พุทธศาสนาเป็นจิตนิยม ไม่ใช่วัตถุนิยม

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ชาไม่รู้, 27 สิงหาคม 2009.

  1. ชาไม่รู้

    ชาไม่รู้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    485
    ค่าพลัง:
    +878
    พุทธศาสนาเป็นจิตนิยม ไม่ใช่วัตถุนิยม

    พระมักเทศน์ว่า “พุทธศาสนาของเราดีกว่าคริสต์ เป็นอเทวนิยม ไม่ใช่เทวนิยม” เพราะไม่ยึดพระเจ้า จริงๆ แล้วเป็นแค่การแบ่งพรรคพวก ให้เราเลือกพวกหนึ่ง แล้วละพวกหนึ่ง จริงๆ แล้วพระพุทธเจ้าไม่ได้แบ่งอย่างนี้ พระพุทธเจ้าสอนเรื่องเทวดามากมาย ถึงสามภพ สวรรค์กี่ชั้นท่านอธิบายหมด นรกกี่ขุมท่านก็สอนได้หมด ดังนั้น จะบอกว่าไม่นิยมเรื่องเทวดานั้นไม่ได้ กล่าวผิด พุทธศาสนาของเรานิยมกล่าวเรื่องเทวดาด้วย เพราะเรื่องเทวดาเป็นเรื่องของ “จิตวิญญาณ” และพุทธศาสนาของเรานิยมเรื่องจิตวิญญาณ ดังนั้น จะแบ่งแยกว่าพุทธศาสนาเป็นอเทวนิยมเพราะไม่มีพระเจ้านั้นไม่ใช่การมองที่ถูกต้อง แม้พุทธศาสนาเราจะไม่มีพระเจ้า ก็ยึดมั่นในพระรัตนตรัย คือ พระพุทธ, พระธรรม, พระสงฆ์ ไม่ได้ยึดแต่พระธรรมอย่างเดียว จะกล่าวว่าเป็น “อเทวนิยม” ไม่ได้ เพราะพระพุทธเจ้าเคยตรัสบอกว่า “วิสุทธิเทพ” ก็คือ ผู้ทำจิตให้บริสุทธิ์ได้ เช่น พระพุทธเจ้า, พระอรหันต์ ท่านก็นับให้ว่าเป็น “วิสุทธิ์เทพ” ดังนั้น การนับถือพระรัตนตรัย ก็คือ การนับถือเทวนิยมเหมือนกัน เพราะเทวนิยมเป็นส่วนหนึ่งของจิตนิยม เป็นเรื่องจิตวิญญาณ ซึ่งพระพุทธเจ้าเน้นเรื่อง “จิต” สอนเรื่อง “จิตวิญญาณ” ทว่านักวิชาการทางศาสนาไม่เข้าใจจุดนี้ จึงไปแยกศาสนาที่นับถือพระเจ้ากับไม่นับถือพระเจ้าออกจากกัน ให้แบ่งพรรคแบ่งพวก แล้วให้ชอบแบบที่ไม่นับถือพระเจ้า ให้ไม่เลือกแบบที่นับถือพระเจ้า แล้วหาว่าแบบที่นับถือพระเจ้าเป็นเรื่องงมงายไร้เหตุผล ทั้งๆ ที่พระพุทธเจ้าก็สอนเรื่องเทวดาเหมือนกันแท้ๆ สภาพของพระวิสุทธิเทพก็ดี, เทวดาที่ไตรปิฎกกล่าวถึงก็ดี, พระเจ้าก็ดี ก็ล้วนเป็นจิตนิยมทั้งสิ้น เหมือนกันทั้งสิ้น ไม่ใช่เทวนิยม หรือ อเทวนิยม จุดนี้ไม่ทำให้สาธุชนหลงทาง แต่ที่ทำให้สาธุชนหลงทางคือ “วัตถุนิยม” ที่มากับกระแสทุนนิยม ทำให้ชาวพุทธหลงนิยมแต่วัตถุ เช่น รูปหล่อ, เทวรูป, พระพุทธรูป, วัดที่สร้างด้วยวัตถุยิ่งใหญ่สวยงาม เป็นต้น สิ่งนี้ ล้วนขัดกับคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งสิ้น วัดที่พระพุทธเจ้าให้สร้างได้นั้น ต้องเป็นวัดที่เรียบง่าย