พันธะสัญญากับหลวงปู่มั่น

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย สหพัฒน์, 21 พฤษภาคม 2012.

  1. สหพัฒน์

    สหพัฒน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    234
    ค่าพลัง:
    +710
    จากที่ผมเคยศึกษามา ว่าพระพุทธเจ้าหรือพระอรหันตสาวกที่ดับขันธ์ไปแล้ว จะไม่ได้มายุ่งเกี่ยวพันกับบุคคลที่ยังไม่ได้ดับขันธ์ แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับผมก็ไม่รู้สาเหตุข้อเท็จจริงว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร เข้าเรื่องเลยน่ะครับ

    เรื่องที่ 1 ผมเคยมีโอกาสไปไหว้พระธาตุพนม และได้ไปกราบไหว้รูปปั้นหลวงปู่มั่น และหลวงปู่หลุย ที่วัดป่าสุทธาวาส อ.เมือง จ.สกลนคร เหตุการณ์ก็ปกติครับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพียงแต่ว่าก่อนที่จะถ่ายรูปปั้นหลวงปู่มั่น แม่ขาวที่อยู่หน้าพิพิธภัณฑ์ที่คอยขายดอกไม้ธูปเทียนบอกว่า ถ้าจะถ่ายรูปปั้นท่าน ให้กราบขอขมาและขอถ่ายรูปก่อนไม่งั้นอาจจะถ่ายไม่ติด

    ผมก็ทำตามนั้น หลังจากเที่ยวเสร็จก็ได้กลับบ้านไปกับคณะทัวร์ ผมก็ได้นำฟิล์มไปล้าง แต่ในใจก็ภาวนาขอให้ถ่ายติด พอตอนเย็นไปรับรูปที่ร้านถ่ายรูป ปรากฎว่า ถ่ายรูปท่านติดครับ แต่! มันมีสิ่งที่ติดมาด้วย มันเป็นแสงและควันสีขาว ซึ่งบริเวณที่ถ่ายภาพไม่มีควันเลย ผมถ่ายรูปปั้นท่าน 2 รูป มีสิ่งที่ติดมาด้วยทั้ง 2 รูปเลย แต่อีกรูปจะเป็นรูปร่างที่ชัดมาก

    มันมีรูปร่างคล้ายพวงมาลัยข้อมือสีขาว ลักษณะเหมือนมันกำลังลอยพุ่งมาหาผม ดูที่ฟิล์มก็มีเหมือนกัน แต่น่าเสียดายว่าฟิล์มมันได้หายไปแล้ว เหลือเพียงรูปถ่ายใบเดียว(แต่ตอนนี้ผมได้มอบรูปถ่ายให้เจ้าอาวาสที่ผมบวชให้ท่านเก็บไว้ เพราะเห็นท่านชอบสะสมรูปถ่ายที่มีลักษณะแบบนี้) หลังจากนั้นผมก็ไม่ได้คิดอะไร เพราะคิดว่าก็แค่เรื่องบังเอิญ


