
    <hr>
    เมื่อการทำสมาธิ แบบชาวพุทธ พิสูจน์ได้แล้วว่า ช่วยยกระดับจิตใจ และสมองปลอดโปร่ง คลายความวิตกกังวล ได้ในระดับหนึ่ง

    หลายๆ บริษัทใหญ่ๆ ในฮอลแลนด์ จึงมีโครงการนำร่อง โดยให้พนักงานในบริษัทของตน ไปเรียนทำสมาธิ ในวัดไทย ที่ประเทศฮอลแลนด์

    ยกตัวอย่าง บริษัทโฮย่า ของญี่ปุ่น ที่มีสาขาในประเทศฮอลแลนด์

    อนุญาต ให้พนักงาน หยุดไปเรียนทำสมาธิ ได้ 3 วัน

    การเรียนทำสมาธิ แบบชาวพุทธ กำลังได้รับความสนใจ จากฝรั่งที่นี่อย่างมากมาย อาทิเช่น นักกีฬาปาเป้า แชมป์โลกชาวฮอลแลนด์

    เขาเปิดเผยว่า ก่อนการแข่งขัน เขาทำสมาธิ เพื่อความผ่อนคลาย

    ตอนนี้ ศาสนาพุทธ ค่อยๆ ซึมลึกเข้าไปในประเทศฮอลแลนด์ อย่างเหลือเชื่อ

    ทีวี ช่อง 1 ของฮอลแลนด์ ได้บรรจุ เรื่องของพุทธศาสนา เผยแพร่ เป็นประจำ อาทิตย์ละ 1 วัน จากเดิมที่เคยมีแต่ คาธอทิก คริสเตียน และมุสลิม

    ตอนนี้ ใครอยู่ฮอลแลนด์ จะสังเกตได้ว่า พระพุทธรูป ถูกวางประดับไว้ในรายการต่างๆ จนชินตา

    แม้ใครจะมองเป็นเครื่องประดับก็ตามที แต่ถ้าคิดอีกที ของไม่รักไม่ชอบ เขาก็คงไม่เอามาวางไว้หรอกนะ ฝรั่งก็จะเข้าใกล้ศาสนาพุทธ แบบไม่รู้ตัวไง

    วัดไทยล่าสุด ที่ฮัมสเตอร์ดัม ก็สร้างโดยคนจีน และเวียดนามที่นี่

    เดี๋ยวนี้ วัดไทยในยุโรป ก็มากมาย ไม่เว้นแม้แต่ รัสเซีย จะเห็นพระท่านบินไปต่างประเทศบ่อยๆ ตอนมาที่นี่ เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม ที่ผ่านมานี้เอง

    ก็เห็น หลวงพ่อ 2 รูป ท่านถูกนิมนต์มาที่นี่ เห็นฝรั่งนอบน้อมกับท่าน แบบรู้จักที่ต่ำที่สูง เห็นแล้ว คนไทยบางคน ยังทำไม่ได้อย่างฝรั่งเลย

    ฝรั่งที่นี่ รู้จักหลวงพ่อชา กับหลวงพ่อสด ดีกว่าคนไทยบางคนเสียอีกนะ แม้ท่านจะมรณภาพไปนานแล้วก็ตาม ภูมิใจมาก

    ทีวี ที่เผยแพร่เกี่ยวกับศาสนาพุทธ ที่นี่ แล้วขนลุกเลย

    เมื่อฝรั่ง ที่หันมานับถือศาสนาพุทธ เขามีรูปหลวงพ่อสด วัดปากน้ำ ขนาดใหญ่มาก แขวนบูชาไว้ที่บ้านของเขา

    ทราบว่า ที่เยอรมันอยากเปิดสอนหลักสูตรพระพุทธศาสนาในระดับไฮสคูล แต่ขาดแคลนครูหาคนสอนไม่ได้

    JIN

    ขอย้ำการทำสมาธิ มีกันทุกศาสนา แต่ของพุทธะจะก้าวข้ามไปอีกหลายชั้นล้ำลึกนัก ตั้งแต่การดูจิต หายใจเข้าออกพุทธ-โท จนถึงขั้นได้ญาณสมานาบัติเห็นถึงกิเลสอย่างละเอียด หลุดพ้นกันไปเลยทีเดียว

    การที่ฝรั่งสนใจกันแบบนี้ ลือดวงอาทิตย์จะขึ้นทางตะวันตกเหมือนดั่งคำทำนาย...

