พลังศักดิ์สิทธิ์แห่งมนตรา

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย benz555, 4 กรกฎาคม 2011.

  1. benz555

    benz555 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +4
    การเรียกพลังธรรมกลับคืน
    ครั้งหนึ่งอาตมาเคยฝันถึงเรื่องหนึ่ง
    ซึ่งนับเป็นเรื่องที่แปลกมากตอนนั้นอาตมาฝันว่าตัวเองได้เหาะเหินอยู่บนท้องฟ้า
    พอผ่านไปทางยอดภูเขาสูงแห่งหนึ่งก็เห็นว่าตรงที่ราบบนภูเขานั้นมีพระรินโปเชธิเบตนั่งอยู่
    ข้างๆ มีพระลามะ 2 รูป รูปหนึ่งถือธง อีกรูปหนึ่งเป่าปี่ลำโพงพออาตมาเหาะเหินผ่านด้านบนของพระรินโปเชธิเบต ก็ได้ยินพระรินโปเช
    ธิเบตถามลามะทั้งสองว่าชาวฮั่นคนนี้เป็นใคร
    ลามะก็ตอบว่า
    "คือเหลียนเซิน รินโปเช หรือท่านอาจารย์เหลียนเซิน"
    อีกรูปก็พูดว่า
    "ท่านอาจารย์เหลียนเซิน มีชื่อเสียงและมีพลังธรรมมาก เคยไปเทศนาธรรมที่วัดจือปั่นซื่อ" (วัดแห่งหนึ่งซึ่งมีชื่อมากในธิเบต-ผู้แปล)
    พระรินโปเชธิเบตคิดสักครู่ก็บอกว่า
    "ถ้าอย่างนั้นอาตมาจะเรียกพลังธรรมของเขากลับคืนมา"
    หลังจากวันนั้นอาตมาก็ยังคงฝันถึงพระรินโปเชธิเบตองค์นี้อีกในความฝันอาตมากับ พระรินโปเชธิเบตยืนอยู่ริมแม่น้ำแห่งหนึ่งชื่อ 'แม่น้ำเยาะสุ่ยซานเชียน'
    แม่น้ำแห่งนี้เป็นแม่น้ำที่ลึกมาก มีคลื่นลมแรงและเมื่อมีสิ่งใดตกลงไปจะไม่สามารถลอยได้เลย
    ขนาดใบไม้ใบหนึ่งตกลงไปก็ยังจมลง หรือแม้แต่ขนห่านก็ไม่สามารถลอยได้
    พระรินโปเชธิเบตบอกกับอาตมาว่า
    "ท่านอาจารย์เหลียนเซิน ข้าอยากให้ท่านลองใช้พลังธรรม
    (อิทธิฤทธิ์) ห้ามเหาะเหินข้ามไปแต่ให้ใช้การเดินไปบนผิวน้ำเท่านั้นนะ"
    ได้ยินแบบนี้อาตมาก็รู้แล้วว่า พระรินโปเชธิเบตต้องการทดสอบความสามารถของอาตมา
    อาตมาจึงเพ่งจิต เพื่อนำปรมาจารย์สายตรงมาสถิตอยู่บนหัว ส่วนมือนั้นเริ่มทำมุทราอุทกเทวะ
    ปากท่องรหัสกันน้ำว่า
    น้ำไร้น้ำใจจำนวนหนึ่ง
    พันปีไม่ยอมบรรทุกใคร
    บัดนี้อาตมาเดินผ่านไป
    ขอสมุทรทะเลจงกลายเป็นนา
    "จี๋จี๋หยูลี่ลิ่ง" 3 จบ (หมายความว่ารีบๆ ทำตามคำบัญชา)
    พอท่องครบ 3 จบ อาตมาจึงเหยียบลงไปในแม่น้ำ น้ำก็แข็งตัวอย่างกับพื้นดินจริงๆ แล้วอาตมาก็เดินผ่านไปทีละก้าวๆ จนเดินข้ามไปยังฝั่งตรงข้ามได้
    คราวนี้ถึงคิวของพระรินโปเชธิเบตที่ต้อง เดินผ่านผิวน้ำบ้างอาตมาเห็นเขาลังเลนิดหนึ่ง แล้วจึงเดินลงไปในแม่น้ำ แต่ปรากฏว่าเขากลับจมลงไปทั้งตัว
    ไม่สามารถเดินบนผิวน้ำได้อย่างอาตมา
    เมื่อพระรินโปเชธิเบตกำลังจมลงน้ำ ปรากฏว่ามีพญาครุฑตัวใหญ่มาก มีปีกสีทองมาช่วยเขาไว้เสียก่อน
    อาตมาคิดว่าพญาครุฑตัวนี้คงเป็นองค์ธรรมบาลของพระริน
    โปเชธิเบต
    พอขึ้นมาได้พระรินโปเชธิเบตก็รู้สึกอับอายเป็นอย่างมากจนทำตัวไม่ถูก แล้วบอกอาตมาว่า
    "อาตมาจะเรียกพลังธรรมของท่านกลับคืนมาให้ได้"
    ฝัน 2 เรื่องนี้นับเป็นเรื่องที่แปลกมาก
    ในช่วงเวลานั้นมีพระรินโปเชธิเบตหลายท่านมานับถืออาตมาเป็นสรณะ และตอนที่อาตมาไปเป็นประธานร่วมกับประมุขนิกายสายเหลือง 'กันตันเชอปา'
    ในการเปิดประชุมงานธรรมประชุม ก็ได้พบกับพระทาไลลามะ แล้วอาตมาก็ได้เทศนาธรรมใน 3 วัดใหญ่ของธิเบต ทั้งๆ ที่อาตมาเป็นชาวฮั่น (จีน) เพียงคนเดียวเท่านั้น หลังจากการเทศน์ครั้งนั้น ปรากฏว่าชื่อเสียงของอาตมาก็กระจายไปทั่วอินเดีย ธิเบต จนมีพระรินโปเชธิเบตมานับถืออาตมาเป็นสรณะเพิ่มขึ้น และมีท่านหนึ่งเป็นถึงประธานรัฐสภา 'จิบมี่ รินโปเช่' ของรัฐบาลชั่วคราวธิเบตรวมอยู่ด้วย
    วัดที่นั่นบางวัดจึงมีรูปของอาตมา ตั้งเพื่อบูชาอยู่ เช่น วัดกันตันสุภาพ วัดกังเซิ่น เป็นต้น เมื่อเป็นแบบนี้อาตมาจึงคิดสร้างความสัมพันธ์ทางบุญปัจจัยกับคุยหยานของธิ เบตอย่างลึกซึ้ง เพราะนี่ถือเป็นเรื่องที่ดีเรื่องหนึ่ง
    อย่างสายธรรมะ ของอาตมาเองก็รับการถ่ายทอดมาจากธิเบต โดยมาจากพระอาจารย์นอนา พระอาจารย์เลี่ยวหมิง ทูเตินนิมะ ทูเตินตะลิ ทูเตินตะจิ มหารัตนธรรมราชาคามาปา (รุ่นที่ 16) พระอาจารย์สักกะเจิ้นคง เป็นต้น
    แต่ก็มีข้อเสียอยู่ที่ชื่อเสียงของอาตมานั้นมีมาก โดยเฉพาะในเรื่องอิทธิปาฏิหาริย์ของอาตมาที่มีสูง จึงทำให้กลายเป็นที่สนใจของคนอื่นมากเป็นพิเศษ
    เมื่อเป็นแบบนี้ก็แน่นอนว่าย่อมมีพระรินโปเชธิเบตที่ไม่ยอมรับอาตมา
    อาตมาคิดว่าพระรินโปเชในฝันนั้นก็คงเป็นหนึ่งในพวกที่ไม่ยอมรับอาตมาเช่นกัน ไม่อย่างนั้นคงไม่พูดกับอาตมาว่าจะเรียกพลังธรรมกลับคืน และอาตมาก็รู้สึกว่าการที่ฝันแบบนี้ถึง 2 ครั้งนั้นเป็น
    เหมือนการเตือน และรู้สึกว่ามันเป็นความฝันที่ไม่ค่อยเป็นมงคล ดังคำกล่าวที่ว่า
    ไม่รู้แจ้งมูลลักษณ์ของภูตตถาคตา
    ไม่สมกายามีชื่อว่าธรรมราชา
    ไม่รู้แจ้งเห็นจริงทางโพธิจิต
    ทำตัวชิงดีชิงเด่นไร้มรรคผล

    ••••••••••••••••••••

    ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานั้น อาตมาได้บำเพ็ญธรรมคุยหยาน (วัชรยาน) พร้อมไปกับการสร้างพุทธมณฑลและท่องคาถามนตรา ไตรกรรมโยคะ (กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม สื่อสัมพันธ์กัน) เพื่อขจัดอาวรณ์ เพิ่มพูนปัญญา แปลงปุถุชนเป็นอริยบุคคลให้มีบารมีและ
    อิทธิฤทธิ์เหนือความนึกคิด
    อย่าง 'ซินฟะ' (หฤทัยธรรมะ) ที่อาตมาบรรลุนั้นก็เป็นของมหาไวโรจนาตถาคต ที่ครั้งหนึ่งได้ถ่ายทอดให้แก่วัชรสัตวา เกี่ยวกับหลักธรรมที่ตรัสรู้ ณ วังสุดยอดธรรมภูมิบนสวรรค์ชั้นฟ้า
    อาตมาได้รับพุทธาภิเษกมาจากพระอาจารย์หลายท่าน ด้วยเหตุนี้จึงนำเอาหลักธรรมที่ลึกลับต่างๆ มาเผยแผ่ในคุยหยาน ก่อตั้ง 'เจินฝอจง' (นิกายสัตยพุทธ) เพื่อสร้างพุทธมณฑล นับเป็นความตั้งใจของอาตมาที่ทำสำเร็จแล้ว ซึ่งมีเพียงพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่รับรู้
    เพราะอาตมารู้ว่าบุญกุศลบารมีที่บำเพ็ญจนสำเร็จ เป็นสิ่งที่ทำได้ยากในโลกใบนี้ และภูตตถาตาก็คือตัวอาตมา นั่นคือ
    รหัสลับมี 4 ชั้น
    ทุกชั้นวิเศษสุด
    ไตรกรรมใช้ลับๆ
    ทุกคุยหะย่อมลึกซึ้ง
    อย่างเรื่องที่อาตมาฝันทั้ง 2 เรื่องก็ย่อมเป็นเรื่องจริง ซึ่งแตกต่างจากคนธรรมดา เพราะตัวอาตมากับพระพุทธนั้นรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน และตอนที่อาตมานั่งสมาธิก็ยังปรากฏเรื่องนี้ขึ้นเหมือนกัน
    ในสมาธิ…อาตมาเดินอยู่ในปรโลก ที่นี่ไม่มีตะเกียงโคมไฟ จึงทำให้อาตมาไม่รู้ทิศทาง อาตมาจึงใช้วิธีเปล่งรัศมีออกจากจิต บนศีรษะของอาตมาก็ปรากฏตะเกียงทอง 3 ดวง หรือที่เรียกว่ารัศมีสายธรรมที่อาตมาได้รับการถ่ายทอดมา แล้วบนท้องฟ้าก็มีนกยักษ์บินมา ใช้ปากคาบตะเกียงทอง 3 ดวงไป แถมรอบๆ ตัวอาตมายังมีสัตว์ร้ายส่งเสียงคำราม รวมไปถึงพวกผีร้ายจำนวนมากที่กำลังร้องเสียงโหยหวน พออาตมาเห็นมหาธรรมบาลองค์หนึ่งขี่ม้าผ่านมา แล้วบนหัวสวมหมวกงอบ ก็รู้ว่าเป็นองค์ 'มหาเทพสงเทียน' อาตมาก็ยิ่งรู้สึกแปลกใจ
    แล้วก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว จนทำให้อาตมาสงสัย
    ต่อมาอีกไม่นานก็มีพระลามะซัวนานจากธิเบตมาหาอาตมาแล้วบอกว่า
    "เหลียนเซิน รินโปเช ท่านกำลังแย่แล้ว"
    อาตมาจึงถามกลับไปว่า "แล้วแย่เรื่องอะไรล่ะ"
    "มีพระโชกัง รินโปเช เจ้าอาวาส (คันปู) ที่ตำแหน่งสูงส่ง
    มีพลังธรรมอิทธิฤทธิ์มาก จะทำการบำเพ็ญธรรม เพื่อเรียกพลังธรรมของท่านกลับคืน"
    "โชกัง รินโปเช อาตมาไม่เคยได้ยินชื่อเลย"
    "ท่านไม่รู้จักเขา แต่เขารู้จักท่าน" ลามะซัวนานกล่าว
    "แล้วทำไมต้องเรียกพลังธรรมของอาตมาคืนด้วยล่ะ"
    ลามะซัวนานกล่าวว่า
    "เพราะท่านมีชื่อเสียงมากเกินไปน่ะสิ"
    "แต่การมีชื่อเสียงไม่ใช่ความตั้งใจของอาตมา"
    "โชกัง รินโปเชหาว่าท่านบุกรุกเขตอิทธิพลของเขา"
    "อาตมาไม่มีเขตอิทธิพล"
    "แต่ตอนที่ท่านไปอินเดีย ท่านไม่ได้ไปเยี่ยมเขา"
    "เขาอยู่วัดไหน"
    "ท่านไปวัดจือปั่นซื่อ และไปวัดกันตันซื่อ แต่ไม่ได้ไปวัดสือลาซื่อ โชกัง รินโปเชโมโหมาก เขาเลยจะเล่นงานท่าน"
    "แบบนี้อาตมาก็มีความผิดด้วยหรือ"
    "ใช่"
    "แล้วโชกัง รินโปเชมีพลังธรรมอะไรบ้าง ท่านพอทราบไหม" อาตมาถาม
    ลามะซัวนานก็บอกว่า
    "สมัยก่อนนานมาแล้ว เขาเป็นคุรุมนตราที่มีชื่อเสียงมากของธิเบต พวกฝ่ายตรงข้ามคนไหนที่คิดลองดีกับเขา ถ้าไม่กระอักเลือดตายทันทีก็จะป่วยหนักปางตาย หรือมีเหตุให้ต้องตาย นอกจากนี้โชกัง รินโปเชยังมีองค์ธรรมบาลใหญ่ 2 องค์ องค์หนึ่งคือ 'มหาเทพสงเทียน' ที่มีชื่อเสียง อีกองค์คือ 'เทพพญาครุฑปีกทอง'
    ทั้งสององค์ธรรมบาลนี้ทำให้เขาไร้เทียมทาน"
    "อาตมาจำได้ว่ามหาเทพสงเทียน มีข้อห้ามไม่ให้บำเพ็ญไม่ใช่หรือ"
    ลามะซัวนานก็ตอบว่า
    "คุยหยานของธิเบตแบ่งออกเป็น 2 ลัทธิ ลัทธิหนึ่งห้ามบำเพ็ญ อีกลัทธิอนุญาตให้บำเพ็ญได้ แต่เนื่องจากการบำเพ็ญต่อองค์มหาเทพสงเทียนนั้นทำให้มีพลังมาก
    จึงมีคนเป็นจำนวนมากที่มาบำเพ็ญตนต่อองค์มหาเทพสงเทียน จนทำให้เกิดเป็นปัญหาของธิเบต"
    อาตมาฟังที่ลามะซัวนานพูดแล้ว ก็รู้สึกสะเทือนใจ แต่ไม่ได้นึกกลัว เพราะ "จิตที่เที่ยงนั้นย่อมไม่กลัวความชั่ว"
    ลามะซัวนานบอกว่า
    "แต่ท่านก็ควรจะระวังไว้บ้างนะ"
    "แล้วอาตมาจะป้องกันได้อย่างไรบ้างล่ะ"
    "องค์ธรรมบาลย่อมสู้กับองค์ธรรมบาลได้" ลามะซัวนานบอก
    ลามะซัวนานเตือนอาตมาเสร็จแล้วก็จากไป
    ส่วนอาตมาเองก็ได้แต่ครุ่นคิดในคำเตือนของลามะซัวนาน เพราะมันช่างเหมาะเจาะกับฝัน 2 ครั้งที่ผ่านมา เพิ่มความระมัดระวังตัวมากขึ้นด้วยการเตรียมตัวให้พร้อมตลอดเวลา

    ••••••••••••••••••••

    แล้ววันหนึ่งสิ่งที่พระลามะซัวนานเตือนอาตมาก็มาถึง 'มหาเทพสงเทียน' มาปรากฏตัวอยู่บนท้องฟ้าตรงหน้าอาตมา สี่เท้าของม้าเหยียบดินอันวิเศษ หมวกงอบชี้ฟ้าท่าทางสง่างามไปมาเข้าออกไร้อุปสรรค น่าเกรงขามขี่ม้าอยู่บนเมฆ
    มหาเทพสงเทียนใช้วัชรคทาตีศีรษะอาตมา ถ้าเป็นนักบำเพ็ญทั่วไปคงจะหัวแตกเลือดไหล สิ้นลมหายใจวิญญาณเร่ร่อนไปสู่บัลลังก์ของพญายมไปแล้ว
    แต่สำหรับอาตมาซึ่งปกติก็ได้บำเพ็ญตนต่อองค์ธรรมบาล 'องค์ยามันตากะ' (มหาบารมีวัชรธรรมบาล) อยู่ตลอด องค์ยามันตากะจึงปรากฏอยู่บนหัวของอาตมา ซึ่งองค์ท่านมีหลายเศียร หลายมือ หลายเท้า ท่าทางน่ากลัวมาก รอบๆ ตัวของอาตมาทั้ง 4 ทิศ จึงล้วนถูกปิดกั้นเอาไว้หมด
    ที่จริงแล้วถ้าจะให้อาตมาอันเชิญองค์ยามันตากะ มาสู้กับ มหาเทพสงเทียน ก็ย่อมทำได้แต่อาตมาคิดว่ายังไม่ต้องถึงขั้นนั้น
    อาตมาจึงให้องค์ยามันตากะถอยไปก่อน แล้วอาตมาก็ตั้งสมาธิเพื่อทำให้หัวกะโหลกของตัวเองแยกออกเป็นดอกบัว 8 กลีบ ที่ผลิออก ได้ยินเสียงว่า
    "ไอหน่าย"
    ในดอกบัวมีองค์พระพุทธเจ้าอมิตาภะ ที่มีมหาปุริสลักษณ์ 32 ประการ อสีตยานุ พยัญชนะ 80 ประการ ดังคำกล่าวที่ว่า
    เงาจันทร์ประทับสระบัว สระบัวประทับนภา
    ลมร้องกอไผ่ กอไผ่ก็ร้องเสียงของลม
    โลกสังคมมีนักบำเพ็ญธรรมมากมาย
    นึกผิดไปคิดว่าอมิตาภะตถาคตอยู่ยอดเขาอื่น
    และเมื่อมหาเทพสงเทียน เห็นว่ารัศมีเมตตาจากดอกบัวได้ส่องไปทั่วร้อยหมื่นโยชน์ และเห็นว่าเป็นองค์อมิตาภะตถาคตจริงแน่แท้ ก็พนมมือและจากไป
    ตอนแรกอาตมาคิดว่าเมื่อมหาเทพสงเทียนไปแล้วเรื่องก็คงจบ แต่ปรากฏว่ามันยังไม่จบ อาตมาจึงบำเพ็ญธรรมเรียนเชิญว่า
    โอม ซือปาวา ซุตตา ซาเออวา ตาเออมา ซือปาวา ซุตตอฮั่ง
    โอม อะ ฮุ่ม โซหะ
    เมื่อว่าจบปกติองค์เทพต่างๆ จะปรากฏตัว แต่คราวนี้กลับไม่มีวี่แววใดๆ ทั้งสิ้น อาตมาแปลกใจมาก คล้ายกับว่าพลังธรรมของอาตมาได้หายไปเสียแล้ว
    อาตมาจึงลองเชิญเทพเจ้าที่ทั้ง 4 ทิศ
    หนาหมอ ซันมันโต มูโทนัน โอม ตูลู ตูลู ตีเวย โซหะ
    มือทำมุทรา เอาเท้ากระทืบพื้นดิน
    ปกติเทพเจ้าที่ทั้ง 4 ทิศจะต้องปรากฏตัว แต่คราวนี้กลับไม่ปรากฏตัวเช่นกัน คล้ายกับว่าคาถาที่อาตมาท่องไม่มีผล อาตมาจึงเริ่มรู้สึกประหม่า คิดว่าพลังธรรมของอาตมาอาจหายไปจริง หรืออาตมาจะไม่สามารถใช้พลังต่างๆ ได้
    เพราะปกติเวลาอาตมาถวายการบูชา จะท่องคาถาอมฤตว่า
    หนาหมอ ซูลูปายา ตาทากาตายา ตาติยาทา โอม ซูลู ซูลู ปอลาซูลู ปอลาซูลู โซหะ
    พอสาดน้ำอมฤตออกไป พวกเทพพวกวิญญาณจะมารับการบูชา แต่ตอนนี้กลับว่างเปล่า เหมือนกับว่าน้ำอมฤตนั้นเป็นแค่น้ำธรรมดา
    อาตมาลองท่องคาถาแปลงภัตตาหารก็ไร้ผล ลองเรียนเชิญเทพองค์ไหนก็เหมือนเดิม ลองท่องน้ำมนต์มหากรุณาธารณีก็ไร้ผล เหมือนว่าพลังธรรมของอาตมาได้หมดไปจริงๆ และสุดท้ายอาตมาก็สูญเสียพลังธรรมแห่งมนตราทั้งหมดจนกลายเป็นปุถุชน
    เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น อาตมาเริ่มคิดถึงอาชีพเดิมของอาตมา จึงงอนิ้วคำนวณว่าจะเกิดอะไรขึ้น
    อาตมายื่นมือออกไป พลางภาวนาให้องค์อริยะเจ้าที่ผ่านไปมาในนภากาศมาช่วยชี้แนะ
    แต่ปรากฏว่านิ้วของอาตมาก็ไม่สามารถคำนวณได้อย่างใจนึก
    อาตมาเงยหน้ามองฟ้า ทันใดนั้นถึงได้รู้ว่าตะเกียงทอง 3 ดวงบนหัวของอาตมาได้หายไป และตะเกียงทอง 3 ดวงนี้คือการเนรมิตพลังอธิษฐานสายธรรมที่อาตมาได้รับถ่ายทอดมา
    สักพักอาตมาก็นึกได้ว่า ตะเกียงทั้ง 3 ดวงนั้นคงจะถูกพญาครุฑเอาไป
    ด้วยการฉวยโอกาสที่อาตมาไม่ทันระวังตัวในตอนที่กำลังต่อสู้กับมหาเทพสงเทียนเป็นแน่แท้เหมือนในสมาธิ
    ที่อาตมามั่นใจว่าสาเหตุนี้คือสิ่งที่ทำให้พลังธรรมของอาตมาหายไป เป็นเพราะว่าหากพลังอธิษฐานของสายธรรมของผู้ใดที่ถ่ายทอดมาได้หายไป คาถามนตราหรือพิธีธรรมทุกอย่างก็จะไร้ผลขึ้นมาทันที
    ในคัมภีร์ 'มิเจี้ยวกังจง' ได้กล่าวไว้ว่า 'คุยหยาน' เป็นอริยญาณที่ตรัสรู้เองของพระพุทธเจ้า ถ่ายทอดโดยตรงให้แก่ปุถุชนทางโลกา ฉะนั้นผู้บำเพ็ญพลังทิพย์จะเพิ่มขึ้น จนมีมหาพลังที่อจินไตย โดยจะต้องถือความสำคัญเรื่องสายธรรมจากการถ่ายทอด
    ผู้มีจิตมุ่งมั่น ฝึกฝนจึงต้องเข้าไปในมหามณฑล เพื่อรับการพุทธาภิเษกจากวัชราจารย์ จึงจะได้รับการถ่ายทอดพลังสายธรรม เพราะถ้าไม่ได้รับการถ่ายทอดพลังสายธรรมแล้ว ก็จะไม่สามารถใช้คาถา มนตรา และพิธีกรรมทั้งปวงได้
    นอกจากนี้พลังสายธรรมการถ่ายทอดยังเป็นหลักสำคัญ มูลฐานในการเรียนคุยหยาน เพราะพลังอธิษฐานถ่ายทอดสายธรรมนี้มาจากจักรวาลในนภา เป็นสิ่งซึ่งทำให้เกิดปัญญาในจิต และคือปัญญามูลฐานของ 'มิฟะฉวนเฉิน' หรือที่เรียกกันว่า การถ่ายทอดสายธรรมของคุยหธรรม
    อาตมาคิดว่า ถ้าสามารถทวงตะเกียงทองทั้ง 3 ดวงกลับมาได้ พลังธรรมก็จะกลับคืนมา และวิธีเดียวที่อาตมาจะได้กลับคืนมานั้น คือการที่อาตมาต้องไปเจอหน้าโชกัง รินโปเช
    อาตมารู้สึกว่าโชกัง รินโปเชนั้นช่างร้ายกาจจริงๆ และตามนิสัยอาตมาจะไม่ยอมแสดง 'เปิ่นจูน' (องค์เทพประจำตน) เพื่อไปทวงตะเกียง 3 ดวง
    แล้วอาตมาจะทำอย่างไรดีล่ะ
    โชคดีบังเกิดขึ้นกับอาตมา เพราะอาตมาคือผู้รับการถ่ายทอด คุยหธรรม อาตมาจึงล่วงรู้ความลับในความลับ ว่าถึงแม้ตะเกียง 3 ดวงจะถูกขโมยไป
    แต่อาตมาก็สามารถจะจุดตะเกียงทองทั้ง 3 ดวงอีกก็ได้ เพราะแท้จริงนั้นอาตมามีตะเกียงทอง 3 ดวงแบบนับจำนวนไม่ถ้วน
    ในพระสูตร 'ต้าหลุนจินกังถอหลอหนีจิง' (มหาจักรวัชรธารณีสูตร) ได้กล่าวไว้ว่า หากท่องคาถานี้ครบ 21 จบ
    จะสามารถสำเร็จผลของคาถามนตราแบบรวดเร็วทั้งมุทราและมนตราทั้งปวง รวมถึงมณฑลธรรมทั้งปวง และการเข้าไปยังมหาพุทธมณฑลนั้นก็ไม่จำเป็นต้องทำมณฑลกิจกรรมใดๆ อีก
    ส่วนพระสูตร 'ถอหลอหนีจี๋จิง' (รวมธารณีสูตร) กล่าวว่า หากท่องคาถานี้ครบ 37 จบ ก็จะเข้าไปยังมณฑลทั้งปวงได้ จะทำกิจการใดล้วนสำเร็จ โดยในการท่องนั้นให้มี 'มุทรากายา' และมุทราอื่นๆ
    ถ้าทำมุทรามือแล้ว ท่องคาถามนตราต่างๆ ก็ยิ่งมีผลเร็วขึ้น ส่วนผู้ที่ยังไม่เคยรับพุทธาภิเษกไม่ควรทำมุทรามือ แต่ถ้าท่องคาถานี้ก็เหมือนได้เข้าไปยังมณฑลเพื่อรับการพุทธาภิเษก สามารถทำมุทราได้
    สำหรับคัมภีร์ 'ต้าจั้งมิเย่า' (รหัสลับมหาครรภ์) กล่าวว่า ตามที่กล่าวมาคาถามุทรามือ ต้องรับการถ่ายทอดจากอาจารย์ ถ้าไม่ได้เข้ามณฑลพุทธาภิเษกจักร แล้วทำมุทราปฏิบัติธรรม ถือว่าเป็นการขโมยธรรมะ จะทำสิ่งใดก็ไม่ประสบความสำเร็จ แต่ถ้าท่องคาถานี้ต่อหน้าตถาคต 21 จบ ก็เหมือนการได้พบหน้าพระพุทธเจ้า เหมือนได้เข้า
    พุทธมณฑลทั้งปวง หากขอบำเพ็ญธรรมใดก็จะสำเร็จ"
    ด้วย เหตุนี้อาตมาจึงเชิญพระสูตร 'มหาจักรวัชรธารณี' ออกมาเพ่งจินตนาการว่า พระอาจารย์สายตรงทั้งหลายได้เนรมิตเป็นตะเกียงทอง 3 ดวง แล้วท่องคาถาว่า หนาหมอ ซือเต๋อหลี่ยา ถีเหวยเก๋อหลัน ตาทาเก๋อทาหลัน
    โอม เหวยลาจี๋ เหวยลาจี๋ มาฮาเจียเก๋อลา ฝาจี๋หลี่ ซาตา ซาตา ซาลาเต๋อ ซาลาเต๋อ
    เต๋อลาอี เต๋อลาอี เหวยต๋ามาหนี่ ซันปันเจียหนี่ เต๋อลามาตี่ ซี่ต๋า ไปหลี่หยา
    เต๋อหลัน โซหะ
    พอครบ 21 จบ อาตมามองขึ้นไป ไม่เพียงมีตะเกียงทองทั้ง 3 ดวง บนหัวอาตมากลับปรากฏจำนวนตะเกียงทองที่ร้อยเรียงเป็นสายมากมาย จนกลายเป็นสร้อยวัชระ
    เมื่อพลังธรรมของอาตมากลับมา อาตมาจึงเปล่งพลังมหาศาลมายังศีรษะของอาตมาที่มีตะเกียงเป็นพันดวง จนดูเหมือนดอกบัวเป็นกลุ่มๆ
    พลังธรรมทั้งหลายของอาตมาที่หายไปล้วนสมบูรณ์
    ส่วนทางฝ่ายโชกัง รินโปเชก็เกิดเรื่องแปลกขึ้นกับตัวเขา เมื่อพญาครุฑที่เขาสั่งให้คาบตะเกียงทองทั้ง 3 ดวงของอาตมานั้นได้หายไป
    พอโชกัง รินโปเชเชิญมหาเทพสงเทียน ก็ปรากฏว่ามหาเทพสงเทียนไม่มาตามที่เชิญ
    โชกัง รินโปเชจึงโมโหมากจนเป็นไข้หนักถึง 3 ครั้ง สุดท้ายกลายเป็นเพียงคนธรรมดาไปในที่สุด
    ต่อมาอาตมาก็ได้ยินเสียงลือที่เล่ากันต่อๆ มาว่า โชกัง รินโปเชได้พูดกับคนอื่นว่า ตัวเขานั้นสู้พลังกับคุรุมนตราคนไหนก็ได้ แต่กลับไม่สามารถสู้อาตมาได้ เพราะพลังธรรมของอาตมาเหนือความนึกคิด ถึงขนาดที่ว่าแม้ตะเกียงทั้ง 3 ดวงหายไป ก็กลับปรากฏตะเกียงพันดวงออกมาแทน

    อาตมาอยากจะบอกมา ณ ตรงนี้ว่า แท้จริงแล้วนั้นอาตมาไม่ได้ทำอะไรต่อโชกัง รินโปเชเลยจริงๆ ไม่มีเลยจริงๆ...


    ศากยมุนีตถาคตทรงตรัสแบบนี้
    พ่อค้าคนหนึ่งชื่อ 'กู้ฉวน' ป่วยเป็นโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร
    พยายามหาหมอเพื่อรักษาหลายแห่งก็ดูไม่มีวี่แววว่าอาการจะดีขึ้น แถมโรคมะเร็งยังกำเริบหนักขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่หมอจีนหมอฝรั่งต่างก็จนปัญญากันหมด ขนาดต้องจ่ายเงินซื้อตำรายาลึกลับมารักษาเป็นจำนวนมากก็ยังไม่ช่วยให้ดีขึ้น
    เมื่อกู้ฉวนป่วยมากเข้าจนใจไม่ดี เขาจึงไปขอพรจากเทพเจ้าในร่างของม้าทรงที่ศาลเจ้า
    "ถ้าโรคมะเร็งหาย ผมสาบานว่าจะสร้างศาลเจ้าและเป็นคนดูแลศาลเจ้าตลอดชีวิต"
    เทพที่มาสถิตอยู่ในร่างของคนทรงเจ้าก็ตอบว่า
    "หายสิ ทำไมจะไม่หาย"
    ได้ยินแบบนี้กู้ฉวนจึงถามต่อว่า
    "แล้วมีเทพเจ้าองค์ไหนรักษามะเร็งได้บ้างครับ"
    "พระพุทธเจ้าศากยมุนี"
    "แล้วผมจะไปหาพระพุทธเจ้าศากยมุนีได้ที่ไหน ไม่ทราบว่าท่านอยู่ที่ไหนครับ"
    "ที่วัด"
    ตลอดชีวิตที่ผ่านมากู้ฉวนนั้นไม่เคยเข้าวัดเลย
    พอกู้ฉวนไปถึงวัดก็ถามพระธรรมาจารย์ว่า พระพุทธเจ้าศากยมุนี อยู่ที่ไหน พระธรรมาจารย์ก็บอกเขาว่า พระพุทธเจ้าศากยมุนีอยู่ที่ 'ต้าสงเป่าเตี้ยน' (อุโบสถรัตนบัลลังก์มหาบุรุษ)
    พอกู้ฉวนไปถึงตรงกลางองค์พระประธานที่นั่งอยู่ซึ่งเป็นรูปปฏิมา
    สีทองซึ่งก็คือพระพุทธเจ้าศากยมุนี เขาก็ยกมือไหว้และตั้งปณิธาน แต่เขาก็รู้สึกว่าพระพุทธเจ้าศากยมุนีไม่ได้รักษาโรคให้เขา กู้ฉวนจึงร้อนใจ แล้วกลับไปถามพระธรรมาจารย์ว่า
    "พระพุทธเจ้าศากยมุนีรักษาโรคได้ไหมครับ"
    "ถ้าจิตศรัทธาก็รักษาได้"
    กู้ฉวนก็ถามอีกว่า
    "ผมจะไปพบพระพุทธเจ้าศากยมุนีได้อย่างไร"
    พระธรรมาจารย์ก็ตอบเป็นโศลกว่า
    พระอยู่หลิงซานอย่าไปหาที่ไกล
    หลิงซานก็อยู่ที่ขั้วหัวใจของท่าน (หลิงซาน แปลว่าทิพยคีรี) "ขั้วหัวใจหรือครับ" กู้ฉวนยังคงไม่เข้าใจ เมื่อพระธรรมาจารย์รูปนี้ถูกถามจนเริ่มทนไม่ไหว ก็บอกกู้ฉวนว่า "ถ้าอย่างนั้นท่านไปหาท่านอาจารย์เหลียนเซินเถอะ" "ทำไมต้องไปหาท่านอาจารย์เหลียนเซินล่ะ" "เพราะว่าท่านอาจารย์เหลียนเซินดื่มกาแฟกับพระพุทธเจ้า ศากยมุนีบ่อยๆ น่ะสิ"
    การที่พระธรรมาจารย์บอกแบบนี้กับกู้ฉวนนั้น แท้จริงแล้วเป็นเพราะพระธรรมาจารย์เคยอ่านหนังสือของอาตมา ซึ่งอาตมาเคยเขียนไว้ว่าอาตมาได้ดื่มกาแฟกับพระพุทธเจ้าศากยมุนีที่ร้านกาแฟ น่าชมเชยพระธรรมาจารย์เป็นอย่างมากที่เขายังจำได้ และพอได้ยินแบบนี้ นายกู้ฉวนก็ดีใจมาก "ถ้าอย่างนั้นผมก็จะไปดื่มกาแฟกับพระพุทธเจ้าศากยมุนีบ้าง" พระธรรมาจารย์จึงไล่กู้ฉวนให้มาหาอาตมาทันที "รีบไป รีบไปเถอะ ไปขอให้ท่านอาจารย์เหลียนเซินแนะนำให้" แล้วกู้ฉวนก็มาหาอาตมาจริงๆ
    อาตมา จึงเล่าให้กู้ฉวนฟังว่าพระพุทธเจ้าศากยมุนีเดิมทีเป็นราชโอรสของพระเจ้าสุ ทโธทนะและพระมายาเทวี ชื่อเดิมคือเจ้าชายสิทธัตถะ ประสูติ ณ สวนลุมพินี ตอนอายุยังเยาว์วัย เห็นสภาพต่างๆ ของสังคมมนุษย์ ความทุกข์ของชาวนาที่ลำบาก เห็นสัตว์ต่อสู้และกลืนกินซึ่งกันและกัน ด้วยสาเหตุนี้จึงรู้สึกเบื่อหน่ายการต่อสู้ของสังคมมนุษย์...
    ตอนออกไปเที่ยวชมเมือง ณ ประตูเมือง 4 ทิศ เห็นการเกิด การแก่ตัว การป่วยไข้ และการตาย ฉะนั้นพระพุทธเจ้าศากยมุนีจึงปลีกตัวออกจากโลกสังคม และออกบวช บำเพ็ญทุกขกิริยา 6 ปี ต่อมารู้ว่าการทำทุกขเวทนาไม่หลุดพ้น จึงเปลี่ยนความคิด ลงไปอาบน้ำในแม่น้ำและรับการถวายข้าวมธุปายาศจากสาวชาวบ้าน
    สุดท้ายนั่งสมาธิตรึกตรองอยู่ใต้ต้นโพธิ์เพ่งพิจารณา 'อริยสัจสี่' และ 'ปฏิจสมุปบาท 12 เหตุปัจจัย' ก็บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ สำเร็จเป็นพระโลกนาถ เป็นคุรุแห่งมนุษย์และเทวดา
    หลังจากนั้นเป็นเวลา 40 กว่าปี จึงออกท่องเที่ยวไปทั่ว เพื่อ สั่งสอนและโปรดกู้สรรพสัตว์ทั้งหลาย
    ในพ.ศ. 487 ได้ปรินิพพานใต้ต้นสาละคู่ เมืองกุสินารา ประเทศอินเดีย กู้ฉวนฟังแล้วก็บอกอาตมาว่า
    "ผมไปถามเทพที่ศาลเจ้ามา ท่านบอกว่าถ้าจะรักษาโรคมะเร็งให้หายได้ ให้ไปหาพระพุทธเจ้าศากยมุนี ตอนนี้พอผมได้รู้ถึงชีวประวัติของพระพุทธเจ้าศากยมุนีแล้ว ผมคิดว่าโรคนี้คงรักษาไม่หายแน่ๆ เพราะขนาดพระพุทธเจ้าศากยมุนียังหลีกหนีความตายไม่ได้เลย"
    อาตมาบอกกู้ฉวนว่า มันก็ไม่แน่เสมอไป "หรือว่าท่านอาจารย์มีตำรับยาสูตรลับหรือครับ"
    "ก็ ไม่ใช่สูตรลับของอาตมา แต่การต่อสู้กับโรคมะเร็งต้องอาศัยกำลังใจ มีผู้ป่วยโรคมะเร็งหลายคนที่มีชีวิตอยู่ต่อได้อีกหลายปีเพราะมีกำลังใจที่ดี อาตมาคิดว่าท่านควรนับถือพระพุทธเจ้าศากยมุนี เรียนรู้พุทธธรรม ก็จะพบทางหลุดพ้น"
    "นี่คือวิธีรักษาโรคของพระพุทธเจ้าศากยมุนีหรือครับ"
    "ถูกต้องแล้ว"
    กู้ฉวนแปลกใจมาก "ขอโทษนะครับ ในเมื่อพระพุทธเจ้าศากยมุนีปรินิพพานไป 2,500 กว่าปีแล้ว แบบนี้จะมาดื่มกาแฟกับท่านอาจารย์ได้อย่างไรครับ"
    "แล้วท่านเชื่อหรือไม่ล่ะ"
    "เชื่อครับ"
    "เอาล่ะ ในเมื่อท่านเชื่อ อาตมาก็จะอธิบายให้ฟัง ว่าที่จริงแล้วหลักการนั้นง่ายมาก เพราะถึงแม้ว่าพระพุทธเจ้าศากยมุนีจะปรินิพพานไปแล้ว แต่แสงทิพย์ยังคงแผ่เต็มทั่วไป เหมือนเช่นองค์พระโพธิสัตว์กวนซื่ออิม ซึ่งถ้ามีการภาวนาขอร้องพันแห่ง ก็จะไปปรากฏตัวพันแห่ง แต่พระพุทธเจ้าศากยมุนีนั้นมีฐานะสูงกว่าองค์พระโพธิสัตว์กวนซื่ออิม จึงยิ่งสามารถทำได้มากกว่าพันแห่ง เรียกว่าขอมาพันแห่งก็ไปได้พันแห่ง ขอหมื่นแห่งก็ไปได้หมื่นแห่ง และตัวอาตมาเองก็บำเพ็ญจนได้แสงทิพย์ อาตมาจึงอาศัยแสงทิพย์ของตนไปขอพบแสงทิพย์ของพระพุทธเจ้าศากยมุนี เพื่อขออนุญาตดื่มกาแฟด้วยกัน การทำแบบนี้เรียกว่าใช้จิตทิพย์พบจิตทิพย์ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดามาก" อาตมาอธิบายต่อว่า "และไม่เพียงเท่านี้หรอกนะ เพราะเมื่อหลังจากที่ทุกคนเสียชีวิตไปแล้ว แม้กายเนื้อจะหมดไป แต่กายทิพย์ (หรือวิญญาณ) ยังคงอยู่ เมื่ออีกคนตายไป วิญญาณทิพย์ทั้งสองก็สามารถพบหน้ากันได้ ที่จริงการเกิดการตายนั้นเป็นเรื่องเดียวกัน สำหรับการเกิดของโลกมนุษย์นั้นเรียกว่า 'หยังเจียน' ส่วนโลกของความตายคือ 'ยินเจียน' สองโลกนี้เป็นขั้วบวกขั้วลบกัน"
    "อย่างตัวอาตมาเองนั้นสามารถบำเพ็ญตนจนถอดวิญญาณออกจากร่างได้ ขอเพียงจิตนิ่ง นั่งขัดสมาธิ ใช้ลมปราณ นทิ ปินทุ แสงสว่างก็จะนำวิญญาณของตัวเองออกไปจากกายเนื้อ สามารถเข้าไปในธรรมภูมิ เพื่อขอพบพระพุทธเจ้าศากยมุนีได้"
    กู้ฉวนฟังแล้วเหมือนจะไม่เข้าใจ จึงถามอาตมาต่อว่า "ในเมื่อท่านอาจารย์สามารถไปพบพระพุทธเจ้าศากยมุนีได้ ขอโปรดช่วยถามท่านว่ามีวิธีรักษาโรคมะเร็งอย่างไรบ้างได้ไหมครับ"
    "โอ้! การที่อาตมาจะไปขอพบพระพุทธเจ้าศากยมุนีก็ต้องมีเหตุปัจจัย เป็นไปตามธรรมชาตินะ"
    "ขอท่านจงเมตตาช่วยผมด้วยเถอะครับ"
    "ได้"
    อาตมาพยักหน้า "แต่ตัวท่านก็ต้องฟังอาตมา ต้องสักการะบูชาพระพุทธเจ้าศากยมุนี ท่องสวดพระสูตรชุดหนึ่ง และท่องนะโมมูลฐานคุรุศากยมุนีพุทธเจ้า แบบตั้งใจอย่างสม่ำเสมอ ได้ไหม"
    "ได้ครับ"
    ในการสักการะบูชาพระรูปของ พระพุทธเจ้าศากยมุนีนั้น กู้ฉวนได้ทำอย่างตั้งใจและมีจิตศรัทธาเต็มที่ อาตมาจึงสอนให้เขาท่อง พระสูตร 'เกาอ๋องกวนซื่ออิมเจินจิง' และท่องพระนามของพระพุทธเจ้าศากยมุนี กู้ฉวนเชื่อว่าอักษรจีน 10 คำที่เป็นคำสวดในพระสูตรนั้นสามารถสยบความทุกข์ของการเกิดการตาย ช่วยชำระการทำร้ายของพิษภัยได้ทั้งปวง และเป็นเพราะกู้ฉวนนั้นเป็นโรคร้าย เขาจึงสักการะบูชาพระพุทธเจ้าศากยมุนีด้วยจิตที่ศรัทธาเป็นพิเศษ การสวดพระสูตรและท่องคาถาจึงดูใส่ใจกว่าคนทั่วไป นั่นคือ...
    การสวดพระสูตรต้องสวดให้ครบถ้วน สวดจนครบถ้วนพร้อมจิตเป็นหนึ่งเดียว คลื่นลมในทะเลทุกข์นั้นจะสงบเงียบ เรือเล็กลอยไปสงบมั่นคงในเมืองพุทธ

    ••••••••••••••••••••

    แล้วค่ำคืนหนึ่ง อาตมาก็ฝันเรื่องแปลกๆ อาตมารู้สึกว่าตัวเองเดินทางอยู่คนเดียวบนเส้นทางเล็กๆ และกำลังเดินไปเรื่อยๆ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงคนร้องไห้ แล้วมีกลุ่มคนทั้งชาย หญิง คนแก่และเด็กเล็กๆ ประมาณร้อยคนวิ่งมาหาอาตมา คล้ายกับเหมือนกำลังหนีภัยอะไรบางอย่างมา อาตมาจึงถามว่า "มีเรื่องอะไรหรือ"
    "มีพวกโจรบุกเข้ามาที่หมู่บ้าน พวกเราจึงต้องหนีครับ"
    "ใครคือหัวหน้าโจร"
    "กู้ฉวน"
    เมื่ออาตมาตื่นจากฝัน ก็รู้ทันทีว่าสาเหตุเวรกรรมในชาติก่อนนั้น ได้ทำให้กู้ฉวนต้องเป็นโรคมะเร็ง และกู้ฉวนคงฆ่าคนมากเกินไป ลมปราณแห่งการโกรธแค้นจึงรวมตัวมาเป็นเหตุของการเป็นโรคมะเร็งในชาตินี้ กรรมาวรณะของกู้ฉวนหนักหนาสาหัส เมื่ออาตมาเห็นแล้วก็รู้ดีว่าคงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะช่วยเขา อาตมาจึงรู้สึกปวดร้าวในใจ โศกเศร้า และตอนที่กำลังรู้สึกเศร้าใจอยู่นั้น ก็มีเสียงมาจากนภากาศว่า "เหลียนเซินท่านเป็นทุกข์อะไรหรือ"
    อาตมาตอบว่า "เพราะเรื่องของกู้ฉวน"
    พออาตมาเงยหน้ามองที่ฟ้าก็ปรากฏร่างขององค์พระโพธิสัตว์กวนซื่ออิม ในพระหัตถ์ถือคนโทและกิ่งหลิว แล้วองค์พระโพธิสัตว์ กวนซื่ออิมก็เทคนโทออกมา "เหลียนเซิน ท่านดูนี่สิ"
    ในคนโทมีแสงสีขาว แสงนั้นวิเศษอลังการ มีผลบุญกุศลครบสมบูรณ์ มีมัญชุเสมอภาค และยิ่งใหญ่ไร้ขอบเขตแบบอจินไตย จะใหญ่จะเล็กก็ตามลมที่พัดมา ในแสงสีขาวนั้น มีผู้ชาย ผู้หญิง คนแก่ เด็กหนุ่ม และเครือญาติของพวกเขามากมาย อาตมาเห็นแล้วก็แปลกใจมาก องค์พระโพธิสัตว์กวนซื่ออิมก็ตรัสว่า "พวกนี้เป็นดวงวิญญาณที่ถูกฆ่าโดยกู้ฉวน เราได้รับดวงวิญญาณพวกนี้มาหมดแล้ว พวกเขาจะได้ไปจุติในดอกบัวของอมิตาพุทธ ซึ่งเป็นภพภูมิเดียวกัน" ได้ยินแบบนี้อาตมาก็รู้สึกดีใจมาก "พวกที่ถูกกู้ฉวนฆ่าตาย ล้วนถูกท่านโปรดไปหมดแล้วหรือ"
    "ถูกต้อง" องค์พระโพธิสัตว์กวนซื่ออิมตรัสอีกว่า "ตอนที่เราอยู่ในวัดต้าเหลยอินซื่อ (วัดมหาฟ้าคำราม) พระพุทธเจ้าศากยมุนีได้สั่งไว้ว่าถ้าพบท่านให้ถ่ายทอดคาถาบทหนึ่งให้ เพื่อให้ท่านถ่ายทอดให้กู้ฉวน คาถานี้จะช่วยชำระเวรกรรมของกู้ฉวนให้สะอาด มีกายใจที่สงบสุข แล้วโรคมะเร็งก็จะหายไป"
    "คาถาอะไรหรือ"
    องค์พระโพธิสัตว์กวนซื่ออิมจึงตรัสคาถาดังนี้ ตันจิทา เอ๋อลันตี เอ๋อลันหมี่ ซื่อลี่ปิ ซื่อหลี่ซื่อหลี่ มอเจสื้อจื่อ ซันปาลาตู โซหะ เมื่ออาตมาท่องจำคาถานี้ได้ จึงพนมมือน้อมส่งองค์พระโพธิสัตว์กวนซื่ออิม แล้วพระโพธิสัตว์กวนซื่ออิมก็ทรงเหยียบเมฆมงคล ลอยหายขึ้นบนท้องฟ้า

