พระไตรปิฎกและ พระวิสุทธิมรรค

ในห้อง 'พระไตรปิฎก' ตั้งกระทู้โดย klu, 12 สิงหาคม 2006.

  1. klu

    klu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +1,320
    พระไตรปิฎกฉบับสมบูรณ์

    <!--[if !supportLineBreakNewLine]--> <!--[endif]-->​
    &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หนังสือวิสุทธิมรรคนี่สอนกรรมฐานเวลานี้นะ เป็นหนังสือที่มีมาตรฐานสูงมากเพราะมาจากพระอรหันต์ คือว่าให้รู้ลีลาพระอรหันต์ ตามธรรมดาพระถ้ายังไม่เป็นพระอรหันต์นี่ทำงานทุกอย่าง อะไรก็ทำนะ คือว่าตามธรรมดาถ้ายังไม่เป็นอรหันต์นะ งานทุกอย่างที่ชาวบ้านขอร้อง ถ้าไม่เกินความสามารถท่านจะทำ ถ้าลงเป็นอรหันต์แล้ว ถ้างานนอกจากหน้าที่ที่ต้องทำเขาไม่ยอมทำให้ จะทำเฉพาะงานที่เป็นหน้าที่โดยเฉพาะนั่นหมายความว่า สมัยก่อนอธิษฐานไว้ว่ายังไง จะทำหน้าที่อะไรในเมื่อเป็นอรหันต์ จะทำเฉพาะงานนั้น งานอื่นถึงแม้มีความสามารถก็ไม่ทำ เพราะพระที่มีความสามารถมีอยู่

    &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ทีนี้ก็จะเล่าเรื่องความเป็นมาของวิสุทธิมรรคที่เรามาเจริญพระกรรมฐานเวลานี้นะเรื่องมันมีอย่างนี้ คือว่าเวลานั้นพระพุทธเจ้านิพพานไปแล้วประมาณ ๑,๐๐๐ ปีเศษ เวลานั้นมีพระอรหันต์พระอรหันต์นี่มี ๔ ขั้นนะลูกนะ

    &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; หมวดที่ ๑ สุกขวิปัสสโก ท่านพวกนี้บรรลุอรหันต์อย่างเดียวนะ ไม่เห็น เทวดา ไม่เห็นเห็นสวรรค์ ไม่เห็นนรก นึกถึงท่านท่านไม่รู้ด้วย

    &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; หมวดที่ ๒ ก็ เตวิชโช วิชชาสามพวกนี้มีจิตเป็นทิพย์ ระลึกชาติได้และก็สามารถรู้ได้ ใครนึกถึงนี่รู้ได้เลยนะ เขาต้องการพบก็รู้ได้ แต่ว่าเหาะไม่ได้ ถ้าไกลเกินไปท่านก็ไม่ไปหา ถ้าใกล้ ๆ พอไปได้ท่านก็ไป

    &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หมวดที่ ๓ ก็ ฉฬภิญโญ อภิญญาหกพวกนี้เหาะเหินเดินอากาศได้ไปไหนก็ได้ ไปเมื่อไรก็ได้ ทีนี้เวลานั้นมีพระอรหันต์ที่มีฤทธิ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตั้งแต่อภิญญาหกขึ้นไปสองแสนองค์เศษ

    &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; หมวดที่ ๔ ปฏิสัมภิทัปปัตโต พวกนี้มีความรู้รอบตัวยิ่งกว่าท่านผู้ทรงอภิญญาหก มีความสามารถ ทรงความรู้พร้อม ไม่บกพร่องในหัวข้อธรรมวินัย