    ตัวอย่างการฝึกโยคะเป็นต้น กำเนิดจากดินเดีย ฝั่งเอเชีย โด่งดั่งในโลกตะวันตก แล้วกลับกลายเป็นว่าคนตะวันตกมาสอนโยคะ คนเอเชีย... โลกเรามันก็มีอะไรแปลกๆเช่นนี้เหนอ...

    จากคุณ : vierzehn

    http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X6688555/X6688555.html
     
  2. คนมีกิเลส

    คนมีกิเลส เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    3,973
    ค่าพลัง:
    +19,431
    [​IMG] [​IMG]

    ฝรั่งที่นี่ รู้จักหลวงพ่อชา กับหลวงพ่อสด ดีกว่าคนไทยบางคนเสียอีกนะ แม้ท่านจะมรณภาพไปนานแล้วก็ตาม
     
  3. สังวรคุณ

    สังวรคุณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    148
    ค่าพลัง:
    +765
    พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้เรื่องทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ความดับทุกข์ และวิธีปฏิบัติเพื่อเข้าถึงซึ่งความดับทุกข์ ซึ่งสมบูรณ์แบบที่สุดในโลกนี้ หาข้อโต้เถียงไม่ได้แม้แต่นิดเดียวว่าไม่เป็นอย่างนั้น และเรื่องทุกข์และเรื่องความดับทุกข์ก็เป็นที่ปราถนาของสัตว์โลกทุกๆชีวิตอยู่แล้ว คือต้องการที่จะพ้นจากความทุกข์ ไม่ว่าชาติไหน ภาษาไหน ก็ไม่ต้องการความทุกข์ด้วยกันทั้งสิ้น โลกเรายุคนี้โชคดี ที่มีศาสตร์แห่งการดับทุกข์สมบูรณ์ที่สุดอยู่บนโลกใบนี้ ผู้แสวงหาทางดับทุกข์สามารถหาศึกษาและนำไปปฏิบัติได้ และโดยเฉพาะ ไม่เลือกชั้น วรรณะ ไม่เลือกชาติ ศาสนา และ ภาษา เพราะคำสอนเป็นหลักสากลจริงๆ ผู้ศึกษาและปฏิบัติได้ ให้ผลได้ไม่จำกัดกาล อันนี้คือคุณอันวิเศษยิ่งของพุทธธรรมของพระพุทธศาสนาของเรา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มิถุนายน 2008
  4. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,226
    ค่าพลัง:
    +10,590
    ในกระทู้นั้นมีคนเขียนว่า

    ความคิดเห็นที่ 20

    มาสมัครงานที่ MFEC ด่วนเลยครับ มีลาไปปฏิบัติธรรมได้มีเงินช่วยทำบุญให้

    จากคุณ : Chaos dragon

    MFEC คือบริษัทไหนเนี่ย?

    Edit: น่าจะใช่บริษัทนี้นะ

    ประชาชาติธุรกิจ วันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2550 ปีที่ 30 ฉบับที่ 3944 (3144)

    ศิริวัฒน์ วงศ์จารุกร บริหารโดยใช้ CSR มาประยุกต์กับ HR

    [​IMG]

    มองเผินๆ เหมือนเป็นเรื่องธรรมดาที่บริษัท เอ็ม เอฟ อี ซี จำกัด (มหาชน) หรือที่เรียกง่ายๆ ว่า "เอ็มเฟค" จะมียอดขายรวมถึงปีละ 2,600 กว่าล้านบาท