ไม่ใช่เอาวังให้ให้พระอยู่ จำลองวังมาเป็นวัด ในสมัยพุทธกาล มีภิกษุใช้ดินปั้นกุฏิเอง พระพุทธเจ้าสั่งให้ทุบทิ้งเสียทุกครั้ง พระรูปนั้นก็ยังสร้างใหม่อีก นี่เพราะอะไร พระพุทธเจ้าสอนเสมอให้อยู่ง่ายๆ อย่ายึดสถานที่ สถานที่ยิ่งดียิ่งงาม ยิ่งเป็นภาระเครื่องผูกมัด อย่ายึดติดกับที่อยู่อาศัย ให้อยู่ในป่าช้า, เอาป่าเป็นเสนาสนะ, เอาเรือนร้างที่ไม่มีใครอยู่แล้วอาศัยได้ ฯลฯ ท่านให้ละเรื่อง “วัตถุ” ให้มากๆ มองว่าอนิจจัง อย่าไม่สนใจมันมาก เพราะมันไม่เที่ยง สนใจเรื่องจิต ให้มากๆ ดีกว่า ท่านเน้นเรื่องจิต และสอนเรื่องจิตวิญญาณด้วย ไม่ใช่เน้นเรื่องวัตถุนิยม เหมือนที่ท่านกำลังหลงกันอยู่ <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ปัจจุบันนี้ ทั้งนักวิชาการทางศาสนาและพระสงฆ์ไทย ประมาณ ๙๐% หลงทางไปด้าน “วัตถุนิยม” กันมาก ชอบสร้างรูปเคารพบูชามากๆ เรี่ยไรเงิน เรียกลาภสักการะได้มาก จึงเป็นที่นิยมชมชอบ นี่ต่างหากที่ผิด คือ ต้องเน้นจิต ไม่ใช่เน้นวัตถุ แล้วไม่ต้องไปอ้างเรื่อง เทวนิยมหรืออเทวนิยม ไม่เกี่ยวกันเลย พุทธศาสนาของเรา นิยมเทวดา มีการสอนเรื่องเทวดาด้วย มากยิ่งกว่าคริสต์ กว่าพราหมณ์อีก เทวดาของพุทธแยกแยะได้หมด ไม่รู้กี่หมวดกี่หมู่ แล้วจะเรียกว่าไม่นิยมเทวะได้อย่างไร เรานิยมมากๆ ด้วย ที่จะศึกษาเรื่องเทวดา เรื่องจิตวิญญาณ และมุ่งเน้นเรื่องจิตมาก นี่ไม่แตกต่างจากศาสนาอื่น แต่ทุกวันนี้ เรากำลังโกหกตัวเองว่าเรามีเหตุผล เราเชื่อเรื่องเหตุผล เราไม่เชื่อ ไม่งมงายเรื่องจิตวิญญาณ เราไม่มีพระเจ้า แต่เราก็มีพระพุทธเจ้านี่นา เราเชื่อเรื่องเทวดามีจริง นรกสวรรค์ และสัตว์ในนรกสวรรค์ก็มีจริง สัตว์ในสวรรค์ที่เราเชื่อว่าจริง ก็คือ เทวดา แล้วเราจะไม่นิยมเรื่องของเทวดาได้อย่างไร เราจะเป็น “อเทวนิยม” ได้อย่างไร ผิดถนัด เรานี่แหละ นี่เป็นเทวนิยม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ “จิตนิยม” ที่ไม่ใช่ “วัตถุนิยม” ขอให้เข้าใจใหม่เถิด ตื่นเถิดท่าน อย่าหลงกันให้มากเลยเถิดไปไกล ทุกวันนี้ เงินไหลเข้าผ้าเหลืองของเรา เป็นเรื่องวัตถุกี่เปอร์เซ็นต์ เรื่องจิตกี่เปอร์เซ็นต์ เวลาคนทำบุญให้กิจกรรมฝึกจิต นั้นสัก ๑๐% แต่ทำบุญสร้างถาวรวัตถุ ๙๐% ของเงินที่หมุนในพุทธศาสนาเรา พระบางรูปกล่าวว่าที่ทำนี้เป็นสมบัติของชาติ แต่นี่คิดแบบนักการเมือง คิดแบบพระราชา ไม่ได้คิดแบบพระสงฆ์ พระสงฆ์ไม่ต้องมายุ่งเรื่อง “สมบัติ” บ้าบออะไรของใครอีกแล้ว ตื่นเถิดท่าน