    เรื่องที่ 2 ผมมีโอกาสได้บวชตามที่มีความตั้งใจและบวกกับมีปัญหายุ่งๆทางจิดใจ หว้งว่าเมื่อบวชแล้วคงจะเจออาวุธธรรมที่จะประหัตประหารความทุกข์ในใจได้ แม้จะไม่ขาดสะบั้นจากกันแต่ก็ขอให้มันทุเลาลงได้ เพื่อที่จะได้มีกำลังใจในการต่อสู้ชีวิตต่อไปได้อย่างมีความสุข แต่มีข้อแม้ว่าวัดที่ผมจะบวชต้องเป็นวัดป่าสายหลวงปู่มั่น หรือไม่ก็ต้องเป็นวัดที่มีอาจารย์เป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่น สรุปผมได้บวชวัดสาขาย่อยของวัดหนองป่าพง ของหลวงพ่อชา สุภัทโท แต่ก่อนหน้านี้ผมก็ได้ศึกษาเรื่องศีลพระมาในระดับดีพอสมควร จึงง่ายต่อการปฏิบัติ ในระหว่างบวชมีความตั้งใจมาก สำรวมระวังในศีลาจารวัตร และการปฏิบัติภาวนา อย่างเต็มเปี่ยม พร้อมทั้งได้กล่าวอธิฐานจิตต่อหน้ารูปถ่ายขนาดใหญ่ของหลวงปู่มั่น และหลวงปู่ชา ว่า ขอบุญกุศลในอดีตชาติและปัจจุบันชาติที่กระผมเคยสร้างมา คุณพระรัตนตรัย คุณหลวงปู่มั่น หลวงปู่ชา จงช่วยดลบันดาลให้ กระผมได้ค้นพบข้ออัติข้อธรรมในการปฏิบัติ เพื่อที่จะได้ใช้ในการประคองชีวิตหลังจากได้ลาสิกขาไปแล้ว ขอข้ออัติข้อธรรมนั้นจงสำเร็จแกกระผมด้วยเถิด หลังจากอยู่ในเพศสมณะ เข้าเดือนที่ 3 สิ่งอัศจรรย์ใจก็ได้เกิดแก่กระผมในระหว่างการกวาดลานวัด สิ่งที่เกิดขึ้นมันเหมือนผมกดเปิดสวิทซ์ไฟที่มันหลับไหลมานานใ้ห้มันสว่างอีกครั้ง ผมจึงพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง จึงรู้ว่าอะไรมันเกิดกับผม อ่อ!มันเป็นอย่างนี้เองหน่อ มันเป็นตัวสติ ที่เห็นจิต มันเข้าใจคำว่าสติและจิตดีขึ้นมาก และผมก็ได้ปฏิบัติต่อในเพศสมณะอีก 4 เดือนก่อนจะลาสิกขา

    ผลที่เกิดจากการเห็นจิต มันทำให้มีสมาธิดีขึ้นมาก ความฟุ้งซ่านในจิตใจลดลง เข้าใจข้ออัติข้อธรรมมากขึ้น จะเป็นการอ่านหนังสือธรรมะ ฟังธรรมะก็เข้าใจอย่างไม่มีข้อสงสัย 1 เดือนก่อนจะลาสิกขาที่ยังมีความลังเลว่าเราจะอยู่ในเพศสมณะต่อไปหรือจะสึกเพื่อจะไปปฏิบัติหน้าที่่พ่อบ้านเหมือนเดิม ช่วงที่ยังไม่ได้ข้อสรุปจึงได้ลองสมาธิตัวเองในการปั่นปาติโมกข์(คำพูดในวงพระ ปั่น=สวด ท่องจำ)ตั้งใจและมั่นใจว่าจะสวดได้ภายใน 3 วัน แต่ได้แค่วันเดียวก็ต้องล้มเลิกเพราะได้ข้อสรุปว่าต้องสึกล่ะ(สาเหตุที่มั่นใจว่าจะท่องจำปาติโมกข์ได้ภายใน 3 วัน ทั้งที่ปกติผมไม่ได้เป็นคนมีความจำดีเลย ค่อนข้างจะหลงลืมนิดๆด้วยซ้ำ

    แต่ช่วงที่บวช สติผมค่อนข้างจะเต็มเกือบทั้งวันจึงมีสมาธิมาก ก็แค่เปิดหน้าหนังสือสวดมนต์ที่ต้องการจะท่องใช้เวลาไม่ถึงนาที ภาพทั้งภาพหน้าหนังสือนั้นจะเข้าไปในความทรงจำเหมือนเครื่องสแกนเนอร์ไม่ผิดเพี้ยน ทีนี้ต่อให้ไม่ได้ดูหนังสือแต่มันก็ยังเหมือนเราอ่านหนังสือท่องอยู่ รู้ว่าคำนี้อยู่บรรทัดที่เท่าไร เป็นอักษรตัวที่เท่าไรของบรรทัด ที่เหลือก็แค่หลับตาอ่านตามให้มันคล่องปากคล่องลิ้นแค่นั้น ถ้ามันเกิดขึ้นกับใครก็ย่อมทำได้เหมือนผมเช่นกัน)