    ••••••••••••••••••••

    อาตมานำคาถาบทนี้มาถ่ายทอดให้แก่กู้ฉวน กู้ฉวนก็ท่องคาถาบทนี้ทั้งวันคืน แบบวิริยะอุตสาหะยิ่งนัก พอ 2 เดือนต่อมากู้ฉวนไปตรวจที่โรงพยาบาล ก็พบว่ามะเร็งในกระเพาะได้หายไปอย่างน่ามหัศจรรย์ ตรวจเชื้อโรคมะเร็งก็พบว่าเป็นศูนย์ กู้ฉวนจึงกลับมาเป็นคนปกติดีอีกครั้ง กู้ฉวนหัวเราะเสียงดังด้วยความดีอกดีใจ อาตมาก็แสดงความยินดีด้วย ดั่งโศลกบทหนึ่งที่ว่า คาถาศักดิ์สิทธิ์บทเดียวไม่ฟุ้งซ่าน ทุกเสียงไหลออกจากจิตแห่งตัวตน ก็ชำระให้สะอาดบริสุทธิ์จากจุดนี้ เนื้องอกมะเร็งไร้รากจึงหายไป ต่อมาอาตมาได้อ่านพระไตรปิฎก ก็ไปอ่านพบว่าพระพุทธเจ้าศากยมุนีทรงตรัสวิธีรักษาโรคริดสีดวงสูตร เหมือนกับคาถาที่องค์พระโพธิสัตว์กวนซื่ออิมได้ตรัสอาตมามาไม่มีผิด อาตมารู้สึกแปลกใจและคิดว่าโรคต่างๆ ในสมัยโบราณที่เรียกว่า 'ริดสีดวง' นั้น อาจไม่ได้หมายถึง 'ริดสีดวงทวารหนัก' แต่เพียงอย่างเดียว อาจหมายถึง 'ริดสีดวงมะเร็ง' อีกด้วย
    พระสูตรดังกล่าวที่อาตมาได้คัดมาให้อ่านดังต่อไปนี้
    ตามที่ข้าพระพุทธเจ้าศากยมุนีสดับมาว่ากาลครั้งหนึ่ง ภควันทรงประทับ ณ สวนไผ่เวฬุวันในเมืองราชคฤห์ พร้อมด้วยมหาพระภิกขุ 500 รูป กาลนั้น มีพระภิกขุหลายรูปเป็นโรคริดสีดวง ร่างกายซูบผอม ติดบ่วงความทุกข์ของการเจ็บไข้ กลุ้มใจกังวลทั้งวันคืน กาลนั้นแล พระอนันทะผู้อาวุโส เห็นเรื่องดังกล่าวแล้ว จึงไปหาที่ประทับของพระโลกนาถ กราบเท้าวันทนาการแล้วยืนอยู่ข้างๆ ทูลพระพุทธเจ้าศากยมุนีว่าข้าแต่พระโลกนาถ บัดนี้ในเมืองราชคฤห์ มีพระภิกขุหลายรูปเป็นโรคริดสีดวง ร่างกายซูบผอม ติดบ่วงความทุกข์ของการเจ็บไข้ กลุ้มใจกังวลทั้งวันคืน ข้าแต่พระโลกนาถ อันโรคภัยนี้จะรักษาอย่างไรครับ ในกาลนั้น พระพุทธเจ้าศากยมุนีทรงตรัสแก่พระอนันทะว่า ท่านจงฟังวิธีรักษาโรคริดสีดวงสูตรนี้ อ่านท่องจดจำใส่ใจอย่าให้ลืม และเผยแพร่ต่อคนอื่นๆ อย่างกว้างขวาง โรคริดสีดวงเหล่านี้จะได้หายไป เช่นว่า ริดสีดวงลม ริดสีดวงร้อน ริดสีดวงเย็น ริดสีดวงสามรวมหนึ่ง ริดสีดวงในเลือด ริดสีดวงในท้อง ริดสีดวงในจมูก ริดสีดวงฟัน (เหงือก) ริดสีดวงลิ้น ริดสีดวงตา ริดสีดวงหู ริดสีดวงบนหัว ริดสีดวงมือและเท้า ริดสีดวงสันหลัง ริดสีดวงทวารหนัก ริดสีดวงข้อต่อทั่วร่างกาย โรคริดสีดวงเหล่านี้ ล้วนเหือดแห้งหลุดไปและสูญหาย จนสุขภาพกลับมาดีแน่นอน สิ่งเหล่านี้ล้วนควรท่องจดจำคาถาศักดิ์สิทธิ์ว่า ตันจิทา เอ๋อลันตี เอ๋อลันหมี่ ซื่อลี่ปิ ซื่อหลี่ซื่อหลี่ มอเจสื้อจื่อ ซันปาลาตู โซหะ อนันทะ ทิศเหนือจากนี่มีภูเขาน้ำแข็งใหญ่ ในนั้นมีต้นมหาพาละ ชื่อว่าอยุทธะ มีดอกไม้ 3 ชนิด หนึ่งคือ ดอกไม้ผลิใหม่ สองคือ ดอกไม้บานสมบูรณ์ สามคือดอกไม้แห้งแล้ว ดังเช่นดอกไม้เหล่านั้น แห้งแล้วจะหลุดลงมา เหล่าภิกขุของอาตมาที่เป็นโรคริดสีดวงก็เช่นกัน จะไม่มีเลือดไหลออกมาอีก และไม่มีน้ำหนองไหลออกมา หลุดพ้นจากโรคภัย คืนสู่สุขภาพดี แผลจะแห้งไป และถ้าท่องสวดพระสูตรนี้บ่อยๆ เป็นประจำ จะได้บรรลุการระลึกชาติ มีญาณที่จะรู้ถึงเรื่องต่างๆ ใน 7 ชาติของอดีต มนตราธรรมสำเร็จ โซหะ และทรงกล่าวอีกคาถาว่า ตันจือทา จานหมี่จานหมี่ เส่อจานหมี่ เส่อม่อนี เส่อจานนี โซหะ และเมื่อพระพุทธเจ้าศากยมุนีตรัสพระสูตรจบ กาลนั้นพระอนันทะผู้อาวุโส และปวงพุทธบริษัททั้งหลายล้วนปิติยินดี น้อมรับด้วยความเลื่อมใสและปฏิบัติตาม

    ••••••••••••••••••••

    โดยส่วนตัวอาตมารู้สึกว่า ความทุกข์ทั้งปวงของโลกนี้ ไม่ว่าจะเป็น 'ความทุกข์จากป่วยไข้' นั้นเป็นสิ่งที่สาหัสที่สุด ในพระสูตรยังกล่าวไว้ว่า 4 มหาภูตแห่งดิน น้ำ ลม ไฟ มีโรครวม 404 โรค โรคทุกชนิดล้วนเจ็บทุกข์เหลือทน โดยเฉพาะ 'โรคมะเร็ง' ซึ่งปัจจุบันยังเป็นโรคที่รักษาไม่หาย แต่พระพุทธเจ้าศากยมุนีสามารถรักษาโรคมะเร็งได้ โดยคาถาบทดังกล่าวมีดังนี้ ตันจิทา เอ๋อลันตี เอ๋อลันหมี่ ซื่อลี่ปิ ซื่อหลี่ซื่อหลี่ มอเจสื้อจื่อ ซันปาลาตู โซหะ คาถาชุดนี้เป็นคาถาที่มีคนรู้จักน้อย ไม่ค่อยพบเห็นง่ายนัก เพราะจะบันทึกไว้ในพระไตรปิฎกฉบับภาษาจีน (อยู่ใน 'จงหัวต้าจั่นจิง' ชุดที่ 1 หมวดที่ 5 หน้า 16,868) คาถานี้ช่วยคนมาแล้วมากมาย เช่น ผู้ชายคนหนึ่งที่ชื่อ 'เหอฉ่าย' เหอฉ่ายได้มาคุกเข่าที่หน้าบ้านของอาตมา พออาตมาจะพยุงเขาลุกขึ้นมา เขาก็ไม่ยอมลุกท่าเดียว ถ้าจะลุกอาตมาต้องรับปากว่าจะช่วย เขาจึงยอมลุกขึ้น สุดท้ายเมื่ออาตมาพยักหน้า เขาจึงลุกขึ้นมา อาตมาก็ถามเขาว่า "ท่านมีเรื่องอะไรหรือ"
    "ผมเป็นโรคมะเร็งระยะสุดท้ายครับ"
    "โรคมะเร็งอะไรล่ะ"
    "โรค มะเร็งต่อมน้ำเหลือง ใต้รักแร้" เหอฉ่ายดึงแขนเสื้อออกมาให้ดู อาตมาเห็นแล้วตกใจ เพราะผิวหนังเป็นแผลจุดๆ และเชื้อโรคมะเร็งกำเริบมาก จนกระจายไปถึงกระดูกและที่อื่นๆ ของร่างกายแล้ว อาตมาสั่นหัว รู้ว่าเขาไม่มีทางรอดแล้ว "คุณหมอว่าอย่างไรบ้าง"
    เหอฉ่ายตอบว่า "ภายในครึ่งปี"
    อาตมาบอกเหอฉ่ายว่า อาตมาจะพยายามช่วยเธอ แต่พลังมีจำกัด เธอต้องภาวนาต่อพระพุทธเจ้าศากยมุนีเองนะ อาตมาจึงถ่ายทอดคาถารักษาโรคมะเร็งของพระพุทธเจ้าศากยมุนี ให้เขาเหมือนที่เคยให้กู้ฉวน และสอนเขาอีกว่า หลังจากท่องคาถาแล้วให้เพิ่มคำภาวนาว่า "ผมชื่อเหอฉ่าย ขอถวายตัวเป็นลูกศิษย์ ตอนนี้ผมมีโรคมะเร็งเป็นทุกข์ ขอให้พระพุทธเจ้าศากยมุนี ทรงอธิษฐานคุ้มครอง ขอจงเมตตากรุณาคุ้มครอง ขอให้โรคมะเร็งหายไป ต่ออายุให้ยาวนานเถิด"
    นะโมมูลฐานคุรุ ศากยมุนีพุทธเจ้า นะโมพระพุทธเจ้าศากยมุนีทั้งสิบทิศ นะโมพระธรรมทั้งสิบทิศ นะโมพระสงฆ์ทั้งสิบทิศ"
    เหอฉ่ายกลับไปที่บ้าน ทำตามที่อาตมาสอน วันหนึ่งเมื่อปฏิบัติไปได้ประมาณ 21 วัน เหอฉ่ายก็สะลึมสะลือคล้ายว่าตัวเองนั้นกึ่งหลับกึ่งตื่น และเห็นพระพุทธเจ้าศากยมุนีมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้า พร้อมกับตรัสว่า "เหอฉ่าย โรคของท่านนั้นช่วยไม่ได้แล้ว ไปกับเราเถิด"
    "ไม่ครับ ผมยังอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป" "ทางโลกมนุษย์เป็นทุกข์ และเป็นเหมือนบ้านถูกไฟไหม้ ตามเราไปดีกว่า"
    "ไม่ครับ ผมยังมีกิจที่ต้องทำต่อ ผมขอมีชีวิตอยู่เถอะครับ"
    "กิจของท่านต้องใช้เวลาเท่าใดล่ะ"
    "5 ปีครับ"
    พระพุทธเจ้าศากยมุนีตรัสว่า "ได้ 5 ปี ก็ 5 ปี แต่ท่านยังต้องท่องคาถาต่อไปนะ"
    พูดแล้วก็แปลกดี พอเขาฝันแบบนี้แล้ว โรคมะเร็งก็คล้ายว่าจะลดลง ร่างกายและจิตใจก็แข็งแรงเหมือนคนทั่วไป แต่ว่าโรคมะเร็งนั้นไม่ได้หายขาด เพียงแต่ทรงตัวอยู่อย่างนั้น และแล้วเหอฉ่ายก็มีชีวิตต่ออีก 5 ปี จริงๆ พอครบ 5 ปี เชื้อมะเร็งก็ยังคงแผ่ไปทั่วร่างกายของเหอฉ่าย โรคมะเร็งของเหอฉ่ายไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่ทำได้เพียงระงับไว้ เมื่อเขาได้ทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการตามที่เคยได้ให้ไว้กับพระพุทธเจ้า ศากยมุนี เหอฉ่ายก็จากไป เกี่ยวกับเรื่องของเหอฉ่าย อาตมาคิดว่าไม่ได้เป็นเพราะคาถาไม่ได้ผล แต่อายุขัยของเขานั้นหมดแล้วต่างหาก พระพุทธเจ้าศากยมุนีหรือมหาเซียนองค์ไหนก็ช่วยไม่ได้ และถ้าช่วยได้โลกนี้ก็คงไม่มี คนตายแล้ว ส่วนคาถารักษาโรคมะเร็งที่เล่ามานั้น ก็สามารถช่วยต่ออายุได้ ก็นับเป็นเรื่องที่อาตมาเองก็คิดไม่ถึง แต่ในทางกลับกันอาตมาคิดว่า การท่องคาถานี้สามารถไปจุติยังพุทธเกษตร มิฉะนั้นพระพุทธเจ้าศากยมุนีก็คงจะไม่มาปรากฏตัว เพื่อมารับเหอฉ่ายไปจุติหรอก…


    คาถาอุษณียวิชยธารณี
    ชายคนหนึ่งชื่อว่า 'จ้าวฮุย' มาหาอาตมาเพื่อถามเรื่องดวงชะตา พอได้พบกับเขา อาตมาก็รู้สึกได้ว่าบนหัวของจ้าวฮุยคนนี้ มีลมพัดมาเป็นควันดำ และมีภูตผี 2 ตนตามเขามาด้วย แต่ภูตผีทั้ง 2 ตนนั้นก็ถูกเทพเฝ้าประตูห้ามไว้ไม่ให้เข้ามาในบ้าน
    ภูตผี 2 ตนนั้นก็เอะอะโวยวายอยู่นอกบ้าน…แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้
    เมื่อจ้าวฮุยมานั่งตรงหน้าอาตมา อาตมามองไปที่สีหน้าเขา เห็นเป็นสีเทาๆ มีกลิ่นอายของดวงชะตาไม่ดีอย่างต่อเนื่อง ลองเพ่งดูด้วยตาทิพย์ก็ต้องอุทานอยู่ในใจ เพราะบุคคลคนนี้ตั้งแต่หัวจรดเท้า แม้แต่กรรมของ 3 ชาติที่ผ่านมานั้นถือว่าไม่มีความดีแม้แต่น้อยปรากฏอยู่เลย
    แล้วจ้าวฮุยก็ถามอาตมาว่า "ดวงกูเป็นอย่างไรบ้าง"
    "ถ้าพูดแบบตรงไปตรงมา ดวงชะตาของท่านนั้นอาตมา ไม่กล้าบอก"
    "ขอให้พูดตรงๆ เถอะ ไม่เป็นไรหรอก"
    อาตมาบอกว่า "พ่อแม่ท่านตายตอนที่ท่านอายุยังน้อย แล้วมีญาติมารับท่านไปเลี้ยงใช่ไหม"
    "เออ…แม่นมาก"
    "ตอนอายุน้อยท่านลำบากมาก ไม่ได้เรียนหนังสือ ต้องทำงานช่วยแบ่งเบาภาระ และมีเรื่องทะเลาะชกต่อยจนต้องเข้าสถานพินิจ"
    "เออ...ถูกอีก"
    "พอเป็นหนุ่มกลายเป็นหัวขโมย เคยติดคุก 2 ครั้ง"
    "แม้เรื่องนี้มึงก็ยังรู้อีกหรือ"
    "ส่วนตอนนี้ท่านไม่มีอะไรทำเป็นชิ้นเป็นอัน ใครเห็นใครก็รังเกียจ"
    "เออ"
    "นี่ท่านยังอยู่กับแก๊งอันธพาลหรือ" อาตมาถาม
    จ้าวฮุยพยักหน้า
    พอ พูดมาถึงตอนนี้ อาตมาก็ไม่พูดต่อ เพราะอาตมารู้ว่า คนแบบจ้าวฮุย ถ้าใช้ศัพท์สมัยใหม่ก็ต้องเรียกว่า 'เศษมนุษย์' หรือ 'เดนมนุษย์' เพราะเขาไม่เคยทำเรื่องที่มีประโยชน์สักเรื่อง ดั่งว่าทั้งชีวิตของเขาเหมือนอยู่ไปวันๆ มีชีวิตเหลวแหลก กิน ดื่ม เล่นการพนัน เที่ยวโสเภณี เสพยา ขโมย ชิงของ ขู่เข็ญ หลอกลวง จ้าวฮุยถามอาตมาต่อว่า
    "แล้วเมื่อไรกูจะรวยวะ"
    อาตมายิ้มขมขื่นในใจว่า
    "ต้องรอคอย"
    "คอยถึงวันไหน"
    "อาตมาไม่รู้"
    จ้าวฮุยได้ยินแบบนี้ก็รู้สึกโกรธ
    "ได้ ยินว่า มึงมีชื่อเสียงเป็นหนึ่งในทางเทพทำนาย ไม่มีอะไรที่มึงไม่รู้ พอมาทำนายดวงของกู มึงจะบอกว่าไม่รู้ได้ไงวะ ระวังนะ กูจะถามว่า มึงกินข้าวอิ่มหรือยัง" "ขอโทษจริงๆ ดวงชะตาของท่านคำนวณยาก"
    "ถึงกูจะ เลวอย่างไรก็ต้องมีดวง รีบคำนวณให้กูดูเดี๋ยวนี้ อย่าทำให้กูโมโห ไม่เช่นนั้นกูนี่แหละจะทำให้มึงหายไปจากโลกใบนี้เสีย" อาตมาเลยบอกจ้าวฮุยว่า
    "จ้าวฮุย ถ้าอาตมาช่วยท่าน แล้วท่านจะเชื่อฟังไหม"
    "เออ…กูเชื่อ ถึงกูจะเป็นนักเลง แต่กูก็รู้บุญรู้แค้น"
    อาตมาเลยบอกต่อว่า
    "ถ้าอย่างนั้นอาตมาจะช่วยแก้ดวงชะตาให้ โดยหลักแล้วตอนนี้ท่านมีดวงที่เป็นสีเทา ตลอดชาติจะไม่มีวันเจริญ ต้องแก้ดวงจึงจะเจริญรุ่งเรืองได้" "มึงก็พูดอะไรเยิ่นเย้ออยู่ได้ รีบบอกมาสิว่ากูต้องทำยังไง"
    "ตอนนี้ท่านมีภูตผี 2 ตนติดตามมา ถ้าภูตผี 2 ตนนี้ไม่ออกไปเสีย ท่านก็ไม่มีวันเจริญหรอก แล้วภูตผี 2 ตนนี้ตามท่านมาได้อย่างไร"
    "ภูตผี 2 ตนหรือ" จ้าวฮุยทำหน้างงๆ
    "ท่านเคยฆ่าคนหรือเปล่า" อาตมาถาม
    "ก็ไม่เคย กูเคยแต่ขู่ว่าจะฆ่าเท่านั้น แต่เอาเข้าจริงก็แค่ทำร้ายร่างกาย ไม่ได้ทำให้ถึงตาย"
    "ท่านลองคิดให้ดีสิ ถ้าไม่เคยฆ่าคน แล้วภูตผี 2 ตนนี้จะมาจากไหน หรือท่านเคยไปล่วงเกินวิญญาณมาหรือเปล่า"
    จ้าวฮุยนิ่งคิด สักพักก็บอกว่า
    "นึกออกแล้ว ครั้งหนึ่งกูเคยไปขุดหลุมฝังศพ 2 ครั้งเพื่อขโมยของในสุสาน แบบนี้ถือเป็นการล่วงเกินวิญญาณหรือเปล่าวะ"
    "แน่นอน"
    "แต่กูแค่ขโมยของที่หลุมฝังศพ ไม่ได้ทำร้ายศพนะโว้ย แล้วมันจะตามกูมาทำไม"
    "การขโมยของในสุสานผิดกฎหมาย ขุดหลุมศพของผู้อื่น วิญญาณต้องโกรธแน่ การมีภูตผี 2 ตนตามท่านมา ไม่วันใดวันหนึ่งท่านอาจจะต้องเสียท่าแน่นอน"
    "แล้วกูจะทำอย่างไรดีล่ะ" จ้าวฮุยถาม
    ตอนนั้นอาตมาคิดว่า ควรจะถ่ายทอดคาถาบทหนึ่งให้แก่จ้าวฮุยเพื่อแก้ดวงชะตาของเขา แต่ก็ต้องดูกฎแห่งกรรมของตัวจ้าวฮุยเองด้วยว่าจะเหมาะสมหรือไม่
    การให้ทาน - ได้บุญวาสนา
    ความขี้เหนียว - ได้มาซึ่งความยากจน
    การปล่อยสิ่งมีชีวิต - ทำให้มีอายุที่ยืนยาว
    การฆ่าสัตว์ตัดชีวิต - ทำให้ชีวิตของตนสั้นลง
    อาตมารู้ว่า พุทธธรรมนั้นสุดยอด (อนุตร) วิเศษมัญชุ มนตราของคุยหยานเป็นอัญมณี ที่สามารถทำให้ความหวังทางกุศลได้รับความสมหวังโดยสมบูรณ์สำเร็จทุกสิ่ง อย่าง จึงนับว่าล้วนเป็นสิ่งที่เยี่ยมยอด
    แต่ว่าจะถ่ายทอด 'อัญมณี' ให้แก่จ้าวฮุย เขาจะมีคุณสมบัติ
    เพียงพอหรือ
    อาตมาจึงตรวจกรรมของเขาใน 3 ชาติ ก็พบว่าชาติหนึ่งเขาเป็นคนทำอาชีพฆ่าหมู อีกชาติหนึ่งทำกิจการเกี่ยวกับกาม ชาตินี้ถ้าไม่ใช่ขโมยก็คือช่วงชิง
    นับว่าไม่มีรากแห่งการกุศลหรือความดีแม้แต่น้อยเลย
    อาตมาถามจ้าวฮุยว่า
    "ท่านเคยทำการกุศลบ้างไหม"
    "การกุศลหรือ" จ้าวฮุยส่ายหน้า
    "ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักขโมย ไม่ทำผิดในกาม ไม่โกหกมุสาวาจา ไม่พูดเรื่องไร้สาระหรือเกี่ยวกับกามา ไม่ยุแหย่ให้เขาแตกแยก ไม่พูดจาหยาบคาย ไม่ขี้เหนียว ไม่โกรธโมโห (หรือมีโทสะ) ไม่มีอวิชชา (หรือโง่เขลา) นี่คือ สิบกุศล"
    "กูเป็นในสิ่งที่แบบว่า ไม่ชั่วไม่ทำ"
    "ท่านลองคิดดูสิ ว่าจะมีกุศลที่ท่านทำสักครั้งไหม"
    เพราะถ้าไม่มีเลยอาตมาคงไม่สามารถถ่ายทอดสิ่งมีค่ามหาศาลอย่าง 'มิฝ่ะ' (คุยหธรรม) ให้แก่คนแบบนี้ได้
    จ้าวฮุยคิดอยู่นานก็บอกว่า
    "ครั้งหนึ่งกูได้ไปขโมยของหลายอย่างจากวัด สำคัญที่สุดคือ กล่องรับเงินบริจาค มีแบงก์มากมายใส่อยู่ในกล่อง กูก็ยกมาทั้งกล่อง และก็ขโมยภาพวาดที่แขวนอยู่บนฝาผนัง พอกลับถึงบ้านเห็นว่ามีรูปของพระพุทธเจ้าศากยมุนีก็คิดจะโยนลงถังขยะ เพราะคิดว่ามันมีค่าไม่มากทิ้งไปดีกว่า ต่อมาก็รู้สึกว่ารูปพระนี้ก็ดูดีอยู่ จึงนำมาแขวนไปบนฝาผนัง กูเห็นรูปพระพนมมือ ก็พนมมือตาม ขอถามว่าอย่างนี้นับว่าเป็นกุศลไหม"
    "โอ้!" คำตอบของจ้าวฮุยทำเอาอาตมากลายเป็นคนใบ้ไปเลย
    รูปพระที่แขวนเป็นของที่ขโมยมา ถือว่าการกุศลหนึ่งคะแนนได้หรือ
    การพนมมือไหว้รูปพระ ถือเป็นหนึ่งกุศลหรือ
    จ้าวฮุยบอกว่า
    "เออ...กูทำการกุศลใหญ่เรื่องหนึ่ง"
    "กุศลใหญ่อะไรหรือ" อาตมาแปลกใจ
    "กูมาหามึง ก็คือการกุศลยิ่งใหญ่แล้ว"
    "โอ้!"
    อาตมาบอกจ้าวฮุยว่า
    "สรรพ สัตว์ทั้งหลายเดิมมีจิตที่บริสุทธิ์ บริสุทธิ์ผุดผ่อง ดังเช่นจันทร์เพ็ญ ถึงแม้เป็นภูตผีเปรตใน 3 อบายภูมิ ขอให้ท่องคาถา 3 จบ ภูตผีเปรตทั้งหลายก็ได้รับรหัสลับแห่งธรรมะ หลุดพ้นจากการผูกมัดของกรรมชั่วทั้งปวง มีคุณูปการแห่งการกุศลทั้งปวง ถ้าอาตมาถ่ายทอดคาถาให้แก่ท่าน ดวงชะตาท่านจะเปลี่ยนแปลงจนได้รับความสำเร็จ"
    จ้าวฮุยดีใจมากกล่าวว่า
    "เร็ว เร็ว รีบบอกมา"
    อาตมาจึงถ่ายทอดคาถาอุษณียวิชยธารณี ให้แก่จ้าวฮุย
    โอม อามีลีตา เตอกา ฝาตี่ โซหะ (หฤทัยมนตรา)
    อาตมา นำพระสูตรอุษณียวิชยธารณีออกมาให้จ้าวฮุยอ่าน ในพระสูตรกล่าวไว้ดังนี้ พระพุทธเจ้าตรัสแก่พระอินทร์ว่า คาถานี้นามว่า ชำระสรรพอกุศลมรรค อุษณียวิชยธารณี สามารถชำระอาวรณ์ของโทษกรรมทั้งปวง สามารถทำลายความทุกข์ของมรรคแห่งความชั่วร้ายทั้งปวง ธารณีชุดนี้ พระพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นจำนวนร้อยพันโกฏิเม็ดทรายใน 88 แม่น้ำคงคา ได้ทรงประกาศพร้อมกัน ถือท่องตามจิตปิติยินดี มุทราปัญญาแห่งพระมหาตถาคตได้รับรองแล้ว
    ถ้าผู้ใดได้ยินชุดธารณีนี้ใน ขณะกรรมาวรณะที่สะสมมาในเวลาพันกัปป์กัลป์ สมควรเวียนว่ายตายเกิดในนรกภูมิ ภูตผีเปรตภูมิ เดรัจฉานภูมิ...ถึงแม้เกิดเป็นมด จะไม่มีการเกิดแบบนั้นอีกต่อไป จะได้จุติยังพุทธเกษตรต่างๆ ของพระตถาคต หรือพระโพธิสัตว์ (ผู้รอการอุบัติเป็นพระพุทธเจ้าต่อไป) คือ จุติในธรรมประชุมเดียวกัน (กับเหล่าอริยบุคคล)
    อาตมาบอกจ้าวฮุยว่า
    "นำดิน 1 กำ ท่องคาถานี้ 21 จบ สาดลงไปที่ร่างกายผู้ตาย
    ผู้ตายนี้จะได้จุติยังสรวงสวรรค์"
    จ้าวฮุยฟังแล้วก็พยักหน้ารับปากว่าจะทำทันที
    อาตมาพาจ้าวฮุยไปนอกบ้าน ชี้ทิศให้เขา
    จ้าวฮุยจึงสาดดินทราย 2 กำออกไป
    เสียงดัง "ฮอง"
    ทันใดนั้นภูตผี 2 ตนก็หายไป และได้ไปจุติยังแดนสวรรค์
    พอภูตผี 2 ตนนั้นหายไป ควันดำบนตัวเขาก็ค่อยๆ จางไปด้วย
    คา ถาอุษณียวิชยธารณีกล่าวว่า ผู้ที่ถือท่องคาถานี้ สามารถชำระบาปกรรมทั้งปวงในร้อยกัปป์กัลป์ สามารถชำระโรคร้าย ทำให้สงบสุข ต่ออายุให้ยาว แก้ดวงชะตาทั้งปวง ถ้าเสียชีวิตไปแล้วก็จะได้ไปจุติยังพุทธเกษตร
    เมื่ออาตมาได้ถ่ายทอด "มุทราวิชยะ' ให้แก่จ้าวฮุย ก็บอกเขาว่าในการถ่ายทอดการเพ่งจินตนาการเวลาท่องคาถา ให้เพ่งจินตนาการว่า จิตของตนกลายเป็นวงเดือน บนวงเดือนมีอักษรสันสกฤตคำว่า 'คัง' ( ) สีขาวเปล่งแสงออกมา ส่องไปยังสรรพสัตว์ทั้งปวง ผู้ใดที่ถูกแสงนี้ส่องถึง กรรมาวรณะก็จะถูกชำระสิ้น กายใจเย็นสดใส ได้มหาปัญญา

    ••••••••••••••••••••

    จ้าวฮุยผู้นี้ พอบุญวาสนาถึงก็เกิดหัวใสขึ้นมา
    พอเขาได้รับคาถาแล้วก็ท่องอย่างขยันอุตสาหะ ไม่เพียงเท่านั้น ยังเชื่อมั่นเรื่องการนำดินหนึ่งกำ ท่องคาถา 21 จบ สาดลงกายของ ผู้ตาย ผู้ตายจะไปจุติยังสรวงสวรรค์
    จ้าวฮุยไม่บอกใคร ตั้งจิตตั้งใจท่องคาถาไม่มีการหยุด พอถึงกลางคืนจ้าวฮุยจะไปที่สุสาน นำดินที่ท่องคาถาแล้ว ไปสาดลงหลุมฝังศพ ไม่ว่าจะเป็นคนที่รู้จักหรือไม่รู้จัก พอทำอย่างนี้แล้ว จ้าวฮุยคิดว่าการทำแบบนี้นับเป็นสิ่งที่ดีและมีความหมายมาก
    พอทำที่สุสานนี้หมดแล้วก็ไปทำอีกสุสานหนึ่ง ทำแบบนี้อยู่หลายๆ แห่ง
    พออาตมาเห็นจ้าวฮุยอีกครั้งก็ตกใจมาก เพราะรอบตัวเขาล้วนมีแต่วิญญาณภูตผีเต็มไปหมด
    แต่ภูตผีเหล่านี้ไม่ใช่ภูตผีทวงหนี้ กลับเป็นพวกภูตผีการกุศล จนจ้าวฮุยได้รับการยกย่องจากเหล่าภูตผีทั้งหลาย
    "ท่านกลายเป็นนักเลี้ยงภูตผีแล้วหรือ"
    จ้าวฮุยตอบว่า
    "ผมเพียงแต่ชอบทำบุญด้วยวิธีที่ผมคิดว่าทำได้ครับ"
    สีหน้าของจ้าวฮุยเปลี่ยนไป มีแสงสีแดงแสงสีขาวโผล่ขึ้นมาบนใบหน้า ท่าทางเหมือนคนที่สมหวัง
    ดวงชะตาของจ้าวฮุยเปลี่ยนไปในทางที่ดีจริงๆ
    จากที่มีสุขภาพไม่ค่อยดี พอท่องคาถาก็กลายเป็นคนสุขภาพดี คล้ายว่ามีกำลังเพิ่มขึ้นมาทั้งๆ ที่ไม่ได้กินยาอะไรเลย แต่ที่จริงแล้วการที่สุขภาพของจ้าวฮุยดีขึ้นนั้น
    เป็นเพราะการปกป้องคุ้มครองจากภูตผีการกุศลทั้งหลาย
    นอกจากนี้เดิมทีจ้าวฮุยมีเขตคุ้มครองในตลาดเป็นของตนเอง มีการเรียกเก็บค่าคุ้มครอง แผงขายของพวกนั้นก็ขายดีขึ้น ทำเงินให้เขามากขึ้น แต่เขาก็ไม่โลภมาก ยกเลิกการเก็บค่าคุ้มครองทั้งหมด เอาเงินคืนให้พวกขายของแผงลอย พวกคนค้าขายก็นับถือเขามาก
    เมื่อพ่อแม่บุญธรรมของจ้าวฮุยเสียชีวิตไป ก็มีเงินเหลือให้จำนวนหนึ่ง เขาก็เอาเงินไปเปิดร้านขายอาหาร
    ร้านอาหารของจ้าวฮุยขายดีมาก เขาจึงเอาเงินกำไรไปลงทุนในกิจการอื่นจนร่ำรวย
    ต่อมาจ้าวฮุยก็แต่งงาน มีลูก และได้เป็นผู้ใหญ่บ้าน เลื่อนขั้นเป็นกำนัน เป็นสมาชิกเทศมนตรี และสมาชิกผู้แทนราษฎร
    จนได้รับการยกย่องจากหลายๆ คน สิ่งเหล่านี้ล้วนมีสาเหตุมาจากภูตผีการกุศลทั้งหลายนั่นเอง

    ••••••••••••••••••••

    จ้าวฮุยยังบอกเรื่องหนึ่งให้อาตมาทราบว่า
    "คาถาวิชยะของท่านอาจารย์สามารถป้องกันตนได้ด้วยนะครับ"
    จ้าวฮุยเล่าว่า ครั้งหนึ่งคู่แข่งการเลือกตั้งส่งมือปืนมาเก็บเขา ตอนนั้นมือปืนอยู่ใกล้เขามาก ถึงขนาดว่าเอาปืนจี้ที่หน้าอกเขา
    แต่พอจ้าวฮุยท่องคาถา

    โอม อามีลีตา เตอกา ฝาตี่ โซหะ

    ในทันใดนั้นพอมือปืนเหนี่ยวไก กลับปรากฏว่าลูกปืนนั้นติดในลำกล้องปืน แล้วมือปืนก็ร้องว่า
    "มึงมีของดีนี่หว่า" แล้ววิ่งหลบหนีไป
    จ้าวฮุยบอกว่านี่เป็นเพียงหนึ่งในเรื่องช่วยให้เขาพ้นจากอันตราย เพราะยังมีอีกหลายๆ เรื่องทีเดียว และทุกครั้งพอถึงจุดที่อันตรายสุดๆ เขาก็จะรอดพ้น เหนือความนึกคิดทุกครั้งไป เมื่ออาตมาลองใช้ตาทิพย์มอง ก็เห็นว่าข้างกายของเขามีภูตผีกุศลอยู่รอบๆ ภูตผีเหล่านี้ล้วนมาช่วยเหลือ การที่เขาจะเลื่อนจากสมาชิกสภาท้องถิ่นไปเป็นสมาชิกสภามณฑล หรือถ้าได้เลื่อนขั้นเป็นสมาชิกรัฐสภาก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
    เห็นจ้าวฮุยประสบความสำเร็จ กลับตัวกลับใจได้ อาตมาก็อดไม่ได้ที่จะขอเขียนโศลกบทหนึ่งให้แก่เขา
    คาถาลับปกคลุมดินทั่วไป
    สาดทั่วผู้วายชนม์เป็นพิธี
    เดินจนสุดทางแห่งชีวิต
    จะพบโลกใหม่จักรวาล…


    มารในดวงตา
    นานมาแล้วมีชายคนหนึ่งฐานะดี ชื่อ 'หวังเอิน' อายุ 40 กว่าปี ได้บังเอิญเดินผ่านไปทางสุสานแห่งหนึ่ง แล้วโดนลมที่พัดผ่านมาพัดเม็ดทรายกระเด็นเข้าตา จนดวงตาทั้งสองข้างของเขาแดงและคัน หวังเอินจึงรีบไปหาหมอเพื่อรักษาดวงตา แต่ถึงแม้เขาจะได้ยามารักษาดวงตา จนดวงตาหายแดงและหายคัน แต่หวังเอินกลับไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเหมือนเก่า
    หลังจากนั้นไม่นานสายตาของหวังเอินเริ่มแย่ลง และดูเหมือนยิ่งนานก็ยิ่งรุนแรง เขาจึงไปหาหมอเพื่อรักษาอีกหลายครั้งแต่ก็ไม่ดีขึ้น
    สุดท้ายตาของหวังเอินก็บอดสนิท มองไม่เห็นอะไรเลย
    จากที่เคยเดินไปไหนมาไหนได้ด้วยตัวเอง หวังเอินจึงต้องอาศัยไม้เท้าและความช่วยเหลือของญาติในครอบครัว
    นับตั้งแต่นั้นมา หวังเอินต้องใช้ชีวิตอยู่ในความมืดมน...
    แต่หวังเอินยังคงไม่สิ้นหวัง
    ตลอดระยะเวลาเขาได้เพียรพยายามไปพบหมอที่จะสามารถรักษาดวงตาของเขาได้ ลองใช้ทุกตำรับตำรา ทุกวิถีทาง พอได้ข่าวว่าที่ไหนมีผู้มีวิชาสูงส่งหรือหมอที่เก่งเขาก็ไปหา ไม่เว้นแม้แต่หมอดูและคนทรงเจ้า เพียงเพื่อหวังจะกลับมามองเห็นได้ดังเดิม แต่ก็ยังคงไม่มีวี่แววว่าดวงตาของเขาจะหายดีอย่างที่ใจเขาต้องการ
    ปีนั้นอาตมากลับมาจากอเมริกา เพื่อมาเผยแผ่ธรรมะที่ไต้หวัน
    หวังเอินทราบข่าวการมาของอาตมา จึงได้ติดต่อกับคนที่รู้จักกับอาตมา เพื่อมาขอเข้าพบและขอคำแนะนำในการรักษาดวงตาของเขา แต่กำหนดการของอาตมาจัดไว้แน่นมาก ไม่มีเวลาพบคนภายนอก อาตมาจึงได้ปฏิเสธไป
    เมื่อทราบข่าวว่าไม่สามารถเข้าพบอาตมาได้ หวังเอินจึงบอกคนในบ้านว่า
    "ได้ยินว่าท่านอาจารย์เหลียนเซินมีมหาอิทธิฤทธิ์ ยังไงเสียก็ต้องพบท่านให้ได้"
    แต่คนในครอบครัวก็บอกหวังเอินว่าอาตมาไม่มีเวลาว่างหรอก
    แต่หวังเอินก็บอกว่า
    "ถ้าอย่างนั้นไปรอรับท่านอาจารย์เหลียนเซินที่สนามบิน ยังไงก็ต้องได้พบ"
    แต่คนในครอบครัวก็ยังบอกหวังเอินอีกว่า ได้ยินว่าพออาตมากลับมาถึงไต้หวัน มีคนเป็นหมื่นคนมารออาตมาที่สนามบิน คงยากที่จะเข้าใกล้อาตมา
    หวังเอินผู้ไม่สิ้นความพยายามก็ยังคงบอกว่า
    "อย่างไรเสียผมก็ต้องไปให้ได้ ถ้าไปก็อาจมีโอกาสได้พบ ถ้าไม่ไปก็หมดสิทธิ์"
    เมื่อเห็นว่าหวังเอินยังคงยืนกรานในความมุ่งมั่นของตัวเอง
    สุดท้ายทุกคนในครอบครัวจึงยอมทำตามความต้องการของ
    หวังเอินและพาเขามารอพบอาตมาที่สนามบินนานาชาติ
    พูดตามหลักของความจริง ถ้าวันนั้นหวังเอินรออาตมาอยู่ที่ห้องโถงใหญ่เหมือนคนอื่นๆ ที่มารอพบอาตมา โอกาสที่หวังเอินจะได้พบกับอาตมาคงเท่ากับศูนย์ เพราะห้องโถงใหญ่นั้นมีคนรอรับอาตมาอยู่เป็นหมื่นๆ คน แม้แต่คุณแม่ของอาตมายังเข้าใกล้ไม่ได้เลย
    แต่ตระกูลของหวังเอินมีคน รู้จักมากมายในไต้หวัน พวกเขาเหล่านั้นได้ช่วยติดต่อกับเจ้าหน้าที่ เพื่อให้หวังเอินได้เดินทางเข้ามาถึงด้านในเพื่อที่จะได้พบกับอาตมา หวังเอินจึงได้อาศัยบัตรผ่านพิเศษเข้าไปในด่านศุลกากร ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง จนมาถึงประตูที่เป็นทางลงของเครื่องบิน
    วิธีนี้ของหวังเอิน อาตมาถือว่าแน่มาก
    เมื่อกลับมาถึงไต้หวันพออาตมาเดินลงมาจากเครื่องบิน ก็เห็นผู้ชายคนหนึ่งใส่ชุดสูท สวมแว่นดำ นั่งคุกเข่าอยู่หน้าทางลงเครื่องบิน และมีสตรีคนหนึ่งคุกเข่าอยู่ข้างๆ เมื่ออาตมาลงไปถึงเขาก็แนะนำตัว "ผมชื่อหวังเอินครับ มาต้อนรับท่านอาจารย์เหลียนเซินกลับประเทศครับ"
    อาตมาบอกว่า
    "ดี ดี ขอบคุณ หวังเอิน อืม...หวังเอิน"
    แล้วพยุงเขาขึ้นมา แต่อาตมาก็ยังคงไม่รู้ว่าหวังเอินคือใคร
    ระหว่างทางที่เดินออกมา หวังเอินเดินตามอาตมาไม่ห่างและบอกกับอาตมาว่า
    "ท่าน อาจารย์เหลียนเซิน ผมตาบอดมา 2 ปีแล้ว พยายามขอเข้าพบแต่ก็ไม่ได้เข้าพบ วันนี้จึงมาต้อนรับท่านอาจารย์เหลียนเซินที่นี่ ขอให้ช่วยทำให้ดวงตาของผมกลับปกติได้ไหมครับ"
    เมื่อได้ยินคำขอร้องของหวังเอิน อาตมาจึงเข้าใจว่าทำไมหวังเอิน ถึงต้องมายืนรอพบอาตมาถึงทางลงเครื่องบิน
    เรื่องที่มีคนมาเจออาตมาแบบระยะประชิดอย่างหวังเอินอาตมาเจอมามาก และมักมีผู้คนเดินมาเบียดใกล้ตัวเสมอ เพื่ออธิษฐานขอพรจากอาตมาอยู่บ่อยครั้งเหมือนที่หวังเอินทำ
    แต่สำหรับวิธีของหวังเอินนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยเจอกัน โดยเฉพาะบัตรผ่านพิเศษสำหรับเจ้าหน้าที่ที่แขวนอยู่บนหน้าอกของเขา
    หลังจากได้ยินคำขอของหวังเอินแล้ว อาตมาก็ไม่พูดมาก ยื่นมือออกไปคลำที่หัวของหวังเอิน และใช้มุทรากระบี่ แตะที่หนังตาของ
    หวังเอินเบาๆ แล้วพูดว่า "ให้การคุ้มครองแล้ว"
    หวังเอินรีบตอบขอบคุณอาตมาทันที
    "ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ"
    ทันใดนั้น คนที่มาต้อนรับอาตมาก็แห่กันเข้ามา และทุกคนก็ล้วนแขวนบัตรเจ้าหน้าที่ และบอกกับอาตมาว่า เนื่องจากเครื่องมาถึงก่อนเวลากำหนดจึงมาช้าหน่อย
    พวกเขาเหล่านี้เป็นลูกศิษย์ของ 'เจินฝอจง' บางคนเป็น
    เจ้าหน้าที่ของกองตำรวจสนามบิน บางคนเป็นเจ้าหน้าที่ด่านศุลกากรเป็นเจ้าหน้าที่ของกรมตรวจคนเข้าเมือง กรมควบคุมการเข้าหรือออกจากประเทศ
    หวังเอินยืนห่างจากอาตมาไปหน่อยเมื่อ พวกเขามาถึง อาตมาโบกมือลาให้หวังเอิน แม้จะรู้ว่าหวังเอินย่อมมองไม่เห็น หลังจากนั้นจึงเดินเข้าไปที่ห้องวีไอพี

