พิจารณาความเป็นปฏิกูลในอาหาร เขียนโดย สิริอัญญา

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย KK1234, 5 กันยายน 2009.

  1. KK1234

    KK1234 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    2,401
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,515
    <table class="contentpaneopen"><tbody><tr><td>บทความ - วิมุตตะมิติ - มหัศจรรย์แห่งโลกภายใน </td> </tr> <tr> <td valign="top"> เขียนโดย สิริอัญญา </td> </tr> <tr> <td class="createdate" valign="top"> วันจันทร์ที่ ๐๕ มกราคม ๒๕๕๒ เวลา ๑๗:๐๖ น. </td> </tr> <tr> <td valign="top">
    การพิจารณาความเป็นปฏิกูลในอาหารในขั้นตอนแรกก็จะ ได้สติยั้งคิดว่าความเป็นไปในอาหารที่เคยคิดเคยหลงเข้าใจว่าเป็นสิ่งที่น่า กิน มีสีงดงาม มีรสหอมกรุ่น มีความเอร็ดอร่อยนั้น มีความน่าเกลียด น่าขยะแขยง และทำให้เกิดความยั้งคิดได้ว่าที่เคยคิดเห็นมาแต่ก่อนนั้นอาจไม่ถูกต้องตาม ความเป็นจริงเสียแล้ว จากนั้นก็พิจารณาความเป็นไปในอาหารต่อไป

    ขั้นตอนที่สอง เมื่ออาหารล่วงเข้าปากก็ต้องบดต้องเคี้ยว บางครั้งก็มีความเจ็บความปวด ทั้งฟัน ทั้งลิ้น ทั้งช่องปาก อาหารเมื่อบดเคี้ยวแล้วลองคายออกมาดูเถิดก็จะเห็นว่าความสวยสดงดงดามน่า พิสมัยในรสชาติ สี กลิ่น และรูปลักษณะ ก่อนที่จะเข้าปากนั้นได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว ความสวย ความงาม ความหอม ความน่ากินหมดสิ้นไป จะเห็นความน่าขยะแขยงทั้ง ๆ ที่เพิ่งล่วงเข้าปากไม่ทันนานเลย เมื่อคายออกมาเห็นเช่นนั้นแล้วก็แทบกลืนกินเข้าไปอีกไม่ได้ นี่คือความน่าเกลียดของอาหาร ที่ปรากฏความจริงให้เห็นในพลันที่ล่วงเข้าปากและผ่านการขบเคี้ยวแล้ว

    เมื่อ ผ่านช่องปากลงไปถึงลำคอแล้วลองขากออกมาดูเถิดก็จะเห็นความจริงอีกขั้นหนึ่ง ว่าสภาพของอาหารที่เพิ่งล่วงลำคอไปนั้นมีกลิ่นเหม็น มีรสเปรี้ยวเจือขม และมีความน่าสะอิดสะเอียน น่าปฏิกูลสักปานไหน เพียงเท่านี้ก็กลืนเข้าไปไม่ลงแล้ว

    และเมื่ออาหารล่วงลงสู่กระเพาะ หากอ้วกออกมาก็จะเห็นความจริงของอาหารอีกว่าเหมือนกับอ้วกของสุนัขที่อย่า ว่าจะกลืนกินเข้าไปได้อีกเลย แม้แต่จับต้องหรือเข้าใกล้ก็ไม่อยากจับต้องหรือเข้าใกล้เลย เพราะมีกลิ่นโชยเหม็น น่ารังเกียจ น่าสะอิดสะเอียนอย่างยิ่ง

    เมื่ออาหารผ่านจากกระเพาะก็จะกระจัดกระจายย่อยสลายกลายเป็นเครื่องบำรุง เลี้ยงร่างกายส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งก็จะผ่านไปทางกระเพาะปัสสาวะบ้าง ทางลำไส้ใหญ่บ้าง

    ระหว่างทางเคลื่อนไหลของอาหาร บางครั้งก็รู้สึกเจ็บ รู้สึกปวด รู้สึกแน่น กระทั่งมีการเรอ มีการผายลม ซึ่งล้วนแต่เป็นรสชาติและกลิ่นที่น่ารังเกียจ น่าขยะแขยงทั้งสิ้น

    เพียง ครึ่งทางของทางเดินของอาหารในร่างกายเท่านั้นก็จะเห็นความจริงในความเป็น ปฏิกูลตามความเป็นจริงแล้วว่าสภาพที่แท้จริงของอาหารนั้นต่างกับที่เคยเห็น เคยรู้สึกก่อนที่จะกินเข้าปากอย่างสิ้นเชิง