    เรื่องที่ 3 ก่อนที่ผมจะลาสิกขา 2 เดือน คืนหนึ่งผมได้นิมิตฝัน ในฝันผมอยู่ในเพศสมณะกำลังนั่งในท่านั่งสมาธิบนแท่นอาสนะและได้มองเห็นท่านหลวงปู่มั่น ่ท่านกำลังจะเดินผ่านหน้าผมพร้อมด้วยลูกศิษย์เป็นแถวยาวเดินตามหลังท่าน แต่แปลกตรงที่ลูกศิษย์ท่านจะตัวเล็กเหมือนคนย่อส่วนแต่ไม่ใช่ลักษณะคนแคระเพียงแต่ตัวเล็กส่วนสูงแค่เอวหลวงปู่มั่น ในขณะที่ตัวผมมีขนาดเดียวเท่ากันกับหลวงปู่มั่น แล้วท่านก็เอ่ยถามผมขึ้นมาว่า

    หลวงปู่มั่น---ท่านจะไปกับเราไหม

    กระผม ---(สำนึกรู้ว่า ท่านจะชวนไปนิพพานกับท่าน) ผมฟังแล้วหันไปด้าน
    ข้าง เห็นบ่วงและภาระหน้าที่ที่ผมอยากทำและยังไม่ได้ทำให้
    สำเร็จลุล่วง จึงตอบท่านไปว่า ยังไม่ไปครับ

    หลวงปู่มั่น---(ท่านจึงเปรยขึ้นว่า) ท่านยังมีบ่วง แล้วค่อยตามเรามาน่ะ

    กระผม --- ครับแล้วผมจะตามไป(ในสำนึกรู้ว่าจะตามไปแต่ไม่ใช่ชาตินี้)
    แล้วท่านก็นำขบวนศิษย์ของท่านเดินไปไกล ผมก็มองตาม จนขบวนของท่านลับตาไป แต่สิ่งแวดล้อมด้านข้างทั้งหมด สิ่งที่เห็นมีแต่ซากปะรักหักพังของตึกรามบ้านช่อง ไม่มีสิ่งมีชีวิต ไม่มีต้นไม้ เหมือนภูเขาหัวโล้น

    และหลังจากฝันคืนนั้นมา ผมรู้สึกว่าพันธะสัญญาผมกับท่านได้ขาดจากกันแล้ว เหมือนกับว่าภาระหน้าที่ที่ต้องทำให้ผมได้จบอย่างสมบูรณ์แล้ว เหมือนว่าความสัมพันธ์นั้นไม่เหลืออยู่แล้ว

    และความฝันอีกคืนหนึ่ง ผมฝันว่าผมอยู่ในเพศสมณะกำลังเดินหากุญแจ 2 ดอก แต่ในมือผมได้ 1 ดอกแล้ว เหลืออีก 1 ดอกที่ผมยังไม่ได้

    ความเป็นจริงคือกุญแจ 1 ดอกที่ได้คือ ตัวสติ
    กุญแจอีกดอกยังไม่ได้ คือ_ _ _ ขอเก็บไว้ก่อน

    เรื่องที่เขียนมาด้านบน ขอรับรองว่าเป็นความสัตย์จริงทุกประการที่เกิดกับตัวกระผม แต่ในนิมิตฝันที่เห็นหลวงปู่มั่นผมไม่รับรองว่ามันเกิดจากสาเหตุอะไร

    อาจจะเกิดจากความฟุ้งซ่านในจิตใจลึกๆ เทวดา-ผู้มีฤทธิ์มาสร้างนิมิตขึ้น หรือว่าท่านมาจริงๆ แต่ในอนาคตกระผมมั่นใจว่ากระผมจะรู้ได้ด้วยตนเองว่านั่นมันเกิดจากสาเหตุอะไร

    จุดประสงค์ของบทความนี้ เพื่อต้องการให้เพื่อนๆทุกท่านมาแชร์ความคิดเห็น เล่าประสบการณ์ เหตุอัศจรรย์ที่เกิดระหว่างการปฏิบัติ การบวช ว่ามีหรือเหมือนและแตกต่างอย่างไร มีประสบการณ์หรือเหตุกับพระอาจารย์ หลวงพ่อองค์ใดครับ อนุโมทนากับการปฏิบัติธรรมของทุกท่าน
     
  2. wainkam

    wainkam เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2011
    โพสต์:
    757
    ค่าพลัง:
    +881
    อนุโมทนาสาธุครับโชคดีที่เจอหลวงปู่ ผมละอยากเจอมั่งจัง Y_Y
     