    <O:p</O:pคำว่า “เทวนิยม” นั้น หมายถึง ความนิยมในการศึกษาเทวดาต่างๆ ในพุทธศาสนาของเรา นิยมที่จะศึกษากันมาก เพราะเป็นเรื่องจริง เป็นส่วนหนึ่งของสัจธรรม ที่มีการเวียนว่ายตายเกิด มีภพภูมิทั้งสาม และมีเรื่องของเทวดา เรื่องของจิตวิญญาณมากมายในพระพุทธศาสนา แต่เหล่าพุทธวิชาการ ไม่เข้าใจนัยนี้ เขาได้แบ่งพุทธศาสนาออกจากคริสต์ศาสนา ด้วยการใช้การมีพระเจ้าและไม่มีพระเจ้า ซึ่งคำว่าพระเจ้านั้นเป็นแบบของคริสต์เท่านั้น จะเอามาเป็นเกณฑ์ร่วมกันในการแบ่งระหว่างคริสต์กับพุทธไม่ได้ และพระเจ้านั้นไม่ใช่สิ่งหลักของพุทธศาสนา ทำไมจึงเอาเรื่องพระเจ้ามาแบ่งศาสนาทั้งสอง ซึ่งเราเองเป็นพุทธก็ไม่รู้จริงเรื่องพระเจ้าแล้วเราจะพูดโดยเอาเรื่องพระเจ้ามาโจมตีว่าเป็นสิ่งยึดมั่นในเทวะได้อย่างไร พระพุทธเจ้าสอนเรื่องนิพพาน ซึ่งไม่มีในศาสนาอื่น และคือหัวใจสำคัญที่สุดของพุทธศาสนา ทำไมไม่ยกเอานิพพานนั้นมาเป็นเรื่องหลัก ว่าพุทธศาสนาของเราสอนเรื่องนิพพาน ไม่มีในศาสนาอื่น ศาสนาอื่นไม่ได้สอนถึงนิพพาน ไม่ได้สอนให้หลุดพ้นจนถึงที่สุด อย่างคริสต์ก็สอนให้กลับไปหาพระเจ้าและอยู่กับพระเจ้ามีชีวิตนิรันดรแต่พุทธเราไม่ปรารถนาชีวิตอำมตะ เราปรารถนาหมดสิ้นไป ไม่มีชาติ ไม่มีภพ จึงไม่มีสวรรค์อีก ดังนั้น หากกล่าวว่าพุทธศาสนาเป็น “นิพพานนิยม” ศาสนาอื่นๆ ไม่ใช่ “นิพพานนิยม” อย่างนี้ ยังเหมาะสมกว่าการเอาเทวนิยม กับอเทวนิยม มาเป็นเครื่องแบ่ง เพราะแบ่งแล้วไม่แยกขาดได้ ทุกศาสนาก็นิยมเรื่องเทวดาทั้งนั้น แล้วแต่ว่าจะมาในรูปแบบใด พระนามอะไร ก็ล้วนเข้าข่ายเทวะทั้งสิ้น เพียงแต่พุทธศาสนาและคริสต์ศาสนาก็ไม่นิยมเรื่อง “วัตถุ” เหมือนกัน ไม่นิยมยึดมั่นในเทวรูปเหมือนกัน ทั้งคู่จึงไม่ใช่ “วัตถุนิยม” แต่ปัจจุบัน เราหลงยึดมั่นว่าเราเป็นอเทวนิยม ทว่ากลับหลงในเทวรูป สร้างพระพุทธรูปมากมาย ในวัดหนึ่งวัด มีพระพุทธรูปเหลือใช้มากมายเกลื่อนกลาด นี่แสดงถึงความเป็น “วัตถุนิยม” ของพุทธศาสนา ไม่เกี่ยวกับเทวนิยมหรืออเทวนิยมเลย