    ••••••••••••••••••••

    หลังจากได้รับพรจากอาตมาแล้ว หวังเอินก็เดินทางกลับบ้าน
    ที่จริงแล้วตาของหวังเอินไม่ได้กลับคืนมาเป็นปกติแม้แต่นิดเดียว แต่ในคืนนั้นเมื่อกลับถึงบ้านหวังเอินกลับรู้สึกว่าตัวเองได้ยินคน 2 คนคุยกันเบาๆ อยู่
    คนหนึ่งพูดว่า
    "ท่านอาจารย์เหลียนเซินเกือบจะไล่ให้พวกเรา 2 คน ออกไปแล้วนะ"
    ส่วนอีกคนพูดว่า
    "พอเขาคลำหัว ฉันก็เตี้ยไปครึ่งหนึ่ง ถ้าคลำอีกที ฉันคงหายไป"
    "พอเขาแตะที่หนังตา ฉันก็เหมือนเจอแผ่นดินไหว"
    "ฉันล้มลงจนลุกไม่ขึ้น"
    "บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า"
    "รู้สึกเหมือนสูญเสียลมปราณมาก"
    "แล้วที่บอกว่าเหมือนแผ่นดินไหวนี้ขั้นที่เท่าไหร่หรือ"
    "น่าจะเป็นขั้นที่ 8"
    "แล้วเราจะอาศัยอยู่ที่นี่ได้อีกไหม"
    "นั่นน่ะสิ...อยู่มา 2 ปีแล้ว ไม่อยากย้ายเลย เสียดาย"
    ได้ยินดังนั้น หวังเอินก็รู้สึกสะเทือนจิตใจมาก จึงบอกกับทั้ง 2 คนไปว่า
    "พวกคุณเป็นใคร พวกคุณอยู่ในดวงตาผมหรือ ผมไม่มีเรื่องอะไรบาดหมางกับพวกคุณ ขอให้พวกคุณออกไปเถอะ"
    แต่ก็ไม่มีเสียงใดๆ ตอบกลับจากทั้ง 2 คน
    หวังเอินรู้สึกว่าเขาควรมาพบอาตมาอีกครั้ง เพราะคิดว่าอาตมาต้องช่วยได้ แต่คนในครอบครัวก็ยังคงคัดค้าน เพราะไม่อยากให้มา
    รบกวนอาตมาอีก
    แต่หวังเอินก็ยังคงไม่ฟังเสียงของคนในครอบครัวเช่นเคย
    "ก็ผมได้ยินเสียงนี่"
    แม้ว่าคนในครอบครัวจะบอกหวังเอินว่าเสียงที่เขาได้ยินนั้นมันเป็นเสียงหลอนก็ตาม
    แต่หวังเอินก็ยังยืนยันว่าไม่ใช่เสียงหลอน และเขาได้ยินจริงๆ
    คนในครอบครัวคงสุดจะทน จึงบอกหวังเอินว่า
    "เธอไม่เพียงขอครั้งหนึ่ง แต่ขอสิบครั้ง ห้าสิบครั้งก็ทำมาแล้ว ไปหาพวกผู้วิเศษ ทุกที่ก็ไปอย่างตั้งความหวัง แล้วทุกครั้งก็กลับมาพร้อมความผิดหวัง พอเสียทีเถอะหวังเอิน"
    แต่คนอย่างหวังเอินไม่เคยท้อถอยหมดความหวัง
    "ขอครั้งนี้ครั้งเดียวเถอะ ผมได้ยินเสียงนั้นจริงๆ นะ ขอร้องล่ะ พาผมไปพบท่านอาจารย์เหลียนเซินอีกสักครั้งเถอะ"

    ••••••••••••••••••••

    หลังจากกลับมาจากประเทศสหรัฐอเมริกา ตลอดระยะเวลาที่อาตมามาเผยแผ่ธรรมะที่ประเทศไต้หวัน อาตมามีกำหนดการที่แน่นมาก ต้องไปตามวิหารสาขาและศูนย์เผยแผ่ธรรมะทั่วประเทศไต้หวันทั้งภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคใต้ และสถานที่ๆ อาตมาไปล้วนจัดอย่างใหญ่โต มีผู้คนมาร่วมงานอย่างเนืองแน่น ไม่มีที่ว่างเลย
    ตอนนั้นอาตมากำลังฉันข้าวอยู่ในภัตตาคาร อยู่ๆ ก็มีบริกรเดินมาถามคนติดตามอาตมาว่า ต้องรายงานอาตมาไหม
    คนติดตามอาตมาก็บอกไปว่า ไม่ต้อง เพราะอาตมางานเยอะ
    ได้ยินแบบนี้อาตมาจึงหันไปถามว่า มีเรื่องอะไรหรือ
    "มีคนตาบอดชื่อหวังเอิน นั่งรถตามพวกเรา 2-3 วันแล้วครับ เขามาขอพบอาจารย์ แต่พวกเราก็ปฏิเสธไปหลายครั้งแล้ว แต่เขายังคงตามตื้อตลอดเวลา จนพวกเราเริ่มจะทนไม่ไหว
    "อ๋อ...หวังเอิน อาตมารู้จักเขา เชิญเขาเข้ามาเถอะ"
    พอทราบข่าวว่าอาตมาอนุญาตให้เข้ามาพบ หวังเอินและคนในครอบครัวจึงรีบเข้ามาในภัตตาคารทันที
    อาตมาก็ทำการให้พรหวังเอินอีกครั้ง ด้วยการพูดกับหวังเอินไปว่า
    "อาตมามีพระสูตรตาสว่าง และคาถาตาสว่าง จะมอบให้คนในครอบครัวของหวังเอินไป เพื่อให้สอนให้ท่านท่องตาม ถ้าท่องแล้วจะทำให้ตาสว่างได้"
    หวังเอินได้ยินอาตมาพูดแบบนี้ก็ดีใจมาก แล้วอาตมาก็เขียนพระสูตรตาสว่างให้คนในครอบครัวของหวังเอิน

    หนาหมอกวงหมิงตี้จั้งหวังผูซ่าหมอเฮอซ่า เชียนโส่วเชียนเหยี่ยนกวนซื่ออิม เหลียงเหยี่ยนซื่อจิงเติง ฝอจั้วซีฟังอี๋จั้วถ่า หยูไหลฮุ่ยซั่งอี๋จั้งจิง เหวินซูผูซ่าฉีซือจื่อ ผู่เสียนผูซ่าฉีเซี่ยงหวัง เหลียงเหยี่ยนซื่อเทียนถาง เหยินหลี่หมอ เหยียนหลี่หมอ เหยี่ยนจงอีจั้งจิ้นเชียวหมอเหยินหลี่หมอ เหยียนหลี่หมอ เหยี่ยนจงหยินอู้จิ้นเซียวล่อ เหยินหลี่หมิง เหยี่ยนหลี่หมิง เหยี่ยนจงโต้วเตี่ยนจิ้งกวงหมิง โหย่วเหยินโซ่งเต๋อเหยี่ยนหมิงจิง เซินเซินซื่อซื่อเหยี่ยนกวงหมิง ข่งเชี่ยหมิงหวังหลิงกั่นอิ้ง กวนอิมผูซ่าเป่าอันหนิง โอม ซีเตี้ยนโต ป๋อจี้น่า หนาหมอกวงหมิงตี้จั้งหวังผูซ่า โซหะ "นโม รัศมีกษิติครรภ์ราชันโพธิสัตว์มหาสัตว์ พันเนตรพันกร

    กวนซื่ออิม สองตาเหมือนโคมทอง พระพุทธประทับเจดีย์ในปัจฉิมทิศ งานธรรมประชุมพระตถาคตมีพระสูตร 1 เล่ม มัญชุศรีโพธิสัตว์ทรง
    ราชสีห์ สมันตภัทรโพธิสัตว์ทรงคชราชา 2 ตาเหมือนสวรรค์ มารในคน มารในตา อาวรณ์ปิดบังของตาชำระสิ้น เยื่อในคน เยื่อในตา หมู่เมฆในตาสูญหายสิ้น รัศมีในคน รัศมีในตา จุดดาวในตาสว่างสิ้น มีคนท่องสูตรตาสว่าง ตานั้นสว่างทุกชาติภพ มยุรีมนตราชาคงศักดิ์สิทธิ์ พระโพธิสัตว์กวนอิมปกป้องให้สงบสุข โอม สิทธิ์เตียนโต ปอกูนา นโม รัศมีกษิติครรภ์ราชันโพธิสัตว์ โซหะ" เสร็จแล้วอาตมาจึงนำพระสูตรตาสว่างมอบให้คนในครอบครัวของหวังเอินไป
    หวังเอินดีใจมากเหมือนได้ของมีค่า เพราะพระสูตรนี้มีแต่นามของพระโพธิสัตว์ และเป็นคาถาบทสั้นๆ ที่จำง่าย และคิดว่าหวังเอิน ท่องไม่นานก็คงจำได้
    วันเวลายังคงผ่านไปทุกวัน
    พร้อมกับการท่องบทพระสูตรตาสว่างของหวังเอินวันละหลายๆ ครั้ง
    พอถึงวันที่ 49 ตอนบ่าย มีเสียงฟ้าผ่า
    หวังเอินตกใจตัวสั่น รู้สึกเหมือนว่ามีของ 2 สิ่งออกจากดวงตาไป จะว่าเป็นน้ำตาก็ไม่ใช่ จะว่าเป็นไข่มุกก็ไม่เหมือน แต่พอ 2 สิ่งนั้นกลิ้งออกจากดวงตา ความรู้สึกก็ไม่เหมือนเดิม แม้กระทั่งแสงที่เกิดจากฟ้าผ่าหวังเอินก็สามารถมองเห็น
    จากนั้นมา ดวงตาของหวังเอินก็ดีวันดีคืน สายตาของเขาค่อยๆ กลับมามองเห็นจนเหมือนปกติอีกครั้งและเมื่อหายหวังเอินก็ร้องตะโกนเสียงดัง ว่า
    "ขอให้ท่านอาจารย์เหลียนเซินอายุยืนหมื่นๆ ปี ไชโย พระพุทธเจ้าตรัสเรื่องตาสว่างสูตร หมื่นๆ ปี ไชโย ตาข้ามองเห็นแล้ว"
    ทุกสิ่งทางโลกล้วนตามธรรมชาติ
    โรคภัยหายขาดต้องอาศัยปัจจัยการกุศล
    พอได้สัตยสูตรก็สว่างดังเช่นกระจกเงา
    ไม่กลัวสรรพสิ่งใดมาปรากฏแก่สายตา

    ••••••••••••••••••••

    หลังจากนั้นไม่กี่วัน ระหว่างอาตมาเผยแพร่ธรรมะและกำลังนั่งอยู่บนธรรมาสน์ อาตมารู้สึกว่ามีของบางสิ่งมาเข้าตา จนเริ่มรู้สึกปวดตา แล้วตาของอาตมาก็เริ่มแดง
    คืนนั้นอาตมาหยอดน้ำยาหยอดตาก่อนจะเข้านอน และยังไม่ทันจะหลับตาก็ได้ยินเสียงว่า
    "ขอโทษด้วยครับ ท่านอาจารย์เหลียนเซิน"
    อาตมานึกแปลกใจ จึงถามกลับไปว่า
    "มีเรื่องอะไรหรือ"
    "พวกเราคือลูกบ้านของหวังเอิน แต่ตอนนี้หวังเอินได้ไล่พวกเราออกมา ในเมื่อความแค้นมีเจ้าทุกข์ คนเป็นหนี้ก็ย่อมมีเจ้าหนี้ เราจึงมาอาศัยอยู่บ้านท่านแล้ว"
    ได้ยินแบบนี้ อาตมาเลยถามกลับไปว่า
    "พวกท่านเป็นมารในตาหรือ"
    "ครับ"
    ทั้งสองตอบพร้อมกัน
    "แล้วแบบนี้ดวงตาของอาตมาจะเป็นอะไรหรือเปล่า"
    "ตาบอดครับ"
    "ถ้าอย่างนั้นหากอาตมาสามารถไล่พวกท่านออกจากตาของหวังเอินได้ ก็แสดงว่าอาตมาย่อมไล่พวกท่านออกไปจากอาตมาได้"
    มารในตาทั้งสองก็บอกอาตมาว่า
    "ผู้อยู่ในเรื่องย่อมหลงตัว ผู้มองข้างๆ ย่อมเห็นชัด"
    อาตมาเลยถามกลับไปว่า
    "พวกท่านเคยทำร้ายคนมาเท่าไรแล้วหรือ"
    "นับไม่ถ้วน"
    ทั้ง 2 ตอบด้วยความภูมิใจ
    "ดีมาก ในเมื่อพวกท่านได้ทำร้ายคนมาเป็นจำนวนมาก วันนี้สวรรค์มีทางแล้วท่านยังไม่ยอมไป แม้นรกจะไร้ประตูก็ยังดื้อบุกเข้ามา อาตมาคงอโหสิกรรมให้พวกท่านไม่ได้แล้ว" มารในตาทั้ง 2 ก็บอกอาตมาเสียงแข็งว่า
    "กูไม่กลัว"
    ว่าแล้วอาตมาจึงปิดตาทั้ง 2 ข้างไม่ให้มารในตาทั้ง 2 หนีไป
    หลังจากนั้นดวงตาของอาตมาก็มีน้ำออกมา แต่น้ำนี้ไม่ใช่น้ำธรรมดา มันคือ 'น้ำเยาะสุ่ยสามพัน' ของเขาคุนหลุน แม้ขนนกที่ตกลงมายังต้องจมลง
    น้ำเยาะสุ่ยสามพันยังคงไหลเรื่อยๆ จนดวงตาของอาตมา
    กลายเป็น 2 มหาสมุทร เมื่อเป็นดังนี้ 2 มารในตาก็ร้องโวยวายว่า
    "ช่วยด้วยๆ พวกเราจะจมน้ำตายแล้ว พวกเราว่ายน้ำไม่เป็น ท่านอาจารย์เหลียนเซินปล่อยพวกเราออกไปเถอะ"
    แต่อาตมายังคงหลับตาไว้เช่นเดิม
    สุดท้ายมารในดวงตาทั้ง 2 ก็จมน้ำตายไป
    มารที่ชอบทำร้ายผู้อื่น ท้ายที่สุดก็กลับมาทำร้ายตัวเอง
    ส่วนอาตมาเหลียนเซิน ไม่มีอะไรสูญเสียแม้แต่น้อย...


    คาถาคุ้มครองสะท้อนกลับ
    ในการปฏิบัติธรรมของคุยหยานนั้นต้องอาศัยหลักใหญ่ 3 ประการคือ คาถา (มนตรา) มุทรา (ลักษณะของมือ หรือลักษณะของร่างกาย) และการเพ่งจินตนาการ ( พลังจิต) อธิบายให้ง่ายขึ้นคือ ปากท่องมนต์ มือทำมุทรา จิตเพ่งจินตนาการองค์มูลฐาน เป็นต้น การปฏิบัติแบบนี้จะช่วยให้ กาย วาจา ใจ บริสุทธิ์ จนทำให้เปลี่ยนสามกรรมให้เป็นสามคุยหะ วิธีปฏิบัติแบบนี้ก็คือแบบของคุยหยาน (วัชรยาน)

    ปรมาจารย์ 'จั่นมิ'-สายแดง (หนิงมาปะ) ปัทมาสมภพมหาสัตว์ ได้เคยถูกพวกห้าร้อยนอกรีตโจมตี ระหว่างการปฏิบัติธรรมของท่าน พวกห้าร้อยนอกรีตได้ท่องคาถาเชิญเหล่าปีศาจ (ปีวัวเทพงู) ใช้อิทธิฤทธิ์ทำร้ายปัทมาสมภพมหาสัตว์จนสถานการณ์เลวร้ายมาก
    ปัทมาสมภพมหาสัตว์ถูกทำร้ายจนอาการร่อแร่ เพราะพวกห้าร้อยนอกรีตล้วนเป็นผู้เก่งกล้าในวิชาคาถาอาคมของศาสนาชั่วทั้งนั้น สามารถเรียกลมเรียกฝน สาดถั่วให้กลายเป็นพลทหาร สั่งเทพยดาและภูตผีได้
    ในตอนที่ปัทมาสมภพมหาสัตว์นอนล้มอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ในสภาพที่สาหัส กาลนั้น 'พระแม่เอกาเกล้า' ก็ปรากฏกายออกมาช่วยเหลือ
    สัญลักษณ์ของพระแม่เอกาเกล้าคือ หนึ่งเกล้าผม หนึ่งตา หนึ่งฟัน ท่านเป็นยอดพระแม่ในบรรดาพระแม่ทั้งหลาย มีพลังธรรมหรืออิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์เก่งกล้าไร้เทียมทาน เป็นพระอาจารย์ของปัทมาสมภพ เป็นองค์ประจำตนของปัทมาสมภพมหาสัตว์ และยังเป็นองค์ธรรมบาลของปัทมาสมภพมหาสัตว์อีกด้วย พระแม่เอกาเกล้ามีสถานะทั้ง 3 อย่างรวมเป็นหนึ่ง

    เมื่อเห็นว่าปัทมาสมภพมหาสัตว์ถูกทำร้ายและกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก พระแม่เอกาเกล้าจึงได้ถ่ายทอดคาถา 'คุ้มครองสะท้อนกลับ' ให้แก่ปัทมาสมภพมหาสัตว์ คาถาชุดนี้เป็นคาถาลับสุดยอด จะไม่ถ่ายทอดให้แก่คนที่ไม่เหมาะสมเป็นอันขาด เช่น
    คนชั่วไม่ถ่ายทอดให้ ไม่ใช่ลูกศิษย์สายตรงทางสันติ ไม่ถ่ายทอดให้ จิตใจคิดแต่จะทรยศ ไม่ถ่ายทอดให้ และผู้ที่รักษาความลับไม่ได้ ไม่ถ่ายทอดให้ แล้วอะไรคือศิษย์ที่มีจิตคิดทรยศ
    โดยทั่วไปแล้ว สำหรับความรู้สึกของลูกศิษย์ที่มีต่ออาจารย์นั้น ควรเริ่มต้นจากความเคารพนอบน้อม แต่สำหรับบางคนนั้นพอนานวันเข้าจิตใจก็คิดเป็นอย่างอื่น เช่น 'เทวทัต' 'ยูดา' (ศิษย์ของพระเยซูผู้ทรยศ) เป็นต้น
    คาถาคุ้มครองสะท้อนกลับเป็นมหาคาถา เป็นอนุตรคาถา จะให้ใครง่ายๆ นั้นไม่ได้

    พลังของคาถาคุ้มครองสะท้อนกลับมีดังนี้

    สะท้อนกลับ-ไม่ว่าฝ่ายตรงข้ามจะปล่อยคาถาอะไรมา ก็จะหลบและสะท้อนคืนกลับไปยังฝ่ายตรงข้ามก็ได้
    คุ้มครอง-ไม่ว่าฝ่ายตรงข้ามปล่อยคาถาอะไรมา ก็จะปกป้องคุ้มครองไว้ ไม่ให้ได้รับอันตรายใดๆ จากพลังของคาถามนตรา
    เมื่อปัทมาสมภพมหาสัตว์ได้รับการถ่ายทอดคาถานี้จากพระแม่เอกาเกล้า ก็ท่องคาถาสะท้อนส่งกลับคืนไป จนเกิดเสียงสะเทือนสะท้านฟ้า
    เมื่อหมอกควันสลายไปหมด พวกคนนอกรีต 500 คนล้วนถูกคาถาคุ้มครองสะท้อนกลับจนตายหมด
    เรื่องของปัทมาสมภพมหาสัตว์ที่อาตมาได้เล่าให้ฟังไปนั้น คือเรื่องราวการต่อสู้ด้วยคาถาที่ยิ่งใหญ่ดั่งเช่น คาถาคุ้มครองสะท้อนกลับ

    ••••••••••••••••••••

    มีเพื่อนของลูกศิษย์หญิงของอาตมาคนหนึ่งชื่อว่า 'เฝิงฟัง' เธอมีหน้าตาที่สวยงามมาก ถึงขนาดที่ว่าเคยมีคนเขียนจดหมายรักมากล่าวยกย่องเธอว่า
    "เรือนร่างของเธอ เบาบางเหมือนห่านฟ้า การก้าวเท้าของเธอเหมือนดอกบัวขาวที่เบ่งบานอยู่บนสายน้ำสีเขียวหยก บั้นเอวของเธอก็อรชรเหมือนผูกด้วยสายริบบิ้น ช่วงคอสวยยาว มือแขนนิ้วเท้าหน้าตา แสดงออกถึงผิวพรรณที่ขาวผ่อง จนไม่ต้องใช้แป้งหอมครีมทาผิวใดมาเสริมแต่ง ดูสวยสดไร้ที่ติไร้เทียมทาน ปุยผมที่เงางามสีดำนั้นก็เหมือนสายน้ำตก คิ้วดำโค้งทั้ง 2 ข้าง ปากน้อยๆ สีแดงเหมือนผลเชอรี่ ฟันขาวเหมือนเปลือกหอย ดวงตาก็กระจ่าง มีแต่เสน่ห์น่ารัก..."
    ทุกคนที่ได้พบเห็น ล้วนชื่นชมในความงามของเฝิงฟัง
    เฝิงฟังเป็นหญิงสาวที่มีนิสัยสุภาพอ่อนโยนตามธรรมชาติ บนกายมีกลิ่นอายแห่งลมทิพย์ ซึ่งมีติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด ด้วยเหตุนี้เฝิงฟังจึงเป็นที่รักชอบของผู้คนเป็นจำนวนมาก ในจำนวนนั้นมีหมอผีชั่วคนหนึ่ง ซึ่งชื่อเสียงทางชั่วช้าโด่งดัง
    หมอผีชั่วได้เขียนจดหมายรักมาหาเฝิงฟัง มีใจความว่า
    "เธอ เป็นคนงามที่ยอดแต่โบราณฉันจะมอบพลอยมีค่าที่บรรพ-บุรุษถ่ายทอดมาให้เธอ เพื่อแสดงความรักของฉัน ฉันจะให้เทพเจ้ามาเป็นพ่อสื่อสู่ขอเธอ โปรดอย่าปฏิเสธฉัน อย่าแล้งน้ำใจ เมื่อฉันมีเธอแล้ว ไม่ต้องไปค้นหายังสถานที่อื่นใด"
    แต่เฝิงฟังหาได้สนใจหมอผีชั่วไม่ และได้ปฏิเสธหมอผีชั่วไป
    เมื่อได้รับการปฏิเสธจากเฝิงฟัง หมอผีชั่วก็อายและรู้สึกโมโห พูดกับคนอื่นว่า
    "นังเฝิงฟังมันมีดีอะไรนักหนา ผู้หญิงแบบมันก็มีเดินเพ่นพ่านอยู่เต็มถนน ในเมื่อมันมาดูถูกกู กูก็จะให้มันได้เจออิทธิฤทธิ์ของกูบ้าง มันจะต้องทุกข์เศร้าโศกไปตลอดชาติ จนต้องมาคุกเข่าขอร้องกู แต่ถึงจะมาคุกเข่าขอร้อง กูก็จะไม่สนใจไยดีมัน"
    หมอผีชั่วไม่เพียงพูดกับคนๆ หนึ่ง ยังพูดกับหลายๆ คนด้วย แต่เมื่อข่าวนี้มาถึงเฝิงฟัง เฝิงฟังก็ไม่ได้กลัว และไม่ได้เก็บมาใส่ใจ
    แต่ทว่า...หมอผีชั่วได้ทำพิธีจริงๆ โดยเอาเลือดไก่ขาวตัวผู้มาเขียนยันต์ ใช้ป้ายหยกบัญชา แผ่นยันต์ ขนมข้าวเหนียวมาถวายบูชาภูตผี
    ภูต ผีที่หมอผีชั่วบูชาแปลกมาก ตัวดำทั้งตัว มี 2 หัว หน้าตาดุร้าย น่ากลัว ในมือซ้ายนั้นจับงูเขียว มือขวาจับงูแดง วิชานี้มีชื่อว่าคาถาเจตภูต
    คืน หนึ่งในฝันของเฝิงฟัง เฝิงฟังได้เห็นหมอผีชั่วทำพิธีใส่ตัวเอง ด้วยการปักเข็มลงบนหัวของเธอเต็มไปหมด และเข็มทุกเล่มล้วนเปื้อนด้วยเลือดไก่
    พอเธอตื่นขึ้นมาก็มีอาการปวดหัวงวยงง หลังจากนั้นก็นอนไม่ค่อยหลับ และทำอย่างไรก็ไม่สามารถนอนหลับได้เลย
    สุดท้ายเฝิงฟังจึงกินยาระงับประสาท เมื่อกินไปตอนแรกก็นอนหลับได้ แต่สุดท้ายก็นอนไม่หลับอีก
    เฝิงฟังกลายเป็นคนขวัญเสียสะลึมสะลือ ภายนอกซูบผอม มีอาการกังวล จนเหมือนคนประสาทแตก วิกลจริต
    หมอประสาทวิเคราะห์ว่า เฝิงฟังเป็นโรคหวาดระแวง ชอบคิดว่าจะมีคนมาทำร้ายตัวเอง
    เช่น เวลามีเครื่องบินบินผ่านมา เฝิงฟังจะเข้าใจว่าเครื่องบินลำนั้นจะมาสอดแนมเธอ พอบุรุษไปรษณีย์มาส่งจดหมาย ก็เข้าใจว่าเป็นผู้ร้ายปลอมตัวมาฆ่า
    หมาแมวที่เคยเลี้ยงไว้ก็ยกให้คนอื่นไปหมด เพราะคิดว่าวิญญาณของหมาและแมวได้ถูกคนชั่วเอาไปแล้ววิญญาณของคนชั่วจะอาศัย ร่างของหมาแมวมาทำร้ายเธอ
    เมื่อมีคนเอากับข้าวอาหารให้เธอกิน ก็จะคิดว่าในนั้นมียาพิษ หรือทุกวันจะอาบน้ำวันละหลายๆ ครั้ง เพราะรู้สึกว่าบนตัวมีสิ่งสกปรกติดอยู่ ล้างอย่างไรก็ล้างไม่สะอาด เสื้อผ้าก็ซักวันละหลายหน พูดจาเลอะเทอะ หัวเราะไร้สาเหตุ ชอบแอบยิ้มคนเดียว บางครั้งก็ร้องไห้ คิดว่าโลกนี้ไม่มีคนดีสักคน ทุกคนล้วนแต่จะมาทำร้ายเธอ
    เฝิงฟังไม่นอน ไม่กิน บางครั้งก็นอนติดต่อกัน 2- 3 วัน ชอบเอะอะโวยวาย นึกจะทำอะไรก็ทำทันที
    หนักเข้าก็ถึงขั้นถอดเสื้อหมดล่อนจ้อนเดินไปตลาด เอากับข้าวที่ยังกินได้ไปเททิ้งกลางถนนใหญ่ ตีหลอดไฟให้แตกหมด เพราะคิดว่าพวกที่มีแสงสว่างล้วนเป็นมาร เฝิงฟังจึงมีสภาพเหมือนกลอนโบราณที่กล่าวว่า
    "มหาทุกขังที่แท้คือมีกาย ควรรู้โรคภัยไม่ยอมใคร เกี่ยวข้องกับมโนมายา มันไม่จริง ถึงเป็นของแท้ก็ไม่แท้ โรคภัยทั้งปวงเกี่ยวกับกรรม ชำระกรรมเก่าคือสูตรลับ มีเพียงบำเพ็ญพ้นเกิดและตาย เภทภัยทั้งปวงกลายเป็นผุยผง"
    เดิมทีเฝิงฟังเป็นคนสวยมาก เมื่อตอนนี้มีโรคภัยมารุมเร้าตัว ดูภายนอกเหมือนหัวกะโหลกของผีสาง
    ลูกศิษย์หญิงของอาตมาเห็นเข้าก็รู้สึกสงสาร จึงพาเฝิงฟังมาพบอาตมา
    อาตมาเขียนยันต์ 'ซั่น เยียน' (อักษรของแผ่นยันต์) ให้เฝิงฟังก็ไม่ได้ผล ลองสร้างเขตในกายของเฝิงฟังก็ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ
    อาตมา ร้อนใจจึงลองนั่งสมาธิตรวจสอบ เมื่อก้านธูปเผาไปครึ่งหนึ่ง อาตมาก็มองเห็นป่าไม้แห่งหนึ่ง ในป่าไม้มีทางเล็กๆ สุดทางของมันคือมณฑลเทพเจ้า
    อาตมามองเห็นคนสวมเสื้อสีดำ กำลังเซ่นไหว้ภูตผีที่ประหลาด มีร่างกายเป็นสีดำทั้งหมด และเห็นคนเสื้อดำเอามีดเปื้อนเลือดฟันลงที่
    ผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งผู้หญิงคนนั้นก็คือเฝิงฟัง
    อาตมาตกใจมากลองถามคนในครอบครัวของเฝิงฟังถึงเรื่องหมอผีก็ได้รู้ว่า เฝิงฟังได้ปฏิเสธหมอผีไปคนหนึ่ง และมีคนเห็นกับตาว่าหมอผีได้พูดว่าจะทำให้เฝิงฟังมีทุกข์โศกเศร้าไปตลอด ชีวิต โดยทั่วไปเมื่ออาตมาใช้ยันต์ 'ซั่น เยียน' และทำการสร้างเขต ก็นับเป็นวิชาร้ายกาจพอสมควรแล้ว แต่ปรากฏว่ากลับไม่สามารถทำอะไรหมอผีได้
    อาตมาจึงรู้สึกสะเทือนใจมาก
    ต่อมาอาตมาได้อ่านพบในหนังสือโบราณ รู้ว่าภูตผีตนนั้นอยู่มาหลายพันปีแล้ว รู้จักกันอีกชื่อหนึ่งนามว่า 'เจียง' เนื่องเพราะเป็นภูตผีโบราณกาล แผ่นยันต์ 'ซั่น เยียน'
    และการสร้างเขตจึงใช้ไม่ได้ผล
    อาตมาคิดว่า ควรไปคุยกับหมอผีคนนั้น เพราะอาตมาเชื่อว่า การพบหน้าคือการให้เกียรติกัน ขอเพียงแค่ให้มีหลักการก็ย่อมจะคุยกันรู้เรื่อง และในที่สุดอาตมาก็ได้พบกับหมอผีอย่างที่ตั้งใจไว้ หมอผีชั่วคนนี้แซ่กู้ มีอาจารย์อยู่เมืองจีนแผ่นดินใหญ่ ลูกศิษย์ที่นั่นจะกลัวเขามาก เพราะวิชา 'ก้งโถว' (คาถาอาคม) ของเขานั้นร้ายกาจมาก ถ้าถูกวิชาก็จะต้องกลายเป็นคนบ้าทุกคน เมื่อได้พบเจอหมอผี อาตมาก็บอกว่า
    "อาตมามาเพราะเฝิงฟัง"
    หมอผีชั่วตอบว่า
    "นังเฝิงฟังมันไม่รู้ที่ต่ำที่สูง ไม่รู้กาลเทศะ สมควรแล้วที่มันเป็นแบบนี้"
    "อาตมาอยากให้ท่านปล่อยเขาไปได้ไหม ในเมื่อเขาก็ได้รับความทุกข์มากพอแล้ว เขาคงจะสำนึกแล้ว"
    หมอผีชั่วบอกว่า
    "เรื่อง ที่มันถูกลงคาถาอาคมนั้นรู้กันทั่วไป ยิ่งมันเป็นโรคประสาทมากเท่าไร ก็จะมีคนมายกย่องกูมาก มึงเป็นใคร กล้าดีอย่างไรจะมาขอกูแบบนี้"
    "อาตมาคือเหลียนเซิน"
    "โอ้ว!...เหลียนเซินหรือ ถ้าอย่างนั้นมึงลองอาคมกูบ้าง มันก็คงยิ่งสนุกเข้าไปใหญ่สินะ...ฮ่าๆ "
    "พวกเราไม่มีความแค้นต่อกันมาก่อน อาตมาเพียงมาขอร้องเท่านั้น"
    "ขอร้องหรือมาลองดี ถ้ากูไม่ปล่อยเฝิงฟัง มึงจะทำไม จะสู้กูด้วยอิทธิฤทธิ์หรือไง"
    "ไม่"
    "เหลียนเซิน กูว่ามึงกลับไปเถอะ แล้วเรามาลองสู้กันสักตั้ง"
    "ไม่"
    แล้วหมอผีชั่วก็ได้อันเชิญภูตผี 'เจียง' มาลงคาถาอาคมใส่อาตมาจริงๆ
    เทพที่ป้องกันอาตมาไว้ อย่างองค์ธรรมบาลของอาตมาได้หายไปจนหมด
    อาตมารู้สึกเวียนหัว อารมณ์เสีย เดี๋ยวหนาว เดี๋ยวร้อน ในสมองว่างเปล่า กินอะไรไม่ลง ไม่มีรสชาติหมด นอนก็เหมือนไม่ได้นอน ถ้าได้นอนก็ฝันยุ่งเหยิงไปหมด รู้สึกเหมือนในกายมีไฟเผาอยู่ อาตมารู้สึกว่าชีวิตคนเราไม่มีความหมาย มีชีวิตเพื่ออะไรไม่รู้ ความคิดที่อยากจะตายเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ รู้สึกว่าชีวิตคนเรามันมีทุกข์ ว่างเปล่า อนิจจัง รู้สึกมีชีวิตก็ไม่มีความหมายอะไร พอคิดแต่เรื่องแบบนี้มากเข้า อาตมาก็เตือนตัวเองทันที ว่าอาตมาคงถูกคาถาอาคมของหมอผีแล้ว
    อาตมารู้สึกว่า ปวดกระดูกทั้งตัวมาก เหมือนมีโรคภัยร้อยอย่างมาเยือน คิดจะนั่งสมาธิก็ไม่สามารถนั่งให้สงบได้ พอสงบนิดหนึ่งก็เห็นแต่งูเขียว งูแดง วิ่งเพ่นพ่านอยู่ในกายอาตมา อันว่าภูตผี 'เจียง' นั้นร้ายกาจจริงๆ อาตมาพยายามคิดวิธีแก้ 'เจียง' เท่าไรก็คิดไม่ออก อาตมาเริ่มเห็นและได้ยินเสียงเงามายาต่างๆ ในไม่ช้านี้อาตมาต้องเป็นบ้าแน่ๆ
    กาลนั้นคือ
    เมฆภูเขามัวๆ น้ำเย็นๆ
    ว่างเปล่าทั้งปวงโรคประสาท
    เห็นมีพยัคฆ์คำรามใต้หินผา
    คนเดินวิ่งไปมาฟังเสียงในป่าไม้
    เปลวไฟสุริยะไปตามลมพัดพา
    ฝนตกดอกฟ้าหลุดตามกิ่ง
    โลกนี้ไร้ซึ่งที่จะพักและยืน
    ถึงเป็นเทวดาก็แตกสลาย
    อาตมารู้สึกถึงพวกงูเขียวงูแดงที่วิ่งเข้าไปในระบบปัสสาวะของอาตมา ทุกๆ 5 นาทีอาตมาต้องลุกไปเข้าห้องน้ำ แต่ก็ปัสสาวะออกมาได้เพียงไม่กี่หยด แต่พอออกมาจากห้องน้ำก็อยากจะปัสสาวะอยู่ตลอด
    อาตมาจึงคิดจะไปหาหมอ เพื่อให้ช่วยล้างท่อปัสสาวะ แต่ถึงจะไปหาหมอ อาตมาก็คิดว่ามันก็คงไม่หายแน่ๆ
    อย่าว่าแต่เรื่องปัสสาวะเลย เรื่องอุจจาระก็เช่นเดียวกัน
    ในที่สุดพอหนักเข้า อาตมาก็รู้สึกอยากอาเจียน เวียนหัว เหมือนร่างกายขาดความสมดุล
    กิน ยาของหมอก็ไร้ผล ในหัวคิดอยู่เรื่องเดียวคืออยากตาย อาตมาเห็นพวกผีร้ายปีศาจแสดงตัวหมด เข้าไปในร่างกายของอาตมาจนทำให้อวัยวะภายในอักเสบ อาตมาคิดถึงแต่ความตายจริงๆ
    รู้สึกว่าการมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ เป็นทุกข์ของการป่วยไข้ที่น่ากลัวเป็นที่สุด ถ้ามียาหรือวิธีตายอย่างมีความสุข อาตมาก็ยินดีทำตาม
    ก่อน นี้อาตมารู้สึกว่าคนที่คิดฆ่าตัวตายนั้นเป็นพวกที่โง่เขลามาก แต่ตอนนี้ได้มาเจอเข้ากับตัวเองถึงได้เข้าใจว่าทำไมคนที่ทุกข์มากๆ กับโรคภัยจึงต้องฆ่าตัวตาย
    ทุกข์ของโรคเป็นสุดยอดของความทุกข์ทางโลกนี้จริงๆ ด้วย
    การ เป็นคนมีอะไรดีล่ะ ชีวิตอาตมาชาตินี้ ถึงจะช่วยคนมากมาย ก็ถูกทำร้ายมากมายเช่นกัน มาถึงตอนนี้ ยังคิดจะมีชีวิตต่อไปอีกหรือ อาตมาดิ้นรนอยู่ในขอบเขตแห่งความเป็นความตาย
    วงจักรสีแดงกำลังจะจมลงทิศปัจฉิม
    ไม่ทราบดวงวิญญาณอยู่ ณ แห่งหนใด ผันซานตรัสรู้ไม่ใช่สิ่งอื่นใด
    ลูกกตัญญูนั้นผู้ใดจะมาเป็นตัวเขา แต่ท้ายที่สุดก็คิดถึงเรื่องราวที่จะตามมา
    "เหลียนเซิน รินโปเช ฆ่าตัวตายแล้ว"
    "หัวกวงจื้อจ้ายฝอฆ่าตัวตายแล้ว"
    "ดอกบัวกุมารฆ่าตัวตายแล้ว"
    ครั้งหนึ่งอาตมาเคยพูดว่า การฆ่าตัวตายคือ "การฆ่าพระพุทธเจ้า" ร่างกายคือเครื่องมือในการสำเร็จพระพุทธะ เพราะฉะนั้นฆ่าตัวตายจึงเหมือนกับการฆ่าพระพุทธเจ้านั่นเอง แล้วแบบนี้ถ้าอาตมาฆ่าตัวตายมันจะไม่ผิดต่อสิ่งที่อาตมาพูดหรือ
    อาตมา อยากจะบอกว่าวิญญาณของคนฆ่าตัวตายนั้นขึ้นสวรรค์ไม่ได้ มีแต่เวียนว่ายใน 3 อบายภูมิ ถึงจะมาเกิดใหม่เป็นคนได้ แต่ก็เป็นคนพิการปัญญาอ่อน แล้วยิ่งอาตมาเป็นคุรุมนุษย์ ถ้าตัวเองฆ่าตัวตายก็จะกลายเป็นเรื่องน่าขบขัน เรื่องตลกของหมู่มนุษย์และเทวดา แต่ความทุกข์ที่รวมตัวในกายอาตมา ทุกข์ขัง 8 อย่างที่พระพุทธเจ้าศากยมุนีตรัสไว้นั้น ตอนนี้อาตมามีหมด อาตมาเป็นทุกข์จริงๆ
    อาตมาทนทุกข์ไม่ไหวแล้ว
    อาตมาไม่อยากอยู่ต่อไปจริงๆ
    ถ้าอาตมาตายไปแบบนี้ ก็เป็นเรื่องตลกขำขันขนานใหญ่ ผู้ก่อตั้ง 'เจินฝอจง' เหลียนเซิน ริน โปเช ฆ่าตัวตาย
    แล้วแบบนี้จะยังมี 'เจินฝอจง' เหลืออยู่อีกหรือ
    คนที่ใกล้ชิดอาตมาคงเสียใจมาก
    คนที่เกลียดอาตมาคงดีใจมาก
    เข้าทำนองที่ว่า
    "ญาติเจ็บใจ ศัตรูดีใจ"
    ตอนที่หมอผีชั่วใช้พลังธรรมตัดหัวอาตมา งูเขียวงูแดงนั้นได้วิ่งเข้าไปในสมอง
    อาตมารู้สึกว่าสมองอาตมาแตกเป็น 8 แฉก
    ตรงกลางนั้นมีพุทธมณฑลหนึ่ง คือองค์ประจำตนของอาตมาเอง
    อมิตาพุทธะตถาคตทรงประทับเงียบๆ อยู่ที่นั่น
    จะพูดว่ากายอาตมาตายหมดแล้ว เหลือแต่องค์ประจำตนที่บำเพ็ญก็ไม่ผิดอะไร เพราะมันเป็นสิ่งผนึกในการปฏิบัติธรรมมาหลายปีของอาตมา
    หมอผีชั่วเองพอเห็นว่าเป็นแบบนี้ก็พยายามจะฆ่าองค์ประจำตนของอาตมา โดยสั่งให้งูเขียวงูแดงมากินองค์ประจำตนของอาตมา
    แต่องค์ประจำตนของอาตมาไม่สะทกสะท้าน กลับท่องคำของคาถาคุ้มครองสะท้อนกลับ
    สักพักก็เกิดมีฟ้าผ่าลงมา
    ดินน้ำลมไฟแตกสลาย กายาของมันอยู่ที่ใด ไม่เพียงท่าทางสูญ ชื่อแซ่ก็ยังไม่มีเหลือ ยาวสั้นมองที่ใบหญ้าฤดูใบไม้ร่วง เข้มข้นหรือเล็กบางถามลมช่วงเย็น ขอท่านมองให้สูง เรื่องนี้ต้องวิจัย อย่าขู่ผู้อื่นมากไป
    อย่าขู่อาตมามากไป
    เมื่อองค์ประจำตนของอาตมาได้ ท่องคาถาคุ้มครองสะท้อนกลับ อาตมานอนนิ่งอยู่บนเตียง ทั่วกายไม่มีแรงเห็นสายฟ้าแลบ รู้สึกตัวเองเหมือนคนตายที่มีชีวิต ส่วนพวกงูเขียวงูแดงในกายก็หายไปหมด รวมถึงตัวหมอผีชั่วนั้นก็หายไปเช่นกัน
    อาตมามองขึ้นไปบนท้องฟ้าก็เห็นงูเขียวงูแดงกัดตัวหมอผีชั่วไม่ยอมปล่อย หมอผีชั่วทุรนทุรายดิ้นรนกระเสือกกระสน แต่พวกงูเขียว
    งูแดงต่างยิ่งมัดตัวเขาให้แน่น
    เสียงร้องที่รุนแรงน่ากลัวของหมอผีค่อยๆ เงียบหายไป
    ส่วนอาการโรคของอาตมาก็หายไปหมด ร่างกายก็ดีวันดีคืน ประมาณอาทิตย์หนึ่งก็หายดีทั้งหมด
    ส่วนทางเฝิงฟังนั้นก็เหมือนกัน เธอก็รู้สึกว่าโรคทั้งหมดได้หายไปทันที พอพักผ่อนช่วงหนึ่งก็คืนสู่สุขภาพดีเหมือนเดิม
    ตัวอาตมาเองเหมือนฝันร้ายไป แต่สำหรับเฝิงฟังนั้น ฝันร้ายคงจะยาวนานกว่า
    ส่วนหมอผีชั่วกลับถูกภูตผี 'เจียง' ที่ตนบูชาจัดการ สุดท้ายก็เป็นบ้าเป็นโรคประสาทในที่สุด

    ••••••••••••••••••••

    อาตมาขอบอกพวกเราว่า 'คาถาคุ้มครองสะท้อนกลับ' นั้นเป็นคาถาที่สำคัญ และเป็นความลับมาก เป็นอนุตรคาถา ฉะนั้นจึงมีเพียงการถ่ายทอดอย่างลับๆ และขออภัยที่ไม่สามารถเขียนเปิดเผยออกมา ณ ที่นี้ได้
    เรื่องทั้งหมดที่อาตมาได้เล่าให้ฟังไปนี้ จึงเป็นเหมือนบทเรียนสำคัญของอาตมา ที่ทำให้ต้องถือคาถาหรือมนตราเป็นสำคัญ กายใจอาตมาจึงต้องสะอาดไม่โลภมาก และต้องบำเพ็ญตนอย่างเคร่งครัด ดังคำกล่าวที่ว่า
    บ่อเกิดคุยหยาน ถือมนต์เป็นสำคัญ


    เบาบางความโลภ อลังการรูปกายา
    ถ้าจิตไม่เคลื่อนไหว มโนเพื่อช่วยชาวโลกา
    ชำระกรรมหนึ่งส่วน เพิ่มพูนปัญญาอีกหนึ่งส่วน
    รวมหนึ่งกับองค์ของตน วิสุทธิสุดยอด
    โปรดกู้สรรพสัตว์พิเศษ มีชีวิตธรรมดา
    วิริยะอุตสาหะและทำจริง สัมมามโนคารวะ
    ปีแล้วปีเล่าเดือนต่อเดือน ไร้เริ่มต้นและไร้สิ้นสุด
    โ อ ม อ ะ ฮุ่ ม

    เนื้อหาบางส่วนจากวรรณกรรม "พลังศักดิ์สิทธิ์ของมนตรา"

    ของ พระพุทธาจารย์เหลียนเซิน หลูเซิ่งเยี่ยน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • slide-3.png
      slide-3.png
      ขนาดไฟล์:
      449 KB
      เปิดดู:
      740
  2. chibasusumu

    chibasusumu สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    135
    ค่าพลัง:
    +169
    ประทีปสว่างในฉับพลัน

    ประทีปสว่างในฉับพลัน
    ต่อจากหนังสือ เย็นจิตสดใสในฉับพลัน อาตมาก็ยังคงเขียนบทความอยู่ทุกวันไม่มากก็น้อย ๆไม่เคยหยุดแม้แต่วันเดียว
    หลังจากเขียนหนังสือชุดที่ 151 ไปจนใกล้จะจบแล้ว อยู่มาวันหนึ่งอาตมานั่งที่โต๊ะเขียนหนังสือตัวเล็กๆ ภายใต้แสงไฟ ขณะครุ่นคิดและจรดปากกาอยู่นั้น พลันปากกาในมืออาตมาก็ขยับไปมาเองได้ ปากกาขยับเขียนตัวอักษรทีละตัว ทีละตัว โดยอาตมาไม่ได้กระทำเอง
    เมื่ออาตมาตระว่าคงมีเทพเจ้า ลงมาสถิต จึงรีบหยิบกระดาษขึ้นมาแผ่นหนึ่ง และเทพเจ้า ก็เขียนอักษรลงบนกระดาษอย่างรวดเร็วว่า หนังสือชุดที่ 152 ประทีปสว่างในฉับพลัน
    อาตมาถามว่า เนื้อหาเป็นอย่างไรหรือ
    เทพเจ้าบอกว่า ต่อจากเย็นจิตสดใสในฉับพลันเป็นเรื่องการละเว้นกามตัณหาที่ไม่ถูกต้อง ตามทำนองครองธรรมเช่นเดียวกัน
    อาตมาตอบไปว่า เล่มเดียวก็พอแล้ว
    เทพเจ้ากล่าว่า ไม่พอ
    อาตมาจึงถามว่า เหตุใดจึงไม่พอ
    เทพเจ้าตอบว่า จิตใจมนุษย์มีกิเลสหนามากเกินไป
    อาตมาถามว่า จำเป็นต้องเขียนหรือ
    เทพเจ้าตอบว่า แน่นอน
    อาตมาถามว่า เหตุใดจึงต้องเขียนมากมายเช่นนี้
    เทพเจ้าตอบว่า ชาวโลกมักหลงลืม
    อาตมาถามว่า เทพเจ้าคือผู้ใดกัน
    เทพเจ้าตอบว่า เราคือพระพุทธเจ้าส้างกวง
    อาตมาถามว่า เป็นองค์เดียวกัน
    พระพุทธเจ้าส้างกวงตอบว่า ... เราจักพร่ำสอนชี้แนะ ท่านก็พร่ำเขียนนี่คือความปรารถนาของเราทั้งสอง
    อาตมากล่าวว่า พระพุทธเจ้าส้างกวงช่างมีเมตตากรุณาจริงๆ
    พระพุทธเจ้าส้างกวงตรัสว่า สาธุๆ
    นี่คือเหตุผลของการประพันธ์หนังสือเล่มนี้ จุดประสงค์เพียงหนึ่งเดียวก็คือ ต้องการให้ชาวโลกจดจำไว้ว่า
    เมื่อใดไม่ก่อกรรมทำชั่ว
    เมื่อใดพึ่งระวังกฎแห่งกรรม
    เมื่อนั้นย่อมเข้าสู่วิถีแห่งความหลุดพ้น.
     