  3. kennek

    kennek เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,163
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +17,236
    อนุโมทนาครับ

    เคยได้ยินเรื่องอย่างนี้หลายครั้ง เช่นว่าทำไมเวลาพระอรหันต์นิพพานไปแล้ว แต่ยังสามารถมาปรากฏนิมิตให้เห็นได้ ยกตัวอย่างเช่น หลวงปู่มั่น ยามที่ท่านกำลังบำเพ็ญเพียรอยู่ตามป่าตามเขาตามถ้ำ ท่านก็ได้นิมิต เห็นพระพุทธเจ้า หรือพระอรหันต์สมัยพระพุทธกาลมาแสดงธรรมให้ฟัง

    อีกตัวอย่าง หลวงพ่อไม อินทสิริ ท่านเคยเห็นนิมิต พระอุปคุตเถระ มาหาท่าน และบอกว่าอดีตชาติ หลวงพ่อไม เคยเป็นลูกศิษย์พระอุปคุตมาก่อน
    ฯลฯ

    เรื่องนี้ กระผมเคยเรียนถาม หลวงพ่อไม อินทสิริ วัดป่าเขาภูหลวง จ.นครราชสีมา (ลูกศิษย์หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ)

    หลวงพ่อไม ท่านอธิบายดังนี้ครับ

    ท่านเปรียบเทียบ เหมือนการขึ้นบรรไดในแต่ละชั้น ถ้าคนที่อยู่ชั้นที่1 ก็จะมองไม่เห็นคนชั้น2 แต่คนที่อยู่ชั้นเดียวกัน ก็จะเห็นกันได้

    ท่านกล่าวว่า ถึงจะนิพพานแล้ว แต่ถ้าจิตถึงกัน ก็จะสื่อถึงกันได้


    ประวัติหลวงพ่อไม อินทสิริ (คลิ๊ก)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 พฤษภาคม 2012
  4. ปุณบพิธ

    ปุณบพิธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2012
    โพสต์:
    1,102
    ค่าพลัง:
    +2,134
    เรื่องที่ทำให้ศรัทธาผมเต็มเปี่ยม และไม่ลังเลสงสัยในพระรัตนตรัยอีกแล้ว
    ก่อนหน้าที่เรื่องนี้จะเกิดขึ้น ผมได้ค่อยๆ เห็นเรื่องลี้ลับต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับกฎแห่งกรรม และสิ่งที่วิทยาศาสตร์อธิบายไม่ได้มาเรื่อยๆ และผมก็ได้ปฏิบัติธรรมมาทีละนิดๆ ศรัทธาก็มากขึ้นตามลำดับ

    แต่วันที่เกิดเรื่องนี้ ผมปฏิบัติผิดพลาด ผิดทางจากที่ครูอาจารย์สั่งไว้ ถอนออกจากสมาธิแล้ว สติยังไม่กลับมาปัจจุบันเต็มที่ เกิดอาการจิตส่งใน แอบไปเสพอารมณ์สมถะค้าง...
    ขณะที่ผมกังวล ก็มีเสียงขึ้นมาในใจ "อย่ากลัว ตถาคตอยู่ในใจเจ้าแล้ว"
    ผมก็ดำเนินชีวิตต่อไปตามปกติ และในเย็นวันนั้น ผมก็หลุดจากอาการจิตส่งใน และนับจากตอนนั้นมา ก็ไม่เกิดอาการจิตส่งในแบบรุนแรงอีกเลย
     
  5. ขอพ้นทุกข์

    ขอพ้นทุกข์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +402


    เข้ามาอ่านเป็นครั้งคราว นานๆๆจะเจอคนที่ปฏิบัติแบบนี้ แต่ผมไม่ค่อยได้โพสต์ ขออนุโมทนากับผลการปฏิบัติของท่าน ไม่ขอออกความเห็นว่าเกิดจากอะไรแต่คิดว่าเป็นมงคลกับผู้ฝัน ผมก็เคยฝันลักษณะแบบนี้เหมือนกัน ฝันแบบชัดเจน ฝันเสร็จตื่นเลยจำติดตาแต่ไม่ขอเล่า
     
  6. สหพัฒน์

    สหพัฒน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    234
    ค่าพลัง:
    +710
    ""สัตว์ทั้งหลายแม้พญาราชสีห์
    หากติดบ่วงนายพราน ก็ย่อมสิ้นกำลังและอำนาจ
    ได้รับแต่ความทุกข์ทรมานฉันใด
    คนทั้งหลายแม้มีฤทธิ์อำนาจมากเพียงใด
    หากติดบ่วงสิเน่หา ก็ย่อมสิ้นฤทธิ์หมดอำนาจ
    มีจิตโศก เต็มไปด้วยความทุกข์ทรมานฉันนั้น""



    จิ ต โ ศ ก คื อ อ ะ ไ ร ?