    มายาภาพที่เคยปิดบังความเป็นจริงว่าอาหารนั้นน่ากิน มีกลิ่นหอม มีรสชาติละมุน มีสีสันที่สวยงาม ได้ถูกเปิดเผยออกมาว่าแท้จริงแล้วก็ไม่ต่างอันใดกับอุจจาระหรือความน่า รังเกียจของซากศพ

    หากอาหารที่ผ่านช่องปากเข้า ไปแล้วไม่ย่อยไหลลงไปตามทางที่ควรจะไปก็จะเกิดความป่วยไข้เกิดขึ้น บ้างก็เกิดความร้อน บ้างก็เกิดความเย็น บ้างก็เกิดอาการกระอักกระอ่วน และถ้าหากไม่ลื่นไหลไปจริง ๆ แล้วก็อาจทำให้ถึงตายได้ แม้ขนาดอาหารน้อยนิดหากพลัดไปติดที่หลอดลมก็อาจทำให้ถึงตายได้ในพริบตา

    อาหารที่ถูกย่อยไปบำรุงเลี้ยงร่างกายก็เหมือนกัน หากมีพิษหรือผิดเพศก็จะเกิดการป่วยเจ็บและอาจถึงตายได้ ดังที่ปรากฏเป็นข่าวของการกินอาหารเป็นพิษแล้วเสียชีวิตอย่างไม่ควรเป็น

    อาหารส่วนที่เป็นของเหลวและกลายเป็นปัสสาวะเล่าก็เป็นสิ่งปฏิกูลที่แม้ถูก ตัวถูกมือก็ต้องชำระล้าง ส่วนที่เป็นเศษกากก็จะไหลไปที่ลำไส้ใหญ่และไปออกที่ปลายทวารหนัก มีกลิ่นเหม็นน่ารังเกียจ น่าขยะแขยง ถูกต้องเข้าก็เหม็นติดไม้ติดมือจนต้องชำระล้างกันเป็นพัลวัน

    [​IMG] อาหารที่ออกไปทางปัสสาวะและอุจจาระ หากจะนำมาเปรียบเทียบอาหารก่อนที่จะเข้าปากก็จะเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงเป็น คนละเรื่องคนละราว จากความน่ากิน น่าพิสมัย กลายเป็นความน่ารังเกียจ น่าขยะแขยง เมื่อเห็นความจริงเช่นนั้นแล้วก็จะมีความรู้สึกเห็นอาหารเป็นสิ่งปฏิกูลตาม ความเป็นจริงของมัน มายาภาพของอาหารที่ทำให้เกิดความหลงติดยึดและเป็นต้นตอของกิเลสก็จะค่อย ๆ คลายจางลงไป

    ขั้นตอนที่สาม เมื่ออาหารออกทางทวารเบา ทวารหนักแล้วก็จะไม่เรียกว่าอาหารอีกแล้ว แต่จะเรียกว่าปัสสาวะ อุจจาระ หรือมูตร คูถไปโน่น มีความน่าเกลียด น่าขยะแขยงและเป็นสิ่งปฏิกูลที่ปรากฏโฉมให้เห็นอย่างชัดเจน คือมีความเป็นปฏิกูลทั้งกลิ่น ทั้งสี ทั้งรสชาติสัมผัส และไม่อาจปกปิดความน่าขยะแขยงน่าเกลียดนั้นได้อีกต่อไป

    เหมือนกับซากศพย่อมไม่อาจปกปิดมายาภาพของความเต่งตึงสวยสดงดงามและน่าทะนุถนอมใด ๆ เอาไว้ได้อีกนั่นเอง

    และยังเต็มไปด้วยพิษภัยและเชื้อโรคนานาประการ พอผ่านวันเวลาไม่ทันนานก็จะเน่าหนักมากขึ้น หากไม่มีสิ่งใดปิดบังก็จะมีแมลงวันไปไข่แล้วกลายเป็นหนอน แม้มีสิ่งปิดบังก็จะมีมดปลวกและหนอนทั้งหลายเข้าตอมไชกัดกิน มีสภาพไม่ต่างอันใดกับซากศพเลย