    แต่ที่ไม่ธรรมดาเพราะบริษัทดังกล่าวทำธุรกิจเกี่ยวกับการบริการให้คำปรึกษาพัฒนาและวางระบบคอมพิวเตอร์และเครือข่ายเทคโนโลยีสารสนเทศที่ประกอบด้วยกลุ่มธุรกิจหลัก 3 กลุ่มด้วยกันคือ

    หนึ่ง กลุ่มธุรกิจบริการให้คำปรึกษาและพัฒนางานด้านเทคโนโลยี

    สอง กลุ่มธุรกิจพัฒนาและวางระบบ

    สาม กลุ่มธุรกิจบริการด้านการบำรุงรักษา

    มิหนำซ้ำบริษัท เอ็ม เอฟ อี ซี จำกัด (มหาชน) ยังมีบริษัทลูกในเครืออีกทั้งหมด 6 บริษัท รวมพนักงานทั้งสิ้นประมาณ 700 คน

    ซึ่งพนักงานส่วนใหญ่อายุเฉลี่ยประมาณ 25-28 ปีเท่านั้นเอง

    แต่สามารถสร้างผลกำไรให้บริษัทมากถึง 2,600 กว่าล้านบาทต่อปี ที่สำคัญพนักงานส่วนใหญ่ที่ถือเป็นกุญแจสำคัญของธุรกิจนี้ล้วนมีเกรดเฉลี่ยตั้งแต่ 3.5 ขึ้นไป

    หรือจะต้องได้เกียรตินิยมอันดับ 1 และ 2 เท่านั้น

    ถามว่า ทำไมถึงต้องเป็นเช่นนั้น ?

    "ศิริวัฒน์ วงศ์จารุกร" กรรมการผู้จัดการใหญ่ บอกว่า เพราะธุรกิจนี้จำเป็นต้องใช้คนเก่งและในอดีตผมยอมจ่ายค่าฉลาดในการสร้างคนมามาก

    "แต่เมื่อบริษัทเติบโตขึ้น มีการแตกออกเป็นบริษัทลูก และมีพนักงานมากขึ้น ผมก็รู้สึกว่าสิ่งที่ผมคิดว่าบริษัทจะต้องมีแต่คนเก่งๆ เริ่มผิดที่ผิดทาง เพราะคนเก่งๆ เหล่านี้มุ่งที่จะไปข้างหน้าอย่างเดียว โดยไม่สนใจว่าคนข้างหลังจะเป็นอย่างไร"

    "อีกอย่างคนเก่งๆ ไม่มีความภักดีองค์กร เขามองแต่ว่าใครให้เงินมากกว่าก็ไป เปรียบเทียบก็เหมือนนักฟุตบอลในพรีเมียร์ลีกที่เล่นยังไม่ทันครบ 90 นาที ก็ขอย้ายทีม เพราะทีมนั้นให้เงินเยอะกว่า ซึ่งจริงๆ มันทำไม่ได้ เพราะนักเตะเหล่านั้นมีสัญญากับสโมสรอยู่"

    "คนเก่งๆ ในอดีตของผมก็เป็นเช่นนั้น คือจู่ๆ ก็ทิ้งงานไปเลย โดยไม่สนใจว่าคนข้างหลังจะทำต่อได้หรือไม่ ผมจึงมานั่งคิดว่า เราไม่ควรที่จะโฟกัสคนเก่งอีกต่อไปแล้ว แต่เราจะต้องโฟกัสคนดีด้วย แต่ทีนี้จะทำอย่างไร เพราะที่บริษัท เราก็มีฝ่าย HR ของเรา ซึ่งแน่นอนเรามีการฝึกอบรมจากภายนอกและภายในอยู่แล้ว"

    "ซึ่งก็ได้ผลในระดับหนึ่ง เพราะ HR เราพัฒนาประสิทธิภาพพนักงานแต่เพียงภายนอก ทั้งนั้นก็เพื่อเพิ่มพูนศักยภาพของพนักงานเพื่อให้เขามีความชำนาญในวิชาชีพมากขึ้น ซึ่งผมมองว่าก็เหมือนกับเราพัฒนาเขาแต่เพียงทางกาย แต่ทางใจล่ะ เราจะพัฒนาอย่างไร"