    คำว่า โศก มาจากภาษาบาลีว่า โสกะ แปลว่า แห้ง

    จิตโศก จึงหมายถึง สภาพจิตที่แห้งผาก เหมือนดินแห้ง ใบไม้แห้งหมดความชุ่มชื่น เนื่องจากไม่สมหวังในความรัก ทำให้มีอาการเหี่ยวแห้ง หม่นไหม้ โหยหาขึ้นในใจ ใจซึมเซาไม่อยากรับรู้อารมณ์อื่นใด ไม่อยากทำการงาน

    “เปมโต ชายตี โสโก ความโศกเกิดจากความรัก” ขุ. ธ. ๒๕/๒๖/๔๓

    จะเป็นรักคน สัตว์ หรือสิ่งของ ก็ทำให้เกิดความโศกได้ทั้งนั้น แต่ที่หนักก็มักจะเป็นเรื่องคน โดยเฉพาะความรักของชายหนุ่มหญิงสาว

    ปกติใจของคนเราซนเหมือนลิง ชอบคิดโน่นคิดนี่ รับอารมณ์อย่างโน้นอย่างนี้ เดี๋ยวจะฟังเพลงเพราะๆ เดี๋ยวไม่เอาอีกแล้วกินขนมดีกว่า กินอิ่มแล้ว ไม่เอานอนดีกว่า เดี๋ยวเที่ยวดีกว่า เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ไม่อยู่ในอารมณ์ใดนานๆ

    แต่แปลก พอใจของเราไปเจออารมณ์รักเข้าเท่านั้นแหละ มันไม่เปลี่ยน ติดหนับเหมือนลิงติดตังเลย

    พูดถึงลิงติดตัง บางท่านอาจไม่เข้าใจ ตังก็คือยางไม้ที่เขาเอาไปเคี่ยวจนเหนียวหนับ แล้วเอาไปป้ายไว้ตามต้นไม้ ตามที่ต่างๆ ไว้ดักนก ดักสัตว์เวลาสัตว์มาเกาะติดเข้าจะดิ้นไม่หลุด

    ลิงเวลามาเจอตังเข้า มันจะใช้ขาข้างหนึ่งแหย่ดูตามประสาซน พอติดหนับดึงไม่ขึ้น ก็จะใช้ขาอีกข้างมาช่วยยัน ขาข้างนั้นก็ติดหนับเข้าอีก จะใช้ขาอีก ๒ ข้างมาช่วย ก็ติดตังหมดทั้ง ๔ ขา ใช้ปากช่วยดัน ปากก็ติดตังอีก ตกลงทั้ง ๔ ขา และปากติดตังแน่นอยู่อย่างนั้น ดิ้นไม่หลุด รอให้คนมาจับไป นี่ลิงติดตัง

    คนเราก็เหมือนกัน ลงได้รักละก็ จะเป็นหนุ่มรักสาวหรือสาวรักหนุ่มก็ตาม ทีแรกก็บอกว่าจีบไปอย่างนั้นเอง แต่พอผ่านไปพักเดียวเท่านั้นถอนตัวไม่ออก ร้อง “ไม่เห็นหน้าเจ้า กินข้าวบ่ลง” กันเชียวละ

    คำว่า เสน่ห์ ในภาษาไทยเราแปลว่า ความน่ารัก แต่คำคำนี้มาจากภาษาบาลีว่า สิเนหะ แปลว่า ยางเหนียว ตรงตัวเลย ถ้าใครมาบอกเราว่า แม่คนนั้นเสน่ห์แรงจัง ให้รู้ตัวไว้เลยว่าแม่นั่นน่ะยางเหนียวหนับเลย อย่าไปเข้าใกล้นะ เดี๋ยวติดยางเหนียวเข้าเป็นลิงติดตัง แล้วจะดิ้นไม่หลุด