    เมื่อกำหนดหมายและพิจารณาอาหารทั้งสามขั้นตอนโดยบริบูรณ์แล้วก็จะเห็นความ เป็นจริงของอาหารตามความเป็นจริงว่าแท้จริงแล้วเป็นสิ่งปฏิกูล เป็นสิ่งน่ารังเกียจ น่าขยะแขยง รูปลักษณะ สี กลิ่น และรสชาติที่เคยเห็น เคยเข้าใจว่าน่าดม น่าดู น่ากินนั้นล้วนแต่เป็นมายาภาพที่ถูกการปรุงแต่งปกปิดหลอกลวงเท่านั้น

    ความ ตื่นเห็นความเป็นจริงตามความเป็นจริงก็จะเกิดขึ้นและมีความแจ่มชัดขึ้นโดย ลำดับ นี่คือกระบวนการขั้นตอนและลักษณะของการเห็นความเป็นจริงในอาหาร ที่เริ่มตั้งแต่เห็นถึงความน่าดู น่าดม น่ากิน ไปจนถึงเห็นความเป็นปฏิกูล ความน่ารังเกียจ น่าขยะแขยงของอาหาร

    การพิจารณาเห็นความปฏิกูลของอาหารก็คือการพิจารณาเห็นความจริงตามความเป็นจริงดังว่านี้

    นั่นเป็นเรื่องของการพิจารณา ซึ่งปัญญาจะเจริญงอกงามตามลำดับของการเห็นความจริงตามความเป็นจริง ว่าไปแล้วกัมมัฏฐานวิธีนี้ก็คือกัมมัฏฐานวิธีที่บ่มเพาะปัญญา เจริญปัญญา อยู่เป็นอันมาก แม้ว่าจะเป็นการดำเนินในวิถีแห่งเจโตวิมุตก็ตาม

    เมื่อได้พรรณนาถึงกระบวนการขั้นตอนในการพิจารณาการเห็นความจริงตามความเป็น จริงในอาหารว่ามีความปฏิกูลดั่งนี้แล้ว ลำดับนี้ไปจะได้พรรณนาถึงภาวะแห่งจิตที่เปลี่ยนแปลงไปตั้งแต่เริ่มการ พิจารณาขั้นตอนแรกไปจนถึงขั้นตอนสุดท้าย

    ภาวะ ของจิตในช่วงตอนต้นของการฝึกฝนอบรมยังคงกลุ้มรุมด้วยอุปกิเลสคือนิวรณ์ห้า ตลอดจนมายาภาพต่างๆ ของจิตที่เป็นไปตามธรรมดา ธรรมชาติ แต่ครั้นกายสงัด จิตสงบ มีความตั้งมั่น มีความบริสุทธิ์ และควรแก่การงานในหน้าที่ของจิตบ้างแล้ว จิตก็จะมีความแน่วแน่มั่นคงในการทรงจำกำหนดหมายและในการพิจารณาเพิ่มขึ้นโดย ลำดับไป

    ความรับรู้ของจิตเมื่อผ่านการฝึกฝนอบรมไปโดยลำดับแล้ว ก็จะผ่านขั้นการเห็นด้วยตา ความรู้ที่ได้ศึกษาและความเข้าใจที่เกิดขึ้นโดยลำดับ จะเปลี่ยนแปรไปเป็นการเห็นความจริงด้วยปัญญาเป็นลำดับไปคือ ตั้งแต่ขั้นตอนก่อนเข้าปาก ขั้นตอนการย่อย และขั้นตอนที่กากเศษอาหารออกทางทวารเบา ทางทวารหนักไปแล้ว ซึ่งเป็นการเห็นด้วยปัญญาตามความเป็นจริง

    เมื่อเห็นความเป็นจริงเช่นนั้นแล้วจิตก็จะมีความตั้งมั่นแน่วแน่แน่นิ่งเป็น สมาธิ เคลื่อนตัวอยู่ระหว่างกนิกกะสมาธิคือเป็นสมาธิเป็นขณะ ๆ กระทั่งเป็นสมาธิที่ต่อเนื่องหรืออุปจารสมาธิ

    [​IMG] ภาวะของจิตก็จะพัฒนารุดหน้าต่อไปอีก คือเมื่อเห็นความจริงในความเป็นปฏิกูลของอาหารแล้ว ความเบื่อหน่ายก็จะเกิดขึ้น ความติดยึดก็จะค่อย ๆ คลายจางลง จิตก็จะมีความผ่องใสในภายในมากขึ้น