    "เพราะในช่วง 1 ปีกว่าๆ ผ่านมาเลือดก็ยังไม่ยอมหยุดไหล ยังมีเทิร์นโอเวอร์ค่อนข้างสูง ผมจึงมองว่าเรื่องนี้มันเป็นเรื่องของกิเลสมนุษย์ที่อยากได้ใคร่ดี และคนที่ลาออกส่วนใหญ่ก็มองเรื่องเงินเป็นหลัก ผมจึงมานั่งคิดว่า เห็นทีผมคงต้องดับกิเลสเสียก่อน หาไม่เช่นนั้นบริษัทต้องมีปัญหาแน่"

    "ผมจึงมานั่งคิดว่า แล้วจะทำอย่างไร จนที่สุดก็คิดได้ว่าเห็นทีคงต้องนำ CSR มาปรับใช้ เพราะทางหนึ่งเราใช้ HR ในการพัฒนากายแล้ว แต่ทางใจเราต้องนำ CSR มาประยุกต์ใช้ด้วย เพราะผมเชื่อว่าคนของผมส่วนใหญ่พื้นฐานครอบครัว พื้นฐานการศึกษาค่อนข้างดี"

    "และผมก็เชื่อว่าคนไทยทุกคนมีจิตเมตตาในตัวเองเป็นทุนอยู่แล้ว เพียงแต่เราอาจยุ่งๆ เกี่ยวกับภาระและการงานจนทำให้เราหลงลืมไปว่าในสังคมส่วนใหญ่ยังมีคนที่ลำบากกว่าเราอีกมาก ผมก็เลยอยากที่จะจุดประกายพวกเขา"

    "ด้วยการพาพนักงานออกไปสร้างโรงเรียน ออกค่าย หรือไปทอดผ้าป่า ปฏิบัติธรรมในต่างจังหวัด รวมทั้งยังมีส่วนช่วยสนับสนุนจัดการประชุมวิชาการคอมพิวเตอร์และวิศวกรรมคอมพิวเตอร์แห่งชาติ และช่วยเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ต่างๆ ให้กับโรงเรียนในต่างจังหวัด และจัดทำซีดีสารานุกรมในหลวงด้วย"

    "ซึ่งปรากฏว่าหลังจากที่พนักงานของเรามีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างๆ เขาก็ได้เห็นแววตาของเด็กๆ เขาได้พูดคุยถึงเรื่องอนาคตของเด็กๆ รวมทั้งยังได้เห็นสภาพความเป็นอยู่ของครอบครัว เขาก็รู้สึกสงสาร และรู้สึกว่าทำไมโลกมันโหดร้ายเช่นนี้"

    "ขณะเดียวกันเขาก็ได้มองย้อนกลับไปที่ตัวเอง ว่าสิ่งที่เขามีทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นบ้าน รถยนต์ หรือการงานที่ทำอยู่ขณะนี้ ล้วนเป็นอนาคตของเด็กๆ ที่อยากได้ทั้งสิ้น"

    ฉะนั้นพอหลังจากที่พนักงานเหล่านั้นกลับมาออฟฟิศ เขาก็ได้แชร์กันถึงสิ่งที่เขาไปสัมผัสมา ซึ่งก็เป็นการสร้างความสัมพันธ์กันในองค์กร ขณะเดียวกันก็ได้สร้างทีมเวิร์กอย่างบังเอิญด้วย

    จนทำให้เลือดค่อยๆ หยุดไหล

    "ศิริวัฒน์" บอกว่า ตลอด 1 ปีครึ่งที่นำ CSR มาปรับใช้กับพนักงานในองค์กร เขาได้คำตอบเลยว่า เงินไม่ใช่ปัจจัยสำคัญกับพนักงานอีกต่อไปแล้ว