    ตอนรักเขายังไม่เท่าไร แต่ว่ารักเขาแล้วเขาไม่รักเราสิ หรือเมื่อความรักกลายเป็นอื่นเข้า หรือเขาตายจากเราไปก็ตาม ใจมันจะแห้งผากขึ้นมาทีเดียว แต่ก่อนเคยชอบรับอารมณ์อย่างนั้นอย่างนี้ พอถึงตอนนี้ใครจะมาร้องเพลงให้ฟังก็รำคาญ จะชวนไปเที่ยวดูหนังก็รำคาญ จะร้อง จะรำ จะเล่นอะไร รำคาญไปหมด ข้าวยังไม่อยากจะกิน ใจมันแห้งผาก ซึมเซา รับอารมณ์ไม่ไหว คืออาการที่เรียกว่า จิตโศก

    บางคนอาจนึกว่า ก็แล้วถ้าความรักสมหวัง ก็คงไม่เป็นไร จิตไม่โศกละซี แต่ในความเป็นจริงน่ะ มันเป็นไปไม่ได้ เพราะเราก็รู้อยู่แล้วว่าทุกอย่างในโลกนี้ล้วนตกอยู่ในกฎของไตรลักษณ์ มันไม่เที่ยง ต้องเปลี่ยนไปเรื่อยๆ แตกดับไปเป็นธรรมดา เพราะฉะนั้นลงว่าใครได้รักอะไรเข้าละก็ ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์หรือสิ่งของ ก็ให้เตรียมตัวโศกเอาไว้ได้ ถ้ารักมากก็โศกมาก รักน้อยก็โศกน้อย รักหลายๆ อย่าง ก็โศกถี่หน่อย นี่เป็นอย่างนี้ โบราณท่านสรุปเตือนสติไว้ว่า

    ผู้ใดมีความรักถึง ๑๐๐ ผู้นั้นก็ต้องมีความทุกข์ถึง ๑๐๐

    ผู้ใดมีความรักถึง ๙๐ ผู้นั้นก็ต้องมีความทุกข์ถึง ๙๐

    ผู้ใดมีความรักถึง ๘๐ ผู้นั้นก็ต้องมีความทุกข์ถึง ๘๐

    ผู้ใดมีความรักถึง ๔๐ ผู้นั้นก็ต้องมีความทุกข์ถึง ๔๐

    ผู้ใดมีความรักถึง ๒๐ ผู้นั้นก็ต้องมีความทุกข์ถึง ๒๐

    ผู้ใดมีความรักถึง ๑๐ ผู้นั้นก็ต้องมีความทุกข์ถึง ๑๐

    ผู้ใดมีความรักถึง ๕ ผู้นั้นก็ต้องมีความทุกข์ถึง ๕

    ผู้ใดมีความรักถึง ๔ ผู้นั้นก็ต้องมีความทุกข์ถึง ๔

    ผู้ใดมีความรักถึง ๓ ผู้นั้นก็ต้องมีความทุกข์ถึง ๓

    ผู้ใดมีความรักถึง ๒ ผู้นั้นก็ต้องมีความทุกข์ถึง ๒

    ผู้ใดมีความรักถึง ๑ ผู้นั้นก็ต้องมีความทุกข์ถึง ๑

    “ผู้ใดไม่มีสิ่งอันเป็นที่รัก ผู้นั้นก็ไม่มีความทุกข์ เรากล่าวว่าผู้นั้นไม่มีความเศร้าโศก ปราศจากกิเลสดุจธุลี ไม่มีอุปายาส คือความตรอมใจ ความกลุ้มใจ” ขุ. อุ. ๒๕/๑๗๖/๒๒๕

    โบราณท่านสรุปเป็นข้อเตือนใจไว้ว่า “มากรักก็มากน้ำตา หมดรักก็หมดน้ำตา มากรักก็มากทุกข์ หมดรักก็หมดทุกข์”

    ข้ อ ค ว ร ป ฏิ บั ติ

    ผู้ที่ทำนิพพานให้แจ้งแล้ว ขณะที่ใจท่านจรดอยู่ในนิพพาน ความรักเข้าไปรบกวนท่านไม่ได้ ตัดรักได้ ใจท่านจึงไม่แห้ง ไม่มีโศก