    <O:p</O:pการโจมตีกันไปกันมาของชาวพุทธและชาวคริสต์ที่ไม่เข้าถึงศาสนาที่แท้จริงของตนเองนั้นมีอยู่มาก และนำไปสู่การยกตัวว่าศาสนาของตนดีกว่า ข้าพเจ้าเคยพบชาวคริสต์คนหนึ่ง เขาเห็นข้าพเจ้าจน จึงบอกว่าเมื่อเขาเปลี่ยนมาเป็นคริสต์แล้ว เขาก็รวยขึ้น เขาให้ข้าพเจ้าลองสังเกตดูฝรั่งที่นับถือคริสต์รวยทั้งนั้น เห็นได้จริง ข้าพเจ้าก็ตอบว่าความรวยมีทุกศาสนา ทั้งอิสลามก็มีบ่อน้ำมันมาก, พุทธมหายานในทุกเทศบาลก็ร่ำรวย และนิยมสร้างศาลเจ้าซึ่งนี่ก็เป็นพุทธเหมือนกัน ดังนั้น ความรวยไม่ได้มีอยู่แต่ในคริสต์ศาสนา และถ้าเขาเชื่อว่าพระเจ้าสร้างทุกอย่างจริง ทำไมเขาจึงดูแคลนศาสนาอื่น เพราะหากพระเจ้าสร้างทุกอย่าง ต้องหมายถึงมนุษย์ทุกคน และศาสนาทุกศาสนาด้วย จึงเป็นทุกอย่างได้ ดังนั้น ชาวคริสต์เหตุใดจึงดูแคลนสิ่งที่พระเจ้าของตนเองสร้างขึ้นมาละ ไยจึงตำหนิของที่พระเจ้าสร้าง ชาวคริสต์ไม่ควรตำหนิอะไรเลย เพราะพระเจ้าของเขาสร้างทุกอย่างในจักรวาลนี้ไม่ใช่หรือ เมื่อกล่าวอย่างนี้แล้ว เขาก็เลิกจ้องตำหนิและจับผิดทั้งชาวพุทธและคนที่ทำผิด ทำชั่วทั้งหลาย แล้วเอาน้ำเต้าหู้มาให้ข้าพเจ้าซึ่งเป็นพุทธ

    <O:p</O:pส่วนชาวพุทธบางส่วนก็ดูแคลนชาวคริสต์ เพราะกลัวว่าคนไทยจะไม่เอาเงิน เอาลาภสักการะมาให้พระ พระบางรูปกลัวขึ้นหัวถึงขนาด พยายามกล่อมแกมขู่บังคับท่านสาธุชนว่าอย่าไหว้อย่างอื่นนอกจากพระรัตนตรัย ทั้งๆ ที่พระพุทธเจ้าก็ได้ตรัสถึงเทวดาที่มีมากมายบนสวรรค์ ถ้าพระเยซูเป็นเทวดาองค์หนึ่ง แล้วเราเห็นคุณธรรม คือ หิริโอตับปะ ของเทวดาซึ่งมีกันทุกตนแล้ว ทำไมจะไหว้ด้วยความศรัทธาในเทวธรรม คือ หิริโอตับปะ ที่เทวดาผู้นั้นมีและยังความเจริญมายังเขา ทำให้เขาได้เสวยสุขบนสรวงสวรรค์ไม่ได้เล่า

    <O:p</O:pนี่เป็นเพราะความกลัวว่าชาวคริสต์จะมาแย่งลาภสักการะของตนไป จึงได้เกิดอาการอย่างนี้ หากเรามั่นคงในพระรัตนตรัยจริง เราจะไม่ว่ากล่าวพาดพิงศาสนาอื่น ไม่ดูแคลนศาสนาใคร และให้การยกย่องในธรรมของทุกศาสนา และเชื่อในสิ่งร่วมกันว่าทุกศาสนา มุ่งเน้นการพัฒนาจิตใจ จิตวิญญาณภายในทั้งสิ้น มุ่งให้คนมีจิตใจที่ดีงามทั้งสิ้น เป็น “จิตนิยม” และนิยมเรื่องเทวดาทั้งสิ้น เพราะเทวดาก็คือจิตวิญญาณชนิดหนึ่งนั่นเอง <O:p</O:p
     
  2. neung48

    neung48 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    465
    ค่าพลัง:
    +457
    พุทธเป็นพุทธ ไม่ใช่จิตนิยม
     
  3. อู๋ซิน

    อู๋ซิน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    213
    ค่าพลัง:
    +45
    จิตนิยม วัตถุนิยม ประสบการณ์นิยม ฯลฯ นั่นมันวิชาปรัชญาแล้ว วิชาปรัชญาการศึกษา จิตนิยมคือพวกที่ชอบศึกษาโดยเอาผู้สอนเป็นศูนย์กลาง
    วัตถุนิยม คือ เอาสิ่งที่พิสูจน์ได้เป็นศูนย์กลาง
    ประสบการณ์นิยม คือ เอาประสบการณ์ตรงเป็นศูนย์กลางให้ผู้เรียนได้ใช้ประสบการณ์เอง
    แต่พุทธเข้ากับคนทุกปรัชญาการศึกษาครับผม
     

แชร์หน้านี้

Loading...