  3. chibasusumu

    chibasusumu สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    135
    ค่าพลัง:
    +169
    มหาปิติ อย่างแท้จริง

    มหาปิติ อย่างแท้จริง

    ข้าพเจ้า (เทพบัวหลูเซินเยี่ยน) ศึกษาธรรมะอยู่หลายปี จากที่ข้าพเจ้าได้สัมผัสมา คือ ศีล ๕ ข้อห้ามของพุทธศาสนา มีเพียงเรื่อง “กาม” ละเมิดง่ายที่สุด เหตุเพราะเชื้อทางเพศมันมีมาตั้งแต่สวรรค์กำเนิด อยู่คู่กับมนุษย์ยากจะละทิ้ง จิตใจต้องสงบและสามารถควบคุมให้
    แน่นิ่ง มันทำไม่ได้ง่ายอย่างปากพูด

    เราทราบดีว่า มนุษย์มักมีความรัก และตามด้วยเรื่องใคร่ สำคัญอยู่ที่ความรู้สึก หากไตร่ตรองให้ละเอียดถึงความสุขอันเกิดจากความใคร่คือสัมผัสได้ด้วยตา สัมผัสได้ด้วยเสียง สัมผัสได้ด้วยลิ้นและจมูก การสัมผัสได้ด้วยร่างกาย สัมผัสได้ด้วยความนึกคิด เหล่านี้ เมื่อถึงคราวเกิดอาการสุดยอดจากความใคร่นั้น ก็พิจารณาการแสดงออกของอาการเช่นนั้น เช่น

    การเสียดสีที่เกิดความสุข ความพอใจในเรื่องเพศก็เพียงเท่านั้นแหละ
    การใฝ่แสวงหาในเรื่องเพศ ไม่เฉพาะหนุ่มสาว ถึงจะเป็นวัยกลางคน และคนแก่ก็ไม่เว้น เหตุใดเป็นเช่นนี้ ข้าพเจ้าเข้าใจว่า กามารมณ์เป็นความสุขของมนุษย์ที่พึงปรารถนา ความสุขของเพศประกอบด้วยสัมผัสทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ๖ ประการ ชาวโลกเข้าใจว่า การแสวงหาความสุขนี้ไม่มีอื่นใด นอกจากเรื่องระหว่างชายหญิง ซึ้งเป็นเรื่องสุดปรารถนา
    ของมนุษย์
    แต่ทว่า เราทราบดีการละโมบทางเพศ จะนำพาสิ่งเหล่านี้
    ๑ ความรักไม่สมความปรารถนา มักเกิดการเพ้อฝัน
    ๒ การแสวงหาความรัก มักเกิดเล่ห์กล
    ๓ การแสวงหาไม่สมปรารถนา มักเกิดอาฆาตในใจ
    ๔ เพียงคิดจะรัก มักเกิดอาการครอบครอง
    ๕ ชื่นชมความรักผู้อื่น มักเกิดอิจฉาริษยา
    ๖ แย่งรักผู้อื่น มักเกิดคิดฆ่าผู้อื่น

    ความคิดในเรื่องเซ็กซ์เป็นสิ่งที่เลวร้ายมหันต์ เป็นการแสวงหาความเลวที่ทันใจที่สุด และกล่าวได้ว่า หากหลงผิดในเรื่องเพศ ความละอายสูญสิ้นจิตสำนึกก็สูญสิ้นเช่นกัน สารพัดความเลวบังเกิดจากสาเหตุนี้ บุญกุศลสูญสิ้น ทุกอย่างราบพณาสูร สุภาษิตโบราณ

    กล่าวไว้ว่า “ตัณหาคือ บ่อเกิดของความเลวทั้งหลาย”
    ข้าพเจ้าสังเกตจากกิเลสของมนุษย์ ไม่แคล้วเรื่อง “ลาภ กาม เกียรติ กิน นอน” ซึ่งกามง่ายต่อการปะทุ ไม่ว่าชายหรือหญิง โดยธรรมชาติอารมณ์มักหักห้ามไม่อยู่ เพียงแค่ยักคิ้วหลิ่วตาก็เกิดอาการหวั่นไหว ไม่สามารถควบคุมได้ ไม่มียับยั้งชั่งใจ ศักดิ์ศรีและคุณธรรมสูญสิ้นหมด หากต้องการทำลายเชื้อร้ายนี้ยากแสนยาก
    ข้าพเจ้าได้ฝึกฝนปฏิบัติทางธรรมแล้วสำนึกได้ กิเลสของมนุษย์เสมือนได้ลิ้มรสสมอารมณ์ ยิ่งลิ้มรสยิ่งกระหาย
    ข้าพเจ้าทราบดีหากตัณหาบังเกิด ความคิดอันเลวร้ายต่างๆ มักเกิดตาม การแสวงหาธรรมก็แปรเปลี่ยนเป็นแสวงตัณหา ฝึกฝนธรรมะกลายเป็นฝึกฝนตัณหา ทำลายวัฒนธรรม สุดจะบรรยาย และแล้วช่องว่างระหว่าง “เทพกับมนุษย์” เกิดการปะทะกัน
    และแล้วข้าพเจ้าศึกษาเกี่ยวกับนิกายลับ ได้ค้นพบมีการฝึกฝนวิชาที่จะกำจัดเรื่อง “ตัณหา” โดยทั่วไปธรรมะที่จะทำให้ละเว้นในเรื่องตัณหา คือ
    ๑ ละเว้นการดูสิ่งยั่วยุ ๒ พิจารณากระดูกคนตาย ๓ มีปัญญาชาญฉลาด
    แต่นิกายลับฝึกฝนลมปราณ ช่องชีพจรและจุดแสงในกาย รู้จักธรรมะ “ลมปราณผลักดันช่องชีพจร ชีพจรเกิดประกาย จุดแสงเกิด อาวักขยญาณ” ระหว่างการฝึกฝนเริ่มจากลมปราณผลักดันช่องชีพจร มักเกิดความสุขและจุดแสงผลักดันผ่านช่องชีพจรเกิดอาการ “มหาปิติ” ความสุขนี้ยิ่งกว่าความสุขที่เกิดจากชายหญิงร่วมรักกัน
    หลังจากได้รับมหาปิติแล้ว ความสุขน้อยนิดที่เกิดจากความสัมผัสของชายหญิงเปรียบเทียบกันไม่ได้ เพราะเหตุนี้จึงกำราบกามารมณ์ได้
    ข้าพเจ้าได้รู้แจ้งว่า
    “ลมปราณ มหาปิติหมุนเวียนทั่วร่ายกาย ช่องชีพจร ความสว่างไสว (บริสุทธิ์ผุดผ่อง) จุดแสง ธาตุแท้ของพุทธะ (มั่นคงไม่หวั่นไหว)
    ข้าพเจ้า จึงอาศัย “ธาตุมนุษย์” ฝึกฝนจนเป็น “ธาตุพุทธะ” จึงได้มาซึ่ง “มหาปิติ”“แสงสว่าง” และ “สุญญตา”
    ข้าพเจ้ารู้สึกมนุษย์น่าสมเพชและโง่เขลา
    มนุษย์เกิดมาจากกามารมณ์ และตายจากการเกิดกามารมณ์ ใฝ่หาความสุขเล็กๆ น้อยๆ ในช่วงเวลาอันแสนจะน้อยนิด เพียงชั่วครูก็ผ่านพ้นไป แต่สร้างเอาบาปและความเลวสารพัด ช่างไม่คุ้มค่าเลย
    ข้าพเจ้าขอบอกกล่าวด้วยความจริงใจต่อทุกท่าน ข้าพเจ้าได้รู้แจ้งสัจธรรมและได้รับมหาปิติที่แท้จริงแล้ว.
     
  4. chibasusumu

    chibasusumu สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    135
    ค่าพลัง:
    +169
    เทพเจ้ารักษาประตูสวรรค์ทิศทักษิ

    เทพเจ้ารักษาประตูสวรรค์ทิศทักษิน

    ในวันขึ้น 9 ค่ำ เดือน 1 ของจีนถือเป็นวันคล้ายวันประสูติของเง็กเซียนฮ่องเต้ อาตมาได้มีโอกาสเดินติดตามเหล่าเทวดาทั้งหลายขึ้นสวรรค์เพื่อกล่าวอวยพร
    เมื่อไปถึงปรากฏว่ามีเหล่าเทพเจ้านับหมื่นองค์มาร่วมชุมนุม ทุกองค์ล้วนต้องผ่านด่านประตูทักษิน
    ครั้งนี้ท่านเทพเจ้าผู้รักษาประตูสวรรค์ ไม่ใช่ 4 เทพเจ้าสวรรค์ ไม่ใช่ 4 เทพอัศวิน แต่เป็นเทพทอท้าหลี่จิ้ง ซอกิมจา มุจา และนาจา
    เมิ่มีการเรียกขานนามตามรายชื่อจึงจะอนุญาตให้เข้าไปได้ แม้ว่าอาตมาไม่ได้รับการอ่านขานนามในรายชื่อ แต่ก็ไม่เป็นไร เพียงแต่ต้องต่อแถวยาวมาก ใช้เวลายาวนาน
    อาณาจักรเทพ กว้างใหญ่ไพศาล
    ปล่อยวาง อาตมาไว้ข้างเคียง
    ไม่เคยเข้าออก สุดพรรณนา
    เหตุไฉนต้องต่อแถว ให้เปลืองเวลา
    แต่ทว่าเหล่าทวยเทพล้วนพากันต่อแถว อาตมาเองก็ไม่ต้องถูกละเว้น ไม่ประสงค์เป็นอูฐในฝูงแกะ เปรียบเปรยเหมือนดั่งเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิวตาตาม
    บรรดาเหล่าทวยเทพ ล้วนมีบัตรเชิญ ยกเว้นอาตมา ที่เป็นแบบนี้เพราะอาตมามีความประสงค์จะมาเอง และในที่สุดก็ถึงอาตมา
    เมื่อท่านเทพเจ้าทอท้าหลี่จิ้งเห็นเข้า จึงว่าอาตมาไม่ใช่เทวดา หรือเทพเจ้า แต่กลับเป็นมนุษย์ก็แปลกใจ ว่าอาตมานั้นคือใคร
    อาตมาจึงตอบไปว่า....อาตมาเป็นมนุษย์
    *แล้วมีบัตรเชิญหรือไม่*
    ไม่มีแต่อาตมามาเพราะเป็นอุปนิสัยของอาตมา (ท่านเทพเจ้าทอท้าหลี่จิ้ง เมื่อได้ยินคำว่าอุปนิสัยจึงคิดว่าอาตมารู้จักเรื่องของสวรรค์ ก็ไม่รีรอ ถามต่อทันทีว่า
    *อุปนิสัยคืออะไร*
    อาตมาจึงตอบว่า ...แสงอิทธิฤทธิ์ ปรากฏ
    *แสงอิทธิฤทธิ์ ปรากฏหนใด*
    สถานที่แสวงธรรม
    *และแสวงธรรม ณ หนใด*
    ในซอกของเจดีย์ โดยท่องบทสวดเจินฝอจิง (พระพุทธแห่งพุทธแท้)
    เมื่อเทพหลี่จิ้ง กิมจา มุจา และนาจา ทั้ง4 องค์ได้ยินบทคัมภีร์แท้นี้ จึงเข้าใจและเกิดความกระจ่างทันที
    ที่แท้ท่านคือพระอาจารย์เหลียนเซิน หลูเซิ่งเยี่ยนนั่นเอง
    พูดจบท่านเทพอัศวินทั้ง 4 องค์ ก็พนมมือให้เกียรติแสดงความคารวะอาตมา เหล่าทวยเทพต่างตะลึงในเหตุการณ์ ทันใดนั้นก็เกิดแสงฉับพรรณรัศมีเปล่งรอบกายอาตมา บนท้องฟ้ามีเพียงความว่างเปล่า
    บรรทมในพื้นกว้างบนหญ้าแพรก ทันใดอาตมาก็เหินฟ้าข้ามมหาสมุทร ประทับ ณ สถานสดใสบริสุทธิ์ สามารถเดินเหินกว้างไกล ทั่ว10 ทิศ
    บรรดาเหล่าทวยเทพทักษินทราบดีว่า นี่คือความอัศจรรย์ของโลกมนุษย์ที่หาพบได้ยาก ไม่สามารถพรรณนาได้ ถือเป็นความอัศจรรย์ที่มีในความสามารถเฉพาะตนเท่านั้น
    มีเพียงพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าอาตมาคือพุทธะเช่นกัน มีนามว่าพระพุทธาจารย์เหลียนเซินนั่นเอง ส่วนปุถุชนนั่นไม่สามารถล่วงรู้ได้
    แท้จริงแล้วนั้นอาตมาก็คือ พายัพจุดประกาย
    เมื่อทราบดังนี้ท้องฟ้าทักษิณาก็พากันแซ่ซ้องส่งเสียงดังสนั่น หมื่อเทพล้วนเข้าแถวเรียงรายเป็นแถวเข้ามา หนึ่งในนั้นมีเทพองค์หนึ่งชื่อว่า มังกรสายชล
    มังกรสายชลผู้นี้ถือบัตรอวยพรมาด้วย และท่านเทพทักษิณก็ได้เชิญ มังกรสายชล เข้าแถวตามลำดับ ทันใดบนท้องฟ้าก็มีเสียงร้องตะโกนดังลั่น
    ไฉนจึงปล่อยผู้ที่ผิดศีลธรรมทำลายคน เข้าประตูทักษิณมา
    มังกรสายชล ตกใจรีบแก้ตัวทันที ... ไม่ใช่ข้า ...ไม่ใช่ข้า...
    ยังปฏิเสธอีกหรือ แล้วท้องฟ้าก็ปรากฏตาสวรรค์ขึ้นมา ตาสวรรค์ดั่งสายฟ้า ละเอียดแม่นยำชัดเจน เหล่าทวยเทพเมื่อเห็นแบบนี้ต่างต้องตกใจ
    มังกรสายชลเหงื่อไหล คอตก ก้มลงกราบพื้นไม่กล้าเอ๋ยคำพูดใดๆ
    เจดีย์ของเทพทอท้าหลี่จิ้ง เปล่งแสงทองออกมาแล้วดูดเอาร่างมังกรสายชลเข้าไปในเจดีย์ เพียงชั่วครู่ เจดีย์ก็คลายมังกรออกมาเป็นผงขี้เถ้าละเอียด
    เหล่าทวยเทพที่มาชุมนุม ต่างวิจารย์ว่า แท้ที่จริงมังกรสายชลได้ประทับอยู่ริมทะเล ในศาลเจ้ามังกร ณ ที่นั่นมีการบูชามังกรบูรพา มังกรประจิม มังกรอุดร มังกรทักษิณ ณ 4 เจ้ามังกร แต่มังกรสายชลนั้นถูกตั้งบูชาอยู่ข้างศาล ผู้คนแห่แหนศรัทธามาก ใกล้กับศาลเจ้ามังกรมีชาวบ้านเป็นสาวงามผู้หนึ่งอาศัยอยู่ สาวงามผู้นี้น่ารัก มีเสน่ห์เฉลียวฉลาด ไปช่วยงานทำความสะอาดศาลเจ้าอยู่เป็นประจำ
    ครั้งหนึ่งนางได้เข้าภาวนาต่อหน้า เจ้ามังกรสายชล เพื่อถามหาเนื้อคู่
    ความรักกว้างไกล
    หวาน หวาน ชื่น ชื่น
    แม้ปราชญ์ยังหลง
    สาวนางจะแต่ง
    ไม่ทราบว่าเนื้อคู่อยู่หนใด
    สาวงามผู้นี้ สวมใส่เสื้อผ้าสวยงามสะดุดตา ใบหน้าเสริมแต่ง ริมฝีปากงามเหมือนลูกท้อ แม้ไม่ใช่สาวงามผู้เลอโฉมระดับนางฟ้า แต่ก็ถือเป็นหญิงสาวบริสุทธิ์ผุดผ่อง ใครเห็นใครย่อมหลงรัก
    นางได้เสี่ยงทาย เสี่ยงไปเสี่ยงมายังไง ก็ไม่ได้คำตอบที่แท้จริง สุดท้ายหัวใจว้าวุ้น พอมองหาเนื้อคู่ เงยหน้าขึ้นมาเห็นหน้ารูปแกะสลักของมังกรสายชลที่ชัดเจนสมสง่า หล่อเหลาเอาการ นางจึงเปรยขึ้นมาว่า
    หากได้เนื้อคู่เป็นชายที่สง่างามดั่งเช่นมังกรสายชล ก็จะเป็นการดี มังกรสายชลกำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์ เมื่อได้ยินก็ก้มลงมองดู ทันใดนั้นเองจิตใจก็เริ่มหวั่นไหว
    อันว่าเสียงสาวงามและรอยยิ้ม ใครบ้างจะไม่คิด ในจิตใจพลันลอยขึ้นเบาหวิว วาดฝันที่จะเริงรมย์กับนางก็เพราะคำพูดของสาวชาวบ้านผู้นี้ ช่างสะกิดใจให้เจ้ามังกรสายชล บังเกิดใจใฝ่หาเหลือเกิน
    แล้วคืนสาวงามผู้นี้ก็ตกอยู่ในความฝัน มังกรสายชลปรากฏกายสมสู่สำเร็จความใคร่และตัณหากับเธอ หลังจากนั้นเป็นต้นมา มังกรสายชลกับสาวชาวบ้านนี้ก็ได้ไปมาหาสู่กันทุกราตรี เสมือนเป็นคู่สามีภรรยา จนมังกรสายชลลืมกฎต้องห้ามของสวรรค์ ที่ว่า
    ดวงจิตผ่องใสบริสุทธิ์
    กฎสวรรค์ไม่หยุดปฏิบัติทั่ว
    บำเพ็ญกายจิตใจไม่หมองมัว
    ปกป้องมวลมนุษย์ทั่วทุกตัวตน
    ความชั่วละไม่ปฏิบัติขยาดกลัว
    แข็งขันขยันไม่ย่อหย่อนคุณธรรม
    มังกรสายชล ผิดศีลมั่วกามา เวลาดึกดื่นเข้าละเมิดสาวชาวบ้าน เดิมทีสวรรค์ได้มีกฏไว้ควบคุมดูแลเหล่าเทพและมวลมนุษย์ ก็ถือละเมิดกฎสวรรค์ที่แบ่งเขตของเทพกับมนุษย์ไว้ ให้มนุษย์มีจริยะของมนุษย์ และเทพมีจริยะของเทพ
    เมื่อบัดนี้ได้ละเมิดกฏเกณฑ์ของสวรรค์ เทพก็หมดความเป็นเทพ ผิดศีลธรรม ผิดกฎสวรรค์ ดับราศีเทพ เสียสิทธิ์ การเป็นเทพ ต้องลงนรกเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน กลายเป็นผีอดอยาก
    แม้เป็นเทพชั้นที่ 9 เซียนครอบจักวาล 3 ภพ ก้ต้องถือปฏิบัติเช่นนั้น อย่างเจ้า เจ้าที่ พระภูมิก็ไม่มีการละเว้นเช่นกัน
    มังกรสายชลหนีการตรวจตราของสวรรค์ไม่พ้น มีโทษหนักสถานเดียว ถึงขั้นแตกสลาย มังกรสายชล ทำลายการสืบทอดความเป็นเทพของวงศ์ตระกูล นี่เป็นการอกตัญญู ทำลายการสืบสิทธิ์ การเป็นเทพตลอดกาล และศักดิ์ศรีของคำว่า มังกร ถูกทำลายสิ้น ลงนรกไป รับโทษเป็นผีอดอยาก จะไม่เศร้าและแค้นได้อย่างไร
    กามเสมือนดาบอยู่บนหัว
    รอยสับปรากฏ
    ความโลภเกิดขึ้นน้อยนิด
    รับโทษสาหัสตลอดกาล
    ต่อมาอาตมาได้มีโอกาสได้มาถึงศาลเจ้าริมทะเลของ ศาลเจ้ามังกร ก็ได้เห็นว่าศาลเจ้ามังกรแห่งนี้สง่างามตระการตามาก และ 4 มังกรมหาสมุทรนั้นก็สง่างามดั่งชายชาติทหาร
    เมื่อมาถึงข้างศาล ปรากฏว่าบนโต๊ะบูชาว่างเปล่า มีตัวหนังสือเล็กๆ หลายตัว คือมังกรสายชล แต่ไม่มีรูปของมังกรสายชล
    อาตมาได้พบผู้ดูแลศาลจึงถามถึงเรื่องนี้ ก็ได้รับคำตอบว่า
    ศาลแห่งนี้มีเรื่องประหลาดอุบัติขึ้น
    เกิดเหตุประหลาดอะไรหรือ
    เมื่อขึ้น 9 ค่ำ เดือน 1 ปีที่แล้ว รูปเทพได้ล้มลงกะทันหัน หล่นตกลงพื้นอย่างแรง และแตกสลาย ทั้งๆที่วันนั้นยังไม่ทันได้เปิดประตูศาลเจ้า ไม่มีผู้คนเข้าศาล แต่ไม่รู้ว่าทำไมรูปเทพถึงได้หล่นลงมาแตกละเอียดได้ ถือเป็นเรื่องที่แปลกมาก
    อาตมาพยักหน้ารับรู้ในคำพูด
    ผู้ดูแลศาลเจ้าเล้าต่อว่า ... เมื่อผมเห็นรูปเทพเจ้าแตกสลายแล้ว ก็ได้จัดการเก็บกวาดให้สะอาด เตรียมไปที่ร้านขายรูปแกะสลักเทพเจ้า เพื่อนำมาวางบูชาใหม่อีก ปรากฏว่าค่ำคืนต่อมา ผมได้ฝันเห็นท่านเทพเจ้ามังกรทั้ง 4 มหาสมุทร มาบอกว่ามังกรสายชลได้ฝ่าฝืนกฏสวรรค์ ถูกตัดออกจากการเป็นเทพไม่สามารถแกะสลักใหม่ได้ เมื่อผมตื่นขึ้นจากความฝันก็ไม่เชื่อโดยทันที ลองไปที่ร้านแกะสลัก เพื่อไปจ้างช่างแกะสลักรูปปั้นของเทพเจ้าสายชลอีก ก็ปรากฏว่ามีเรื่องประหลาดเกิดขึ้น คือทุกครั้งที่เตรียมจะแกะสลักมังกรสายชล ช่างแกะสลักก็เป็นไข้ทุกครั้ง พอหายป่วยจะเริ่มแกะสลักอีกก็ล้มป่วยอีก ทำให้ช่างแกะสลักผู้นั้นไม่กล้าแกะสลักอีกเลย ถือเป็นเรื่องที่น่าแปลกมาก
    แล้วสุดท้ายล่ะเป็นอย่างไร อาตมาถาม
    สุดท้ายก็เป็นแบบนี้ ไม่ทราบสาเหตุอีก
    แล้วพออาตมาจะจากไป ผู้ดูแลศาลก็วิ่งมาบอกว่า ยังมีเหตุประหลาดเกิดขึ้นอีกในหมู่บ้านริมทะเล มีหญิงสาวชาวบ้านผู้หนึ่ง สามารถทำนายดังเทพ มีตาสวรรค์ สามารถทำนายผู้คนทั้งสามภพ เมื่อถามว่ามีความสามารถนี้ได้อย่างไร ตอนแรกสาวชาวบ้านก็ไม่ยอมเปิดเผย แต่ตอนหลังจึงกล่าว่ามังกรสายชลเป็นผู้ถ่ายทอดให้ เธอสามารถทำนายได้แม่นมาก ท่านอาจารย์หลูฯ ถ้าไม่เชื่อก็สามารถไปลองดูได้นะครับ
    ได้ยินดังนี้ อาตมาจึงลองไปตามที่ผู้ดูแลศาลชี้แนะก็ได้พบกับหญิงสาวชาวบ้านผู้นี้
    เมื่ออาตมาได้พบกับนางเข้า ก็รู้สึกตกใจ เพราะตัวของนางมีกลิ่นอายเทพ ซึ่งเป็นเทพมังกรสายชลแน่นอน
    ปกติเมื่อบารมีของเทพเข้าสู่ร่างของคนธรรมดา ก็จะมีบารมีของเทพเปล่งออกมา ขอเพียงได้อาศัยบารมีของเทพเล็กน้อยก็สามารถทำนายเรื่องทั้ง 3 ภพ ให้ผู้คนได้ ทำนายดูได้ทุกเรื่องดั่งเทพมาทำนายเอง และรับรองได้ถึงความแม่นยำ
    สาวงามชาวบ้านคนนี้ ได้ทำนายหญิงมีครรภ์ว่า จะสามารถมีลูกชายหรือลูกสาว โดยถ้าเธอบอกว่าเป็นชายก็ต้องเป็นชาย ถ้าเธอบอกว่าเป็นหญิงก็ต้องเป็นหญิง จนทำให้หญิงสาวบ้านคนนี้มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่ว
    เมื่ออาตมานั่งลง หญิงสาวชาวบ้านก็จะทำนายเรื่องของอาตมาทั้ง 3 ภพ
    เธอร้อง ฮี้ คำหนึ่ง ก็เริ่มส่ายหัว และก็พยักหน้า และกลับหลัง เธองุนงงและถาม อาตมาว่า ขอประทานโทษ ดิฉันไม่สามารถทำนายให้ท่านได้
    เพราะเหตุใดกันเล่า ท่านถึงทำนายให้อาตมาไม่ได้
    ดิฉันมองไม่เห็นอะไร
    แล้วเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้
    ดิฉันก็ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด ปกติฉันสามารถมองเห็นได้ทั้ง 3 ภพ โดยมักปรากฏภาพ 2 จอ จอหน้าปรากฏภาพภพก่อน และอีกจอปรากฏภาพของภพภายภาคหน้า ทุกครั้ง ดิฉันจะเห็นภาพลอยออกมาชัดเจนมาก แต่สำหรับท่านกลับไม่ปรากฏภาพบนจอให้เห็น ไม่มีทั้งภพก่อน และภพหน้า ดิฉันเองก็ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใด
    *ไม่มีภพก่อน ไม่มีภพหน้า ก็หมายความว่าไม่มีการเกิด ไม่มีการดับไป งั้นก็หมายความว่าท่านได้บรรลุถึงฝั่งแห่งวิมุตติแล้ว และนั่นคือสัจธรรมที่แท้จริง*
    หญิงชาวบ้านบ้านได้ย้อนถามอาตมาว่า... อะไรคือสัจธรรม
    อาตมาจึงตอบไปว่ารู้แจ้งคือความหลุดพ้น ความเกิด ดับนั้นคือสัจธรรม ตรงกันข้าม การสวดท่องคาถา เหาะเหินอยู่บนท้องฟ้า สั่งฟ้าเดินข้ามมหาสมุทร ดำดินผันแปร การมีอิทธิฤทธิ์ดั่งค่ายกล พิธีกรรมเหล่านี้ล้วนเป็นอธรรม แม้หมอดูทำนาย คำนวณดวงชะตา รู้แจ้งทั้ง 3 ภพ ดีร้ายกับบุญวาสนา ก็เป็นอธรรมเช่นกัน
    ที่ท่านกล่าวมาทั้งหมดนี้มีประโยชน์อย่างไร หญิงสาวบ้านถาม
    เหล่านี้ล้วนเป็นเสมือนเพียงวิชาที่เสริมแต่งขึ้นเพื่อให้สามารถช่วยค้ำจุนพวกเราได้ก็จริง แต่ไม่สามารถทำให้เราหลุดพ้นไปได้ พวกเรานับถือศาสนาพุทธ ต้องมีปัญญารู้แจ้ง ในเหตุผลการบรรลุ ความเกิด แ เจ็บ ตาย ปฏิบัติธรรมต้องถึงขั้น มนุษย์และเทวดา ต้องรวมเป็นหนึ่งเดียว กับพุทธะ รวมเป็นหนึ่ง กายใจรวมเป็นหนึ่ง นี่คือหลักสัจธรรมที่แท้จริง
    หญิงสาวชาวบ้านถามอีกว่า...การมีตาทิพย์สามารถมองเห็นทั้ง 3 ภพ นี่ถือเป็นผล
    *ชีวิตนี้ไม่แคล้วหลุดพ้นบ่วงกรรม ไม่พ้นท่านยมบาล ไม่อาจหลีกหนีนรกไปได้*
    แต่ดิฉันเข้าใจแล้วว่าตัวเองนั้นได้วิชาที่สุดยอดแล้ว
    *ไม่สุดยอด ท่านเพียงได้พึ่งพิงทิพย์ของเทพเจ้าเท่านั้น*
    หญิงชาวบ้านกล่าวต่อว่า ...ในเมื่อท่านอาจารย์หลูฯ พูดเสมอว่าท่านเป็นฝ่ายธรรมะเหตุใดจึงไม่ปรากฏกายให้ดิฉันได้ชมสักครั้ง เพื่อที่ดิฉันจะได้กราบท่านเป็นอาจารย์
    อาตมาจึงว่า *ได้* ท่านสามารถใช้ตาทิพย์ดูได้
    เมื่อหญิงสาวชาวบ้านนั้นใช้ตาทิพย์มองก็ตกตลึงทันที ก้มลงกราบขอร้องด้วยความจริงใจ ขอแสดงความเคารพนับถือต่ออาตมา
    อาตมาจึงกล่าวกับหญิงสาวชาวบ้านนั้นว่า
    จิตปัจจุบัน จิตในอดีต จิตในอนาคต ไม่สามารถยึดได้ ไร้อัตตมะ ไร้ปุคคละ ไร้สัตตวะ ไร้ชีวะ ไร้รูป ไร้ลักษณ์ ไร้ลักษณะให้ยึดถือเอาได้ หากทำได้อย่างนี้จึงถึงฝังวิมุตติ ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป
    แท้จริงนั้น หญิงสาวชาวบ้านได้พบเห็นภาพใดนั้น เมื่อใช้ตาทิพย์ดู พบเห็นดอกบัวกำลังบานออก และบนดอกบัวนั้นมีพระยูไลกำลังประทับนั่งท่องบทสวดมนต์ให้ศีลให้พรอยู่ พร้อมกันนั้นยังเห็นว่าที่แท้แล้วใต้ดอกบัวก็คือมังกรสายชลนั่นเอง
    นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้หญิงสาวชาวบ้านต้องก้มลงกราบและนับถืออาตมาเป็นอาจารย์นั่นเอง
     
  5. chibasusumu

    chibasusumu สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    135
    ค่าพลัง:
    +169
    มนุษย์ในหลุมฝังศพ