    ก็จะเห็น ความจริงในความเป็นปฏิกูลนั้นแจ่มชัดยิ่งขึ้นไปอีก ความเบื่อหน่ายคลายวางก็จะหนักแน่นขึ้น ในภาวะเช่นนั้นนิวรณ์ห้าได้แก่กามฉันทะ พยาบาท ความฟุ้งซ่าน ความหดหู่แห้งเหี่ยว หรือความลังเลสงสัยก็จะคลายจางออกไปโดยลำดับ ๆ

    จิตที่พิจารณาเห็นความจริงตามความเป็นจริงในความเป็นปฏิกูลของอาหารจนเบื่อ หน่ายจางคลายและทำลายนิวรณ์ไปโดยลำดับแล้วนั้นก็จะยิ่งมีความผ่องใสมากขึ้น แน่วแน่มากขึ้น บริสุทธิ์มากขึ้น เป็นอิสระมากขึ้น และมีกำลังมากขึ้น

    ความผ่องใสในภายในของจิตจะทำให้อารมณ์ของจิตเป็นหนึ่งเดียว หรือที่เรียกว่ามีอารมณ์เป็นเอกคตารมณ์ มีวิตก วิจาร เกิดขึ้น

    องค์ทั้งสามเกิดขึ้นแน่นหนาขึ้นแล้ว ความรู้สึกปิติและความสุขที่เกิดแต่วิเวกก็จะเกิดขึ้น เรียกได้ว่าองค์ห้าแห่งปฐมฌานได้ก่อตัวขึ้นอย่างบางเบาแล้ว นั่นก็คือการถึงที่หมายปลายทางเบื้องต้นของการฝึกฝนอบรมแบบอาหาเรปฏิกูล สัญญา

    ลองปฏิบัติดูเถิดก็จะพบความจริงด้วยตนเองว่าการฝึกฝนอบรมแบบอาหาเรปฏิกูล สัญญานี้ภาวะของจิตจะพัฒนาไปโดยลำดับ โดยที่จะไม่เกิดอุคหนิมิตหรือปฏิภาคนิมิตใด ๆ ขึ้น แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นเช่นนั้นเสมอไป

    ในการปฏิบัติ ของบางบุคคลปรากฏว่าในขณะที่พิจารณาถึงอาหารที่ย่อยถึงกระเพาะ กลับปรากฏนิมิตเห็นอาหารนั้นเด่นชัดขึ้นว่าเป็นกลุ่มเป็นก้อน มีลักษณะต่างๆ กัน ซึ่งปรากฏการณ์เช่นนี้ก็มีได้ เกิดได้ หรือแม้เมื่ออาหารไหลไปรวมอยู่ที่ลำไส้ใหญ่หรือกลายเป็นอุจจาระแล้วก็เห็น เป็นนิมิตเช่นนั้นขึ้นก็เกิดได้เป็นได้อีก

    แล้วจะทำอย่างไร? ย่อมปฏิบัติได้เป็นสองทาง สุดแท้แต่จะชอบพอเลือกปฏิบัติไปในทางไหนที่จะเห็นประโยชน์และได้รับประโยชน์ ที่ประจักษ์ชัดกว่ากันก็พึงเลือกเอาวิธีนั้นเถิด

    การปฏิบัติสองวิธีที่อาจต้องกำหนดเลือกในขั้นนี้ได้แก่

    วิธีแรก หากมีอัชฌาสัยชอบพอหรือมีความปิติและสุขเกิดแต่นิมิตที่ปรากฏนั้นก็พึงกระทำ อุคหนิมิตและปฏิภาคนิมิตต่อไป ก็ย่อมจัดได้ว่าเป็นกัมมัฏฐานวิธีอีกวิธีหนึ่ง ซึ่งโน้มไปทางกสิณวิธีนั่นเอง ถ้าหากเลือกปฏิบัติในวิถีทางนี้ก็พึงกระทำอุคหนิมิต กระทำปฏิภาคนิมิต แล้วก่อองค์แห่งปฐมฌานให้เกิดขึ้นก็จะไปถึงที่หมายปลายทางได้โดยสวัสดี เหมือนกัน

    วิธีที่สอง หากมีอัชฌาสัยชอบพอไปในทางการพิจารณาเห็นถึงความเป็นปฏิกูลในอาหารตั้งแต่ เดิมที่เริ่มฝึกฝนแบบอาหาเรปฏิกูลสัญญา และมีความเชื่อมั่นในใจว่ามีอัชฌาสัยชอบพอและจะได้ผลจากการปฏิบัติแบบอาหาเร ปฏิกูลสัญญามากกว่าแล้ว ก็พึงกำหนดรู้ว่านิมิตที่บังเกิดขึ้นนั้นเป็นอุปสรรคที่ขวางกั้นการฝึกฝน อบรมมิให้ก้าวรุดหน้าต่อไป แม้กระทั่งพิจารณาให้เห็นว่านั่นก็เป็นมายาภาพอย่างหนึ่ง