    พวกเราปุถุชนทั่วไป แม้ยังไม่สามารถตัดรักได้เด็ดขาด แต่ถ้าหมั่นทำ สมาธิ เจริญมรณานุสติเป็นประจำ ก็จะทำให้ความรักมามีอิทธิพลเหนือใจเราไม่ได้มาก มีสติดี มีความเด็ดเดี่ยว ก็จะมีจิตโศกน้อยกว่าคนทั่วไป อาการ ไม่หนักหนาสาหัสนัก เพราะนึกถึงความตายแล้วทำให้ใจคลายออกจากรัก ซึ่งเป็นต้นทางของความโศก พอคิดว่าเราเองก็ต้องตาย จะตายเมื่อไรก็ไม่รู้ เท่านี้ก็เริ่มจะได้คิด ความโศกความรักเริ่มหมดไปจากใจ มีสติมาพิจารณาตนเอง ไม่ประมาท ขวนขวายในการสร้างความดี จากนั้นตั้งใจเจริญสมาธิภาวนาเต็มที่ ก็จะสามารถทำนิพพานให้แจ้งได้ และตัดความรัก ตัดความโศกออกจากใจได้อย่างเด็ดขาดในที่สุด

    ข้ อ เ ตื อ น ใ จ

    “ความโศก ความร่ำไร ความทุกข์ อันมากมายหลายอย่างนี้มีอยู่ในโลก ก็เพราะอาศัยสัตว์หรือสังขารอันเป็นที่รัก

    เมื่อไม่มีสัตว์หรือสังขารอันเป็นที่รัก ความโศก ความร่ำไร ความทุกข์ เหล่านี้ย่อมไม่มี

    ผู้ใดไม่มีสัตว์หรือสังขารอันเป็นที่รักในโลกไหนๆ ผู้นั้นย่อมเป็นผู้มีความสุข ปราศจากความโศก

    เพราะเหตุนั้น ผู้ใดปรารถนาความไม่โศก อันปราศจากกิเลสดุจธุลีแล้ว ไม่พึงทำสัตว์หรือสังขารใดในโลกไหนๆ ให้เป็นที่รักเลย”

    ขุ. อุ. ๒๕/๑๗๖/๒๒๕-๒๒๖

    จบมงคลที่ ๓๖ จิตไม่โศก
     
  7. RaDii

    RaDii เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    59
    ค่าพลัง:
    +142
    อนุโมทนากับเจ้าของกระทู้ค่ะ

    เราก็อยากตามหลวงปู่ท่านเหมือนกัน แต่ยังด้อยอยู่มากมาย

    _/l\_
     
  8. สหพัฒน์

    สหพัฒน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    234
    ค่าพลัง:
    +710
    ขอพลิกกระทู้เก่าอีกนิดนึงน่ะครับ
    ตอนนี้ห่วงที่ว่านั้น ได้หมดลงไปแล้ว บัดนี้คงถึงเวลาที่ผมจะต้องค้นหา กุญแจดอกที่ 2 ของผมแล้วล่ะครับ อย่างน้อยๆผมจะได้รู้คำตอบของหัวใจว่าผมจะเลือกเดินต่อทางไหน บุพเพสันนิวาส อาจจะทำให้ผมได้เจอกับสมาชิกหลายๆท่าน แต่คงไม่รู้จักกัน ผมคงไปอาศัยวัดอยู่ชั่วคราว แต่ยังไม่รู้ที่ไหน นานเท่าไร และจะต้องไปอีกหลายแห่งแค่ไหน จนกว่าจะเจอครูบาอาจารย์ที่เคยบำเพ็ญบารมีธรรมตั้งแต่อดีตชาติร่วมกัน
    หวังว่า ในการเดินทางครั้งนี้ ผมคงได้สิ่งที่มุ่งหวัง
    ขอคุณพระรัตนตรัย คุณพระอรหันตสาวกทั้งหลาย คุณหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต คุณพระอาจารย์ลูกศิษย์,หลานศิษย์ในสายหลวงปู่มั่น คุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลก จงช่วยดลบรรดาลให้กระผม จงสมหวังและได้คำตอบของหัวใจ กุญแจดอกที่ 2 ด้วยเถิด สาธุ!
     