    มนุษย์ในหลุมฝังศพ
    ในยามค่ำคืนอาตมาถอดกายทิพย์ออกท่องราตรี อย่างไร้จุดหมาย ณ สถานที่เวิ้งว้างเหนือขอบฟ้าการวิปัสสนา คือ เทวดาต้าหล้อมีหนังสือเวทย์มนต์หมื่นเล่มก็ไร้ผลความเป็นความตายเกิดจากจิตใจของตนนั่นเอง อาตมาได้ไปถึงนครแห่งหนึ่ง นครแห่งนี้อยู่ระหว่างเมืองผีกับเมืองมนุษย์ มีบ้านช่องปลูกอยู่หนาแน่นไปด้วยผู้คน อาตมาเดินชมไปโดยรอบๆบริเวณร้านค้า มีทั้งหาบเร่แผงลอย ร้านขายอาหารและเสื้อผ้า ดูเป็นที่คึกคัก สนุกสนานครื้นเครงมาก อาตมาเดินเตร่บนถนนเพื่อชื่นชมวิวทิวทัศน์ที่สวยงามจนมีความรู้สึกว่า ช่างคล้ายเมืองไทเปที่เต็มไปด้วยความเจริญของฝั่งตะวันออก เต็มไปด้วยผู้คนและรถราเสียจริงๆ แถมระหว่างเดินชมเมืองอยู่นั้น ก็ได้เงยหน้าเห็นสาวงามผู้หนึ่งเดินสวนมา ตอนแรกเธอก้มหน้าเดิน พอคล้อยหลังอาตมาไปเธอก็เงยหน้าขึ้น พอเธอเห็นอาตมาแล้วก็ร้อง “อ๋อ” ขึ้นมาทันที แต่อาตมาไม่ได้สนใจเสียงที่เธอร้องเลย เพราะหากว่าอาตมาเดินท่องเที่ยวในเมืองนี้ย่อมต้องเป็นคนพิเศษ เนื่องจากว่าเมืองนี้เป็นดินแดนแห่งเมืองผี ผีที่ปรากฏจึงมีแสงมืดสลัวมาก ผิดกับตัวของอาตมาที่เปล่งแสงเจิดจ้าแรงกล้า จนกลายเป็นจุดสนใจชักจูงให้ผู้อื่นหันมามอง เมื่อสาวงามร้องอุทานขึ้น ขณะเดินสวนกับอาตมา อาตมาก็ไม่ได้สนใจ เธอหยุดเดินและตะโกนมาทางอาตมา
    “ท่านอาจารย์หลูเซิ่งเยี่ยนคะ”
    อาตมาได้ยินแล้วก็แปลกใจเล็กน้อยว่า ในที่นี้ยังมีผู้คนรู้จักอาตมาด้วยหรือ
    “ท่านรู้จักอาตมาด้วยหรือ” อาตมาถามด้วยความฉงน
    “ค่ะ ดิฉันเป็นแฟนประจำหนังสือที่ท่านแต่ง”
    “เธอชื่ออะไรล่ะ”
    “เซียะฉี”
    “ชื่อไพเราะ สมกับหน้าตาที่งดงาม”
    “ขอบคุณค่ะ”
    เซียะฉี ดีใจมากและพูดต่อว่า
    “การได้พบท่านอาจารย์หลูฯ ที่นี่รู้สึกดีใจมาก เพราะคิดว่าโอกาสที่ฉันจะได้ไปจากที่นี่มาถึงแล้ว ฉันอยากจะออกไปจากเมืองนี้ เพื่อไปที่สวยงามอีกแห่ง”
    “อาตมาคงไม่สามารถพาเธอออกไปให้พ้นจากดินแดนแห่งนี้ได้หรอกนะ”
    “ท่านอาจารย์หลูฯ ต้องช่วยฉันได้สิคะ”
    “ช่วยนะช่วยได้ แต่ไม่ใช่พาผีสาวไว้อยู่เคียงข้างตัวเองแบบนี้”
    “นั่นสิคะ” เซียะฉีพูด
    “แต่ฉันคิดว่าเวลานั้นมาถึงแล้วกราบท่านอาจารย์หลูฯ โปรดช่วยฉันอย่างสุดความสามารถด้วยเถอะค่ะ”
    “แล้วท่านทราบได้อย่างไรว่าอาตมาสามารถช่วยได้จริงๆ”
    “ผีก็มีสัมผัสที่ 5”
    เซียะฉียิ้มดั่งกุหลาบแรกแย้มแล้วทั้งอาตมากับเซียะฉีได้เดินคุยกันมา จนมาถึงร้านกาแฟ และได้แวะดื่มกาแฟกัน (วิญญาณมีอภิญญา 5 ประการ หูทิพย์ ตาทิพย์ จิตทิพย์ อิทธิบาท ระลึกชาติ ยกเว้นอภิญญาที่ 6 อาสวักขยญาณ- การรู้จักทำอาสวะให้สิ้นไป) เซียะฉีสั่งกาแฟแก้วหนึ่ง แล้วทำท่าจะสั่งกาแฟให้อาตมาด้วยอีกแก้ว แต่อาตมาสั่นหัวปฏิเสธว่า
    “อาตมาไม่เคยดื่มกาแฟ”
    “เพราะเหตุใดถึงไม่ดื่มล่ะคะ”
    “อาตมานอนไม่หลับ”
    “กาแฟของที่นี่ไม่มีคาเฟอีน”
    “เอะ…ในเมืองผีนี้เจริญถึงขั้นนี้แล้วหรือ ถึงกับขายกาแฟชนิดไม่มีคาเฟอีน ถ้าอย่างนั้นอาตมาขอลองดื่มสักแก้วก็แล้วกัน”
    ระหว่างนั่งดื่มกาแฟ อาตมากับเซียะฉีคุยกันอย่างได้อรรถรส เมื่ออาตมาเอ่ยถามว่าตายเพราะเหตุใด พอได้ยินอาตมาถามแบบนี้สีหน้าของเธอเปลี่ยนไปทันทีและกล่าวว่า
    “การแต่งเมียเพื่อสืบตระกูล ไม่จำเป็นต้องมีพิธีรีตอง ขัดสีฉวีวรรณ ที่สุดก็เป็นเหมือนความฝัน ทุกคราที่เห็นคนร่ำรวยมีเมียมาก สุดท้ายพอเบื่อก็เย็นชา เรียกหาปรนเปรอยามต้องการชีวิตหามีความหมายไม่”
    “หมายความว่าเป็นเมียน้อยเขาหรือ”
    “ใช่ค่ะ”
    “เป็นเมียน้อยดีนี่ ผู้ชายมักรักเมียน้อย” อาตมาพูด
    “แต่ก็ยังมีเมียน้อยคนแล้วคนเล่า ท่านอาจารย์หลูฯ คงไม่ทราบว่า สำหรับคนรวยการมีเมีย 4-5 คน นั้นไม่ถือว่ามาก”
    เซียะฉีพูดพลางทำหน้าเศร้า
    “อ่า…ความจริงเป็นเช่นนี้หรอกหรือ”
    “หัวอกของคนมีเงิน” เซียะฉีพูด
    “แล้วตัวเธอล่ะ”
    “ฉันตัดสินใจกระโดดตึกตายค่ะ”
    “กระโดดตึกตายจริงหรือ ล้ออาตมาเล่นหรือเปล่า”
    “เปล่าค่ะ” เซียะฉีพูด “เกิดจากอารมณ์ชั่ววูบเลยกระโดดตึก”
    “อาตมาเคยบอกในหนังสือแล้วนี่ว่าห้ามฆ่าตัวตาย”
    “แต่เมื่อถึงคราว สมองมันก็ว่างเปล่า นึกไม่ออกแล้ว”
    “แล้วการที่เธอได้อยู่ในนครแห่งนี้ ยังไม่พอใจอีกหรือ”
    “ท่านอาจารย์หลูฯ ท่านทราบหรือแสร้งไม่ทราบคะ ว่าบุคคลที่ฆ่าตัวตายทุกยามหนึ่ง หรือถึงรอบของการตาย จะต้องตายซ้ำๆ ซากๆ เป็นความรู้สึกที่ทรมานเจ็บช้ำถึงทรวงนครแห่งนี้หากมองผิวเผินไม่มีอะไร แต่ผีที่อยู่ในนี้ ต่างต้องทนทุกข์ทรมานเจ็บช้ำมาก”
    “โอ้โฮ” อาตมาอุทานอยู่ในใจ
    “ขอร้องละค่ะ ท่านอาจารย์หลูฯ ท่านต้องพยายามช่วยฉันออกไปจากนครแห่งนี้ให้ได้” เซียะฉีพูด
    อาตมาฟังแล้วก็รู้สึกสงสาร แล้วจึงตอบตกลงด้วยการพยักหน้า
    ******
    ต่อมาวันหนึ่ง มีคนชื่อ ‘เฉินเต๋อ’ มาพบอาตมา คนๆนี้รูปร่างหน้าตาดี ล่ำสัน สรวมชุดสูท หลังจากเข้าบ้านก็ถอดเสื้อสูทออก ปลดเนคไท พลางชี้ไปที่คอตัวเองให้อาตมาดู ว่าเขาเป็นฝีใหญ่ปานลูกไข่ไก่เฉินเต๋อกล่าวกับอาตมาว่า
    “ผมมีฝีที่เป็นเนื้อร้ายครับ”
    “ท่านก็ไปรักษาด้วยการผ่าตัดออกเสียสิ”
    “หมอบอกว่าถ้าผ่าตัด จะอันตรายมาก เพราะฝีมีขนาดใหญ่ และมีเส้นประสาทซับซ้อน จึงทำให้การผ่าตัดเป็นเรื่องที่ยุ่งยากมาก แต่ถ้าหากใช้เคมีบำบัด ผมก็จะร่วงหมด ตัวจะผอม และเส้นเลือดฝอยจะแตก ผมเองก็กำลังคิดอยู่ว่าจะรักษาแบบไหนดีครับ”
    “งั้นอาตมาจะช่วยใช้สมาธิตรวจดูเกี่ยวกับฝีร้ายนี้ก็แล้วกัน”
    “ขอบคุณท่านอาจารย์หลูฯ มากครับ”
    อาตมาหลับตา พลางสำรวมจิตทำสมาธิ เมื่อจิตสำรวมได้ขณะถึงจุดหนึ่ง อาตมาก็ทราบถึงสาเหตุที่ผู้อื่นไม่ทราบการบรรลุสิ่งที่เราต้องการมองเห็นในความเร้นลับได้นั้นเท่ากับว่าเป็นผู้ที่สำเร็จแล้วยกตัวอย่างเช่น มีผู้คนถามว่า
    “ไก่เกิดก่อนไข่ หรือ ไข่เกิดก่อนไก่”
    คำถามนี้เป็นคำถามที่ตอบยาก เพราะไก่ฟักจากไข่มาเป็นตัว ฉะนั้นจึงบอกว่ามีไข่ก่อนก็ย่อมได้ แต่ถามว่าไข่ก็ออกมาจากไก่ ถ้าไม่มีไก่แล้วจะมีไข่ได้อย่างไร แล้วถ้าไม่มีไข่จะมีไก่ได้อย่างไรเช่นกัน จนปัญหานี้เป็นปัญหาโลกแตกเถียงกันไปเถียงกันมา ไม่สามารถสรุปได้แต่ผู้ที่นั่งสมาธิ ย่อมทราบดีว่า
    1. ขณะที่โลกเริ่มเกิดใหม่ๆ ยังขมุกขมัว ไม่เคยปรากฏมีลูกไข่และตัวไก่
    2. ขณะที่ความบริสุทธิ์และมลทินต้องแยกจากกัน ความบริสุทธิ์นั้นเปรียบได้ดั่งไข่ที่ใสสะอาดและไร้มลทิน ความบริสุทธิ์เป็นเบื้องบนฟ้า และมลทินนี้ลงสู่เบื้องพื้นดิน
    3. ฟ้าดิน ชายหญิง เกิดสัมผัส 2 ลมประสาน
    4. เพศผู้เพศเมียเปรียบเปรยไข่ออกไก่ ดังนั้นผู้เรียนสมาธิจะตอบคำถามนี้ว่า “มีไข่ก่อนแล้วจึงจะมีไก่” หากเข้าใจถึงปัญหานี้ รู้ซึ้งถึงปัญหานี้ก็จะล่วงรู้ความเร้นลับของสวรรค์ด้วย และแน่นอนว่าตัวอาตมาเองได้เข้าใจในปัญหานี้ดังนั้นอาตมาจึงสามารถเจอปัญหาของฝีร้ายได้ เนื่องจากฝีร้ายแบ่งเป็นชั้นๆ และในชั้นสุดท้าย อาตมาได้เห็นแสงอิทธิฤทธิ์แฝงอยู่ มีผีตนหนึ่งแฝงอยู่ด้วย และผีตนนั้นช่างดูคลับคล้ายคลับคลาเหมือนอาตมาเคยเห็นหน้า พอเพ่งพินิจพิเคราะห์ดูอีกทีก็ปรากฏว่า คือเซียะฉีนั่นเอง อาตมาจึงถามว่า
    “เจ้าพำนักอยู่สถานที่ใด”
    “เนื้อร้ายในฝี”
    “หากมีการไปหาหมอ เพื่อทำการผ่าตัด เจ้าจะไปอยู่ที่ใด”
    “ทั่วไปของร่างกาย”
    “แล้วหากใช้วิธีฉายแสงทั่วกายละ”
    “ก็อยู่บนช่องว่างของอวกาศ”
    อาตมาจึงกล่าวว่า
    “เซียะฉี เธอไม่ต้องเถียงกับอาตมา เพราะบนอวกาศเจ้าไม่มีอิทธิฤทธิ์ถึงขนาดนั้นหรอกนะ แต่เธอสามารถกลับไปใช้ชีวิตสงบๆ อยู่ในเมืองผีได้เท่านั้น”
    “ถูกต้องค่ะ เพราะฉะนั้นฉันจึงขอร้องให้ท่านนำฉันออกไปให้พ้นจากบ่วงกรรมนี้”
    “รู้ไหมว่าเธอได้พยายามพ้นบ่วงกรรมจนเสียสติไปแล้วเธอแทรกกายเข้าในตัวของเฉินเต๋อ จนทำให้มีฝีร้ายเกิดขึ้นทำไมเธอถึงทำอะไรอย่างไม่มีเหตุผลเลยล่ะ”
    เซียะฉีก็ตอบว่า
    “ฉันไม่ได้ทำแบบไร้เหตุผล แต่เฉินเต๋อได้ก่อกรรมทำเข็ญเอง จะมาว่ากันแบบนี้ไม่ได้ ถือเป็นเพราะกรรมสนองเขาต่างหากค่ะ”
    “แล้วอะไรที่เรียกว่ากรรมสนอง”
    “ถามเฉินเต๋อเองแล้วจะทราบ”
    ออกจากสมาธิ อาตมาลืมตาขึ้น ได้กล่าวถามกับเฉินเต๋อว่า
    “ท่านรู้ไหมว่ามีผีที่รับเคราะห์กรรมอยู่ชื่อเซียะฉี ได้อาศัยอยู่ในฝีร้ายที่คอของท่าน และเธอได้บอกกับอาตมาว่า ท่านกับเธอมีความสัมพันธ์อันลึกซึ้งต่อกัน”
    เฉินเต๋อได้ฟังแล้วก็ตกใจมากและกล่าวว่า
    “วันนั้นเป็นวันเชงเม้ง ผมไปเป็นเพื่อนของคนในครอบครัว ไปสุสานเพื่อเซ่นไหว้บรรพบุรุษ ทุกคนในบ้านช่วยกันทำความสะอาด ถางหญ้าที่รกร้างทำความสะอาดสุสานจนสะอาดหมดจด แล้วตามด้วยของเซ่นไหว้ มีผลไม้ อาหารเจ และมีอาหารที่บรรพบุรุษชอบรับประทาน เมื่อทุกคนเซ่นไหว้เสร็จแล้ว ก็เผากระดาษเงินกระดาษทองส่งไปให้”
    อาตมาขออธิบายถึงเรื่องนี้ว่า พิธีเชงเม้งของคนจีน ต่างจากการเซ่นไหว้บรรพบุรุษของคนต่างชาติมาก เพราะคนจีนจะเซ่นไหว้อาหารเจและกระดาษเงินกระดาษทอง แต่สำหรับคนต่างชาติจะแสดงความเคารพบรรพบุรุษแค่เพียงดอกไม้ เมื่อก่อนเคยมีคนต่างชาติเยาะเย้ยคนจีน หาว่าคนจีนเป็นพวกชอบกิน การเอาของมาเซ่นไหว้มากมายแบบนี้ ทำอย่างกับคนในหลุมฝังศพจะออกมากินของเซ่นไหว้ได้แล้วคนจีนก็ย้อนถามคนต่างชาติว่า ในวันเชงเม้ง เพียงเซ่นไหว้ด้วยดอกไม้ 1 ช่อ คนต่างชาติที่ตายไปแล้ว จะสามารถลุกขึ้นจากหลุมฝังศพมาดมดอกไม้ได้หรือปู่ย่าตาทวดของเฉินเต๋อออกมากินของเซ่นไหว้หรือไม่ เฉินเต๋อย่อมไม่สามารถล่วงรู้ได้ แต่ขณะที่เซ่นไหว้นั้นเฉินเต๋อรู้สึกว้าเหว่ จึงเดินชมรอบๆ แล้วเหลือบไปเห็นทางขวามือประมาณ 30 เมตรมีสุสานใหม่ตั้งอยู่ จึงเดินไปชมก็พบว่าป้ายสุสานใหม่นี้แกะสลักชื่อว่า “บุตรีรัก เซียะฉี” เฉินเต๋อพอมองเห็นก็ทราบดีว่า เป็นป้ายที่พ่อแม่ผู้ปกครองทำให้บุตรสาวในสุสาน และเป็นสาวที่มีอายุยังน้อยพอตรวจดูละเอียดอีกก็เห็นว่าในป้ายมีรูปถ่าย เมื่อก้าวไปดูให้ชัดเจนก็เห็นว่าเป็นหญิงสาวรูปร่างอ่อนช้อย งดงามสมส่วนหน้าตาสวยจิ้มลิ้ม เห็นแล้วชวนให้พิสมัยยิ่งนัก เฉินเต๋อหลงเสน่ห์โดยฉับพลัน
    “เสียดาย” เขารำพึงออกมาเบาๆแล้วเฉินเต๋อก็ลืมตัวพลางพนมมือแบบไม่ตั้งใจพูดว่า
    “ถ้าวันหน้าผมจะแต่งเมีย ขอให้มีความงามเสมอเหมือนผู้หญิงในสุสานแห่งนี้ก็พอใจแล้ว”
    เสร็จแล้วเฉินเต๋อก็เอากล้องมาถ่ายรูปของเซียะฉี 1 ภาพเพื่อนำไปพกไว้กับตัว นึกในใจว่าขอให้มีภรรยาที่มีความงามเหมือนเซียะฉีก็พอใจแล้วอาตมาได้ฟังที่เฉินเต๋อเล่ามา รู้สึกคาดไม่ถึง อาตมาจึงถามว่า
    “ท่านทำอย่างนี้จริงๆ หรือ”
    “ใช่ครับ”
    เฉินเต๋อหยิบรูปภาพจากกระเป๋าออกมาพออาตมามองดูภาพถ่ายก็เห็นว่าเป็นภาพของเซียะฉีจริงๆ
    “เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงมากๆ เจ้าหลงเสน่ห์ของเธอขนาดนี้เชียว มิน่าถึงถูกวิญญาณของเธอครอบงำอยู่”
    “แล้วจะให้ผมแก้ไขอย่างไรดีครับ” เฉินเต๋อครวญด้วยความตระหนก
    อาตมาจึงบอกกับเฉินเต๋อว่า วิธีแก้นั้นมีอยู่ 2 วิธี วิธีแรกต้องสร้างมณฑล สวดส่งวิญญาณของเซียะฉี อาศัยคาถาท่องสวด และพึ่งพาอิทธิฤทธิ์ของเวทมนตร์ เพื่อให้เซียะฉีไปจุติใหม่ และย้ายไปสู่ดินแดนที่สงบ วิธีที่สอง อาตมาจะใช้วิชาบ่อทองและใช้พู่กันวิเศษจิ้มจูซาแดงลงบนฝีเนื้อร้าย และท่องคาถา หนึ่งเขียนธารน้ำ สองเขียนเป็นแม่น้ำ สามเขียนและสี่เขียนเป็นบ่อทอง พู่กันวิเศษแท่งนี้ไม่ธรรมดา เป็นพู่กันของนักปราชญ์หลูซาน ชี้ฟ้า ฟ้าต้องใส ชี้ธรณี ธรณีต้องสันติ ชี้มนุษย์ มนุษย์ต้องอายุยืน ชี้ผี ผีต้องกลับชาติไปตามคำบัญชา ชื่อคาถาเดิม คือ “ชี้ผีสิ้นภพ” อาตมาขอแก้เป็น “ชี้ผีกลับชาติ” การที่จะทำสำเร็จ อาตมาต้องให้เฉินเต๋อมาที่นี่อีกหลายครั้ง เนื่องจากวิชา “บ่อทอง” มีอิทธิฤทธิ์มาก และผงแดงวิเศษเมื่อแต้มลงเนื้อร้าย เพียงครั้งเดียวก็ช่วยสลายลงไปได้มาก หากแต้มครั้งที่ 2 ก็จะเล็กลงอีก และเมื่อใช้ติดต่อกันถึง 7 ครั้ง เนื้อร้ายก็จะหดลดลงเหลือเท่ามุกเม็ดเล็กๆเท่านั้นปรากฏว่าพออาตมาใช้วิชาบ่อทอง 10 ครั้ง เนื้อร้ายนี้ก็หายหมดไม่เหลืออะไร เรียบสนิท และนี่คืออิทธิฤทธิ์ของพู่กันวิเศษ เพียงแตะ ผีเปรตต้องตะลึง สะท้านทั่วครอบคลุมสามภพบ่อทองสูตรลับลือกระฉ่อน เสียงฟ้าฟาดดังสนั่น พ้นบ่วงกรรมท้ายที่สุดเฉินเต๋อก็หายดีเป็นปกติหากเฉินเต๋อไม่พบอาตมา ดีไม่ดีต้องถูกผ่าตัด เพราะถ้าอาศัยวิชาแพทย์สมัยใหม่รักษา จะต้องทนต่อความเจ็บปวดทรมาน นี่ยังโชคดีไม่ต้องเจ็บปวดทรมานอย่างที่คิด เมื่อเฉินเต๋อหยิบรูปภาพของเซียะฉีให้อาตมาดู อาตมาก็บอกว่า
    “เก็บไว้เถอะ”
    “จะไม่เป็นอะไรอีกใช่ไหมครับ”
    “ไม่เป็นไรแล้วล่ะ สามารถเก็บไว้ได้” อาตมาว่า
    ******
    เรื่องที่เหมือนกับเรื่องของเฉินเต๋อเท่าที่อาตมาทราบยังมีตัวอย่างอีกมากมาย นี่ไม่ใช่เป็นเหตุการณ์พิเศษ ตัวอย่างที่ 1 ครั้งหนึ่งมีสุภาพบุรุษผู้หนึ่ง ปรากฏว่าสาวงามใกล้บ้านได้เสียชีวิตลง ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่เขากับสาวงามผู้นั้นต่างรู้จักกันดี แต่ขณะนำศพไปทำพิธี เขาได้กล่าวต่อหน้าโลงศพว่า “น่าเสียดาย น่าเสียดาย” ปรากฏว่าคืนนั้น เขามีอาการเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว คลับคล้ายได้พบเห็นหญิงสาวคนนั้น หลังจากนั้นทุก 4 โมงเย็น เขาจะรู้สึกหนาวเย็น รู้สึกเหมือนกับว่าสาวผู้นั้นได้มาหาอีก นานวันเข้าชายผู้นี้ร่างกายก็เริ่มอ่อนแอลง กำลังวังชาถดถอย จิตใจกระสับกระส่าย ตกใจตื่นกลางดึก เหงื่อแตก ใจคอสั่น แต่พอไปให้หมอตรวจดูก็บอกเพียงแต่ว่าเขาเป็นหวัดชายผู้นี้ได้มาพบกับอาตมา พออาตมามองดูก็รู้ว่าถูกผีครอบงำ วิธีแก้การถูกผีครอบงำ มีอยู่ 2 วิธี
    วิธีที่ 1. คือการส่งผี โดยขับผีออกไป
    วิธีที่ 2. คือปิดกั้นเขตในบ้านหรือห้องนอนของตัวเองไม่ให้ผีเข้ามายุ่งเกี่ยว
    สำหรับปัญหาการถูกผีครอบงำ อาตมาได้เคยศึกษามาพอสมควรก็พบว่า บางคนมักเจออยู่บ่อยๆ แต่บางคนก็ไม่เคยเจอเลย กล่าวโดยทั่วไปคือ คนที่ดวงตกมักจะพบผีครอบงำตัวเองอยู่เป็นประจำ ส่วนคนที่ดวงดีหรือมีราศีแก่กล้ามักไม่พบง่ายๆเท่าที่อาตมาทราบมา คนที่เกิดราศีกุมภ์ เดือน 2 และเดือน 11 ของจีน มักถูกผีครอบงำจำนวนมาก หากไม่รักษาทันที นานเข้าเส้นประสาทจะอ่อนแอ พูดจาเลอะเทอะ เพ้อฝัน คล้ายดั่งอาการของคนประสาทไม่ปกติ ทางแพทย์มักพูดถึงอาการนี้ว่าประสาทหลอน โรคเพ้อเจ้อ โรควิตกกังวล ทางวิญญาณศาสตร์มักพูดว่าถูกผีครอบงำ ตัวอย่างที่ 2 มีสาวงามผู้หนึ่ง มีอาการแขนปวดเมื่อยเจ็บปวดมาหลายปี ไปหาหมอ ทั้งแผนปัจจุบันและแผนโบราณ ได้รับการรักษาทุกวิธีทั้งการแปะ ถู ทานยา รักษาภายใน ฉีดยา และฝังเข็มก็แล้ว แขนที่ปวดเมื่อยเจ็บปวดก็ยังไม่หายเสียที สุดท้ายเธอก็ได้มาพบอาตมาเพื่อทำการรักษา เมื่ออาตมาใช้วิชาวิปัสสนาก็มองเห็นว่า ในแขนของเธอมีวิญญาณผู้ชายสิงอยู่ และอาการปวดเมื่อยของแขนก็เกิดจากการถูกผีครอบงำนั่นเอง และผีผู้ชายที่อาตมาตรวจพบนั้นก็เป็นเพื่อนชายของเธอเองผู้ชายคนนี้ได้ตกน้ำตายเมื่อหลายปีก่อน ตอนนั้นพอรู้ข่าวเธอก็เสียใจจนคิดจะตายตามไป เมื่อหวนคิดถึงระยะเวลาที่ปวดแขนกับระยะเวลาที่เพื่อนชายตายไปช่างมีเวลาที่เท่ากันพอดี แต่สุดท้ายอาตมาได้ช่วยเธอให้หายจากอาการเจ็บปวดที่แขนและการถูกผีครอบงำ โรคที่หมอรักษาไม่หายนานหลายปีนั้น เมื่อมาพบอาตมาก็หายได้อย่างอัศจรรย์ ตัวอย่างที่ 3 มีสาวผู้หนึ่ง มักจะถูกผีครอบงำอยู่เป็นประจำ เรียกว่าเพียงพบเห็นผู้อื่นจัดงานศพหรือที่หัวถนนมีการแห่ศพ พอกลับถึงบ้านก็จะพบกับอาการมืดมัวทันที ทานข้าวไม่ลง คลื่นไส้ นอนไม่หลับ กระสับกระส่าย หนาวๆ ร้อนๆ เวลาใช้มีดหั่นผักก็มักเผลอหั่นถูกมือตัวเองจนได้รับบาดเจ็บ เวลาเดินก็มักหกล้ม ร่างกายได้รับบาดเจ็บอยู่เป็นประจำ มีโชคร้ายมาเยือนเธอเสมอบางคนคิดว่า สาวผู้นี้อาจเป็นโรคจิต ตอนแรกอาตมาก็มีความคิดเช่นนี้เหมือนกัน แต่แล้วภายหลังปรากฏว่าร่างกายเธอพลันร้อนขึ้นมา ดวงตาคล้ำลง ขอบตาดำเหมือนหมีแพนด้า ข้อสำคัญที่สุดคือหญิงสาวผู้นี้มีวิญญาณติดตามเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก ถือเป็นอาการ “ผีครอบงำ” จริงๆผีที่ครอบงำสาวผู้นี้ไม่สามารถแก้ไขได้ง่าย เนื่องจากแก้ไขให้แล้วก็จะถูกครอบงำอีก ดังนั้นอาตมาจึงสอนเธอสวดคาถา “องค์ธรรมบาลวัชระอชลมนตราชา (คงกระพัน)” ในบ้านให้บูชาองค์ธรรมบาลวัชระอชลมนตราชา บำเพ็ญและทำมุทราขององค์ธรรมบาลวัชระมนตราชา สาวผู้นี้ปฏิบัติธรรมแบบตั้งใจ หากพบงานศพและการแห่ศพ เธอเพียงทำมุทราและท่องสวดคาถา องค์ธรรมบาลวัชระอชลมนตราชา 3 จบ ท่านก็จะปรากฏกายมาคุ้มครอง หลังจากนั้นก็จะไม่ถูกผีครอบงำอีก ฉะนั้นอาตมาจึงอยากให้ข้อคิดแก่ผู้ที่ดวงตกและมีจิตอ่อนแอ ง่ายต่อการถูกผีครอบงำ ว่าต้องหมั่นท่องบทสวดมนต์และปฏิบัติธรรมขององค์เทพ เพราะนี่เป็นวิชาสำคัญในการปกป้องคุ้มครองการครอบงำจากผีร้าย
    ******
    เท่าที่อาตมาทราบ มนุษย์มักถูกผีครอบงำ เนื่องจากมีจิตใจหวั่นไหว ซึ่งต้นเหตุล้วนมาจากตัณหาโดยส่วนตัวอาตมา ได้ผ่านเมืองนรกมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน จนมีความนึกคิดที่ล้ำลึก รับรู้ว่า พวกที่เสวยสุขอยู่บนสวรรค์ทั้ง 28 ชั้น มักเป็นผู้ที่มีจิตใจบริสุทธิ์ แต่สำหรับผู้ที่อยู่เมืองนรกมักเป็นพวกที่มีตัณหาหนักเหมือนภูเขาสูงที่มืดมัว โสโครกดั่งก้นสมุทรพวกนี้มีกิเลสหนาทำกรรมชั่วเอาไว้มากมาย เช่น ฆ่าคน เรียกค่าไถ่ ปล้น วางเพลิง ลักขโมย เป็นต้น และที่มากที่สุดคือ การละเมิดทางเพศ เป็นสิ่งที่มวลมนุษย์ละเมิดง่ายที่สุด ไม่เพียงละเมิดง่ายเท่านั้นแต่มักจะทำผิดแล้วทำผิดอีกกล่าวโดยสัจธรรม การข่มขืนผู้หญิง ชำเราลูกเมียผู้อื่นรับโทษตกนรก 500 กัปกัลป์ จึงจะได้กลับมาเกิดใหม่ และเมื่อกลับมาเกิดแล้ว ก็ต้องเกิดเป็นสัตว์ เป็นลา ม้า และวัวอีก 500 กัปกัลป์ จึงจะสามารถกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ได้อีกและเมื่อได้เกิดใหม่ก็หาใช่คนที่สูงส่งไม่ กลับเป็นโสเภณีชั้นต่ำส่วนการข่มขืนแม่ม่ายและแม่ชีหรือผู้ถือศีล เมื่อตกนรกแล้วต้องรับโทษ 800 กัปกัลป์ จึงจะกลับชาติมาเกิดเป็นแพะหรือหมู ทุกชาติต้องเป็นอาหารของมนุษย์อีก 800 กัปกัลป์ ถึงจะกลับชาติมาเกิดเป็นมนุษย์ได้ หลังจากเมื่อกลับชาติมาเกิดเป็นมนุษย์ ร่างกายจะมีอวัยวะไม่ครบสมบูรณ์เช่น ตาบอด เป็นใบ้ พิการไม่สมประกอบการผิดกฎทางจารีตประเพณี เช่น พ่อข่มขืนลูกสาว แม่ผิดศีลกับลูกชาย หรือพี่น้องละเมิดซึ่งกันและกัน ผู้อาวุโสละเมิดกับผู้อ่อนวัย หรือผู้อ่อนวัยละเมิดผู้อาวุโส ชายละเมิดต่อชาย หญิงละเมิดต่อหญิง ในนรกต้องรับโทษทัณฑ์ 1,500กัปกัลป์ จึงจะหลุดพ้นบ่วงกรรม เมื่อหลุดพ้นต้องกลับชาติมาเกิดเป็นงูและหนูอีก 1,500 กัปกัลป์ จึงจะกลับชาติมาเกิดเป็นมนุษย์ แต่อายุไม่ยืนนาน บางครั้งต้องตายในท้องแม่หรือตายตั้งแต่ยังเด็กยังมีประเภทเขียนหนังสือลามก เข้าข่ายประเภททำลายจิตใจมนุษย์ รับโทษสถานหนัก ตายแล้วตกนรกอเวจี และจะออกจากประตูนรกอเวจีก็ยากแสนยาก ต้องรอจนหนังสือลามกที่เขาเขียนนี้หมดไปก่อนจึงจะออกจากนรกนี้ได้ อาตมาเคยกล่าวไว้แล้วว่า หนังสือลามกมีโทษประการใด เพราะเหตุว่าบรรดาสาวงามทั้งหลาย พอได้สัมผัสการยั่วยุให้เกิดอารมณ์ทางเพศจากหนังสือลามกแล้ว มักมีอารมณ์หวั่นไหวจากไฟโลกีย์ กลายเป็นหญิงสาวเสเพลหลงใหลในกาม เหตุเพราะหนังสือลามกเหล่านี้สามารถผลักดันให้สาวที่เคร่งครัดจารีตประเพณีสูญเสียความบริสุทธิ์ยิ่งพวกนักเรียนพอเห็นหนังสือลามก ตัณหาเพิ่มหนักเผลอสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง นี่ไม่แต่ผู้ชายเท่านั้น แม้แต่หญิงสาวก็เป็น พวกวัยรุ่นหากชอบสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง อาจทำให้ร่างกายอ่อนแอ กลายเป็นคนอายุสั้น หรือบอบช้ำทางร่างกาย หนังสือลามกโทษมหันต์ เพราะหนังสือลามกเหล่านี้นำพาจิตใจให้ฟุ้งซ่านและทำลายความเชื่อมั่นในตัวอาตมาจึงเห็นว่าโทษของหนังสือลามกใหญ่หลวงนัก อาตมาทราบดีว่าโลกอันกว้างใหญ่ สิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือ กิเลสทั้ง 5 (ลาภ เพศสัมพันธ์ เกียรติ กิน นอน) สิ่งที่สลัดยากที่สุดคือ เพศสัมพันธ์อาตมาพบเห็นวีรบุรุษบนโลกทุกยุคทุกสมัย ไม่ว่ายิ่งใหญ่สักปานใด เมื่อพบเห็นหรือสัมผัสกับสาวงามมักกลายเป็นสุนัขทันที หรือแม้แต่ผู้ที่เฉลียวฉลาดมีชื่อเสียงในทางสังคม พอพบเห็นสาวทรงเสน่ห์ก็มักจะเสียผู้เสียคนไป ตั้งแต่โบราณกาลจนถึงปัจจุบัน ไม่ว่านักปราชญ์หรือคนโง่เขลาประการใดเหมือนกันหมดปัจจุบันอาจไม่เหมือนโบราณกาล เพราะว่าโลกเราทุกวันนี้มีสารพัดสิ่งยั่วยวน แสงสีเสียงครบ นำพาสู่ความหายนะทางกามารมณ์ คุณธรรมและศีลธรรมในโบราณกาลมา เสื่อมโทรมสูญสิ้นแล้ว ไม่ว่าคนหนุ่มหรือแก่ล้วนครุ่นคิดในเรื่องเพศสัมพันธ์ ต่างคุ้นกับมันเป็นนิจ ไม่รู้สึกแปลกใจที่วงสนทนาชอบพูดเรื่องลามก สองแง่สองง่าม ยิ่งฟังยิ่งเพิ่มอารมณ์ ความคิดทางเพศยิ่งเพิ่มทวีคูณ ต่างตกเป็นทาสของจิตใจใฝ่กามารมณ์ ความต้องการทางเพศครอบงำ น่าสมเพชจริงๆ สรรพสัตว์ทั้งหลายต้องตกลงในทะเลแห่งบ่วงกรรมผลกรรมจากการประพฤติผิดในกามล้วนหนักหนาสาหัสมาก เช่น
    1. ลูกเมียต้องใช้หนี้
    2. เสื่อมเสียชื่อเสียง
    3. ลูกหลานรับกรรม
    4. ร่ำรวยกลับจน
    5. ฐานะตกต่ำ
    6. อายุบั่นทอน
    7. ทรมานในนรก
    8. กลายเป็นเปรต หรือสัตว์เดรัจฉาน
    สำหรับคนที่ถือศีลและปฏิบัติธรรม ต้องเข้าใจว่า กามคือความว่างเปล่า วันนี้พร่ำสอนมวลมนุษย์ว่าต้องมีจิตสำนึกทำลายสิ่งยั่วยุโดยเฉพาะกามตัณหาซึ่งเป็นอุปสรรค แม้จะดูว่าหน้าใสงามสะพรั่งที่แท้กลับล้วนเป็นกะโหลกหุ้มเนื้อ สาวงามหน้าแดงทุกอย่างล้วนเป็นเนื้อและเลือด คาวเหม็นสุดๆต้องระวังจะพลั้งกาย ทุกคนต้องฝ่าฟันความลุ่มหลง และตื่นจากภวังค์
     
  6. chibasusumu

    chibasusumu สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    135
    ค่าพลัง:
    +169
    พัดฟ้า

    พัดฟ้า

    ครั้งหนึ่งได้มีลูกศิษย์วัย 50 ปี ชื่อ เหยาถง มาถามอาตมาถึงเรื่องดวงชะตาว่าทำไมเขาแต่งงานล่วงเลยมา 30 ปีแล้ว แต่ยังไร้ทายาท
    ท่านอาจารย์หลูฯ ผมจะสามารถมีลูกได้หรือไม่ครับ
    อาตมาตอบไปว่า ไม่มี
    แล้วต้องทำอย่างไรดี ผมถึงจะมีลูกได้ ท่านอาจารย์หลูฯ โปรดชี้แนะให้ผมด้วยเถิด ขอจงบันดาลให้ผมสมปรารถนาด้วยเถอะครับ
    ดวงชะตาถ้ามีก็ต้องมี แต่ถ้าไม่มีก็อย่าฝืน อาตมาตอบ
    เมื่อเหยาถงได้ฟังก็พูดต่อว่า...เรื่องเช่นนี้แท้จริงฝืนไม่ได้ ทุกอย่างเป็นเพราะดวงชะตาฟ้าลิขิตกำหนด แต่ผมต้องการถามเพื่อความแน่ใจ ว่าดวงชะตาของผมสามารถมีลูกได้หรือไม่เท่านั้น
    อาตมาก็ตอบไปว่า ไม่มี จริงๆ
    แต่ปรากฏว่าอีก 2 ปีต่อมา จากการดูดวงชะตา ภรรยาของเหยาถงกลับมีลูกถึงสองคน เป็นผู้ชายทั้งคู่หน้าตาเอิบอิ่มน่ารักเอ็นดู จมูกโด่ง ใบหูหนา เป็นที่ชื่นชมของผู้พบเห็น
    แล้ววันหนึ่งเหยาถงพร้อมภรรยาก็ได้อุ้มลูกทั้งสองมาให้อาตมาชม พร้อมขอให้ตั้งชื่อให้
    อาตมาจึงตั้งชื่อให้ว่า เหยาจิ้ง และเหยาเสียน
    ผมนับถือท่านอาจารย์หลูฯ มาช้านาน ฉะนั้นเมื่อมีลูก จึงมาขอให้ช่วยตั้งชื่อให้ ผมมีความนอบน้อมต่อท่านอาจารย์หลูฯ แต่เมื่อ 2 ปีก่อนที่ได้ปรึกษาท่านเรื่องดวงชะตาเรื่องการมีลูก ท่านอาจารย์กลับยืนยันว่า ตัวของผมไม่มีลูกแน่นอน แต่แล้วบัดนี้กลับปรากฏว่าผมได้มีลูกแก้วทั้งสองลูก ท่านอาจารย์หลูฯ คิดว่านี้เป็นเพราะอะไรหรือครับ
    เหยาถง ผู้นี้ปากไวใจกล้า การถามคำถามนี้ขึ้นมา จึงทำให้อาตมารู้สึกอดสูและละอายแก่ใจมาก ทำไมอาตมาถึงทำนายผิดพลาดไปได้ แต่เหยาถงผู้นี้กลับไม่ถือสาหาความ หรือตำหนิใดๆ ไม่นำซ้ำยังนำลูกมาให้อาตมาตั้งชื่อให้อีกต่างหาก ถือเป็นการยืนยันในความเคารพนับถืออาตมาของเหยาถงเป็นอันมาก
    หากเพียงแต่การมาครั้งนี้เหยาถงต้องการความกระจ่างแจ้ง ว่าเพราะสาเหตุอะไร การทำนายของอาตมาถึงมีความผิดพลาดได้
    หากเป็นคนอื่นคงถูกตำหนิ หรือว่ากล่าวนินทาลับหลัง หรือประจานให้เสียหายไปแล้ว
    เหตุเกิดเพราะว่าวันนี้อาตมาได้พบท่าน ดูมีราศีผิดแผกกับวันก่อนมาก ท่านดูมีราศีเปล่งปลั่งครอบศีรษะ ซึ่งในอดีตนั้นตัวท่านดูคล้ายมีเมฆหมอกดำคล้ำ และปกคลุม ช่างแตกต่างกันมากเหลือเกิน
    ผมทราบว่าท่านอาจารย์หลูฯ ถนัดการดูราศี แต่อย่างไรผมก็ยังอยากทราบถึงสาเหตุที่มีลูกๆมาเกิดได้อยู่ดีครับ
    เรื่องนี้อาตมาขอตรวจดูรายละเอียดให้ชัดเจนแล้วค่อยตอบแล้วกันนะ
    ขอขอบพระคุณมากครับท่านอาจารย์หลูฯ

    พอช่วงเวลากลางคืน เมื่ออาตมาเข้านอนก็ได้ฝันเห็นตัวเองอยู่วัดโบราณแห่งนี้
    วัดโบราณแห่งนี้สวยงามสง่าใหญ่โตมาก ทั้ง 2 ข้างทางกำลังตีกลองเสียงดังสนั่น
    เหล่าทวยเทพและภูตผีปีศาจต่างหมอบอยู่หน้าวัดและกลางวัด โดยมีท่านเทพประจำศาลยืนข้างประตู ยกมือเชื้อเชิญให้เข้าไป แต่อาตมาก็มิบังอาจย่างกรายเข้าไป ท่านเทพประจำศาลจึงออกปากเชื้อเชิญ
    เหตุใดท่านถึงไม่เข้ามาในศาล ยืนรอข้างนอกศาลทำไมกันล่ะ
    อาตมามิบังอาจ
    จิตใจสูงส่งคือธรรม ความพยายามทุกประการคือความสามารถ ท่านเทพประจำศาลกล่าวด้วยวาจาที่เต็มเปี่ยมด้วยเหตุผล
    เราต่างนั่งอยู่กลางศาล ท่านเทพประจำศาลนั่งเป็นประธาน ส่วนอาตมานั่งในฐานะแขก โดยมีเหล่าเทพเจ้านั่งเคียงข้าง
    เครื่องเซ่นไหว้สุราและอาหารล้วนไม่ธรรมดา อย่างสุรานั้นก็ดีกรีแรงจัด เมื่อเข้าปากก็ละลาย หลังจากสุราที่ดีกรีแรงเข้าปาก ใบหน้าของอาตมาก็แดงกล่ำ จนเทพเจ้าประจำศาลอมยิ้ม
    เราเคยมีเทพเจ้าบริวารถือพัดอยู่ 2 ท่าน หากอากาศร้อนอบอ้าว บริวารที่ถือพัดทั้ง 2 องค์นี้ก็จะบริการพัดให้ พัดนี้หากเพียงขยับเคลื่อนตัว ก็สามารถทำให้อากาศอบอ้าวเคลื่อนออกไปได้ จนเกิดอากาศเย็นและหนาว แล้วถ้าพัดครบ 3 ครั้งก็จะหนาวเป็นหิมะ อากาศจะเกิดการเปลี่ยนแปลง
    เหมือนนิทานเรื่องไซอิ๋วเลยนะ
    แม้ไม่ใช่ ก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่นัก
    อาตมาถามเทพเจ้าประจำศาล ว่า เทพผู้ถือพัด 2 องค์นั้นขณะนี้ไปไหนแล้วล่ะ
    *เทพเจ้าประจำศาลก็ตอบว่า ไปเกิดที่โลกมนุษย์แล้ว*
    เกิดที่ไหน อาตมาถาม
    *บ้านของเหยาถง*
    อาตมาฟังดังนั้นก็เกิดตกใจ ดั่งจุดไต้ตำตอแท้ๆ ที่พบโดยบังเอิญไม่ต้องแรงและเวลา
    แต่ดวงชะตาของเหยาถงไม่มีบุตร
    *ถูกต้อง*ท่านเทพเจ้าประจำศาลตอบ
    แล้วถ้าดวงชะตาไม่มีบุตร เหตุไฉนเทพผู้ถือพัดจึงไปเกิดที่บ้านเขาได้
    *เหยาถง เคยไปศาลของเรา และได้บนบานขอเราหลายครั้ง เราเห็นว่าตัวเขาราศีมืดมน แม้จะมีความศรัทธา เราก็ไม่ได้ตอบสนองเขา แต่ตอนหลังได้รับคำสั่งจากท่านเง็กเซียนให้เรารับบัญชา ว่าจงให้พัดสวรรค์แก่เหยาถง เพื่อให้ทั้งสองได้มีทายาทเชิดชูเกีตรติวงศ์ตระกูล*
    จึงทำให้ดวงชะตาปรับเปลี่ยน
    *ถูกต้อง*
    แล้วสาเหตุใดจึงมีการเปลี่ยนแปลงดวงชะตา
    *ท่านเทพเจ้าศาลบอกว่า การเปลี่ยนแปลงของดวงชะตาครั้งนี้ มีสาเหตุบางประการ ซึ่งก็ไม่รู้ชัดเจนมากนัก แต่เรารู้มาว่า เหยาถงเคยได้ช่วยชีวิตหญิงสาวผู้หนึ่ง มีนามว่าหวู่เยี่ยน ด้วยจิตใจบริสุทธิ์ ละเว้นกามอย่างเด็ดขาด อายุเพิ่มพูน จึงได้รับบำเหน็จจากสวรรค์บันดาลบุตรให้ 2 คน และบุตร 2 คนนี้จะโดดเด่นเหนือกว่าคนทั้งปวง และยังดลบันดาลให้เหยาถงร่ำรวย มหาศาลอีกด้วย ต่อมาภายหลังเหยาถงได้มาที่ศาลเจ้าของเราอีกครั้ง ปรากฏว่าสีหน้าแปรเปลี่ยนไปมากแล้ว หน้าผากแดงกล่ำ ราศีปรับเปลี่ยนไปแล้ว
    อาตมากับท่านเทพประจำศาลคุยกันอย่างสนุกสนาน
    ต่อมาเมื่ออาตมาได้พบกับเหยาถงอีก อาตมาก็ได้เอ๋ย ถึงที่มาของดวงชะตา และบุตรทั้งสองคนนั้น ว่าเป็นองค์เทพถือพัดมาจุติ
    *เมื่อเหยาถงได้ฟังอย่างนั้น จึงกล่าวว่า ใช่แล้วครับ เพราะคืนก่อนที่ลูกของผมจะเกิด ผมฝันเห็นแสงมงคลเจิดจ้าตกลงมาบนหลังคา กลางอากาศมีพัด 2 เล่มลอยลงมา มองเป็นพัดโบราณชัดเชนมาก เมื่อตื่นจากความฝัน ลูกก็คลอดออกมาพอดี ฝันนี้ถือเป็นฝันประหลาดมาก แต่ผมไม่กล้าเล่าให้ใครฟัง แต่เมื่อท่านอาจารย์หลูฯพูดถึง ผมจึงได้กล้าพูดออกมา*
    ยังมีเรื่องของหวูเยี่ยนอีกเรื่องใช่ไหม อาตมาถามต่อ
    *ท่านอาจารย์ทราบเรื่องนี้ด้วยหรือ*
    อาตมาพยักหน้า ถ้าเช่นนั้นท่านจงเล่าเรื่องของหวูเยี่ยนให้ฟังหน่อย
    *แล้วเหยาถงก็เล่าให้อาตมาฟังว่า...
    ครั้งหนึ่งเหยาถงได้ไปเดินเล่นที่ข้างสระน้ำตอนค่ำคืน เห็นหญิงสาวยืนอยู๋ข้างสระน้ำพอดี สักพักหนึ่งก็เดินลงไปกลางสระน้ำก็ไร้ผู้คน จนเกือบจะจมน้ำ แต่เพราะเป็นเวลาค่ำคืนรอบๆ สระน้ำก็ไร้ผู้คน พอเหยาถงตะโกนเรียกคนมาช่วยก็ไม่มีใคร สุดท้ายเหยาถงจึงตัดสินใจกระโดดลงน้ำไปเพื่อช่วยเหลือเธอคนนั้น
    และโชคดีที่ตอนหนุ่มๆ เหยาถงเคยรับราชการเป็นทหารเรือประจำหน่วยประดาน้ำ เขาชอบว่ายน้ำ และได้เข้ารับการอบรมการช่วยคนตกน้ำ ฉะนั้นจึงสามารถช่วยชีวิตของหญิงสาวคนนั้นไว้ได้ ต่อมาพอถามไถ่ชื่อจึงทราบว่าชื่อ หวู่เยี่ยน
    เมื่อช่วยชีวิตของเธอแล้ว เหยาถงจึงได้ถามหาสาเหตุที่คิดฆ่าตัวตาย หวู่เยี่ยน ก็ตอบว่า เพราะเธอยังเยาว์วัยจึงได้หลงกลพวกแก๊งต้มตุ๋น ถูกหลอกให้แพ้การพนันเป็นเงิน 3 ล้านหยวน บริษัทรับจ้างมาทวงหนี้เธอทุกวัน จนกลัวคนทางบ้านรู้จะต่อว่าเอา และรู้สึกอายไม่อยากมีชีวิตอยู่ดูหน้าผู้คนอีกต่อไป เพราะหนี้ก็ไม่สามารถสะสาง ฉะนั้นจึงตัดสินใจหาทางออกด้วยการฆ่าตัวตาย
    เมื่อเหยาถงได้ฟังดังนั้นก็นึกเอ็นดูและสงสาร จึงได้ช่วยหวู่เยี่ยนชดใช้หนี้การพนันจนหมดสิ้น
    หวูเยี่ยนซาบซึ้งในน้ำใจของเหยาถงมาก เพราะได้ช่วยทั้งชีวิตและช่วยปลดหนี้สินให้หมดไป เปรียบเสมือนได้สร้างชีวิตใหม่ให้ นับว่าเป็นผู้มีคุณล้นเหลือ
    เมื่อทราบว่าคุณเหยาถงไม่มีทายาท จึงยินดีจะสละมอบกายให้เป็นภรรยาน้อยเพื่อหวังคลอดลูกให้เหยาถง
    ทางด้านภรรยาของเหยาถงก็เห็นว่า หวู่เยี่ยนยังสาวและมีหน้าตาสวยมาก ที่ผ่านมาเพียงผิดพลาดจากการพนันแต่ก็จิตใจเมตตาอ่อนโยน จึงยินยอมให้สามีรับเป็นภรรยาน้อย แต่เหยาถงก็ได้ปฏิเสธไปว่า
    ถ้าทำแบบนี้เป็นการฉวยโอกาส เป็นไร้คุณธรรม นับเป็นการเริ่มด้วยความเมตตา แต่กลับเป็นการสนองด้วยตัณหา ถือเป็นการกระทำที่ไร้คุณธรรมยิ่งนัก ถึงแม้ว่าเรื่องผัวแก่เมียสาวจะไม่ถือว่าเป็นเรื่องที่ผิดธรรมเนียมประเพณีก็ตาม แต่ผมก็ไม่กล้าฝ่าฝืน ผมยอมไม่มีบุตรเสียเลยจะดีกว่า
    ถึงแม้ว่าหวู่เยี่ยนและภรรยาจะพยายามอ้อนวอนหลายครั้ง เพื่อให้เหยาถงเห็นแก่การมีบุตรเพื่อสืบสกุล แต่เหยาถงก็ยังปฏิเสธไม่เห็นด้วย
    ไม่นานนักปรากฏว่าเมื่อเวลาผ่านไป วันหนึ่งภรรยาของเหยาถงก็ตั้งครรภ์ เมื่อทำการตรวจสอบแล้ว ปรากฏว่าเป็นลูกแฝดแน่นอน นี่เป็นยืนยันว่า
    ดวงชะตาผันแปรตามสวรรค์
    ร่ำรวยและโชคดีมาพร้อมกัน
    ช่วยกันละเว้นกาม คือกุศล
    ทุกอย่างสมหวังดังปรารถนา

    เหยาถงเคยนำเรื่องนี้เล่าให้นักบวชรูปหนึ่งฟัง นักบวชรูปนั้นได้กล่าว่า เรื่องที่เล่ามานี้หากท่านจะไม่มีบุตร ท่านอาจารย์หลูฯก็ทำนายถูก แต่ถ้ามีบุตร ท่านอาจารย์หลูฯ ก็บอกว่าดวงชะตาเปลี่ยน จะพูดไปพูดมาท่านอาจารย์หลูฯ ก็ทำนายถูกทั้งนั้นคำทำนายเชื่อได้หรือไม่ ตัวท่านอาจารย์หลูฯ ยังเชื่อถือได้หรือไม่ ตัวท่านเองคงจะมีคำตอบให้
    เหยาถงก็ตอบว่า...ทางพุทธกล่าวว่า ในโลกนี้มีจริงและเท็จ มีการแปรเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา ทุกสิ่งทุกอย่างผันแปรได้เสมอ พระพุทธเจ้าท่านไม่สนับสนุนการทำนายดวงชะตาชีวิตคน เพราะว่าดวงชะตาสามารถผันแปรได้ ฉะนั้นเมื่อกฎแห่งกรรม เจตนาของเทพเจ้าทำนายนั้นเพื่อช่วยชี้ทางสว่าง เพื่อสั่งสอนให้คนรู้จักหลบหลีกเคราะห์กรรม ถือว่ามีเจตนาช่วยเหลือด้วยความจริงใจ สำหรับเรื่องของผมก็คงเป็นเพราะเวรกรรมสนอง ทำให้ผมไม่มีลูกตามเกณฑ์ดวงชะตา แต่ที่ผมได้ลูกเป็นเพราะทำกุศลนี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นจากกุศลเสริมบุญบารมี
    ท่านนักบวชถามต่อว่า ...แล้วท่านทราบได้อย่างไรว่า ท่านอาจารย์หลูฯ มีความสามารถในการทำนายชั้นเทพ แม่นหรือไม่แม่น
    *เหยาถงบอกว่า เพราะอาจารย์หลูฯ ทราบเรื่องของหวู่เยียน *
    นักบวชพูดว่า อาจเป็นเพราะไปสืบมาก็ได้นะ
    *เหยาถงไม่สามารถให้คำตอบได้*
    นักบวชได้ทีพูดต่อว่า...ท่านอาจารย์หลูฯ เป็นมาร และเป็นพวกนอกรีต
    *เหยาถงตอบว่า...ท่านอาจารย์หลูฯ ได้เคยสั่งสอนพวกเราว่าอะไรคือมาร สอนให้ถือศีล5 สอนให้ปฏิบัติธรรมกุศล 10 ประการ นั่นคือธรรมะ ถ้าท่านอาจารย์หลูฯ ละเว้นศีล 5 ไม่ปฏิบัติธรรมกุศล 10 ประการ และทำชั่วนั่นแสดงว่าเป็นพวกมาร เพราะในทางพุทธธรรมได้บอกว่า พวกนอกรีตนั้นมีจำนวนมาก ท่านอาจารย์หลูฯ สั่งสอนพวกเราเสมอว่าให้ปฏิบัติอยู่ในกรอบศีลธรรม นั่นคือคนที่มีธรรมะทางจิตใจ หากไม่ปฏิบัติอยู่ในกรอบแห่งศีลธรรมนั่นก็คือมารนั่นเอง ความเป็นตายรู้แจ้งเห็นจริงนั้นคือพุทธะ
    เมื่อนักบวชได้ฟังอย่างนั้นจึงถามอีกว่าเขาชอบรีดไถ่เงินนะ
    *เหยาถงจึงตอบไปว่า... ท่านอาจารย์หลูฯ ชั่วชีวิตปฏิบัติธรรมมีแต่ให้ความสะดวกผู้คน ไฉนจึงควรได้รับคำกล่าวหาแบบนี้ แม้กระทั้งทรัพย์สิน เงิน ทอง ของวัดเหลยจั่นท่านอาจารย์หลู่ฯ ก็ยังไม่เอา
    นักบวชก็กล่าว่า เขายังชอบระเริงในกาม
    *ท่านได้เห็นกับตาหรือเปล่า*
    เปล่า และพูดย้ำต่อว่า ได้ยินใครก็พูดแบบนี้ทั้งนั้น
    *เหยาถงจึงพูดว่า...ตัวผมนั้นได้รู้จักท่านอาจารย์หลูฯ มาหลายปีแล้ว และได้คลุกคลีมาไม่น้อย ท่านอาจารย์หลูฯ ประพันธ์หนังสือ วาดภาพ สวดมนต์ทุกวัน ชอบช่วยแก้ไขและช่วยเหลือผู้คนที่ประสบเคราะห์กรรม ขณะนี้เขียนหนังสือขึ้นมาถึง140 เล่มเศษแล้ว (ปัจจุบัน ค.ศ.2011 ประพันธ์ 220 เล่มแล้ว)
    ปฏิบัติธรรมทุกวันไม่เคยขาด คนประเภทนี้มีจิตใจเมตตา อดทน พูดแต่คำสัตย์ และชอบช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่หวังผลตอบแทน ถึงแม้คนนอกจะไม่รู้ แต่คนที่เคยสัมผัสกับท่านอาจารย์หลูฯมาก่อน เขาย่อมรู้ดี ว่าการกล่าวหารีดไถ่เงินทองนั้นถือเป็นการปรักปรำที่ไร้เหตุผล แต่ท่านอาจารย์หลูฯ ก็ไม่เคยสนใจ เพียงแต่บอกว่าหลักความคิดกับพวกลูกศิษย์มี 2 ประการ
    1. ต้องไม่แก้ตัว แต่ให้อดทน
    2. ถือว่าเป็นการชำระกรรม
    สามสิบปีแห่งความทุกข์ทรมานจากการใส่ร้ายป้ายสี ทำให้จิตใจของท่านกว้างขวางเทียบฟ้า คุณธรรมสูงส่ง จนได้รับการยกย่องจากทวยเทพและภูตผีปีศาจ
    นักบวชได้ฟังอย่างนั้น ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
    *เหยาถงได้เล่าเรื่องนี้ให้อาตมาฟัง แต่อาตมาก็มิได้กล่าวแต่อย่างใด...
    อาตมาจึงขึ้นว่า ชีวิตอาตมาทั้งหมด ได้ฝึกฝนธรรมะ แสวงหาบุญกุศล รู้เพียงอย่างเดียวว่า ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย นับเป็นเรื่องใหญ่ให้ขบคิด หากถูกกล่าวหาใส่ร้ายนินทาก็ไม่เคยคิดจะไปแก้ข้อกล่าวหา เพราะมันเสียเวลา อาตมาฝึกฝนคุยหธรรมอย่างจริงจังคร่งครัด จนบัดนี้รู้แจ้งในการเวียนว่ายตายเกิด ในทุคติ 6 ภูมิแต่เดิมอาตมาเคยคิดจะเปิดความลับของสวรรค์ แต่เกรงว่าคนชั่วจะล่วงรู้ จนอาตมาหนีไม่พ้นกฏของสวรรค์
    เพราะพุทธธรรมนั้นเป็นเรื่องที่พูดไม่รู้จักจบ ที่อาตมาได้รับถือมาเป็นข้อเท็จจริงทั้งสิ้น แต่คนทั่วไปกลับไม่ทราบอาตมาอยากจะบอกให้บุคคลเหล่านี้ตื่นเถิด เพราะสิ่งที่อาตมาพูดล้วนเป็นความจริง
    อาจารย์ของอาตมาได้ตักเตือนว่าผู้สำเร็จมรรคผลมีหนทางที่จะเดินอยู่ 3 ทางเท่านั้นคือ
    1. ตายแบบปัจจุบันทันด่วน
    2. เข้าอยู่ในป่า
    3. ทำตัวเสียสติ
    หากไม่เช่นนั้น ช้าเร็วต้องถูกผู้คนฆ่าตาย แต่ทว่าคนอย่างอาตมา ไม่อาจทนเห็นเพื่อนมนุษย์ต้องเวียนว่ายตายเกิด อยู่ในวัฏสงสารได้ จึงได้แต่ประพันธ์หนังสือเผยแผ่ธรรมะวันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า อาตมาจะรออยู่ดินแดนนิพพานก็แล้วกัน
    ส่วนข่าวลือของอาตมา ขออย่าไปสนใจ
    ขอให้ปล่อยวางเสียเถอะ.......... อาเมิน
     
  7. chibasusumu

    chibasusumu สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    135
    ค่าพลัง:
    +169
    เทพเจ้าหลักเมืองสอบสวน ยามราตรีกาล