    จากนั้นก็พึงกำหนดรู้มายาภาพนั้นแล้วพิจารณาต่อไปตามกระบวนการขั้นตอนดังได้ พรรณนามาแล้ว จิตก็จะข้ามพ้นจากความติดยึดในนิมิตที่ปรากฏนั้น แล้วก้าวรุดหน้าต่อไป เห็นถึงความเป็นปฏิกูลในอาหารเป็นลำดับ ๆ ไป

    ดังนี้อุปสรรคที่มีนิมิตเช่นนั้นมาขัดขวางก็จะสิ้นสลายไป การฝึกฝนอบรมปฏิบัติโดยวิธีอาหาเรปฏิกูลสัญญาก็จะก้าวหน้าต่อไป จนกระทั่งองค์ห้าแห่งปฐมฌานได้ก่อเกิดขึ้น

    ผู้ ฝึกฝนปฏิบัติที่เห็นความจริงตามความเป็นจริงแห่งอาหารนั้นแล้ว นอกจากจะมีความเจริญก้าวหน้าในธรรม ยังก่อให้เกิดสภาพที่พระบรมศาสดาทรงตรัสย้ำสอนว่าเป็นคนเลี้ยงง่าย ไม่มีปัญหาเรื่องการกินอีกต่อไป และในการกินอาหารทุกครั้งก็สามารถเจริญปัญญาว่าการกินนั้นเป็นไปเพื่อยัง ชีวิตนี้ให้ดำรงอยู่และดำเนินไปเท่านั้น ทำให้การยึดมั่นถือมั่นในตัวตนค่อย ๆ หมดไปโดยลำดับ เป็นการดำเนินอยู่ในพระไตรลักษณ์เป็นปกตินั่นเอง.

    -------------------------------------------------
    ขอขอบคุณ
    มหัศจรรย์แห่งโลกภายใน (55)

    </td></tr></tbody></table>
     
  2. งูขาว

    งูขาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2008
    โพสต์:
    945
    ค่าพลัง:
    +1,824
    ข้าอ่ะ ตาสติ เพ่งอุจจาระเลย แต่ละวันทำไป เร็วดี รูปธรรม นามธรรม เราสุดท้ายก็แค่นั่น ตาสติ(ตัวรู้) จะรู้ว่าสิ่งไหนเอาไปได้ สิ่งไหนเอาไปไม่ได้ สิ่งไหนที่เอาไปได้นั่น มันไม่ยอมบอกเราหรอก มันคือ ตัวปัญญา ตัวที่บอกได้นั่นไม่ใช่ มันคือ ตัวสัญญา(ความจำได้) ผู้ที่อยู่อย่างปัญญา จะอยู่อย่างผู้ชนะ ผู้ที่อยู่อย่างสัญญา(ความจำได้) จะอยู่อย่างผู้แพ้
    ขอท่านทั่งหลายพิจารณาเทิด คะเต คะเต ปะระคะเต ปะระสังคะเต โพธิสวาหา
     
  3. งูขาว

    งูขาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2008
    โพสต์:
    945
    ค่าพลัง:
    +1,824
    ข้าอ่ะ ตาสติ เพ่งอุจจาระเลย แต่ละวันทำไป เร็วดี รูปธรรม นามธรรม เราสุดท้ายก็แค่นั่น ตาสติ(ตัวรู้) จะรู้ว่าสิ่งไหนเอาไปได้ สิ่งไหนเอาไปไม่ได้ สิ่งไหนที่เอาไปได้นั่น มันไม่ยอมบอกเราหรอก มันคือ ตัวปัญญา ตัวที่บอกได้นั่นไม่ใช่ มันคือ ตัวสัญญา(ความจำได้) ผู้ที่อยู่อย่างปัญญา จะอยู่อย่างผู้ชนะ ผู้ที่อยู่อย่างสัญญา(ความจำได้) จะอยู่อย่างผู้แพ้
    ขอท่านทั่งหลายพิจารณาเทิด คะเต คะเต ปะระคะเต ปะระสังคะเต โพธิสวาหา
     

แชร์หน้านี้

Loading...