    แต่เงินเป็นเพียงเครื่องนำพาให้ชีวิตดำเนินอยู่ได้เท่านั้นเอง

    "ผมเห็นความเปลี่ยนแปลงทันที เพราะอย่างที่บอก เมื่อก่อนคนเหล่านี้จะพุ่งเป้าไปข้างหน้าอย่างเดียว โดยไม่สนใจคนอื่น แต่ปัจจุบันเขาเริ่มรู้แล้วว่า เงินเป็นเพียงเครื่องมืออย่างหนึ่งเท่านั้นเอง และเงินที่เขามีนั้น ถ้าสามารถแบ่งปันไปให้คนอื่นบ้าง คงเป็นเรื่องที่ดี"

    "อีกอย่างเวลามีบริษัทไหนมาชวนพวกเขาไปอยู่ที่อื่น เขาก็จะมาบอก หรือแซวๆ กัน ซึ่งเป็นบรรยากาศที่ดีที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลย สำคัญไปกว่านั้น เรายังได้ความเป็นทีมเวิร์ก และทำให้เรารู้ด้วยว่า จริงๆ แล้วคนเก่งที่เรามีนั้น จริงๆแล้วเขาเป็นคนดีด้วย"

    "เพราะผมจะบอกเขาว่า พวกคุณเปรียบเหมือนเทียนไขเล่มหนึ่งที่ไปจุดแสงสว่างในใจเขา ดังนั้นจงอย่าทำตนให้วูบดับไปพร้อมกับเทียนไข แต่คุณจะต้องส่องสว่างในตัวเองอยู่เสมอ"

    "ศิริวัฒน์" ยอมรับว่า ในธุรกิจเทคโนโลยีสารสนเทศซึ่งเกี่ยวข้องกับการวางไอทีทั้งระบบ อาจทำให้ภาพภายนอกดูเหมือนเป็นคนทันสมัยและรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

    แต่ลึกลงไปในใจของพนักงานทุกคน "ศิริวัฒน์" ยังมีความเชื่อว่าพนักงานเหล่านั้นมีความดีที่ซ่อนอยู่ในตัว ดังนั้นการที่เขาตัดสินใจดับกิเลสเสียแต่เบื้องต้น จึงไม่เพียงทำให้เขาเห็นพนักงานในอีกมิติหนึ่ง

    หากยังช่วยตอบโจทย์เขาด้วยว่า พนักงานของเขาแท้ที่จริงเป็นคนเก่งและเป็นคนดีด้วย เพียงแต่ช่วงผ่านมายังไม่มีใครไปจุดประกายให้เขาเหล่านั้นเท่านั้นเอง

    ดังนั้นการที่ "ศิริวัฒน์" เป็นผู้นำพาการจุดประกายฝันครั้งนี้ และมีการนำ CSR มาผสมผสานกับ HR จึงไม่เพียงทำให้กายภายนอกในเรื่องของประสิทธิภาพประสิทธิผลของพนักงานจะสูงขึ้น

    หากกายภายในยังทำให้พนักงานเหล่านั้นมองโลก มองคน รวมถึงมองตัวเองอย่างเข้าใจมากขึ้นด้วย จนทำให้ "ศิริวัฒน์" กล้าที่จะพูดว่า "เอ็มเฟค" เป็นบริษัทหนึ่งในกลุ่มอุตสาหกรรมธุรกิจไอทีเพียงบริษัทเดียวที่มีวัฒนธรรมองค์กรเป็นเช่นนี้

    เป็นเช่นที่หลายๆ คนอาจไม่เข้าใจ

    แต่ "ศิริวัฒน์" กลับเชื่อว่า เมื่อเราดับกิเลสมนุษย์ได้ ก็จะทำให้คนคนนั้นพบกับความสุขที่แท้จริง เพราะกิเลสเป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งเลวร้ายทั้งปวง

    ที่น้อยคนจะเข้าใจ

    แต่สำหรับ "ศิริวัฒน์" ตอนนี้เขาเข้าใจแล้ว และเขาก็รู้แล้วว่าต่อไปข้างหน้าเขาจะนำพาองค์กรและพนักงานไปในทางใด

    ถึงจะเกิดความยั่งยืน ?
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มิถุนายน 2008

แชร์หน้านี้

Loading...