    เทพเจ้าหลักเมืองสอบสวน ยามราตรีกาล

    คืนหนึ่งมีบริวารของเทพเจ้าหลักเมืองมาเชิญ อาตมาจึงถามว่า จะเชิญอาตมาไปไหน
    *ไปที่ศาลหลักเมือง*
    มีเรื่องอะไรหรือ
    *ข้าพเจ้าก็ไม่ทราบ*
    ในที่สุดอาตมาได้ตามท่านทั้ง 2 นั้นไปที่ศาลหลักเมือง เดิมทีอาตมามีความสนิทสนมกับเทพเจ้าองค์นี้มาก ถือเป็นการส่วนตัวมาก่อนอยู่แล้ว อย่างเช่น เวลาอาตมามีธุระจะขอให้ท่านช่วย หรือเทพเจ้าหลักเมืองเองบางครั้งก็เคยให้อาตมาช่วยเช่นกัน โดยเฉพาะเทพเจ้าหลักเมืองเจียอี้ที่บ้านเกิดของอาตมา และเทพเจ้าหลักเมืองไทจง ซึ่งเป็นเมืองที่อาตมาเคยอาศัยอยู่มานานที่สุด
    เมื่อไปถึงศาลหลักเมืองก็เป็นเวลาเที่ยงคืนพอดี แสงไฟสว่างไสว อาตมามองไปเห็นเทพเจ้าหลักเมืองนั่งอยู่ตรงกลาง ซ้ายขวาเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายบู้และฝ่ายบุ๋นคือทูตหัวม้าและทูตหัววัว พอเทพเจ้าหลักเมืองเห็นอาตมาเดินทางมาถึงจึงสั่งให้ยกเก้าอี้มาให้อาตมานั่ง
    อาตมาจึงถามว่า มีการสอบสวนยามวิกาลด้วยหรือ
    *ใช่ครับ*
    แล้วเหตุใดให้อาตมามาด้วย
    *เพราะเกี่ยวข้องกับท่านนะสิ*
    เกี่ยวกับอาตมาหรือ
    *เกี่ยวข้องแน่นนอนแต่ไม่ใช่การสอบสวนท่านหรอก เทพเจ้าหลักเมืองพูดหยอกล้อเล่น ถ้าจะสอบท่านคงต้องอัญเชิญพระพุทธเจ้ามาเป็นประธานเลยล่ะ*
    เมื่อนักโทษถูกนำขึ้นศาล คุกเข่าลงกับพื้น มือเท้าถูกใส่กุญแจ เมื่ออาตมามองไปที่นักโทษแล้ว ก็รู้สึกตกใจ เพราะเขาคือ เจิ้นเคอนั่นเอง
    เจิ้นเคอคนนี้ตอนเช้าได้นำหนังสือที่อาตมาเขียนหลายเล่มมาหาอาตมา จะขอกราบคารวะเป็นลูกศิษย์ อาตมาเห็นว่าเขาตั้งใจ จึงมอบศีลให้ เหตุใดลูกศิษย์ที่รับการคารวะเมื่อเช้าวันนี้ พอตกกลางคืนกลับกลายเป็นนักโทษในศาลเจ้าหลักเมืองไปได้ เหตุการณ์นี้ทำให้อาตมาตกใจจริงๆ
    อาจเป็นเพราะการจัดที่นั่งเป็นพิเศษของเทพเจ้าหลักเมือง ทำให้ที่นั่งของอาตมาอยู่ในมุมมืด นักโทษเจิ้นเคอคนนี้ ไม่รู้ว่าอาตมาอยู่ที่นั้นด้วย
    เทพเจ้าหลักเมืองถามเจิ้นเคอว่า วัน... เดือน...ปี... นี้เจ้าได้ข่มขืนสาวคนหนึ่ง รู้ว่ามีโทษใช่ไหม
    *ผมรู้ครับ* เจิ้นเคอก้มหน้ารับสารภาพ
    สำนึกผิดไหม
    *ผมสำนึกผิดครับ*
    เพราะผมอ่านหนังสือของท่านอาจารย์หลู เซิ่งเยียน แล้วในหนังสือกล่าว่า
    ข้อหนึ่ง เป็นการทำลายความบริสุทธิ์ผู้อื่นถือเป็นเรื่องใหญ่ที่สุดสำหรับผู้หญิง เมื่อข่มขืนหล่อนแล้วทำให้เธอขาดความบริสุทธิ์
    ข้อสองเป็นการทำลายประเพณีที่ดีงาม ในหมู่บ้านมีคนที่ไร้ยางอายหน้าเนื้อใจเสืออยู่ด้วย คนโง่ดูเป็นตัวอย่างที่ไม่ดี อาจร่วมกันทำชั่วอีก บาปกรรมอย่างนี้ย่อมถูกลงโทษจากสวรรค์
    พูดได้ดีมาก เทพเจ้าหลักเมืองว่า...แล้วเจ้าจะแสดงความสำนึกผิดอย่างไร
    *ผมไปกราบคารวะต่อท่านอาจารย์หลูฯ ครับ*
    ไปเมื่อไร
    *เช้าวันนี้ครับ*
    ท่านอาจารย์หลูฯ เซิ่งเยียนสอนอะไรเจ้าล่ะ
    *เจิ้นเคอตอบว่า นอกจากสอนสรณะสามประการแล้ว ยังสอนโศลกบทหนึ่งให้แก่ผมครับ*
    ไหนเจ้าลองท่องมาสิ
    *เจินเคอจึงกล่าวว่า ...นึกถึงมรณะดับสูญสิ้น ราคะเยือกเย็นอย่างฉับพลัน ผู้โง่เขลาได้ยินเข้า เขาหาว่าไม่เป็นสิริมงคล นับจากนี้ไว้ร้อยปี ไม่มีใครหลีกหนีความตายไปได้ พระโพธิสัตว์ล้วนมองความตาย เป็นสะพานใหญ่ข้ามพ้นห้วงแห่งความทุกข์
    เทพเจ้าหลักเมือง ได้ฟังแล้วใบหน้า และสีหน้าก็เป็นไป เทพเจ้าหลักจึงตวาดไปว่า .. คืนนี้ได้สอบสวนเจ้ายามวิกาล เดิมทีจะลงโทษเจ้าอย่างสถานหนัก โดยให้หนังเนื้อเน่าเปื่อยจนถึงแก่ความตาย แต่บัดนี้เจ้าได้ปวารณาตนต่อพระรัตนตรัยแล้ว และสำนึกผิดต่อบาปกรรมโทษตายจึงยกเว้น แต่โทษเป็นยังอยู่ ข้าจะลงโทษเจ้าตอกตะปูที่เท้าทั้ง 2 ข้าง
    หลังจากนั้นบริวารเทพเจ้าหลักเมือง ได้จับตัวเจิ้นเคอให้ล้มลง เสียงดังของการตอกตะปู รู้สึกเจ็บเข้าไปในทรวง เจิ้นเคอร้องเสียงดังลั่น แล้วหมดสติไป
    ประมาณ 1 เดือนให้หลัง เจิ้นเคอใช้ไม้เท้าช่วยเดินพยุงมาหาที่บ้าน
    อาตมาถามเจิ้นเคอว่า ไปทำอะไรมาถึงเป็นแบบนี้ไปได้ล่ะ
    *ผมไม่ทราบเหมือนกันครับ คืนที่มากราบคารวะท่านอาจารย์พอตื่นขึ้นมา เท้าทั้งสองข้างของผมก็เจ็บมาก เดินไม่ค่อยได้*
    กรรมเก่ากำเริบหรือ อาตมาถาม
    *ผมเองไม่รู้ครับ คิดว่าผมอาจจะศรัทธาผิดคน มีอย่างที่ไหน วันนี้มากราบคารวะ พรุ่งนี้ก็เดินไม่ได้ แต่ว่าการปวารณาต่อพระรัตนตรัยของท่านอาจารย์หลูฯ ก็ถือเป็นหลักสัจธรรมของชาวพุทธเรา ที่มีการบอกให้ละเว้นความชั่วทั้งปวง ให้ทำแต่ความดี ทำจิตใจให้บริสุทธิ์ เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ล้วนเป็นคำสอนที่ถูกต้อง ผมจึงมาขอคำแนะนำครับ*
    อาตมายิ้มและไม่คิดจะบอกให้เจิ้นเคอรู้ถึงสาเหตุ แล้วถามเจิ้นเคอว่า... แล้วไปหาหมอหรือยัง
    *ไปหาแล้วครับ ตรวจเช็คแล้วหมอบอกว่าไม่ทราบสาเหตุว่าเป็นเพราะอะไรผมกินยาหลายอย่าง ก็ไม่เห็นผล มีบางคนว่าผมทำผิดหรือล่วงเกินผีสางเทวดา ได้เชิญหมอผีมาทำพิธีแล้วก็ไม่ได้ผล ผมก็เลยมาให้พระอาจารย์หลู ช่วยตรวจดูให้หน่อยครับ
    อันที่จริงอาตมารู้ต้นสายปลายเหตุแล้ว แต่พูดออกมาตรงๆ ไม่ได้ จึงบอกเจิ้นเคอว่า อย่างนั้นเดี๋ยวจะช่วยตรวจดูให้นะว่าก่อนที่จะมากราบอาตมา ได้ทำกรรมผิดบาปอะไรมาหริเปล่า
    *กรรมหนักหรือครับ เจิ้นเคอคิดแล้วก็ส่ายหัว แล้วถามว่า กรรมหนักคืออะไรครับ*
    กรรมหนักในทางพุทธศาสนาหมายถึง บาปกรรมที่หนักหนา 5 ประการ คือ
    1. ห้ามฆ่าสัตว์
    2. ห้ามลักทรัพย์
    3. ห้ามประพฤติผิดในกาม
    4. ห้ามพูดปด
    5. ห้ามดื่มสุราเมรัย
    อีกอย่าง คือการทำอนันตริยกรรม 5 ประการ คือ ทำร้ายพระพุทธเจ้า ประหารครรภ์ ฆ่าบิดามารดา ฆ่าพระอรหันต์ ทำสงฆ์ให้แตกแยกกัน ยังมีอีก ฆ่าคนอื่น ทำลายวัดวาอาราม และศาลเจ้า ขโมยของสงฆ์ ล้วนเป็นการผิดศีลที่ร้ายแรง นอกจากนี้ยังมีเรื่องทำร้ายครูบาอาจารย์ ทำร้ายพระสงฆ์ กล่าวจาบจ้วง พระสงฆ์ที่เป็นจริงหรือไม่จริงก็ตาม ทำร้ายญาติมิตร นายจ้าง ทำร้ายผู้อุปถัมภ์ตน อย่างนี้มีหรือไม่
    *เจิ้นเคอตอบว่าไม่มีครับ*
    ไหนลองนึกดูให้ดีสิว่า ในโลกนี้ท่านไม่เคยกระทำความผิดมาเลยหรือ
    *เจิ้นเคอนิ่งไม่พูดจา*
    อาตมาถามอีกว่า แล้ววีนที่...เดือน...ปี...นี้ล่ะ
    *ท่านอาจารย์รู้ด้วยหรือครับ เจิ้นเคอตกใจ*
    อาตมาตอบว่า รู้
    *เรื่องนี้ถือเป็นบาปไหมครับ*
    แล้วเล่าว่าครั้งหนึ่งเขาบังเอิญคุยกับภรรยาของเพื่อนร่วมงานสองต่อสอง คุยกันสนุกสนานมาก จนรู้สึกว่าฝ่ายตรงข้ามน่ารักดี จึงเกิดจิตอกุศลขึ้นมา
    คุยกันไปมานานสองนาน น่าจะทำเรื่องที่ไม่ธรรมดาได้สักเรื่อง อะไรคือเรื่องไม่ธรรมดา ฝ่ายหญิงถาม
    เจิ้นเคอจึงตอบไปว่า ไม่ต่อคุยกันต่อ ตามปรัชญาชีวิต มันต้องมีเรื่องที่มีสีสันจึงจะเร้าใจ
    ฝ่ายหญิงไม่เข้าใจ *เรื่องเร้าใจหรือ*
    เธอไม่เคยดูหนัง อาร์มี่ หนังเอ็กซ์ ไหมล่ะ
    *ไม่ ไม่ เราจะไม่ทำเช่นนั้น *
    งั้นเรามาเล่นเป่ายิงฉุบกัน เจิ้นเคอเสนอ
    *เป่ายิงฉุบหรอก*
    ถูกแล้ว ใครแพ้ถอดเสื้อผ้าออก
    *ไม่ได้ ไม่ได้ ถ้าฉันแพ้ล่ะ*
    ไม่แน่ว่าเธอจะแพ้ อาจเป็นผมก็ได้
    เมื่อฝ่ายหญิงคิดว่าเธอจะเป็นฝ่ายชนะ และคิดเอาเปรียบเจิ้นเคอ จึงตัดสินใจเล่นเป่ายิงฉุบกัน
    ในระหว่างที่เล่นกันนั้น เจิ้นเคอแพ้ก่อน จึงถอดจนเหลือแต่กางเกงใน ต่อมาฝ่ายหญิงแพ้งบ้าง ก็ต้องถอดออกเช่นกัน สุดท้ายฝ่ายหญิงต้องเป้นฝ่ายแพ้แล้วคิดจะหนี เจิ้นเคอจึงดึงมือเธอไว้ เมื่อความกำหนัดมีมาก จึงขอมีความสัมพันธ์กับเธอ
    *ทำอย่างนี้ไม่ดีนะ ฝ่ายหญิงบอก*
    เจิ้นเคอจึงบอกว่า งั้นเล่นอีกที วัดดวงกัน
    ฝ่ายหญิงคิดว่าคงจะไม่แพ้ แต่สุดท้ายก็แพ้อีก เจิ้นเคอได้สบโอกาสจึงข่มขืนเธอ สมใจ
    ผมได้เสียกับเธอก็เพราะเล่นเกมชนะ ถือเป็นบาปกรรมด้วยหรือครับ
    พวกเราผู้ปฏิบัติธรรม เดิมทีต้องการบำเพ็ญจิต ให้เป็นกุศล การเล่นเป่ายิงฉุบ ไม่ถือว่าเป็นบาปกรรม แต่การเริ่มต้นด้วยการคิดที่เป็นอกุศล ใช้กลอุบายการเล่นเกมเพื่อไปสู่ความประพฤติผิดในกามย่อมเป็นบาป มหันต์
    ผมพูดตามตรง เมื่อก่อนผมไม่กล้าพูดถึงเรื่องนี้ แต่ตอนนี้จำเป็นต้องพูด เพราะหลังจากผมกราบคารวะท่านอาจารย์หลูฯ แล้วพวกเขากล่าว่าเป็นเสียงเดียวกันว่า
    อาตมารอฟังอยู่ แต่เขาหยุดพูดแล้วถามว่า
    *เอ๋อ...พูดได้ไหมครับ*
    อาตมาบอกว่าพูดได้แน่นอน
    *แต่ฟังแล้วน่าเกลียดนะครับ*
    ไม่เป็นไร น่าเกลียดแค่ไหนอาตมาก็เคยฟังมาแล้ว เจิ้นเคอจึงเล่าว่า มีบางพวกว่าท่านอาจารย์หลูฯ เป็นมหามารฟ้า เป็นพวกนอกรีตของวงการศาสนา เป็นนักต้มตุ๋น เอาเงินทอง สิ่งที่พูดเป็นเรื่องโกหกทั้งเพ และมีคนมากมาย ถูกต้มตุ๋นมาแล้ว ท่านอาจารย์หลูฯ หลอกเอาเงินเก่งเป็นที่หนึ่ง หลอกผู้หญิงก็ที่หญิง ผู้หญิงที่อยู่ใกล้ตัวต่างก็หลงรัก ธรรมาจารย์ที่แท้ของศาสนาพุทธผมกลับไม่ไปกราบ แต่มากราบพวกนอกรีตมารชั่ว พอกราบแล้วก็เดินไม่ได้ นี่เป็นสิ่งที่พิสูจน์ว่าท่านอาจารย์หลู คือมารร้ายนอกรีตของจริงครับ
    ยังพูดเรื่องอะไรอีกไหม อาตมาถาม
    *ไม่มีแล้วครับ พวกเขาว่า ผมกราบผิดคนจึงเป็นแบบนี้*
    ฟังนะ อาตมาออกมาสั่งสอนผู้คนมาตั้งแต่อายุ 26 ปี จนมาถึงบัดนี้ อายุ57 ปีแล้ว ตลอดระยะเวลา 30 ปีที่ผ่านมา คำพูดเดิมๆเหล่านี้อาตมาฟังจนอาเจียนแล้วละ ไม่มีอะไรที่ใหม่กว่านี้หรือ
    *ไม่มีครับ*
    เอาล่ะ เห็นแก่หน้าธรรมาจารย์ทางพุทธศาสนาที่ด่าทออาตมา อาตมาจะรักษาเท้าของเจ้าให้หาย ถ้าไม่หายก็ไม่ต้องมาเรียกชื่อว่า พระอาจารย์หลูฯ อีก
    *เจิ้นเคอฟังแล้วก็ดีใจมาก*
    เมื่ออาตมาไปหาพี่น้องร่วมสาบาน เทพเจ้าหลักเมือง อาตมาคิดว่า เรื่องเจิ้นเคอนั้นพอขอร้องก็น่าจะสำเร็จและสามารถถอนตะปูที่เท้าของเจิ้นเคอออกได้ หลังจากนั้นก็จะหายเป็นปกติ แต่ไม่นึกเลยว่ากลับได้การปฏิเสธ คราวนี้ท่านคิดผิด ตะปูนี้ไม่ใช่ตะปูธรรมดา แต่เป็นตะปูฟ้า เป็นสิ่งที่เง็กเซียนฮ่องเต้ประทานลงมา
    มีความสำคัญอย่างนั้นเลยหรือ อาตมาฟังแล้วรู้สึกไม่สบายใจ
    *ตัวท่านไม่รู้หรือว่าเจิ้นเคอเป็นใคร*
    อาตมาไม่รู้จริงๆ
    *ชาติก่อนของเจิ้นเคอคือราชบัณฑิตหยูต้า ในสมัยราชวงศ์หมิง รัชสมัยฮ่องเต้ฉงจึง ตอนหยูเต้าเป็ฯผู้ว่าการเมืองเจียงหนิง เขาได้ข่มขืนผู้หญิงถึง 9 คน ท่านเทพเจ้าหลักเมืองอธิบาย
    โอ้... เขาเป็นคนทำผิดซ้ำซาก โทษนั้นไม่น่าให้อภัย
    *ใช่แล้ว*
    แบบนี้ก็เท่ากับว่าตะปูฟ้าถอนไม่ได้ใช่ไหม
    *ใช่แล้ว* ท่านเทพเจ้าหลักเมืองตอบ
    เมื่อเป็นแบบนี้อาตมาคงแย่แน่ เพราะต้องไปพบท่านเง็กเซียนฮ่องเต้เอง จึงมีคำถามว่า นอกจากอาตมาจะมีเทพเจ้าหลักเมืองเป็นพี่น้องร่วมสาบานแล้ว เมื่อคิดที่จะไปหาเง็กเซียนฮ่องเต้ ก็สามารถไปหาได้ง่ายๆ
    เมื่อพบกับเง็กเซียนฮ่องเต้แล้ว อาตมาก็พูดแบบตรงไปตรงมา ขอให้ถอนตะปูฟ้าแก่เจิ้นเคอ เง็กเซียนฮ่องเต้แสดงความลำบากพระทัย พระองค์ตรัสว่า
    *จะถอนตะปูฟ้า จะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ง่าย สรุปว่า จิตสาม ลักษณ์สี่ต้องกำจัด บาปสิบ ชั่วแปดต้องกวาดให้เกลี้ยง รักใคร่ไม่แตะต้อง โลภโกรธหลงไม่ให้เกิด*
    เรื่องนี้อาตมาทราบดี
    *เง็กเซียนฮ่องเต้ตรัสอีกว่า ถึงแม้เราเป็นผู้ประทานตะปูฟ้า แต่กฎแห่งสวรรค์สามพันเล่ม ถึงเป็นมหาเทพแห่งสวรรค์ชั้นที่ 9 ก็ต้องปฏิบัติตามกฎ ถ้าไม่ทำตามกฏสวรรค์ก็ถือเป็นความผิด หากเป็นเช่นนี้หมื่นกัปกัลป์ก็ไม่พ้น
    ได้คำตอบแบบนี้ อาตมาจึงไม่รบเร้ากับท่านเง็กเซียนฮ่องเต้อีก จึงขอตัวลากลับออกมา แล้วไปหาพระพุทธเจ้าเนื่องจากธรรมกายของอาตมาสามารถผ่านทะลุไตรภูมิ ขยายเต็มฟ้าดินจักรวาล วัดต้าหลุยยินแห่งเขาคิชกูฏ อาตมาจะไปไหนจึงสามารถไปได้ดั่งใจนึก
    อาตมาได้ไปถึงเขาคิชกูฏ เมื่อไปถึงพระเวทและเทพเจียหลันได้มาต้อนรับ พระมหากัสสปะเถระและพระอานนท์ก็ออกมาต้อนรับ แปดมหาวัชรเทพยืนเรียงรายสองข้างทาง อาตมาได้พบพระอัศวโกษา พระนาคารชุน พระปรัศว์เถระ พระวังนาอโศก พระกุมารชีวะ และพระปัญญาตะระ
    พระพุทธเจ้าศากยมุนีทรงนั่งบนธรรมาสน์แปดสิงโตทรงตรัสกับอาตมาว่า
    หลูเซิ่งเยี่ยน ท่านมาจากไหนกันหรือ
    *จากตะวันออกถึงตะวันตก หนึ่งแสนแปดพันลี้พระพุทธเจ้าข้า*
    ใช้เวลาเท่าไร
    *หนึ่งจิตนึกคิด*
    แล้วท่านมีธุระอะไรหรือ
    *ระเรื่องของเจิ้นเคอ*
    เรื่องเล็กน้อย ท่านทำไมไม่เข้าใจเหตุผล
    *ถึงจะเล็กน้อย แต่หากรับปากแล้วก็เป็นปณิธานที่ยิ่งใหญ่นะพระพุทธเจ้าข้า
    พระพุทธเจ้าทรงพระสรวลแล้วตรัสว่าท่านลงไปอยู่โลกมนุษย์นานจนกลายเป็นคนปากจัดไปแล้วหรือ ไหนลองคิดสิว่า เราจะช่วยเหลือท่านได้อย่างไร
    *ขอโปรดให้พระพุทธเจ้าทรงมีพระบัญชาตะปูฟ้าก็ถอนได้*
    พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า พระพุทธเจ้าโปรดสรรพสัตว์ นำศีลเป็นคุรุ วินัยเข้มงวด ทำตามกฎบัญญัติ บำเพ็ญมรรคผล ไม่กระทำผิด เหมือนความฝัน เหมือนเงาในน้ำ เหมือนพยับแดด เหมือนสายฟ้าแลบ ตามแต่จิตเดิมแท้ อวิชชาไม่สิ้น ไม่แจ้งจิตเดิมแท้ ล้วนมีผลกรรม ฝังซึ่งบาปกรรม
    *พระวินัยห้ามพูดปด รับปากแล้วต้องทำตาม มีวาจาสัตย์เรียกว่าการปฏิบัติตามคุณธรรม บัดนี้เมตตาผู้เป็นศิษย์ รักษาวาจาสัตย์ จำต้องดำเนินการ อาตมาตอบ*
    ท่านจะทำสุดกำลังเลยหรือ
    *ต้องสุดความสามารถเลยพระพุทธเจ้าข้า*
    พระพุทธเจ้าตรัสว่า เรื่องมีที่สุดสิ้น ท่านคงจำเรื่องที่พระโมคคัลานะโปรดมารดาในนรกหรือไม่ เพียงอาศัยพระโมคคัลลานะคนเดียวพลังงานไม่พอ จำต้องอาศัยคณะสงฆ์เข้าช่วยจึงจะสำเร็จ บัดนี้เทพเจ้าหลักเมืองไม่สามารถช่วยท่านได้ เง็กเซียนฮ่องเต้ก็ไม่สามารถช่วยท่านได้ พระวินัยก็ต้องรักษากฎ ท่านทำไมไม่คิดที่จะอาศัยคณะสงฆ์เข้าช่วยหลายๆแรงรวมกัน ก็จะช่วยเจิ้นเคอพ้นกรรมได้ล่ะ
    ได้ยินดังนี้อาตมาจึงเกิดแสงสว่างขึ้นมา รู้ว่าต้องทำอย่างไร อาตมาแสดงความเคารพพระพุทธเจ้าแล้ว เดินจงกรมวน 3 รอบ ก่อนจะขอตัวลาออกจากวัดต้าหลุยยิน
    อาตมาได้เขียนยันต์ 9 แผ่นแล้วเผาไป เชิญคน 9 คน มาแทนที่ รวมทั้งตัวอาตมาเองด้วย
    ต่อมาอาตมาเล่นบาสเก็ตบอลอยู่หลังวัดเหลยจั่นที่เมืองซีแอตเทิล ลูกบอลวิ่งไปมา อาตมาก็ตามไปที่สุดขอบสนามซีเมนต์ที่ต่อกับพื้นดิน เนื่องจากพื้นซีเมนต์สูงกว่ากว่า เท้าอาตมาจึงเกิดพลิก เจ็บเท้า เคล็ดขัดยอก เจ็บจนอาตมาต้องร้องออกมาดังๆ
    พูดไปแล้วก็แปลก ช่วงระยะเวลา 3 เดือนที่อาตมาเจ็บเท้า ในวัดเหลยจั่นแห่งเมืองซีแอตเทิล เกิดมีคนเจ็บเท้าต่อเนื่องกันนับแล้ว 9 คน รวมอาตมาด้วยก็เป็น 10คนพอดี
    ทุกคนแปลกใจมาก จนมีบางคนถามอาตมาว่า ท่านอาจารย์หลูฯ ได้ทำพิธีใช้กรรมแทนใครหรือเปล่า อาตมาไม่ตอบเพียงแต่ยิ้มๆ
    แปลกจริงๆ นะครับที่มีคนเจ็บเท้าถึง 10 คน
    ใช่ ถือว่าแปลกจริงๆ
    เมื่อมีคน 10 คนไปรับการเจ็บเท้าแทน สุดท้ายเท้าของเจิ้นเคอก็หายเจ็บและเดินได้เป็นปกติ
    อาตมาสอนเจิ้นเคอว่า ให้รู้แจ้งวิสัยสี่ประการ กามตัณหาของปุถุชน ทุกภพทุกชาติผันแปรไป ชาติก่อนเกิดเป็นหญิง เห็นชายก็เกิดชอบ ชาตินี้ได้กายเป็นชาย ก็เกิดรักใคร่ในตัวผู้หญิง ทุกสิ่งรู้แจ้งว่าอนิจจัง ความใคร่จะเกิดขึ้นที่ใด
    รู้แจ้งข้อที่หนึ่ง เมื่อตื่นนอนให้พิจารณาว่า ตอนเช้าสองตามืดมัว ยังไม่ทำความสะอาด ตอนนี้น้ำลายเหนียวหนืดเต็มปาก ลิ้นหนาๆ โสโครก ต้องคิดว่าท่าทางสวยงามน่ารัก ถึงมีปากสีแดง หากยังไม่ล้างหน้าทาแป้ง ก็เหมือนอย่างเราๆ
    รู้แจ้งที่สอง เมื่อตื่นขึ้นจากอาการมึนเมา ให้พิจารณาว่าถ้าเราดื่มสุราเกินควร ท้องไส้ปั่นป่วน ไม่นานก็อาเจียนออกมา อาหารในท้องไม่ย่อย สุนัขหิวขนาดดมกลิ่นดูแล้วยังต้องหดหางถอยหนี ควรคิดว่าสาวสวยเริ่มดื่ม ตอนถ้วยชามกระจัดกระจาย ในท้องรวมกันน่าเกลียด
    รู้แจ้งที่สาม เมื่อเป็นไข้จงนึกถึงหลังจากการเป็นไข้ หน้าตาหมองคล้ำ รูปลักษณ์ผอมโซ บ้างอาจเป็นฝีหนอง เลือดหนองไหลนอง กลิ่นเหม็นน่ารังเกียจ จงคิดว่าถึงโฉมจะรูปสวยงามปานใด เมื่อป่วยไข้ขึ้นมาก็น่าเกลียดเช่นกัน
    รู้แจ้งที่สี่ เมื่อเห็นสุขาให้พิจารณา ถึงสิ่งโสกปรก โสโครกสะสมเต็มไปหมด แมลงวันอยู่เต็มทั่ว ให้พิจารณาเรือนร่างของมนุษย์ด้วยกัน ถึงจะอาบน้ำ แต่เมื่อหลังการดื่มกินแล้ว ก็ต้องถ่ายโสโครกเหมือนกัน
    อาตมาบอกเจิ้นเคอว่า หากกามตัณหาเกิดขึ้นเมื่อใด ความคิดชั่วร้ายย่อมบังเกิดตามมา
    *เจิ้นเคอก็ตอบว่า ผมจะจดจำไว้ครับ*
    ต่อมา เจิ้นเคอไปกราบคารวะธรรมาจารย์ที่ออกบวชแล้ว ถือเป็นการกระทำที่ดี การที่เจิ้นเคอถวายที่ดินผืนหนึ่งให้พระอาจารย์รูปนี้สร้างวัด อาตมาก็ว่าดี
    การที่เจิ้นเคอช่วยธรรมาจารย์เผยแผ่ศาสนาพุทธ อาตมาก็ว่าดี เพียงแต่อาตมาได้ยินว่าเวลาที่เจิ้นเคอบรรยายธรรมะนั้น เวลากล่าวถึงอาตมา กลับรู้สึกไม่ค่อยเป็นมิตรกับอาตมาเท่าไรนัก
    มีอยู่ครั้งหนึ่งเมื่ออาตมาเห็นเขาจึงกวักมือเรียก ปรากฏว่าเขากลับทำเป็นไม่เห็น ก้มหน้าเดินหนี
    พออาตมาตามไปทันเรียก เจิ้นเคอ เขาก็หันกลับมาด้วยท่าทางเย็นชา
    ระยะนี้สบายดีไหม อาตมาถาม
    *สบายแน่นอน ตั้งแต่ห่างจากท่าน ทุกอย่างก็สบายดี*
    อ้อ... อาตมางง
    *ท่านอาจารย์หลูฯ เข้าใจที่ผมพูดใช่ไหม?*
    อาตมาไม่เข้าใจ หมายถึงอะไรหรือ อาตมายิ่ง งงใหญ่
    *ธรรมาจารย์สูงส่งผู้นั้นกล่าวว่า ท่านอาจารย์เป็นฝ่ายอธรรมสามารถลงคาถาอาคมทำร้ายคนได้ พอผมไปกราบคารวะท่าน จึงถูกใส่ของ ทำให้เท้าทั้งสองข้างเดินไม่ได้ ต่อมาท่านก็ใช้คาถาอาคมแก้ไข เท้าจึงเดินได้ นี่เป็ฯวิธีที่จะทำให้คนอื่นเชื่อหรือศรัทธาในตัวท่าน ตอนนี้ผมรู้ซึ้งในวิธีของท่านแล้ว ท่านเป็นมารฟ้า เป็นนิกายชั่ว นอกรีต ท่านชอบต้มตุ๋นคน*
    อ้อ...เป็นอย่างนี้นี่เอง อาตมาก้มหน้าลง
    *ใช่...แท้จริงเป็นอย่างนี้ เจิ้นเคอสำทับ*
    อาตมาไม่มีอะไรจะพูด
    *แน่นอนว่าท่านอาจารย์หลูฯ ย่อมไม่มีอะไรจะพูด*
    เจิ้นเคอกล่าวทิ้งท้ายก่อนจากไปอย่างรวดเร็ว
    อาตมาคิดใจ อันว่าไม่ละทิ้งสรรพสัตว์แม้เพียงหนึ่งเดียว แม้หนึ่งเดียวเช่นนี้ถูกต้องไหมเล่า
    คล้ายดังตัวอาตมาเป็นสาเหตุพูดไม่ออก นึกไม่ถึงเลยว่า เจิ้นเคอจะรู้ไม่จริง แต่ก็เป็นหลักสัจธรรมที่ว่า อันนทีมาถึงริมฝั่งแล้ว คนโปรดยากดูคล้ายมีสัมพันธ์ แท้จริงแล้วไร้ซึ่งความสัมพันธ์กัน...
     
  8. chibasusumu

    chibasusumu สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    135
    ค่าพลัง:
    +169
    เทพเจ้าโชคลาภวาสนา

    เทพเจ้าโชคลาภวาสนา

    สำหรับเรื่อง “เทพทำนาย” ซึ่งเกี่ยวกับอาตมานั้น ชาวโลกในทางสังคมล้วน กล่าวถึงกันอยู่เสมอๆ เช่น สมัยตอนรองผู้บังคับกองร้อย “เหว่ยชิงผิง” อยู่ในกองพลทหารช่างที่อาตมาสังกัดอยู่ (หมู่ทหารรังวัด 5802) ได้ทำการทดสอบอาตมาโดยเขากำเหรียญทองเหลืองหลายเหรียญเอาไว้ในมือ แล้วให้อาตมาทายว่ามีเท่าไหร่ อาตมาก็ตอบว่า 14 เหรียญ ตอนนั้นเหว่ยชิงผิงเองก็ยังไม่รู้ว่ามีกี่เหรียญเช่นกัน แต่ปรากฏว่าพอเขานับแล้วกลับได้ 14 เหรียญจริงๆ จนตัวเขาเองก็แปลกใจ เรื่องนี้ทำให้เหว่ยชิงผิงยอมเข้าไปปฏิบัติธรรม
    ในพุทธศาสนา จากนั้นก็สวดมนต์ภาวนาทุกวัน และนับถืออาตมาเป็นอาจารย์อีกครั้งหนึ่ง มีคนปากเสีย ชอบหัวเราะเยาะคนที่เชื่อคำทำนายของอาตมา เมื่อเขามาหาอาตมาก็
    พูดจาบ้าๆ บอๆ มีแต่เรื่องมาเยาะเย้ย อาตมาจึงเชิญเขานั่งลง เขาก็ถามว่า
    “ท่านอาจารย์หลูฯ สามารถทำนายว่าเมื่อคืนผมไปทำอะไรมาได้ไหม”
    อาตมาก็บอกเขาไปว่า
    “ไปเล่นไพ่นกกระจอกมา” (การพนันของคนจีนเรียกว่าไพ่นกกระจอก)

    ปรากฏว่าคนปากเสียคนนั้นงุนงงแล้วถามอาตมาว่าทำไมแม่นอย่างนี้ “เล่นไพ่นกกระจอกไม่ผิดนี่ครับ แล้วท่านอาจารย์หลูฯ สามารถทำนายว่าชนะหรือแพ้เป็นเงิน
    เท่าไหร่ได้ไหมล่ะ”
    ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ล้วนมองมาที่อาตมา เพราะนี่ถือเป็นการทดสอบใหญ่ครั้งหนึ่ง อาตมาก็ตอบว่า “880”
    คนปากเสียร้องออกมาดังๆ ว่า

    “แม่น แม่น แม่นจริงๆ น่าพิศวงมาก แม่นจนทำให้คนไม่อยากเชื่อ ในโลกนี้ยังมี
    เรื่องอย่างนี้ด้วยหรือ”

    แล้วทุกคนก็ตบมือโห่ร้องดีใจ ในความสามารถของอาตมาที่แม่นเหมือนตาเห็นคนปากเสียจึงเล่าว่า

    “เดิมทีตัวผมเล่นเสียหมดไปเพียง800 หยวน แพ้ก็แพ้ไป ตั้งใจว่าจะกลับบ้าน ต่อมาเพื่อนที่นั่งติดกันขอยืมเงิน 80 หยวน ผมคิดว่าเงินแค่ 80 หยวนเล็กน้อยยังต้องยืมอะไรอีก จึงมอบให้ถือเป็นการเพิ่มสีสันก็แล้วกัน ในที่สุด 80 หยวนก็เสียไปด้วย เป็นอันว่าเสียรวมกันเป็นเงิน 880 หยวน โดยตัวเองเล่นเสีย 800 หยวน เพื่อนทำเสียอีก 80 หยวน เป็น
    อย่างนี้จริงๆ “

    ยังมีชายหนุ่มอีกคนหนึ่งไม่เคยเชื่อเรื่องเทพทำนาย เขาถูกคนในครอบครัวพามาที่บ้านอาตมา แต่ก็เก็บตัวนั่งอยู่อีกมุมหนึ่ง ไม่ยอมเดินเข้ามาใกล้ๆ อาตมา สักพักเขาร้องเสียง
    ดังว่า
    “การทำนายด้วยเทพทำนายเป็นเรื่องหลอกคนทั้งนั้น เป็นพวกนักต้มตุ๋น”
    อาตมาฟังเขาโวยวายด้วยความสงบนิ่ง แล้วบอกเขาว่า
    “โลกนี้มีของจริงก็มีของปลอม นักต้มตุ๋นมีมากก็จริงแต่ทำไมถึงไม่ดูให้ดีว่า ใครคือของจริงใครคือของปลอมก่อนล่ะ”
    เขาก็ตอบว่า
    “ท่านอาจารย์หลูฯ เป็นนักต้มตุ๋นแน่ๆ”
    อาตมาจึงบอกว่า
    “อาตมาสามารถรู้เรื่องส่วนตัวของท่านบางอย่างได้”
    “ผมไม่เชื่อ” เขายังดื้อ
    “ขาขวาของท่านมีรอยแผล มีเลือดออก เกิดจากเมื่อวานขี่มอเตอร์ไซค์ล้มใช่ไหม”
    เขางง ตกใจ ทำตาโต
    “ผมไม่ได้บอกใครแม้แต่คนในครอบครัว รู้เรื่องนี้อยู่คนเดียว ท่านอาจารย์หลูฯ รู้ได้อย่างไรกัน”
    แล้วเขาก็เดินเข้ามาใกล้ๆ ให้อาตมาช่วยทำนายให้ทุกคนร้องด้วยความดีใจ

    โดยทั่วไปแล้ว การทำนายด้วยเทพทำนายนั้นจะแม่นมาก แต่บางครั้งก็อาจไม่แม่น ทำไมถึงไม่แม่นนะหรือ เอาละอาตมาจะขอเล่าให้ฟัง ครั้งหนึ่งได้มีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง อยากจะเลื่อนเป็นหัวหน้ากองตำแหน่งนี้มีผู้ช่วงชิงอีก 3 คน คนนี้แซ่เจิ้น อีกสามคนมี
    แซ่จ้าว แซ่เฉิน แซ่เหลียง นายเจิ้นได้มาถามอาตมาว่า

    “ผมจะได้เป็นหัวหน้ากองไหมครับ”
    อาตมาก็ตอบว่า “ได้”
    ประมาณครึ่งปีต่อมา ปรากฏว่าเมื่อคำสั่งแต่งตั้งหัวหน้ากองออกมาแล้ว กลับไม่ใช่คนแซ่เจิ้น แต่เป็นคนแซ่เฉิน เมื่อเป็นแบบนี้คนแซ่เจิ้นจึงโมโหมาก และได้มาต่อว่าอาตมา
    “ที่ท่านทำนายว่าผมจะได้เป็นหัวหน้ากอง ทำไมวันนี้ไม่ได้เป็นล่ะ เทพทำนายอะไรกัน ไหนบอกว่าแม่นเป็นที่หนึ่ง ไม่เห็นแม่นเลย ที่แท้ก็คือการหลอกลวง แล้วท่านจะว่ายังไง”
    อาตมาเองก็ตกใจแต่ก็ไม่ได้ตอบอะไรออกไปนายเจิ้นก็ถามต่อว่า
    “ไหนบอกว่าผมจะได้เป็นหัวหน้ากองแน่ๆ ไม่ใช่หรือ แล้วนี่มันอะไรกัน”
    อาตมาจึงตอบแบบเลี่ยงๆไปว่า
    “จริงๆ แล้วอาตมาก็ไม่รู้หรอกนะว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้ คงต้องลองฟังจากเทพเจ้าโชคลาภวาสนาว่าเป็นเพราะอะไรก็แล้วกัน”
    “แล้วเทพเจ้าโชคลาภวาสนาอยู่ที่ไหนล่ะ”
    “เทพเจ้าโชคลาภวาสนาท่านไม่มีรูปลักษณ์หรอก”
    “พูดชุ่ยๆ” นายเจิ้นไม่พอใจอย่างมาก

    เวลาที่อาตมาทำนายไม่แม่น แล้วมีคนมาต่อว่า จะเห็นได้ว่าอาตมานั้นลำบากใจแค่ไหน พูดอะไรไม่ออก ได้แต่ถามฟ้าอย่างเดียวทันใดนั้นเอง เทพเจ้าโชคลาภวาสนาก็ปรากฏตัวต่อหน้าอาตมา ท่านยกตัวหนังสือให้ดูตัวหนึ่งเป็นคำว่า “หยิง” (กามารมณ์) ใต้ตัวหนังสือนั้นมีวัน..เดือน..ปีที่กระทำผิดของนายเจิ้นอยู่ด้วย
    “ท่านทำผิดศีลข้อกามา นี่นา”
    นายเจิ้นก็ตอบว่า
    “ไม่มี ผมไม่เคยทำ”
    “วันที่…เดือน…ปี…”
    นายเจิ้นก็ยังตอบว่า
    “ไม่มี ไม่เคยทำ”
    อาตมาฟังแล้วก็เริ่มสับสนเพราะเห็นอยู่ว่าเทพเจ้าโชคลาภวาสนาได้ยกตัวหนังสือให้ดูว่าผิดศีลข้อกามา แถมมีวัน..เดือน..ปีอยู่ด้วย ข้อมูลแจ้งมาอย่างชัดเจน ทำไมนายเจิ้นถึงกลับบอกว่าไม่มี อาตมาไม่เชื่อ จึงบอกไปว่า
    “ลองนึกให้ละเอียดอีกครั้งได้ไหม”
    นายเจิ้นคิดแล้วคิดอีก และนับวันอย่างละเอียด แต่ก็ยังตอบยืนยันว่า
    “ไม่มี”อยู่นั่นเอง

    ตอนนี้เทพเจ้าโชคลาภวาสนาได้ชี้แจงว่า ครั้งหนึ่งนายเจิ้นแอบดูสาวข้างบ้านอาบน้ำ อาตมาฟังแล้วรู้สึกขบขัน แต่ก็ไม่กล้าหัวเราะออกมาอาตมาบอกนายเจิ้นว่า
    “ไม่ใช่มีชู้กัน แต่เป็นเรื่องการแอบดูสาวข้างบ้านอาบน้ำ”

    นายเจิ้นฟังแล้วก็ตกใจไม่พูดจา ก้มหน้าเดินออกไปตามที่ทราบมา นายเจิ้นเดิมทีควรมีวาสนาเป็นหัวหน้ากอง หลายเดือนก่อนข้างบ้านของนายเจิ้นมีคนเข้ามาอยู่ใหม่เป็นหญิงสาวและอาศัยอยู่คนเดียว หน้าตาสวยน่ารัก สุภาพเรียบร้อย จึงทำให้นายเจิ้นสนใจมองหลายครั้ง บ้านของนายเจิ้นมีหน้าต่างบานหนึ่ง ตรงกับห้องอาบน้ำของหญิงสาวคนนี้พอดี อยู่มาวันหนึ่งหญิงสาวได้อาบน้ำ แล้วลืมปิดผ้าม่านนายเจิ้นบังเอิญเห็นเข้า จึงไปเอากล้องส่องทางไกลมาแอบดูตั้งแต่หัวจรดเท้า ปากก็ชมว่าสวย ใจก็ตื่นเต้นคิดว่า ถ้าได้นอนกับเธอ ย่อมไม่เสียชาติเกิด กลายเป็นพฤติกรรมตาดูใจคิด รู้สึกซาบซ่านหัวใจอย่างบอกไม่ถูกเทพเจ้าโชคลาภวาสนาได้บอกว่า
    “ถึงแม้นายเจิ้นกับสาวเพื่อนบ้านไม่ได้ทำอะไรกันก็ตาม แต่การที่นายเจิ้นเห็นสาวอาบน้ำ ก็ควรหลบไป แต่นี่เขาไม่เพียงไม่หลบ ยังดูตั้งแต่หัวจรดเท้า ไม่เพียงแต่ตามอง ใจก็คิด จิตใจแห่งกามตัณหาจึงเกิดขึ้น แม้ยังไม่กระทำ แต่ก็ถือว่าผิดศีลแล้ว เหตุนี้จึงเป็นสาเหตุแห่งการตัดรอนลาภยศออกก่อนแล้วทำให้ต้องรอถึง 6 ปี ให้หลังจึงจะมีโอกาสได้เป็นหัวหน้ากอง

    อีกเรื่องหนึ่งคือเรื่องที่พลโท ”หลี่กู้” ได้มาหาอาตมา
    “ท่านอาจารย์หลูฯ ผมได้ยินว่าท่านมีความสามารถทำนายแบบเทพทำนายเป็นอันดับหนึ่ง วันนี้มาขอคำชี้แนะ จำได้ว่าสมัยก่อน คุณพ่อคุณแม่ได้เชิญอาจารย์แซ่เอียะที่เป็นหมอดูมาทำนายด้วยการคำนวณตัวเลข เขาทำนายว่าตัวผมเองตอนอายุ 18 ปี จะสอบได้ “จอหงวน” (เป็นที่หนึ่ง) ของการสอบเอนทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัยทั่วประเทศ ต่อมาจะได้เข้าสถาบันวิจัยทางทหาร อายุ 27 จะได้ปริญญาเอก อีก 3 ปี ต่อมาจะได้ไปเรียนที่สหรัฐฯ แล้วจะได้ปริญญาเอกอีกใบหนึ่งพออายุ 53 จะได้เป็นถึงพลเอก”

    หลี่กู้พูดต่อว่า
    “อาจารย์แซ่เอียะคนนี้ไม่ธรรมดา เวลาจะเชิญเขาทำนายต้องให้เงินทองมากมาย เวลาเขาทำนายใครก็จะเลือกคนด้วย รายเล็กรายน้อยเขาไม่อยากทำนาย และต้องจองคิว ไม่ใช่เมื่อไรก็ให้ทำนายได้ สิ่งที่อาจารย์แซ่เอียะทำนายให้แม่นมาก อายุ 18 ปี ผมสอบได้ที่หนึ่งทั่วประเทศ ส่วนตอนอายุ 27 ปี สอบปริญญาเอกแต่ไม่ได้ มาได้อายุ 29 ปี 3 ปีต่อมาไปสหรัฐฯ ได้ปริญญาเอกอีกใบนั้นถูกต้อง ทายว่าอายุ 53 ปีจะมีตำแหน่งถึงพลเอกนั้นไม่ถูก เพราะผมตอนนี้อายุ 56 ปีแล้ว ยังเป็นแค่พลโท ผมจึงมาให้ท่านอาจารย์หลูฯ ช่วยทำนายดูว่าชีวิตผมเป็นอย่างไร และเมื่อไหร่จะได้เป็นพลเอกเสียทีครับ”

    อาตมาจึงใช้วิชาทำนายด้วยเทพทำนายให้หลี่กู้ ทำมุทรา “ลาภ” และมุทรากาลเวลา สุดท้ายใช้มุทราเรียนเชิญเทพเจ้าโชคลาภวาสนา พร้อมกับกล่าวคาถาว่า
    “คาถาสวดขึ้นสะท้านเมฆและทะเล ชี้ไปอวกาศและธรรมภูมิ สิ่งที่กระทำเหมือนไขแม่กุญแจด้วยลูกกุญแจ สิ่งที่สงบเหมือนสุริยะส่องนที ส่องจนเห็นหยินหยางสลับกันปรากฏเทพเจ้าโชคลาภวาสนาขอจงปฏิบัติตามคาถาไท้ซั่งเล่าจูนเทอญ”