  9. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    จะไปทางไหนหรือครับ ยังไม่ต้องการจบกิจชาตินี้ใช่ไหมครับ
     
  10. สหพัฒน์

    สหพัฒน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    234
    ค่าพลัง:
    +710
    ยังตอบไม่ได้ครับ มันเป็นเรื่องของอนาคต ต้องไขข้อข้องใจบางประการก่อนครับ
     
  11. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ระหว่างไขข้อข้องใจบางประการนี้

    อยากศึกษาการทำงานของจิต ให้ละเอียด ให้เห็นถึงการเกิดของกิเลสตัณหาต่างๆ ไปพลางๆ ก่อนไหมครับ?
     
  12. สหพัฒน์

    สหพัฒน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    234
    ค่าพลัง:
    +710
    กำลังศึกษาอยู่ครับ อยู่ในระดับปานกลาง
    พอที่จะสามารถคุมธรรม และกิเลสตัวเองได้ในระดับหนึ่ง
    คืออยู่ตรงกลางระหว่างธรรมะ กับ อธรรม
     
  13. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    สาธุ...

    จากตัวผมเอง ที่ปัจจุบันนี้ผมก็ยังไม่แน่ใจปลายทางของตัวเองเหมือนกัน ว่าจะไปทางภูมิไหน (แต่ไม่ใช่ปัจเจกภูมิแน่นอน)

    ผมเห็นว่า ธรรมะชั้นสูงของพระพุทธเจ้านั้น มีประโยชน์มากครับ ยิ่งเราสามารถเข้าใจได้สูงยิ่งดี ถึงแม้เราอาจจะไม่ใช่สาวกภูมิก็ตาม การศึกษาให้สุดทางนั้นมีประโยชน์ 2 อย่าง

    1. ยังไงเราก็ต้องเป็นผู้ที่สอนผู้อื่นต่อในอนาคต ถ้าจำต้องสอนแล้ว เรารู้ให้ละเอียด แล้วเริ่มสอน เท่าที่พอสอนได้ตั้งแต่ชาตินี้เสียเลยดีกว่า

    2. ในการบำเพ็ญบารมีชาติปัจจุบัน ย่อมต้องมีทุกข์ถาโถมเข้ามาไม่หยุด เพื่อทดสอบเรา การที่เรารู้ธรรมะของพระพุทธเจ้าอย่างถ่องแท้ แม้เลือกที่จะไม่จบกิจ แต่ก็สามารถเห็นกายสังขารนี้เป็นกายสังขารอย่างแท้จริง เป็นอุปกรณ์ที่เราลงอามาศัยบำเพ็ญบารมี พอพิจารณาไปแล้ว จะเห็นว่า กิเลสตัณหาต่างๆ ความเหนื่อยยากท้อแท้ต่างๆ มันเป็นเครื่องถ่วงจิตของเรา ไม่ให้เราบำเพ็ญได้เต็มที่ ดังนั้น เราปลดเปลื้องตัวนี้ออกไป ปล่อยการใช้ชีวิตแบบโลกๆ เป็นของผู้ที่อยู่แบบโลกๆ เขาไป ส่วนเราผู้มาเกิดในฐานะ ผู้มาสร้าง ผู้มาทำหน้าที่ ทำให้เต็มที่ โดยมีธรรมะนำใจ ให้ใจเราไม่ต้องรวนเร ไม่ต้องแกว่งไปกับกิเลส และ โลกธรรม ดีกว่า
    ผมเห็นว่า เมื่อมีกิเลส ใจก็แกว่ง ถึงแม้เราจะยืนหยัดทำภารกิจต่อไปได้ แต่ก็ต้องมีการต่อสู้เกิดขึ้นทางใจ
    หากหมดกิเลส เหลือแค่ใจที่ต้องการขนสัตว์โลก ใจเราก็จะไม่แกว่งอีกต่อไป ไม่เกิดการต่อสู้ทางใจกับอะไรอีก เพราะไม่มีกิเลสเหลือให้ต่อสู้อีกแล้ว เราก็จะใช้กายสังขารนี้ ทำภารกิจต่อไป โดยไม่สนใจอย่างอื่นอีกแล้ว ครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...