    สวดสามจบ เทพเจ้าโชคลาภวาสนาก็ปรากฏตัวมาราวกับแสงไฟดวงหนึ่ง ที่ค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้น อาตมาจึงถามถึงดวงชะตาของหลี่กู้ทั้งชาติ เทพเจ้าโชคลาภวาสนาก็ตอบคล้ายอาจารย์เอียะอาตมาจึงถามว่า
    “แล้วทำไมถึงได้ปริญญาเอกช้าไป 2 ปี”
    เทพเจ้าโชคลาภวาสนาก็ตอบว่า
    “ความจริงเขาควรได้ปริญญาเอกตามที่ทำนายไว้ แต่มีอยู่ครั้งหนึ่ง เขาไปกับเพื่อนนักเรียนหนุ่มๆ ดื่มเหล้าแล้วไปเที่ยวโสเภณี เพราะเขาต้องการแสดงว่าใจกล้า จึงไปนอนกับโสเภณีคนหนึ่ง สาเหตุนี้จึงทำให้ช้าไป 2 ปี”
    “นอนกับโสเภณีคืนหนึ่ง ก็ช้าไป 2 ปี เลยหรือ”
    เทพเจ้าโชคลาภวาสนาก็ตอบว่า
    “อย่ามองข้ามโสเภณีแห่งหอเขียว พิงข้างประตูท่าทางเย้ายวนชวนทำชั่วพึงรู้ว่าสุภาพบุรุษสงวนท่าและรักตัวจะทำตัวเป็นพระเอกย่อมต้องกลัวๆหล่อนเหมือนดอกไม้ร่วงจึงให้ท่ายั่วยวนตัวเราอย่าเหมือนหยกขาวกิเลสดองทั่วเสียทรัพย์ผิดศีลเสียงานและเปลืองตัว ติดโรคร้าย รักษายากมหันต์เอย”
    เทพเจ้าโชคลาภวาสนากล่าวต่อว่า
    “เรื่องช้าไป 2 ปีเป็นการลงโทษสถานเบาเท่านั้น หากติดโรคร้ายอาจถึงตายแม้ได้เป็นดอกเตอร์ สุดท้ายก็ตายได้”
    อาตมาฟังแล้วก็พูดไม่ออก ถามต่อว่า
    “หลี่กู้ควรเลื่อนตำแหน่งเป็นพลเอกในปีอายุ 53 ทำไมปีนี้อายุ 56 ปีแล้ว ยังเป็นแค่พลโท แถมยังไม่มีงานดีๆ ทำด้วย เป็นเพราะเหตุใดหรือ”
    เทพเจ้าโชคลาภวาสนาได้เขียนอักษรจีน “เมาะซู” 2 คำให้อาตมาดู

    “เมาะซู มีความหมายว่าอย่างไร” อาตมารู้สึกแปลกใจ
    “ชื่อคน” เทพเจ้าโชคลาภวาสนาตอบ
    “คนๆ นี้เกี่ยวพันกับหลี่กู้หรือ”
    “แน่นอน” เทพเจ้าโชคลาภวาสนาตอบ
    “หลี่กู้นับว่าเป็นบัณฑิตทางโลกตัวยง เก่งทั้งบู้และบุ๋น (วิชาอักษรศาสตร์และยุทธศาสตร์) ตอนหนุ่มๆ ทำผิดศีลกามาก็ช้าไป 2 ปี เป็นการลงโทษสถานเบา เมื่อถึงวัยกลางคนไม่เพียงไม่เปลี่ยนนิสัย กลับยังชอบเล่นพิเรนทร์แบบชายต่อชายกับคนที่ชื่อเมาะซู ซึ่งเป็นชายหนุ่มรูปงาม และเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา หลี่กู้คบหากับเมาะซู 8 ปี การที่หลี่กู้ได้เลื่อนตำแหน่งถึงพลโทก็ถือว่าเคราะห์ยังดี เมื่อเป็นแบบนี้แล้วยังจะหวังอะไรถึงพลเอก เขาเพียงคิดแต่ลาภยศของตัวเอง ไม่คำนึงว่าตนทำเรื่องบาปกรรมไว้เลย”
    “อนาคตของหลี่กู้เป็นอย่างไรบ้าง”
    “ผลกรรมตกอยู่กับลูก”
    “ลูกเขาจะเป็นอย่างไรล่ะ”
    “ไร้ทายาทเพราะตายแต่เยาว์วัย” เทพเจ้าโชคลาภวาสนาตอบ
    อาตมาฟังแล้วก็ตกใจมากจึงลองถามเรื่องเหล่านี้กับหลี่กู้ไปเรื่องแรกพูดถึงเรื่องช้าไปสองปีจึงได้ปริญญาเอกหลี่กู้ก็ตอบว่า
    “มี ตอนหนุ่มๆ นึกสนุก พวกเราไปกันหลายคน ไม่นึกว่าเพราะอย่างนี้จะทำให้ช้าไปถึง 2 ปี”
    พอพูดถึงว่าเพราะเหตุใดจึงเป็นพลเอกไม่ได้ อาตมาได้เขียนชื่อ “เมาะซู” แล้วยื่นให้เขาดู เมื่อเขาเห็นแล้ว ได้แต่ก้มหน้าไม่พูดอะไร
    “มีเรื่องอย่างนี้จริงหรือ” อาตมาถาม
    “มีครับ” หลี่กู้พยักหน้าตอบ หลี่กู้ยืนขึ้นบอกว่า
    “ท่านอาจารย์หลูฯ ท่านทำนายแม่นจริงๆ ผมเข้าใจแล้วว่า ดวงชะตาของมนุษย์เราถึงจะมีลิขิตไว้แต่ก็มีการเปลี่ยนแปลงได้ และการเปลี่ยนแปลงนั้นขึ้นอยู่กับจิตใจนั่นเอง”

    “พูดได้ดีมาก หวังว่าเมื่อรู้สาเหตุแล้วจะตรึกตรองให้ดีจะได้ไม่ต้องเจอกับผลของวิบากกรรมอีก”
    ตอนหลี่กู้ลากลับ อาตมาได้ให้กระดาษแผ่นหนึ่ง เป็นข้อความเตือนใจว่า
    “ชายหญิงอยู่คู่ผัวเมียตามสัจธรรมจะให้กลับชายหญิงยุ่งเหยิงได้อย่างไร ทำคนอื่นโสโครกน่าอับอายชื่อเสียงของตนย่อมมัวหมอง เสียเงินเสียทองสูญเปล่าทำลายสุขภาพตนเองและผู้อื่นขอให้ท่านหันหน้ามองดูลูกหลาน กฎแห่งกรรมนั้นไซร้ไม่เว้นเอย”

    หลังจากนั้นไม่นานนัก ลูกโทนของหลี่กู้ได้ประสบอุบัติเหตุรถชนเสียชีวิต ทำให้เขาต้องไร้ทายาทผู้สืบตระกูลจริงๆ เป็นดั่งคำกล่าวของเทพเจ้าโชคลาภวาสนาที่ทำนายไว้ไม่มีผิดเพี้ยน

    มีอีกเรื่องหนึ่งที่เกี่ยวกับเทพเจ้าโชคลาภวาสนาเช่นกัน ครั้งหนึ่งมีคนๆ หนึ่งชื่อ “เยียนเม่า” เป็นเจ้าของโรงงานผลิตเครื่องมือโลหะภัณฑ์ หลายปีก่อนเคยมาถามเรื่องต่างๆ เทพเจ้าโชคลาภวาสนาก็ตอบว่า
    “อีก 15 ปีจากนี้ไปจะเป็นพ่อค้ามหาเศรษฐี”
    ผลคือประมาณ 10 ปีเศษ เยียนเม่าโรงงานเจ๊ง เนื่องจากกู้ยืมเงินมากเกินไป หนี้สินล้นพ้นตัว ต้องหนีไปต่างประเทศเร่ร่อนไปเรื่อย ไม่สามารถกลับบ้านเมืองได้เยียนเม่าอยู่ต่างประเทศด้วยความยากลำบากมาก เขาขายของตามบาทวิถีแบกะดิน มีรายได้น้อย แล้วไปเป็นคนงานก่อสร้าง จากเดิมที่เคยเป็นถึงเจ้าของโรงงาน เดี๋ยวนี้ต้องอยู่บนหลังคาบ้านที่กำลังก่อสร้าง สุดท้ายก็ถูกเลิกจ้าง เพราะงานก่อสร้างเป็นงานที่ตัวเขาไม่ถนัด เขาจึงไปเป็นลูกจ้างร้านอาหารพอมีเงินเป็นค่ากินอยู่ไปวันๆ ต่อมาเยียนเม่าสืบหาจนรู้ที่อยู่ของอาตมาในต่างประเทศจึงนั่งรถบัสมาพบ เขานั่งอยู่บนรถบัสสวัสดิการของรัฐเป็นเวลา 2 คืน 3 วัน ตอนเช้าตรู่เมื่ออาตมาได้พบเขา เห็นแล้วก็ตกใจ เยียนเม่าในอดีตใส่สูทเรียบร้อยเส้นผมเงาวับเวลาออกจากบ้านจะนั่งรถยนต์คันใหญ่สีดำมีคนขับรถและเลขาฯ แต่เยียนเม่าวันนี้หัวหงอกเทา แต่งตัวไม่เรียบร้อยสวมแจ๊คเก็ตเก่าขาด ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอยของการเดินทางไกลสภาพตกระกำลำบากน่าสงสาร อาตมาเชิญเขาเข้าบ้าน รินนมร้อนแก้วหนึ่งให้เขาและเชิญเขากินขนมปัง เขาบอกว่าเขายังไม่ได้กินอาหารเช้าด้วยซ้ำ
    “ไหนตอนนั้นเทพเจ้าโชคลาภวาสนาบอกว่า 15 ปีให้หลังผมจะเป็นมหาเศรษฐีแล้วตอนนี้ล่ะ”
    “ตอนนี้กี่ปีแล้ว” อาตมาถาม
    เยียนเม่านับนิ้วดู “15 ปี พอดีครับเทพเจ้าดูแลโชคลาภทำนายไม่แม่นแล้ว ท่านทำนายไม่แม่นแล้ว”
    อาตมาฟังแล้วก็พูดไม่ออกเยียนเม่าถามต่อว่า
    “ทำไมถึงไม่แม่นล่ะครับในปีนั้นเป็นช่วงที่โรงงานของผมรุ่งเรืองที่สุด ผมยังเชิญท่านอาจารย์หลูฯ มาดูฮวงจุ้ย และทำตามคำชี้แนะแก้ไขส่วนบกพร่องและพอให้ทำนาย ก็ได้รับคำทำนายว่า 15 ปีให้หลังต้องรวยแน่ๆ 15 ปีหลังเป็นช่วงสูงสุดของชีวิตผม บัดนี้ 15 ปีแล้ว ทำไมผมตกต่ำถึงเพียงนี้ เป็นเพราะอะไรครับ”
    “อาตมาเองก็ไม่ทราบว่า…” อาตมาเหงื่อแตก

    “แต่ตอนนี้ผมไร้หนทางแล้วท่านอาจารย์หลูฯ บอกผมหน่อยเถอะว่าต้องทำอย่างไร”
    “งั้นอาตมาจะลองทำนายดูอีกครั้ง”
    “ทำนาย…ทำนายทำไม” เยียนเมารู้สึกโมโหจากนั้นอาตมาก็เห็นเทพเจ้าโชคลาภวาสนาจูงมือเด็กสองคน
    “เด็กนี่เป็นลูกของใครกันล่ะ” อาตมาถามเทพเจ้าโชคลาภวาสนา
    “วิญญาณทารกของเยียนเม่า” เทพเจ้าโชคลาภวาสนาตอบ
    โอ้ อาตมาทราบแล้วในช่วงเวลา 10 กว่าปีมานี้ เยียนเม่าฆ่าเด็กในท้องภรรยา 2 คน จึงมีวิญญาณทารก 2 ตน อาตมาจึงพูดกับเยียนเม่าว่า
    “เยียนเม่า ท่านได้ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เมียท่านทำแท้งเด็ก 2 ครั้ง”
    “การทำแท้งมีถมไปบาปหนาอย่างนั้นหรือ” เยียนเม่าแย้ง

    เทพเจ้าโชคลาภวาสนาสั่นหัวและใช้นิ้วชี้ไปที่ฟ้า บนฟ้าปรากฏศาลแม่ชีหลังหนึ่ง ในนั้นมีแม่ชีเยาว์วัยและหน้าตาสะสวยเดินออกมาโดยจูงวิญญาณเด็ก 2 ตนที่เมื่อสักครู่เทพเจ้าโชคลาภวาสนาจูงมาด้วยอาตมาเห็นแล้วก็เข้าใจทันที
    “เยียนเม่าท่านเป็นสัตว์เดรัจฉาน ข่มขืนแม้กระทั่งแม่ชีวิญญาณเด็ก 2 ตนนั่นคือลูกของแม่ชีใช่ไหม”
    เยียนเม่าเหงื่อแตก
    “นี่…นี่…แม่ชีคนนั้นมาชอบผมเองนะ”
    “ในวัดในศาลเจ้ามีพระพุทธเจ้า มีพระโพธิสัตว์ มีวัชรธรรมบาล แล้วยังมีภิกษุและแม่ชีเป็นผู้ปฏิบัติธรรมที่ทรงศีลบริสุทธิ์ ถ้าไปล่อลวงพวกเขามาต้องมีโทษเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวเมื่อทำการไม่ระวังตัว เสพเมถุนกับแม่ชี เกิดมีลูก 2 ครั้ง แล้วทำแท้งทั้ง 2 ครั้ง นี่เป็นบาปกรรมหนักหนาขนาดไหนที่ตกต่ำทุกวันนี้ย่อมมีสาเหตุ”
    “จริงหรือครับ”
    “แน่นอน”
    “ผมควรทำอย่างไร”
    “สาบานและถือศีล ต้องเขียนคำเสนอต่อฟ้าดิน เขียนชื่อแซ่ วันเดือนปีเกิดให้ชัด ลงลายมือชื่อขอสาบานต่อฟ้าดินเผาคำเสนอตนรายงานต่อฟ้าดินว่า ขอสำนึกผิดในสิ่งที่กระทำในอดีต ต่อไปกระทำอย่างระวังตัว ไม่ขอข้องเกี่ยวกับเรื่องผิดศีลกามา จะตัดขาดความชั่ว กลับตัวกลับใจเป็นคนดีคนใหม่ ไม่เพียงเท่านี้ ต้องมีจิตเป็นกุศล ทั้งเตือนผู้อื่นด้วยวาจาและหนังสือ ให้ผู้คนละเว้นการทำผิดศีลกามา ตามพระสูตรกล่าวไว้ว่า ผู้ที่เตือนผู้อื่นละเว้นจากกามตัณหา จะได้กุศลเพิ่มพูน 5 ประการ และสามารถทำให้หลีกเลี่ยงการตกลงไปใน 3 อบายภูมิ เป็นการพยายามสร้างตนให้มีจิตใจสูงขึ้น”
    “ครับ ได้ครับ”
    เยียนเม่าตอบมีกลอนบทหนึ่งที่เกี่ยวกับผู้ปฏิบัติธรรมแล้วทำผิดศีลกามา มีใจความว่าดังนี้
    “หวังบำเพ็ญหลุดพ้นวัฏจักร อย่าพลอดรักจีบสาวน่ารังเกียจทำลายศีลทำลายชื่อเและเกียรติ บ่คำนึงบริสุทธิ์ของพุทธะเทพเจ้าโชคลาภวาสนาตามองดั่งสายฟ้า ชายหญิงฉวยโอกาสเกี้ยวพาราศี โทษทางโลกทางธรรมมิใช่เบา ทำตัวโง่เขลาตกหลุมไม่คุ้มเอย”
    ท้ายที่สุดอาตมาได้ส่งเยียนเม่ากลับไป และให้เงิน2,000 ยูเอสดอลลาร์ หวังว่าเขาจะกลับตัวกลับใจ

    เมื่อพูดถึงเรื่องของเยียนเม่า อาตมามีความคิดส่วนตัวดังนี้…นานมาแล้วอาตมาเคยดูภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง เนื้อเรื่องเล่าถึงบาทหลวงรูปหนึ่งที่ไปมีความรักกับหญิงสาวนางหนึ่งผู้หญิงคนนี้มีจิตใจคิดที่จะกำราบหัวใจของบาทหลวงพอดูแล้วทำให้คิดถึงสีกาที่ไปล่อลวงภิกษุ ผู้ชายที่ไปล่อลวงแม่ชีและพระภิกษุล่อลวงภิกษุณีเรื่องอย่างนี้ไม่ใช่ว่าไม่มี พอเรื่องแดงออกมา ปรากฏว่าสื่อมวลชนสนใจเป็นพิเศษ ลงข่าวพาดหัวทันที โดยไม่คำนึงว่าเป็นเรื่องจริงหรือข่าวลือ เพราะถ้าเป็นเรื่องทำผิดศีลของผู้ปฏิบัติธรรมแล้วละก็ ผู้อ่านยิ่งสนใจ เพราะจะทำให้หนังสือพิมพ์ขายดิบขายดี กาลสมัยเปลี่ยนไป เดี๋ยวนี้สื่อมวลชนมีความสามารถกลับขาวเป็นดำ ไม่มีใครสนใจความจริง สื่อมวลชนกลายเป็นทีมโฆษณาของข่าวคาวข่าวฉาวสำหรับผู้ปฏิบัติธรรมนั้นถ้าทำผิดศีล ก็ว่าด้วยกฎแห่งกรรม ถือว่ายิ่งน่ากลัว เพราะเป็นผู้รู้พุทธธรรม แต่ทว่ากลับทำผิดเสียเองในพระสูตรกล่าวว่า ผู้กระทำกรรมแห่งกามตัณหา สิ่งที่ได้มาคือภรรยาและบุตรสาวจะประพฤติผิดในกามไปด้วยต้องขาดลูกหลานสืบวงศ์ตระกูล ตายแล้วตกลงในสามอบายภูมิ กลายเป็นสัตว์เดรัจฉาน ผีเปรต หรือลงนรกร้อยพันหมื่นกัปกัลป์ ยากจะหลุดพ้นมาเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้ง ผู้ใดทำผิดศีลกามา จะสูญสิ้นตำแหน่งการงาน เสียชื่อเสียง สิ้นเปลืองเงินทอง ผู้ที่กามตัณหาจัดจะมีโรคภัยไข้เจ็บมาเบียดเบียนมาก อายุสั้น จะมีคนดูถูกเหยียดหยาม อาจสร้างศัตรูสุดท้ายเสียหายมากมายผู้หญิงที่ไปล่อลวงภิกษุ ผู้ชายไปล่อลวงแม่ชี หรือภิกษุแม่ชีที่ร่วมกันทำผิด นี่เป็นความชั่วอันดับหนึ่ง เพราะฉะนั้นในพุทธบัญญัติศีล 5 เบื้องต้นนั้น ศีลข้อกามา ถือเป็นเรื่องสำคัญ นักปราชญ์ผู้มีภูมิความรู้เหนือกว่าคนทั่วไป หรือบัณฑิตที่อยู่ในสังคม ย่อมมีความรู้สามารถมองออกว่า ต้นตอของกามตัณหาอยู่ที่ไหน บ้างก็ว่าให้ตัดขาดบ้างก็ว่าให้ระงับ แต่นิกายคุยหยานนั้นมีหลักการสำคัญว่าให้นำกามตัณหาที่เป็นความรู้สึกสามัญเปลี่ยนแปลงให้เป็นพลังขับเคลื่อนในการปฏิบัติธรรมในการปฏิบัติธรรมในการกล่าวเตือนและขอร้องเหล่านี้เพียงต้องการให้ทุกๆ คนฝ่าด่านแห่งความหลงของปุถุชนไปสู่ความปิติแห่งความบริสุทธิ์วิธีปฏิบัติของนิกายคุยหยานนั้นคือ กาย ลมปราณ แสงสว่าง วาจา จุดจักระและลมปราณไหลเวียน ใจ มหาสุขอย่างบริสุทธิ์ อาตมารู้ว่า ภิกษุและแม่ชีที่ยังไม่บรรลุธรรมนั้น ไม่ใช่นักปราชญ์และบัณฑิต ใครๆ ก็อาจทำผิดได้ แต่ต้องพยายามรักษาศีล รู้ว่าฟ้าดินจะลงโทษผู้ทำผิดศีลอย่างหนัก ต้องสำนึกความผิดที่เคยกระทำ ทุกๆ คนต้องเรียนรู้วิธีสำนึกบาปและยุติการทำบาปหนังสือธรรมะและหนังสือกุศลที่สอนให้คนทำดีนั้นต้องเผยแพร่ให้กว้างขวาง ให้ชาวโลกรู้ว่าการที่ยึดติดแต่การเสวยสุขทางวัตถุ และปล่อยใจตามกามตัณหานั้น สุดท้ายจะได้มาซึ่งความทุกข์ ไม่ควรส่งเสริมยุยง ถ้าทำได้แบบนี้สังคมจะมีสิริมงคลและความสงบสุข ประเพณีจะค่อยๆ ดีขึ้นจิตใจของคนก็จะได้สูงขึ้น ดั่งโศลกบทหนึ่งที่ได้เขียนว่า
    “ธุรกิจทุกแขนงให้ตั้งสมมุติฐานที่ตัวตน สิ่งที่ทำร้ายต่อเรือนร่างมีมากมาย ที่สุดรุนแรงคือหลงติดในกามตัณหา สุภาพบุรุษสมควรรักตัวเสมือนหยก อย่าคิดชั่วซื่อสัตย์บำเพ็ญในตัวตนเอย”
     
  9. chibasusumu

    chibasusumu สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    135
    ค่าพลัง:
    +169
    ตราทองของเทพเจ้ากวนอูราชัน

    ตราทองของเทพเจ้ากวนอูราชัน

    ในโลกนี้ตั้งแต่โบราณกาลมา ธุลีแห่งโลกีย์นั้นมีวิสัยกว้างใหญ่ไพศาล ที่รู้แจ้งจริงล้วนมีน้อย แต่ที่ลุ่มหลงนั้นมีมากมาย ผู้สำเร็จธรรม มรรคผล หาได้ยากยิ่ง ผู้มีบุญวาสนากลับมีมากมาย อาตมารู้สึกเสียดายเป็นยิ่งนัก จนทำให้อดไม่ได้ที่จะคิดถึงบทความของกวี บทหนึ่ง
    โธ่ ลาภยศ เป็นสิ่งจอมปลอม ก่อเกิดโมหะหลงผิด
    บนโลกนี้ เหล่าปุถุชน พากันลุ่มหลงผิดวิสัย
    เพียงช่วงชิง อำนาจ ชื่อเสียง และความสุข
    ไม่หวนคิดถึง หนี้กรรมเก่า ย้อนกลับมา
    มีอยู่ครั้งหนึ่ง จิตวิญญาณของอาตมาได้ท่องเที่ยวไปในภูมิธรรม จักษุทิพย์มองเห็นอยู่ไกลๆ มี ชี่ ที่แสดงเป็นกุศลส่องพุ่งขึ้นไป แสดงถึงสิริมงคล
    ที่แท้คือเทพเจ้ากวนอู นายพลโจวชางนั่นเอง และกวนผิง บุตรของกวนอู กำลังเดินมา และอาตมาก็มองเห็นแต่ไกลๆ มองเห็นคนๆหนึ่งลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า คนผู้นี้ถูกรายรอบด้วยเมฆสีแดง คุกเข่าลงต่อหน้าเทพเจ้ากวนอู หลังจากนั้นเทพเจ้ากวนอูได้ประทาน ตราทองคำให้ บุรุษผู้นี้
    เมื่ออาตมาเห็นก็แปลกใจว่า ผู้นี้คือใคร
    *ท่านเทพเจ้ากวนอูได้ตอบว่า เขามีนามว่า อุนผิง*
    เขาเป็นผู้บำเพ็ญธรรมจนสำเร็จหรือ
    *ถึงแม้เขายังไม่สำเร็จมรรคผล แต่ก็เป็นกึ่งอริยสัตบุรุษไปแล้ว
    โอ้ในเมื่อกึ่งอริยะกึ่งปุถุชน ก็ถือว่าหาได้ยากแล้ว อาตมาจะจดจำ ชื่อของเขาไว้
    *เทพเจ้ากวนอูหัวเราะ* มีโอกาสสัมพันธ์กันหรือไม่ วันหลังก็รู้
    อาตมาจึงตอบว่า ขอให้อุนผิงรู้แจ้งในการเกิดและดับ และมีโอกาสเข้าสู่พุทธภูมิโดยไวเถิด
    อุนผิงผู้นี้ได้รับการประทานตราทองจากเทพเจ้ากวนอู ในวันที่ 13 เดือน 5 ปีนักษัตรจีน ซึ่งเป็นวันที่เทพเจ้าเสด็จลงมายังโลกมนุษย์ ถือว่าเป็นเรื่องไม่ธรรมดาจริงๆ
    เหตุที่อุนผิงได้รับตราทองนี้ เขาได้กราบไหว้บูชาต่อเทพเจ้ากวนอู ทุกเช้าเย็น จุดธูปถวายผลไม้ไม่เคยขาด เขายังสวดมนตรา เจียะซื่อเจินจิง ของเทพเจ้ากวนอู หนึ่งจบ ตลอด 20 ปีเต็ม ความศรัทธาอย่างนี้ ทำให้เทพเจ้ากวนอูรู้ถึง ความซื่อสัตย์ และให้ความเคารพต่อท่านมาก
    อุนผิงเห็นเทพเจ้ากวนอูในฝัน และรู้ว่าเทพเจ้ากวนอูประทานตราทองให้
    การประทานตราทองนี้ถือเป็นเรื่องมงคล และสำคัญยิ่ง แต่ก่อนอาตมาเคยพูดว่า ธรรมาจารย์เจิ้นเหยียนแห่งมูลนิธิฉือจี้ มาขอพักอาศัยที่ศาลเจ้า หวังมู่เนียงเนียง ช่วงนั้นธรรมาจารย์ไร้ผู้ให้ที่พักอาศัย ต้องทนทุกข์ทรมานกาย จึงภาวนาขอต่อเทพเจ้าหวังมู่เนียงเนียง
    เมื่อเทพเจ้าหวังมู่เนียงเนียง เห็นว่าเธอเป็นพระภิกษุณีที่กตัญญู จึงได้ประทาน แหวนสารพัดนึกให้ วงหนึ่ง
    การได้รับการประทานแหวนวงนี้สำคัญมาก เพราะทำดวงชะตาของเธอเกิดการเปลี่ยนแปลง และสืบเนื่องจากความมีเมตตากรุณาของเธอ บวกกับความเพียรพยายาม และแหวนแก้วสารพัดนึก ของเจ้าแม่ ในที่สุดเธอก็สามารถก่อตั้งมูลนิธิ ฉือจี้กงเต๋อฮุ้ย ขึ้นมาได้ ชาวโลกทุกคนล้วน รู้จักพระภิกษุณีว่า ธรรมาจารย์เจิ้นเหยียนโปรดสัตว์ ด้วยความมีเมตตากรุณา และประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก แต่มีเพียงอาตมาที่รู้ว่า แหวนสารพัดนึก กำลังส่องแสงเจิดจ้า
    กลับมาเล่าเรื่องของอุนผิงต่อกันดีกว่า ก่อนที่เขาจะได้รับตราทองนั้น ตัวเขามีฐานะปานกลางเท่านั้น ได้ลงทุนธุรกิจร้านอาหาร และอสังหาริมทรัพย์บ้างเล็กน้อย แต่เมื่อเขาได้รับตราทองของเทพเจ้ากวนอู ธุรกิจร้านอาหารของเขาก็เจริญรุ่งเรืองไปอย่างรวดเร็ว แขกเต็มร้านทุกวัน แม้ร้านอื่นค้าขายไม่ดี แต่ร้านเขากลับขายได้ดีมาก รถราเต็มไปหมดจนร้านอาหารของเขาเปิดสาขาหลายแห่ง ที่สำคัญคือขายดีทุกแห่ง
    พอเขามีกำไรมากขึ้นก็ซื้อบ้านและที่ดิน ต่อมาบ้านและที่ดินที่เขาซื้อนั้นก็ราคาเพิ่มมากขึ้น จนอุนผิงกลายเป็นมหาเศรษฐี มีชื่อเสียงโด่งดัง อยู่บ้านหรูหรา ใช้แต่รถราคาแพงๆ ที่นำเข้าจากต่างประเทศ กินอาหารก็กินอาหารดีดี เสื้อผ้าสวมใส่ล้วนยี่ห้อดังๆ
    *วันหนึ่งอุนผิงได้มาถามอาตมาว่า ความร่ำรวยนี้อยู่ได้กี่ชาติ*
    อาตมาตอบว่า ชาติเดียวก็พอ เมื่อเขาได้ยินแบบนี้ รู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย
    *แล้วผมจะได้ขึ้นสวรรค์ไหม*
    อาตมาตอบว่า อาตมาคือสวรรค์ ท่านคือนรก เมื่ออาตมาพูดแบบนี้เขารู้โมโหมาก
    *พระอาจารย์หลูเซิ่งเยียน ท่านรู้ไหมว่าผมแขวนอะไรอยู่*
    รู้แต่ก็ไม่รู้
    *ทำไมท่านถึงพูดแบบคลุมเครือ ดูแล้วท่านไม่รู้มากกว่านะ คนอื่นว่าท่านเก่งเรื่องเทพทำนาย แต่ที่แท้ก็เป็นแค่นักหลอกลวงเท่านั้น*
    อาตมาบอกว่า ไม่รู้แต่ก็รู้
    *แล้วอะไรคือไม่รู้แต่ก็รู้*
    อาตมาถึงแม้พูดว่าไม่รู้ แท้ที่จริงก็คือรู้ จึงพูดว่าไม่รู้ แต่ก็รู้
    *ไม่ว่าจะรู้แต่ก็ไม่รู้ ไม่รู้แต่ก็รู้อะไรก็ตาม ถ้าท่านจะให้คำตอบได้วันนี้ผมจะยอมนับถือ ถ้ายังพูดแบบคลุมเครืออีก จะให้คนมาถอดป้ายของท่านออก แล้วท่านจะหลอกลวงคนอื่นไม่ได้อีกต่อไป
    เมื่ออาตมาพูดว่าคนคนนี้พูดให้เข้าใจได้ยาก อาตมาจึงเขียนตัวอักษร 2 คำ ว่าเทียนยู่ (ตราประทับแห่งฟ้า)
    *เขาก็ถามอาตมาว่า สองคำนี้หมายความว่าอย่างไร*
    ยู่คือตราประทับ เทียนคือสิ่งที่ประทานจากฟ้า
    *เขาเงียบ*
    อาตมาพูดว่า ตัวท่านมี เทียนยู่ ย่อมน่ายินดี แต่ต้องรู้จักวิธีรักษา เข้าใจบำเพ็ญตนให้บริสุทธิ์ มิฉะนั้นเมื่อ หมดบุญวาสนา ก็จะเกิดหายนะ
    *อุนผิงโกรธแต่ก็ตอบว่า... ผมมองออกแล้ว ที่จริงท่านรู้แต่อวิชชา ดูแล้วไม่มีความสามารถจริงๆ มีอะไรที่เป็นหลักธรรมคำสั่งสอน ให้รู้จักบำเพ็ญตนให้สะอาดล่ะ ผมไม่ฟังคำพูดบ้าๆ บอๆ ของท่านอีกแล้ว
    แล้วอุนผิงก็เดินจากไป
    อาตมาได้แต่อุทานว่า น่าเสียดายจริงๆ อุนผิง แม้สวดเจียะซื่อเจินจิง 20ปี แต่กลับไม่รู้หลักสัจธรรมแม้แต่น้อย อาตมาเพียงแต่ห่วงว่า อุนผิงผู้นี้เมื่อบุญวาสนาหมด เภทภัยจะมาเยือน อาตมาแนะนำเขาเพียงเล็กน้อย แต่จิตใจเขากลับมืดมิด ไม่ยอมไตร่ตรองสักนิด เป็นเรื่องที่ยากต่อการช่วยเหลือ ก็ต้องปล่อยไปตามเวรกรรม
    ต่อมา อาตมาได้ยินคนอื่นเขาเล่าว่า... อุนผิงได้บอกกับคนอื่นว่าอาตมาทำนายไม่แม่นยำ พูดแต่คำคลุมครือ ชี้ตะวันออกเป็นตะวันตก ชี้ตะวันตกเป็นตะวันออก เป็นนักต้มตุ๋นคนหนึ่ง ปากก็ว่าพุทธะ แต่เป็นอวิชชานอกรีต ให้ระวังอย่าให้อาตมาหลอกลวงเอาได้ คิดดูแล้วคงเป็นการหลอกลวงเอาทรัพย์สินเท่านั้น
    แถมอุนผิงยังได้คบกับพระสงฆ์ของวัดต่างๆ วิจารณ์อาตมาอีกว่า หากินกับเทพ เป็นนักต้มตุ๋นรายใหญ่ เป็นมารฟ้า และเป็นพวกนอกรีต
    อุนผิงยังอวดดี และชอบอวดทั้งทรัพย์สินเงินทอง และความมั่งมีของเขา เขาทิ้งบ้านที่หรูหราที่อยู่ไปซื้อดินผืนใหญ่แห่งหนึ่ง ใช้รถแทร็กเตอร์ดันบ้านเดิมออก แล้วสร้างบ้านใหม่ทั้งหลัง เหมือนพระราชวัง
    บ้านเขาสร้างเหมือนป้อมปราการ ทั้ง 4 มุมมีรูปแกะสลักอย่างสวยงาม เป็นศิลปะบาโร้ค
    บ้านหลังนี้ อิฐทุกก้อน กระเบื้องทุกแผ่น ฝาผนังบ้าน ล้วนใช้การแกะสลักอย่างสวยงามและหรูหรา ส่องประกายไปทั่ว ล้วนทำมาจากหินอ่อนอิตาลี ไม่เว้นแม้กระทั้งน้ำตกในสวน ประตูหน้าต่างที่ตกแต่งอย่างสวยงาม ทำให้คนที่มาเห็นต้องอุทานออกมาว่า สิ้นเปลืองและฟุ่มเฟือย
    ต่อมาไม่นาน อุนผิงได้ถูกมิตรชั่วชักชวนไปเที่ยวบาร์เหล้า หลังจากนั้นก็ลุ่มหลง แสงสีของบาร์เหล้า ต้องไปหาความสุขทุกคืน
    ในบาร์มี นางนาคาซี ร้อง คาราโอเกะอยู่ มีสาวสวยนั่งเป็นเพื่อน ทุกคนล้วนแต่แต่งตัวแข่งขันกัน ทำให้คนลุ่มหลง สาวบาร์เหล่านี้ชวนดื่มที่เชื้อเชิญด้วยวิธีการแปลกๆ ใหม่
    *สาวบาร์ บอกอุนผิงว่า ดื่มอย่างไม่ค่อยสนุก*
    อุนผิงจึงถามว่า แล้วดื่มอย่างไร
    *สาวบาร์ตอบว่า ป้อนคำต่อคำ*
    ป้อนอย่างไร
    สาวบาร์จึงทำให้ดู เธอดื่มคำหนึ่งอมไว้ในปาก แล้วป้อนเข้าปาก อุนผิง
    ค่ำคืนแห่งราตรี มีทั้งนาคาซี แสดงดนตรี แถมยังขึ้นมาเต้นรำกับสาวบาร์อีก อยู่ที่บาร์เหล้าร้องเพลงได้ หยอกล้อกันได้ มีทั้งเหล้า อาหารชั้นเลิศ
    อุนผิงเมาแล้ว แล้วตอนนี้เขาไม่คิดถึงคำสอนของ เจียะซื่อเจินจิง ที่มีข้อห้ามว่า เรื่องสุราและเนื้อสัตว์
    เดิมทีต้องมีศีลบริสุทธิ์ สะอาด ละเว้นการไม่กินเนื้อสัตว์ เพราะต้องฆ่าสัตว์และตัดชีวิต โดยเฉพาะเหล้ายิ่งดื่ม ยิ่งเหมือนยาพิษ เหล้ายิ่งดื่มมากยิ่งเหมือนคนบ้า ลุ่มหลง อยู่ในความฝันไม่รู้จักตื่น เรื่องอะไรที่เลวร้ายก็สามารถทำได้
    อุนผิง เขาชอบพูดเรื่องในกามารมณ์ แต่ในทางพระสูตร กลับให้เขาระงับ ต้องห่างเหินออกจากกาม รู้จักละวาง มีความรู้สึกเกรงกลัวต่อบาป ละอายต่อบาป นี่คือสิ่งต้องห้าม
    เมื่ออุนผิงเมาแล้ว เขาได้ชอบใจหญิงสาวนางหนึ่งชื่อเหมยเฟย แล้วเพื่อนคนหนึ่งก็ส่งเสริมให้เขาพานางออกไปนอกสถานที่
    อุนผิงถามว่าออกไปทำอะไร
    *ฟันสิวะ* ฟันทีละคน ทีละคน คืนนี้คุณคือฮ่องเต้
    หลังจากคืนนั้นเหมยเฟยได้ถูกอุนผิงพาตัวออกไป แล้วจากนั้นก็พาสาวในบาร์คนอื่นๆ ไปเกือบจนหมดร้าน สาวบาร์เป็นนางสนม อุนผิงเป็นฮ่องเต้ อุนผิงใช้เงินมากมาย ในแต่คืน
    อุนผิงถามเพื่อนว่า ข้าทำอย่างนี้จะบาปไหม
    *เพื่อนของเขาตอบว่า ซื้อเขาด้วยเงินทอง เหมือนทำการค้าขาย คุณพอใจ เขาต้องการ จะไปบาปอะไร?*
    สาวบาร์เหล่านี้จะเอาแต่เงินทอง พอรู้ว่าอุนผิงเป็นมหาเศรษฐี ก็เอาอกเอาใจกันยกใหญ่ ผู้หญิงพวกนี้มีลุ่มหลงและบาปหนา ไหนเลยจะรู้จักข้อห้ามปฏิบัติของสตรีเพศ
    สาวบาร์บางคนได้ไปไหว้เจ้า แต่ไหว้เทพตือโป้ยก่ายที่หลงผู้หญิงในนิทานเรื่องไซอิ๋ว เทพเจ้าองค์คือตือโป้ยก่ายจริงๆ เพราะมีรูปปั้นกอดผู้หญิงคนสวยคนหนึ่ง การบูชาเทพตือโป้ยก่าย ก็เพราะต้องการขอพรให้ผู้ชายมาลุ่มหลงพวกเขามากๆ
    เพื่อเงินตัวเดียวจึงกราบไหว้เทพอธรรม เมื่ออธรรมต่ออธรรมร่วมมือกัน ความบรรลัยจึงเกิดขึ้น ต้องทนทุกข์ต่อการเวียนว่ายตายเกิดไม่มีที่สิ้นสุด
    ยังมีสาวบาร์บางส่วนที่กราบไหว้ เทพไป่ซิ่นกง เทพเจ้าแห่งผี อิ่วยิ่นกง โดยบูชาเพื่อให้มีลูกค้ามาใช้บริการมากๆ
    ตามที่อาตมาทราบมาว่า ทางภพภูมิของวิญญาณมีอยู่เรื่องหนึ่งคือ ทุกๆปีของจันทรคติจีน ในวันที่ 24 เดือน 12 เทพเจ้า เจ้าจูน เทพประจำเตาไฟในห้องครัวซึ่งมีหน้าที่เขียนบันทึกความดี ความชั่วของแต่คนในบ้าน เทพเจ้าจึงเขียนบันทึกเรื่องของอุนผิง แล้วได้ขึ้นสวรรค์ไปรายงานต่อเทพเจ้ากวนอู
    เทพเจ้าเขียนบันทึกดวงชะตากล่าวว่า... เกิดมาจากกามา ตายด้วยกามา เหมือนฝันไม่ตื่น ตื่นไม่รู้ รู้ไม้ตื่น มืดมิดรอบด้าน
    เทพเจ้ากวนอูได้ฟังแล้วก็โกรธมาก เพราะผู้ที่แขวนตราทองของเทพเจ้ากวนอูนั้น ต้องมีเทพเจ้าแห่งสิริมงคลนับร้อยองค์คอยติดตามคุ้มครอง ไปไหนมาไหนล้วนเป็นสิริมงคล มีประโยชน์วิเศษมากมาย ไม่เพียงเท่านั้น หากบำเพ็ญเพียรภาวนามีโอกาสสำเร็จทางพุทธะ สามารถข้ามพ้นจากวัฏสงสารไปได้ เรื่องนี้ไม่ใช่ธรรมดา
    *นายพลโจวชางรีบไปเอาตราทองของข้ากับคืนมา*
    *รับทราบครับ* นายพลโจวชาง
    แล้วนายพลโจวชางก็ไปเอาตราทองจากอุนผิงกลับคืนมา
    พออาตมารู้เรื่องเข้าก็รู้สึกเป็นห่วงอุนผิงขึ้นมา จึงรีบให้คนไปแจ้งข่าวให้เขาทราบ ขอให้อุนผิงทำพิธีสำนึกบาปกรรมที่ทำขึ้นโดยเร็ว แต่อุนกลับไม่ยอมเชื่อ
    เขายังบอกอีกว่า เงินทองที่เขาหามาได้ใช้สุรุ่ยสุร่ายทั้งชาติก็ไม่หมด ขอแค่อย่าเล่นการพนัน เขายังบอกอีกว่า ออกเที่ยวแค่สถานที่บันเทิงแค่นี้กับพาสาวๆสวยๆ ไปไม่กี่คน ไม่มีวันหมดแน่นอน
    เป็นความจริงที่อุนผิงกล่าวถ้าไม่เล่นการพนัน เที่ยวอย่างเดียวใช้ทั้งชาติก็ไม่หมด
    วันหนึ่งอุนผิงฝันว่า นายพลโจวชางมายึดตราทองของเขาไป
    อุนผิงถามว่า เมื่อมอบให้แล้ว ทำไมถึงมาทวงคืน
    *นายพลโจวชางบอกว่า ไม่เพียงแต่จะทวงเอาตราทองคืน ยังทวงเอาชีวิตอีกด้วย*
    อุนผิงถามว่า ทำไมต้องมาทวงเอาชีวิตด้วยล่ะ
    *นายพลโจวชางจึงบอกว่า ไม่เคยรู้หรือว่าในพระสูตรเจียะซื่อเจินจิง กล่าวว่า ชายเจ้าชู้ จงดูง้าวมังกรเขียวเสี้ยวพระจันทร์*
    เมื่ออุนผิง ตื่นขึ้นเขากลับไม่รู้สึกวิตกกังวลแต่อย่างใด เขาเพียงแต่คิดว่าคงฝันไปเท่านั้น
    เมื่อตราทองถูกทวงคืน ไม่นานนัก ภัตตาคารใหญ่ของอุนผิงก็เกิดเหตุไม่คาดฝัน ลูกค้าหลายราย เกิดอาการปวดท้องอย่างมาก แพทย์บอกว่าเกิดจากอาหารเป็นพิษ มีเชื้อโรคปะปนอยู่ ถึงจะไม่มีคนตายแต่ก็เป็นเรื่องใหญ่ ภัตตาคารของอุนผิงเกิดอาหารเป็นพิษ หลายแห่งหลายที่ เป็นข่าวลงหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ
    เมื่อเป็นเช่นนี้ธุรกิจของเขาจึงตกต่ำลงไปเรื่อยๆ เดิมทีธุรกิจของเขาเจริญรุ่งเรืองมาก แต่ตอนนี้กลายเป็นว่าเงียบเหงาไม่คนเข้าแม้แต่คนเดียว สุดท้ายก็ได้ปิดกิจการลง ทีละร้าน ทีละร้าน
    ถึงแม้จะปิดป้ายโฆษณาอย่างไร แต่ก็ไม่มีคนเข้าร้านแม้แต่น้อย ธุรกิจบ้านจัดสรร ของเขาเดิมทีเจริญรุ่งเรืองมาก แต่พอดวงชะตาเปลี่ยน เรื่องร้ายๆมักจะเกิดขึ้นเสมอ เขตหมู่บ้านของอุนผิงรับทำอยู่นั้น เกิดพายุลูกใหญ่เข้าถล่ม และเกิดฝนตกหนักมาก ทำให้ดินโคลนถูกชะออก ฐานก่อสร้างได้รับความเยหาย ด้านบนเป็นอาคารสูง เมื่อฐานไม่มั่นคง อาคารหลายหลังจึงเอียง กลายเป็นเขตพื้นที่อันตราย
    เมื่อเกิดเหตุการณ์ครั้งนี้ ทำให้อุนผิง ต้องชดใช้ค่าเสียหายเป็นหมื่นๆล้าน ยังมีคดีความอีกที่ไปติดสินบนเจ้าหน้าที่ของทางการ แม้ค่าเสียหายชดใช้เสร็จแล้ว แต่คดีความกลับไม่เสณ็จสิ้นลงง่ายๆ ยิ่งแย่ไปกว่านั้น อุนผิงดื่มสุรามากไปจนเกิดโรคตับแข็ง เพียงครึ่งปีต่อมาเขาก็ได้เสียนชีวิตลง
    อุนผิง จากเดิมเคยได้รับตราทองไป แล้วชีวิตเขากลับเจริญรุ่งเรือง เมื่อเสียตราทองไปชีวิตเขากลับตละปัตร สุดท้ายตายด้วยพิษสุรา
    อาตมาจึงนึกถึงโลกปัจจุบีน ธุรกิจลามกกำลังรุ่งเรือง เด็กวัยรุ่นหลายคนล้วนติดภาพลามก จึงเกิดจิตวิปลาสขึ้น เริ่มต้นจากหนังสือลามก การออกหนังสือมาหนึ่งเล่ม ก็ทำร้ายผู้คนนับเป็นร้อยเป็นพัน เป็นหมื่นคน
    ผู้ที่เขียนหนังสือลามกออกมา เพียงเพื่อต้องการแลกกับค่าเขียนเท่านั้น อาจคิดว่าไม่ได้ตั้งใจ แถมยังมีในเว็บไซต์อีก เพื่อโฆษณา ให้ผู้คนติดตามอีก
    อาตมาจะของเล่าเรื่อง มีคนๆหนึ่ง เป็นเพื่อนที่เรียนกับอาตมา เขาคนนี้แซ่จาง เป็นคนฉลาดผลการเรียนดีมาก
    สมัยสอบเข้าโรงเรียนมัธยมปลาย เขาหลงติดใจหนังสือลามก แอบซื้อมาจากพวกขายหนังสือใต้ดิน ในสมัยนั้นรัฐบาลเขาห้ามขาย แต่มีบางกลุ่มเขาก็ยังฝ่าฝืน
    เพื่อนแซ่จางคนนี้ของอาตมา ชอบอ่านหนังสือลามกมาก และมักจะสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง เขาแนะนำให้อาตมาอ่านด้วย เมื่ออาตมาเปิดอ่านก็ตกใจมาก แต่โชคดีที่ไม่ได้ติดหลงตามไปด้วยแต่เพื่อนแซ่จางกำลังยังไม่สมบูรณ์ ร่างกายเจริญเติบโตยังไม่เต็มที่ จึงมีปัญหาทางด้านสุขภาพ สุดท้ายร่างกายจึงซีดผอม หน้าตาเหลือง เนื้อตัวผอมแห้ง โรครุมล้อม พ่อแม่เห็นตกใจ แต่ไม่รู้จะทำอย่างไรดี
    เพื่อนแซ่จางนั้นสุดท้ายก็กลายเป็นคนวิกลจริต เข้าไปรักษาอยู่ในโรงพยาบาลโรคประสาท
    แล้วอะไรล่ะที่ทำร้ายเขา ...?
    และผู้เขียนหนังสือลามก และภาพลามก รวมทั้งสื่อต่างๆ ล้วนคือฆาตกรทางอ้อม
    อาตมาว่า อย่าคิดว่าจะเกิดเฉพาะกับหนุ่มสาวเท่านั้น คนเฒ่าคนแก่ก็เหมือนกัน
    อาตมาเคยเห็นหญิงสาวในตู้กระจกยุโรป นิวยอร์ค วันหนึ่งอาตมาเดินผ่าน พบหญิงสาวผิวดำคนหนึ่ง สวมเสื้อโอเวอร์โค๊ท มาดักหน้า ยื่นแผ่นกระดาษให้ เขียน คุณจะนัดฉันไหม
    อาตมาส่ายหัว ... สาวผิวดำคนนั้น กล่าวว่า ฉันสามารถทำให้คุณเป็นพระราชาได้นะ
    อาตมาส่ายหัวอีก หล่อนก็พูดว่า ฉันเป่าปี่เก่ง คุณจะเหมือนขึ้นสวรรค์เลยล่ะ
    อาตมารีบตอบไปว่า ไม่ คือไม่
    แล้วสาวคนนั้นก็ถอดเสื้อออก หล่อนเปลือยกายล่อนจ้อน
    อาตมาหันหน้าหนี และตกใจ จึงตั้งสติรีบวิ่งหนีออกมา แทบตาย เธอหัวเราะเสียงดังอยู่ด้านหลัง
    ทุกวันนี้ธุรกิจลามก ไม่ใช่แค่ที่กล่าวมา ตามโฆษณาทั่วไป ทุกวันนี้อาจมีโอกาสมาพัวพันในเรื่องมากขึ้น ไปทางไหนก็เจอ
    พวกเราถูกสิ่งแวดล้อมที่ไม่ดีมาลุ่มล้อม อาจตกเป็นเหยื่อเอาโดนง่าย ประกอบกับมีการยุยงส่งเสริมด้วยแล้ว หากจิตใจไม่มั่นคง อาศัยการบำเพ็ญธรรมเพื่อให้เกิดสมาธิจิต ก็จะผิดพลาดโดยง่าย
    อาตมาอยู่ฝรั่งเศส ยังเห็นว่ามีเรื่องที่แปลก เรียกได้ว่าสามารถแลกเปลี่ยนภรรยากัน สาวประเภทสองร่วมรักกัน รู้สึกว่า ประเพณีอันดีงามของโลกสูญสิ้นไปเสียแล้ว ร่างกายและจิตใจมนุษย์ทั่วไปถูกใช้ไปในทางที่ผิด เกิดกามโรคจนถึงความตาย ไร้ผู้สืบวงศ์ตระกูล นึกถึงตอนนี้ก็สายเสียแล้ว อาตมาขอเตือนชาวโลกว่าให้ระวังเรื่องของกาม สื่อลามกทุกชนิด ย่อมเป็นเภทภัยมาสู่ตน
    การที่อุนผิงได้รับการประทานตราทองของเทพเจ้ากวนอู เดิมทีถือเป็นศิริมงคล ถ้ารู้จักวิธีรักษา ย่อมเป็นเรื่องที่ดีงาม
    แต้หน้าเสียดายเมื่อบุญวาสนาหมด โดนเทพเจ้ายึดตราทองคืน โชคลาภวาสนากลับกลายเป็นความหายนะ ดังคำกล่าวที่ว่า
    ภัยพิบัติเอ๋ยเป็นที่พึ่งพิงบุญวาสนา
    บุญวาสนาเป็นที่มาของเภทภัย
    ความสุขและความเสียใจ ล้วนพอกัน
    ทั้งบุญบาป หายนะ ความเจริญ ล้วนอยู่ในภพภูมิเดียวกัน
    ถ้าอุนผิงเดิมทีไม่มีตราทอง เขาก็จะมีชีวิตอย่างเรียบง่ายธรรมดา อย่างน้อยก็อยู่อย่างไร้กังวล
    แต่เมื่อได้ตราทองแล้ว บุญวาสนาก็มาถึง ความโลภ ความอยาก ก็เริ่มขึ้น จนถึงกลับพบจุดจบแห่งหายนะ เหมือนกับว่าตราทองคือผู้ทดสอบ
    อาตมารู้ว่า ในความมืดมิดนั้นล้วนมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ กำลังตรวจตรา ผู้ที่ปฏิบัติธรรม ดวงชะตา ย่อมมีการเปลี่ยนแปลง จะได้ลาภ เพิ่มอายุขัย เพิ่มบุญวาสนา เพิ่มสติปัญญา ผู้ทำบาปกรรม ล้วนจะถูกตัดอายุขัย โรคร้ายลุ่มเร้า เสื่อมลาภ อาจตายโหง
    เรื่องของอุนผิงถือเป็นตัวอย่างที่ดี
    อาตมามีลูกศิษย์คนหนึ่งได้รับยันต์คุ้มครองสุขภาพของอาตมา เขาพกพายันต์นี้ไว้กับตัวอยู่ตลอด และทะลุถนอมมันมาก
    ครั้งหนึ่งเขาอยู่สถานบันเทิง พบกับหญิงสาวคนหนึ่งทั้งสองคุยกันถูกคอมาก เพื่อนๆยุให้เขาพาเธออกไปนอกสถานที่
    ขณะที่ลูกศิษย์คนนี้กำลังลังเลใจอยู่ เขาก็ได้ยินเสียงแว่วมาในหูว่า *ไม่ได้* เขาก็นึกในใจว่าแปลกจริงหนอ นั่นมันเสียงของท่านอาจารย์หลูเซิ่งเยียนนี่น่า แต่ก็มองไม่เห็นท่านอาจารย์หลูฯมา พอผ่านไปอีก กำลังจะไปข้างนอก ก็ได้ยินอีกว่า *ไม่ได้* เป็นอย่างนี้อยู่ สามสี่รอบ
    ลูกศิษย์คนนี้มีหน้าที่ติดต่อธุระภายนอกให้กับบริษัทแห่งหนึ่ง ออกงานรับรองแขกเป็นเรื่องธรรมดา ปกติสามารถระงับกามอารมณ์ได้ แต่วันนี้ไม่รู้เป็นอะไร ทางบ้านก็มีภรรยา และลูกน้อย บำเพ็ญธรรมลับของพุทธแท้นิกาย รับศีลพระโพธิสัตว์ ไม่ยึดติดในกามา
    สุดท้ายเขาจึงสำนึกผิดได้ และตระว่าตนคือผู้บำเพ็ญธรรมคุยหธรรม และรับศีลพระโพธิสัตว์แล้ว นึกถึงคำสั่งสอนของพระอาจารย์หลูฯ ที่กล่าวว่า อวิชชา เป็นบ่อเกิดแห่งความตกต่ำทั้งปวง ตนเราไม่มีกามตัณหา ลมปราณก็แผ่ขยายไปตามอวัยวะน้อยใหญ่ ไหลไปตามช่องพลังซ้ายขวา และศูนย์กลาง มีกามตัณหาเกิดขึ้น ไฟราคะรุ่นแรง อวัยวะร้อนดั่งไฟเผา ไขกระดูกวิ่งผล่านตามตามทวารแห่งชีวิต เหมือนเช่นไฟอัคคีเผาน้ำที่อยู่ในหม้อ ย่อมจะเหือดแห้งทันที นี่คือสัญญาณแห่งกามตัณหา
    ลูกศิษย์ของอาตมาเมื่อสำนึกได้ จึงหาโอกาสหนีกลับบ้าน เพื่อนที่ไปด้วยกันก็ไปนอนกับหญิงสาวคนนั้น ปรากฏว่าเพียงคืนเดียวก็ติดโรค ทางเดินปัสสาวะอักเสบเจ็บจนหน้าเขียว รีบเข้าโรงพยาบาลรักษา สุดท้ายจึงรู้ว่าหญิงสาวคนนั้นเป็นกามโรค ถึงแม้จะไม่ตาย แต่ก็ต้องร้องไห้คร่ำครวญ น่าสงสารยิ่งนัก
    เพื่อนๆ ต่างพากันหัวเราะเยาะเย้ย รับเคราะห์แทนเขา
    เมื่อลูกศิษย์มาเล่าเรื่องนี้ให้อาตมาฟัง จึงคิดว่าแขวนยันต์คุ้มตรองสุขภาพของอาตมาจึงรอดปลอดภัย
    เขาถามว่า *คำว่าไม่ได้* เป็นคำของท่านอาจารย์ใช่ไหมครับ
    อาตมาได้แต่ยิ้ม อาตมาจึงตอบเขาไปว่า มีเทวดา และผีสางในที่มืดเขารับรู้อยู่
     
  10. chibasusumu

    chibasusumu สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    135
    ค่าพลัง:
    +169
    นางผี

    นางผี

    ในงานเลี้ยงวันหนึ่ง มีทั้งผู้ที่รู้จักและไม่รู้จักกับอาตมา และในหมู่ผู้ที่รู้จักนั้นก็ได้มาขอให้อาตมาช่วยวิเคราะห์ ดวงชะตาราศีของบุคคลที่มาร่วมงาน ปรากฏว่ามีคนชื่อฉีหมิงได้ถามอาตมาว่า
    ผมได้ยินกิตติศัพท์ของท่านอาจารย์ เหลียนเซิน หลูเซิ่งเหยียน มาตั้งนานแล้ว แต่ยังไม่มีโอกาสพบท่าน ผู้มีความสามารถ และทรงคุณวุฒิวิชาต่างๆ วันนี้ได้พบนับเป็นบุญวาสนายิ่งนัก ขอท่านอาจารย์หลูโปรดชี้แนะผมด้วย ได้หรือไม่ครับ
    อาตมาได้เข้าสมาธิจิต อยู่นั้น ก็ถึงกับต้องตกตะลึง บนตัวท่านฉีหมิงมีกลิ่นอายของผีสางอยู่นะ และพอทุกคนได้ฟัง ก็พากันตกตะลึง บ้างก็คิดว่าอาตมาพูดล้อเล่น พูดขู่ให้ตกใจ พูดจาเพ้อเจ้อ ทุกคนต่างจ้องมองไปที่ฉีหมิง แต่ฉีหมิงกลับตอบอาตมาด้วยอาการที่ไม่สะทกสะท้านว่า
    ท่านอาจารย์หลู เซิ่งเยี่ยน ท่านพูดถูกต้องแล้ว เป็นอย่างที่ท่านกล่าวนั้นล้วนเป็นความจริง พอทุกๆคนได้ฟังฉีหมิงพูดแบบนี้ ทำให้ยิ่งตกตะลึงไปตามๆกัน มากกว่าเดิม
    *แล้วผมต้องทำอย่างไรดีครับ จึงจะแก้ไขได้*
    เมื่อกลับถึงบ้านขอให้นั่งสมาธิ ภาวนาอมิตาพุทธ (อันนี้ผู้เรียบเรียงภาวนาดูแล้ว ออกนุ่มๆดี เหมือนโสตตัตะภิญญา) โดยตั้งใจถือศีล 5 ประมาณ 3 เดือนเต็ม ก็จะหลุดพ้นจากห่วงโซ่นี้ได้ เพียงเท่านี้กลิ่นอายผีสางก็จะสลายไปเอง
    *ฉีหมิงขอบคุณพระอาจารย์หลูฯ และถามขึ้นว่า
    เมื่อท่านอาจารย์หลูฯ ทราบว่าผมถูกผีเข้าสิงได้ ก็ต้องทราบว่า ผีตนนั้นมีเจตนาร้ายต่อผมหรือไม่ การที่ถูกผีสิงนั้นย่อมเป็นสิ่งไม่ดี แต่เมื่อตรวจดูอย่างถ่องแท้แล้ว ผีตนนี้เป็นผู้หญิง ไม่ได้มีเจตนาคิดร้ายต่อท่าน ประการใด เพียงแต่มีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งต่อกัน ฉะนั้นผีตนนี้จึงไม่เป็นปัญหาที่จะก่อให้เกิดอันตรายต่อท่าน โดยประการใด
    เมื่อฉีหมิงได้ฟังก็บอกว่า ตนเองนั้นทึ่งและนับถือท่านมาก ท่านอาจารย์หลูฯ เก่งสมคำร่ำลือกัน จริงๆ
    แล้วงานเลี้ยงคืนนั้นฉีหมิงก็ได้เล่าสาเหตุที่เกิดขึ้นกับตนให้ทุกคนฟัง
    ผมได้เดินทางไปที่ประเทศญี่ปุ่น เพื่อเจรจาทางด้านการค้า ที่โตเกียว และได้พักอยู่ที่โรงแรมแห่งหนึ่ง บนชั้นที่ 6 คืนนั้นเอง พอผมนอนหลับลงคล้าคล้ายกับว่า ข้างตัวรู้สึกเหมือนมีใครบางคนนอนอยู่ พอลืมตาขึ้นมาก็เห็นเป็นหญิงสาวหน้าตาสวยงาม รูปร่างได้สัดส่วน กลิ่นตัวหอมหวนเหมือนกับดอกไม้ เพียงแต่ตอนนั้นเขายังไม่แน่ใจว่าเป็นความฝัน หรือความจริง
    สักพักหนึ่งก็ทำให้เกิดความสัมพันธ์อันลึกซึ้งต่อกัน แต่เมื่อตื่นขึ้นมากลับปรากฏว่าไม่เหลือร่องรอยอะไรเลย ส่วนหญิงสาวคนนั้นก็ได้หายไป ที่ประตู หน้าต่างก็ยังปิดอยู่ ผมถือว่าเป็นเรื่องที่แปลกมาก ผมคิดว่าคงจะฝันไปเท่านั้น
    คืนต่อมา หญิงสาวที่มาพบเมื่อคืนก่อนก็ปรากฏตัวอีก ฉีหมิงก็ถามเธอว่าพักอยู่ที่ไหน เธอก็ตอบว่าพักอยู่ชั้น 7 และบอกหมายเลขห้องนั้น พอฉีหมิงตื่นขึ้นผู้หญิงคนนั้นก็ได้หายไปอีก ฉีหมิงจึงออกจากห้องไปขึ้นลิฟท์ไปที่ชั้น 7 เพื่อไปหาผู้หญิงคนนั้น แต่ปรากฏว่า
    ลิฟท์ไม่ยอมหยุดอยู่ที่ชั้น 7 แต่กลับไปหยุดที่ชั้น 8 แทน และชั้นที่ 9 ,10 เมื่อฉีเมิงเห็นอย่างนี้จึงตัดสินใจหันไปใช้บันได เพื่อขึ้นไปชั้นที่ 7 แต่เมื่อฉีเมิ่งไปพบกลับปรากฏว่าประตูชั้นที่ 7 นั้นปิดตาย ไม่สามารถเข้าไปได้ ฉีหมิงจึงตัดสินใจไปถามพนักงานว่าชั้นที่ 7 มีใครพักอยู่หรือ พนักงานก็ตอบว่าไม่มี ใครพักอยู่เลยสักคน
    ทำไมถึงจะไม่มีใครพักละ ฉีหมิงถาม
    พนักงานบอกว่า ชั้นที่ 7 ทางโรงแรมของเรากำลังปิดปรับปรุงและซ่อมแซมอยู่ แล้วจะมีใครพักได้ละ
    ฉีหมิงเมื่อได้ฟังคำตอบนี้ถึงกับฉุนงงไป และตกใจมาก
    เมื่อเขากลับถึงห้องพัก ฉีหมิงก็ได้แต่ครุ่นคิดในใจถึงเรื่องนี้ และคืนต่อมา หญิงสาวนั้นได้ปรากฏตัวอีกครั้ง ราวกับว่าฝันไปอีก และเธอบอกกับฉีหมิงว่าจะมาอยู่กับฉีหมิง แต่ฉีหมิงได้บอกปฏิเสธไป และถามเธอว่า ตกลงเธอพักอยู่ที่ไหนกันแน่ แต่เธอก็บอกว่า ฉันพักที่ชั้น 7 ห้องเดิม
    ฉีหมิงบอกว่า ชั้น 7 อยู่ระหว่างปิดปรับปรุงซ่อมแซมอยู่ จะมีคนไปพักได้อย่างไร เมื่อหญิงสาวคนนั้นได้ฟัง ก็ตกใจ และน้ำตาไหลออกมา
    เมื่อฉีหมิงได้เห็นเหตุการณ์นี้ก็ตกใจ แล้วพูดว่า คุณบอกกับผมมาตรงๆ ไม่ต้องร้องไห้ ผมเพียงแค่ต้องการรู้ความจริงเท่านั้น
    หญิงสาวคนนั้นจึงตอบไปว่า เพราะต้องการขอความช่วยเหลือ จึงยินยอมมอบกายให้
    แล้วมันเรื่องอะไรล่ะ ฉีหมิงถาม
    *ที่หมู่บ้านของคุณมีชายชื่อว่า ฉีเยียนใช่ไหม*
    ใช่ เขาอยู่บ้านเดียวกับผม และเป็นเพื่อนที่ร่ำเรียนด้วยกันมา
    *ฉีเยียนไร้คุณธรรม เมื่อครั้งที่ฉันพบเขาที่ญี่ปุ่น ฉันทุ่มเทส่งเสียค่าเล่าเรียน และพลีกายให้เขา เราทั้งสองคนต่างให้คำมั่นสัญญาและสาบานต่อกันว่า ถ้าไม่ใช่ฉันเขาจะไม่แต่งงานด้วยกับคนอื่นเด็ดขาด และถ้าไม่ใช่ฉันก็จะไม่ขอมีคู่ครอง
    แต่ไม่นึกเลยว่าเมื่อเขาเรียนจบ เขาก็ได้หนีกลับประเทศแล้วไม่กลับมาอีก หายสาบสูญไม่ส่งข่าวคราวมาให้ทราบเลย มารู้ทีหลังว่าเขาได้แต่งงานกับผู้หญิงอื่นไปแล้ว ฉันได้แต่โศกเศร้าเสียใจ และสุดทน ชีวิตนี้ทุ่มเทให้กับเขามากมาย ฉันเสียใจมากที่สุด จนสุดท้ายเกิดความแค้นจึงตัดสินใจฆ่าตัวตาย
    เมื่อฉีหมิงได้ฟังเรื่องเล่านี้ จึงรู้สึกตกใจและสงสาร
    เธอเป็นผีจริงๆด้วย ฉีหมิงกล่าว
    แล้วใบหน้าของเธอก็ได้เปลี่ยนไป ใบหน้าเต็มไปด้วยเลือด ลิ้นยาวเต็มปาก ฉีหมิงเห็นแล้วยิ่งตกใจกลัว ถอยหลังไปหลายก้าว และได้นึกถึง เมื่อ 2 วันที่แล้ว ที่มีความสุขด้วยกัน แต่บัดนี้เธอกลับกลายเป็นผีร้าย กลิ่นตัวเหม็นเน่า แทบจะอาเจียน
    *ได้โปรดช่วยฉันด้วย ฉันไม่ได้คิดร้ายกับคุณแม้แต่น้อย ผีร้ายนั้นบอก*
    แล้วจะให้ช่วยอย่างไร
    ในตัวของฉันมีปิ่นทอง 1 เล่ม คุณขึ้นไปชั้นที่ 7 ที่ห้องนั้น แล้วขานเรียนชื่อฉัน เพราะว่าฉันได้แขวนคอตายในห้อง พอคุณเรียกชื่อเท่านั้น ฉันจะเข้าไปสิงอยู่ในปิ่นทอง เมื่อคุณกลับไปที่บ้านของฉีเยียน จากนั้นจึงโยนปิ่นทองเข้าไปในบ้าน ตรงกลางสนามหญ้า
    ขณะนั้นเป็นวันที่ฉีเยียนกำลังจัดงานเลี้ยงฉลอง เข้ารับตำแหน่งทางราชการพอดี แขกเหรื่อที่มา ร่วมงานต่างกำลังสังสรรค์ และอวยพรให้ฉีเยียน
    ฉีเยียนมีความสุขและปลาบปลื้มใจเป็นอย่างมาก และมีภรรยาเคียงคู่ ช่วยกันรับแขกอยู่
    แต่เมื่อปิ่นทองได้เข้าไปในตัวบ้าน ฉีเยียนกลับเกิดอาการ เหมือนมีลมพัดผ่านเข้ามา และรู้สึกเวียนหัวจนล้มไป และถูกนำส่งโรงพยาบาล
    แพทย์ได้วินิฉัยโรคของฉีเยียนว่า เขาได้ดื่มสุรามากจนเกินไป จนทำให้เส้นโลหิตในสมองแตกไม่สามารถรักษาได้ สุดท้ายฉีเยียนจึงถึงแก่ความตาย แล้วต่อมาไม่นานนักภรรยาของเขาก็มาล้มตายไปอีกคน
    เมื่อฉีหมิงเล่าเรื่องนี้จบ ทุกคนต่างก็เข้าใจสาเหตุที่ทำให้ฉีหมิงถูกผีสิง
    แต่ตัวอาตมากลับรู้สึกว่า มนุษย์ทุกคนทุกวันนี้ ต่างประสงค์ที่จะอายุยืนยาว และทุกคนล้วนอยากได้ตำแหน่งหน้าที่ การงานที่สูงๆ และร่ำรวย แต่ทว่ามวลมนุษย์ต่างแสวงหาความส่วนตัวและมักจะสาบานตนเอาง่ายๆ
    หากมนุษย์ลุ่มหลงในกามา สาบานส่งเดชก็จะผิดต่อเทพเทวดา ประจำตนเอาง่ายๆ มนุษย์ไม่เข้าใจกฎแห่งกรรม หากสาบานก็จะถูกบันทึกลงไปในสมุดแห้งสวรรค์ ถือไม่ควรกระทำอย่างยิ่ง
    *เหมือนสำนวนที่ว่า คำพูดของสัตบุรุษหนักเท่าทองคำ หากเป็นคนพาล สาบานตนชั่วพริบตาก็ลืมสิ้น *
    หากมนุษย์ต้องการความร่ำรวย ปรารถนาที่จะอายุยืนยาว จะต้องละเว้นซึ่งกามอารมณ์ และตัณหา หากปรารถนาในความเจริญก้าวหน้าทางหน้าที่การงาน และยศฐา จะต้องไม่ละเมิดล่วงเกินต่อเทพเทวดา หมั่นฝึกฝนอบรมจิตให้ใสสะอาด เพียงเท่านี้ก็ดีมากแล้ว
    การตายของฉีเยียนนั้น ถือว่าตายเพราะไร้คำสัตย์ซื่อ ไร้คุณธรรม สมควรต่อการได้รับผลแห่งกรรมนั้น
    การที่ฉีหมิงถูกผีสิงในกาย เป็นตัวเองลุ่มหลงในกาม แต่กลับไม่เป็นเรื่องร้าย เพราะต่างฝ่ายต่างเต็มใจต่อกัน ขอเพียงถือศีล กินเจ ขจัดซึ่งกิเลสและตัณหาไม่ให้กำเริบได้ เพียงเท่าก็จะสามารถลบล้างได้
    สำหรับมนุษย์ในปัจจุบัน การให้คำสัตย์สาบานตน ทำเหมือน ผักชีโรยหน้า ไม่รู้จักรักษาคำพูด และตระบัดสัตย์ เหมือนพลิกฝ่ามือ
    นับว่าเป็นเรื่องที่น่าเศร้าใจยิ่งนัก อาตมาขอกล่าวมา ณ โอกาสนี้ ขอทุกๆท่าน จงรักษาสัจจะ ของตนเองไว้ให้ดี สมดังคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ที่ว่า นกกระทาที่เคยขันอยู่ทุกวันไปไหน
    “คำพูดที่ดังเกินไป รุนแรงเกินไป และพูดเกินเวลา ย่อมฆ่าคนโง่ เหมือนเสียงฆ่านกกระทาที่ขันดังเกินไป”
     
  11. chibasusumu

    chibasusumu สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    135
    ค่าพลัง:
    +169
    เมียหลวงเมียน้อย

    บทที่7
    เมียหลวงเมียน้อย

    บ่ายวันหนึ่งมีชายอายุประมาณ 50 ปี มาถามอาตมาที่บ้าน วันนั้นเป็นวันที่อากาศร้อนอบอ้าวมาก ชายผู้นั้นบ่นว่าอากาศร้อนจึงขอน้ำเย็นดื่ม
    อาตมาจึงหาแก้วน้ำมา 3 ใบที่มีขนาดต่างกัน ใบใหญ่ 2 ใบและใบเล็ก 1 ใบ แล้วเทน้ำเย็นลงไป โดยวางแก้วใบใหญ่ตรงหน้าชายผู้นั้น ส่วนใบใหญ่อีก 1 ใบ และใบเล็กก็วางลงไว้ข้างๆ เขา
    ชายผู้นั้นถามว่า... ผมต้องการกินน้ำเพียงแก้วเดียวก็พอ แล้วทำไมท่านอาจารย์ให้น้ำมาถึง 3ใบ
    อาตมายิ้ม ท่านมาคนเดียวก็จริง แต่ก็มีผู้ติดตามมาด้วยอีก 2 คน เป็นผู้ใหญ่ 1 คน เด็กอีก 1 คน แล้วจะให้อาตมาเลี้ยงท่านคนเดียวได้อย่างไร
    เขาฟังแล้วก็มึนงง และมีสีหน้าเปลี่ยนไป
    *พวกเขาเป็นใครครับ*
    อาตมาตอบ แม่และลูกสาว
    *อ้าว... แล้วไล่ไปได้ไหม*
    ตอนนี้คงไม่ได้แต่จะลองดู
    ผู้ชายคนนี้จึงกล่าวว่า ที่มาวันนี้ผมก็จะมาถามถึงเรื่องนี้ ละครับ หวังว่าท่านอาจารย์จะช่วยผมได้
    ชายคนนี้ชื่อ หวังเติง เป็นผู้มีชื่อเสียงทางด้านการค้า และอุตสาหกรรม ในนิตยสารุรกิจลงชื่อเขาอยู่บ่อยๆ ธุรกิจของเขามีชื่อเสียงโด่งดังทั้งในและต่างประเทศทั่วโลก คนดังแบบนี้ ย่อมมีผู้หญิงหลายๆ คนหาโอกาสใกล้ชิด และมอบกายให้
    หวังเติง เป็นคนที่ร่ำรวยทรัพย์สมบัติ ชื่อเสียงโด่งดัง มีหน้าที่การงานก็พอตัว บุคลิกท่าทางหวังเติงเป็นคนสุภาพเรียบร้อย เป็นสุภาพบุรุษ จึงทำให้มีแต่ทุกคนล้วนชื่นชมเขาอยู่เสมอ รอบตัวเขามีแต่ผู้หญิงที่ให้ความใกล้ชิดอยู่บ่อยๆ รวมทั้งสาวเลขาชองเขาเองด้วย
    หวังเติง มีลูกเมียแล้ว ครอบครัวเขามีความสุขสมบูรณ์พอสมควร เขาเป็นคนที่รักครอบครัวมาก ให้ความสำคัญให้ความสำคัญกับการศึกษาของบุตรมาก
    ธุรกิจของเขาถือเป็นธุรกิจใหญ่ พูดได้ว่าทุกสิ่งสมบูรณ์อย่างยิ่งเขาเองก็รู้ดีว่า ชายหญิงต่างก็มีคู่ครองของตน เป็นกฎเกณฑ์แห่งสวรรค์ ถ้าทำให้วุ่นวายแล้ว ความรักระหว่างครอบครัวก็จะแตกสลายลงทันที
    เพราะฉะนั้น หวังเติงจึงระวังมากในเรื่องนี้ มีอยู่ครั้งหนึ่งเขาได้ไปประชุมที่แดนไกล มีหญิงสาวคนหนึ่งรับหน้าที่มาดูแลและให้บริการเขา เขารู้สึกตกใจมากเมื่อเห็นใบหน้าของหญิงสาวคนนี้ เพราะเธอมีหน้าตาเหมือนคนรักเก่า คนแรกของเขา เมื่อหวังเติงบอกกับหญิงสาวคนนั้นว่าเธอนี่ชังคล้ายคลึงกับแฟนคนแรกของฉันจริงๆ
    เมื่อหญิงสาวคนนั้นได้ยิน ก็บอกกับหวังเติงว่า หวังว่าดิฉันจะเป็นแฟนตัวจริง คนแรกของคุณด้วยก็คงดี
    หวังเติง ยิ้ม และได้มองไปที่ป้ายชื่อของเธอ จึงรู้ว่าเธอชื่อว่าหยังซิน
    และหวังซินยังดูแลให้บริการ หวังเติงเป็นอย่างดี ไม่กี่วันต่อมา หวังเติงก็มีความรู้สึกชื่นชอบหยังซิน
    หวังเติง จึงกล่าวยกย่องหยังซินว่า การบริการของคุณดีเยี่ยม และเราประทับใจ
    หยังซินบอกว่า ขอให้คุณพอใจ ฉันยินดีที่จะทำอะไรก็ได้ให้คุณทุกอย่าง เพียงคำพูนี้จึงทำให้จิตใจของ หวังเติงหวั่นไหว เพราะหยังซินเป็นคน รูปร่างสวย รอยยิ้มของเธอชังน่ารัก อีกทั้งยังใสซื่อ บริสุทธิ์ ไร้เดียงสา ของหยังซิน ล้วนเป็นสิ่งที่หาไม่ได้จากคนอื่น
    มนุษย์เกิดมากจากรูปกาม ความเคยชิน ล้วนเกิดขึ้น กิเลสตัณหาก่อกลุ่ม เพียงแต่เขายังมีคุณธรรมควบคุมความคิดอยู่เท่านั้น
    คืนวันหนึ่ง หยังซินอ้างว่า จะมาส่งเอกสารด่วนมากที่โรงแรมที่เขาพัก และแล้วคนทั้งสองก็ออกนอกลู่นอกทาง หวังเติงเพียงเผลอไปไม่รอบคอบ ครั้งเดียว ก็ตกอยู่ในห้วงแห่งความทุกข์จนได้
    ข้อแรก ความสุขชั่วคราวนำมาซึ่งความเศร้าที่ถาวร หยังซินเกิดตั้งท้อง ต่อมาก็คลอดลูกสาวคนหนึ่ง เรื่องนี้ไม่นานแตกฉ้าวออกมา
    ฝ่ายภรรยาของเขาก็คิดว่า คนเราหากไม่มีความซื่อสัตย์ต่อกันแล้ว
    ก็เกิดอาฆาตพยาบาทต่อกัน
    น่าเสียดายเฝ้ารอแต่หอร้าง
    ไม่คิดอยู่คู่กันจนแก่เฒ่า
    เหมือนเป็ดน้อบแมนดารินคิดจำลาจาก
    สระน้ำเวิ้งว้าง ไร้คู่ชูชม
    อาตมาคิดว่า โลกนี้เป็นสนามรบระหว่างเพศชายและเพศหญิง ตัวอย่างเช่น ความขัดแย้งระหว่างแม่ผัวกับลูกสะใภ้ ความขัดแย้งระหว่างลูกสะใภ้กับพี่สาว น้องสาวสามี ความขัดแย้งระหว่างเมียน้อยกับเมียหลวง ฯลฯ ตั้งโบราณกาลมา เป็นคู่ต่อสู้กันที่รุนแรง
    การต่อสู้ในพระราชวังของฮ่องเต้บูเช็คเทียน ฮองเฮาของฮั่นเกาจู่ ในราชสมัยฮั่น และการต่อสู้ของซูสีไทเฮา ล้วนต้องใช้เลห์เหลี่ยมกลอุบายอันยอดเยี่ยม มาห้ำหั่นกันจนกว่าอีกฝ่ายจะล้มหายตายจาก เห็นอย่างนี้แล้วไม่ทำให้คนเรารู้สึกกลัว ได้อย่างไร
    แน่นอนว่า การต่อสู้เหล่านี้ล้วนเกิดขึ้นเพื่อการ ยึดถือและครอบครอง
    ไม่มีคำว่าให้ อภัยซึ่งกันและกัน
    เหมือนคำสำนวนจีนที่ว่า ออกศึกครั้งหนึ่งจำต้องจมเรือทุบหม้อข้าว ตายก็ตายด้วยกัน ยอมเป็นหยกที่แตก ดีกว่ายอมเป็นกระเบื้องที่ดี
    อาตมารู้ว่าไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชาย ที่กำลังเปลี่ยนจากความรักเป็นความแค้นนั้น เป็นเรื่องที่น่ากลัวจริงๆ อาตมาย่อมไม่กล่าวโทษหยังซินฝ่ายเดียว ความจริงหวังเติงก็ผิดด้วย เมื่อกระทำความผิดแล้วมันก็เป็นเรื่องยากที่จะแก้ไขได้
    ภรรยาของหวังเติงไม่สามารถอดทนต่อ หวังเติงได้ โดยมีผู้หญิงอื่นมาเคียงข้าง ส่วนหยังซินนั้นได้แต่อดทนอดกลั้น แต่ความอดทนยอมมีขีดจำกัด สุดท้ายเธอจึงระบายไปที่หวังเติง เมื่อผู้หญิงทั้ง 2 ฝ่ายเกิดการชิงดีชิงเด่นกัน ต่างถือตนเองว่ามีฉัน ก็ต้องไม่มีเขา ถ้ามีเขาก็ต้องไม่มีฉัน
    ความทุกข์ของหวังเติงจึงมากขึ้นทวีคูณ พวกท่านคงเคยได้ยินคำว่า กามอารมณ์เป็นต้นเหตุแห่งหายนะใช่ไหม?
    นอกจากนี้ ความรักของหวังเติงกับหยังซินครั้งนี้ เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดความอาฆาตต่อคนในครอบครัวของหวังเติง จึงทำให้หวังเติงเหินห่าง ค่อยๆออกจากหยังซินที่ละเล็กทีละน้อย เมื่อหมดความอดทน หวังเติงจึงคิดว่าชีวิตครอบครัวที่เคยสงบสุขเพียงก้าวพลาด ครั้งเดียวในชีวิตของตน จึงทำให้ชีวิตเกิดความทุกข์อย่างนี้ไม่มีที่สิ้นสุด
    ส่วนหยังซิน เมื่อตกอยู่สภาพอันไร้ที่พึง จึงมีความเครียดแค้น ต่อหวังเติง เมื่อเธอไม่มีทางออกจึงคิดสั้น พาลูกสาวของตัวเองกระโดดลงแม่น้ำ ตายในที่สุด
    อาตมาว่าเหตุการณ์ในครั้งนี้ชังเป็นเรื่องที่น่าเศร้าและเกิดความทุกข์ในใจยิ่งนัก
    วันหนึ่งหวังเติง มีความรู้สึกว่าหยังซินได้มาอยู่ใกล้ๆเขา บางวันตอนเที่ยงคืนมักมีเสียงเดินไป เดินมาบ่อยๆ บางคืนมีเสียงเก้าอี้ย้ายไปมา บางวันประตูเปิด-ปิดเองได้ ฝาฝนังมีเสียงแปลกๆ บางค่ำคืนมีเสียงเด็กวิ่งเล่นไปมาสนุกสนาน
    ในช่วงกลางคืน หวังเติงมักจักฝันเห็นหยังซินมาหาบ่อยๆ กลางคืนรู้สึกหนาว นอนไม่หลับหัวใจเต้นแรงเป็นพิเศษ ในเวลากลางวันหนึ่ง เตาแก็สจำได้ว่าปิดเรียบร้อยแล้ว แต่กลับถูกเปิดขึ้นมาเอง ยิ่งไปกว่านั้น หวังเติงมักจะนอนไม่หลับ เจ็บกระดูกไปหมด เวลาตื่นขึ้นมา ก็พบว่าตรงนี้ ตรงนั้นซ้ำเขียวไปหมด แม้แต่ใบหน้าของเขาก็ยังมีรอยแดงๆ คล้ายกับคนตบตี จนหน้าบวมจมูกซ้ำไปหมด
    เมื่อเกิดเหตุการณ์นี้แล้ว หวังเติงจึงไปถามเจ้า เจ้าบอกว่าถูกผีตีเอา หวังเติงจึงนำเอาผ้ายันต์ของศาลเจ้ามาติดที่บ้าน (ศาลเจ้าอู่ฮู่เซียนสุ้ย) เทพเจ้าพันปี แต่กลับไร้ผล
    เชิญองค์เทพ นั่งราชรถพร้อมเด็กม้าทรงมาทำพิธีขับไล่ที่บ้าน ใช้ดาบสับจนเลือดออกเต็มตัว ทั้งเขียนยันต์ ท่องคาถาอย่างสุดฤทธิ์ ก็ไม่ได้ผล หวังเติงพูดจบ พร้อมเปิดหน้าอกและแผ่นหลังให้ดู
    เมื่ออาตมาเห็นแล้วก็ตกใจ จึงถามหวังเติงว่าไปหาหมอมาหรือยัง
    ไปมาแล้วหมอก็ไม่รู้สาเหตุ วันนี้ผมมาหาท่านอาจารย์หลู หวังว่าจะช่วยได้
    อาตมามองไปที่หยังซิน ...
    *หยังซินบอกว่า ตายด้วยความแค้น ความโกรธ เราไม่ยอม*
    อาตมาจึงอธิบายหลักธรรมให้ว่า เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวรกัน มิฉะนั้นแล้วก็จะไม่มีที่สิ้นสุด
    *หยังซินพูดต่อว่า ฉันเจอเรื่องร้ายๆมา รู้สึกไม่ยุติธรรม ต้องการเห็นพวกเขาทั้งสองได้รับผลแห่งกรรมนี้ จึงจะหายแค้น*
    อาตมาจึงพูดกับหยังซินว่า ถ้าอาตมาทำพิธีเชิญเธอไปล่ะ
    *หยังซินบอกว่า ไร้ผล เพราะเรามีคำบัญชาลงมาแล้ว
    *แล้วหยังซินจึงเอาธงสีดำเล็กๆ ออกมาผืนหนึ่ง ธงนี้เป็นคำบัญชาของปรโลก
    มิน่าละแม้แต่เทพเจ้าทั้งห้าตระกูลก็ทำอะไรไม่ได้
    ถ้าอาตมาทำพิธีกงเต็กโปรดเธอให้ไปเกิดใหม่ล่ะ
    *ฉันไม่ยอมไป.....
    ถ้าอาตมามีธงบัญชาของพระกษิติครรภ์โพธิ์สัตว์ล่ะ
    *เป็นไปไม่ได้*
    อาตมาจะสั่งให้ธรรมจักรราชันจับเธอทั้งสองไว้ เพื่อให้ไปเกิดใหม่ ไม่ต้องมาทนทุกข์ทรมาน หลอกหลอนผู้คน หากพูดถึงเรื่องนี้แล้ว เธอเองก็มีความผิด เนื่องจากเธอห้ามกิเลสตัณหาไม่ได้ จะโทษแต่หวังเติงฝ่ายเดียวก็ไม่ถูก คิดตามเหตุผล เธอลองตรึงตรองให้ดีก่อน
    อาตมานำธงบัญชาของพระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ออกมา ธงบัญชานี้คือ
    สู่ฟ้าจบแผ่นดินชูธงเพียงหนึ่งผืน มหาฆะเตสะ กอบกู้สรรพสัตว์
    แสงสว่างเจิดจ้า ห้าพันสายล้วนนอบน้อมบูชา พระโพธิสัตว์ ช่วยปกป้องคุ้มครอง
    บนฟ้าปรากฏทิวธงรัตนะ ทั่วสิบทิศ สาดแสงเรืองรอง ใต้ธงพระโพธิสัตว์กษิติครรภ์
    มีดอกบัว 7 สี รองรับ บริสุทธิ์ เด่นฟ้านภาอากาศ
    เบื้องหน้ามีตะเกียงทอง ห้อมล้อมด้วยรัตนะ
    บัดนี้ท้องฟ้าฉายแสงเจิดจรัส
    พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ ถือฐานดอกบัวสีทอง แล้วกล่าว่า
    ฐานรัตนะบัวทอง
    สงสารมนุษย์ผู้อนุเคราะห์ชาวโลก
    ส่องแสงสว่างทั่วแผ่นฟ้า
    เมืองพุทธปรากฏ อยู่เบื้องหน้า

    อาตมารู้สึกว่า แสงบัวทองนี้ เมื่อส่องสัมผัสสองคนแม่ลูก กรรมแค้นก็จะสูญสลายไป โบกสะบัด เพียงเล็กน้อย ความโกรธแค้นก็จะหายไปสิ้น จิตที่มีความยึดถือ ก็จะปล่อยวางลง
    เวลานี้ หยังซินได้รู้แจ้งแล้ว ไม่อาลัยอาวรณ์ต่อสิ่งที่เลวร้าย จิตที่หลุดพ้นนำไปสู่เส้นทางของอริยะภูมิ ก็เกิดขึ้น และแล้วสองแม่ลูกก็เดินเข้าสู่ฐานดอกบัว บนท้องฟ้า เปล่งแสงสิริมงคล ในทันใดนั้นก็เข้าสู่เมืองแห่งพุทธะ
    อาตมารู้ว่า วิธีโปรด สรรพสัตว์โดยใช้ เรื่องสุญญตาเป็นอารมณ์ ย่อมมีประโยชน์อย่างมาก เป็นกุศโลบายที่มีในอนาคตกาล สมัยที่พระโพธิสัตว์อริยเมตเตยลงมาโปรดสรรพสัตว์บนโลกนี้
    เมื่อมีการประชุมใหญ่ 3 ครั้ง ซึ่งเทศนาอยู่ใต้ต้นบุปผามังกร ก็ต้องใช้กุศโลบาย พุทธรรมแบบนี้
    พุทธธรรมชุดนี้คือ เอกะญาณแปลงทิพย์ ของพระโพธิสัตว์ศรีอริยเมตเตยโยเจ้า ขอเพียงแสงสว่างแห่งจิตของพระโพธิสัตว์ ส่องไปถึงยังจิตของสรรพสัตว์ บาปกรรมจำนวนมาก ก็จะถูกชำระล้างจนหมดสิ้น แปรเปลี่ยนจิตใจของสรรพสัตว์ให้เป็นจิตแห่งโพธิสัตว์จริยา นี่คือกุศโลบาย อันเป็นวิถีแห่ง เอกะญาณแปลงทิพย์ เมื่อส่องแล้ว แปลงแล้ว ก็จะโปรดให้ไปเกิดยังเมืองวิถีแห่งพุทธภูมิ
    ที่อาตมารู้มา พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ พระโพธิสัตว์แต่ละพระองค์ ล้วนมีวิธีโปรดสรรพสัตว์ไม่เหมือนกัน แต่ผลที่ได้ย่อมเหมือนกัน
    พระพุทธเจ้าไวโรจนา จิตเดิมแท้
    พระศากยมุนีสมณโคดมเจ้า พระปัญญา
    พระนาคารชุนโพธิสัตว์ มาธยมิกวิปัสสนา
    พระปัทมาสมภพโพธิสัตว์ วิถีแห่งโยคะ
    พระศรีอริยเมตเตยโยเจ้า เอกะญาณ
    พระอมิตาภะพุทธเจ้า ดินแดนสุขาวดี

    อาตมาใช้ธงบัญชาของพระโพธิสัตว์กฺษิติครรภ์ คล้ายกับ เอกะญาณแปลงทิพย์ ธงนี้ที่แท้มาจากฟ้าเหนือฟ้า เพื่อสำเร็จเป็นอริยะภูมิ อย่างอื่นอะไรไม่ต้องใช้ เพื่อโปรดสัตว์เท่านั้น
    *หวังเติงได้ถามอาตมาว่า ผมจะหลุดพ้นจากเรื่องนี้ได้อย่างไร*
    อาตมาตอบว่า หลุดพ้นแล้ว อาตมาเพียงแต่โบกสะบัดธงเล็กน้อย ในมือให้ดู
    *ใช้วิธีไหนครับ*
    จิตนั้นเหมือนภาพมายา เพ่งมอง เขียนรูปภาพในโลกา ธรรมธาตุเกิดจากจิต ทุกสิ่งล้วนเป็นสุญญตา ไม่ใช้การสร้างขึ้น
    *ธรรมชาติแห่งจิตนี้คืออะไร*
    แสงแห่งจิตเดิมแท้
    อาตมาบอกหวังเติงว่า ในอนาคตเมื่อพระโพธิสัตว์ศรีอริยเมตเตยโยเจ้าลงมาโปรดสรรพสัตว์ ประชุมกันถึง 3 วาระกุศโลบายก็คือเอกะญาณทิพย์ ธรรมทั้งหลายก็คือจิตเดิมแท้
    เมื่อพระโพธิสัตว์ศรีอริยเมตเตยโยเจ้า เพียงใช้แสงส่องไป จิตของสรรพสัตว์ก็แปลงทิพย์ยังจิตพระโพธิสัตว์ให้บังเกิด เมื่อประชุมกันถึง 3 วาระ ก็จะโปรดสรรพสัตว์ได้หมดสิ้น
    หวังเติงกล่าวว่า ผมอยากเรียนพุทธะครับ
    อาตมาบอกว่า ดีแล้ว คนที่เรียนพุทธะ จะสามารถเข้าถึงแก่นแท้ของชีวิตได้ มีเพียงแต่กิเลส ตัณหา อุปทาน ขันธ์ ธาตุ สะสมเพิ่มพูน ล้วนแสวงหาวัตถุนอกกาย เพียงชั่วขณะ ที่แท้แล้วนั่นคือความมืดมิด เป็นอวิชชา ดุจบุรุษผู้ตาบอด เป็นเครื่องขัดขวางจิตเดิมแท้ ธรรมแห่งปิติยินดี จะมีความสุข วสนาได้อย่างไร
    *การจะเรียนพุทธธรรมต้องทำอย่างไรครับ*
    1.ต้องตัดความโลภ โกรธ หลง ออกจากใจเสียก่อน
    2.ภาวนา นั่งสมาธิ เกิดปิติ แสงสว่างเจิดจ้า
    หวังเติงนั่งคุกเข่าคารวะอาตมาเป็นอาจารย์ เมื่อหวังเติงกลับไปบ้านแล้ว เรื่องแปลกๆ ก็ไม่เกิดขึ้นอีกเลย
    ตั้งแต่นั้นมาทั้งครอบครัวของหวังเติงก็นับถือศาสนาพุทธ ทำบุญให้ทานและกระทำความดี สืบไป
     

แชร์หน้านี้

Loading...