    &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; เป็นอันว่าเวลาพระอรหันต์เฉพาะ ฉฬภิญโญ กับ ปฏิสัมภิทัปปัตโต ที่มีฤทธิ์นะ สองแสนองค์เศษ น้อยไหม ไม่น้อยใช่ไหมสุกขวิปัสสโกกับเตวิชโชนี่ ๒ อย่างยังไม่นับ บรรดาพระอรหันต์ที่มีฤทธิ์ต่าง ๆก็เรียกประชุมกันว่า เวลานี้พระไตรปิฎกคลาดเคลื่อน เพราะว่ามีพระสงฆ์กลุ่มหนึ่งที่เรียกว่า มหายาน เวลานี้ที่แยกไปตามธิเบต ทางจีน ทางญี่ปุ่นน่ะ เขาแยกตัวไปเขาบอกว่าเหล้าที่มีสีแดงคล้ายเท้านกพิราบกินได้[ประมาณไวน์ปะ] ของเก็บไว้ค้างคืนกินได้ อย่างนี้เป็นต้น เรียกว่าเขาฝืนวินัย ๑๐ ข้อ พระสงฆ์ที่เป็นพระอรหันต์และเป็นพระอริยเจ้าท่านไม่ยอมก็เลยแยกตัวกัน เขาก็เลยเรียกพวกเขาว่า มหายาน คือยานมาก(หัวเราะ) เขาเลยเรียกพวกฝ่ายเราว่า **นยาน คือยานน้อย เมื่อแยกเป็น ๒ ฝ่าย บรรดาพระสงฆ์ที่เป็นอรหันต์ทั้งหลายก็คิดว่าควรจะปรับปรุงพระไตรปิฎกกันใหม่ให้มันแน่นอน ทีนนี้ก็มาประชุมกันว่าเวลานั้นพระไตรปิฎกของเราถูกทำลายจากอินเดียนะ พวกฮินดูมันทำลาย ทำลายพระพุทธศาสนา พระสงฆ์ก็แตกกันไป ท่านเลยมา ก็มาอยู่เกะกะกันอยู่แถวพม่าแถวไทยแถวเมืองแขกหาไม่ได้ เกือบจะหาไม่ได้ เกือบจะหาไม่ได้นะเพราะพวกฮินดูมันรังแก มันยกทัพรบหมดเลย ก็มาประชุมกันที่เขตพม่าแต่ว่าในเขตพม่านั่นเป็นเขตของไทยเรียกว่า เมืองสุธรรมวดี&nbsp;ในเมื่อพระอรหันต์ประชุมกันหมด ก็มีพระที่เป็นหัวหน้าถามว่า

    &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เวลานี้พระไตรปิฎกคลาดเคลื่อนและมีสงฆ์แตกแยกเป็น๒ ฝ่ายและพระไตรปิฎกที่แน่นอนจริง ๆ ก็มีที่เมืองลังกา แต่ว่าเป็นภาษาสิงหล พวกเราไม่ถนัดภาษาสิงหล ถนัดเฉพาะภาษามคธ ใครจะมีหน้าที่รับอาสาแปลพระไตรปิฎกบ้างจากภาษาสิงหล มาเป็นภาษามคธ

    &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; เป็นอันว่าเมื่อพระอรหันต์ฉฬภิญโญ อภิญญาหก และปฎิสัมภิทาญาณ ประชุมพร้อมกันสองแสนองค์เศษ ยังไม่มี ๒ เหล่านะ ท่านหัวหน้าก็ถามว่าเวลานี้ในเมื่อสงฆ์แตกกันอย่างนี้พระไตรปิฎกก็คลาดเคลื่อนมีพราหมณ์เขานำมาผสมพวกเราจะทำอย่างไร พระไตรปิฎกที่แน่นอนก็เป็นภาษาสิงหลมาเป็นภาษามคธใช่ไหม และความจริงอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณนี่แปลได้ทุกองค์รู้ทุกภาษา แต่ว่าอย่าไปถาม ถ้าไม่จำเป็นจะไปพูดกับท่าน ท่านไม่พูดด้วย ภาษานั้น ๆ น่ะ เอาแต่จำเป็น จะภาษาคน ภาษานก ภาษาไก่ ภาษากา ภาษามด ท่านรู้หมด ปฏิสัมภิทาญาณนี่แต่ว่าเขาจะไม่แสดงออกกับพวกเราให้ทราบ ก็เป็นอันว่าพระอรหันต์ทั้งหมดไม่มีใครรับอาสาก็ถามว่าทำไง ถ้าอย่างนั้นพระไตรปิฎกจะทำยังไงทุกองค์ก็บอกว่ามันไม่ใช่หน้าที่ ทุกคนน่ะรู้ภาษาทุกอย่างรู้แต่ว่าไม่ใช่หน้าที่ หน้าที่ของพระน่ะมีอยู่องค์เดียว คือว่าเวลานี้อยู่ชั้นดุสิต ยังเป็นเทพบุตรอยู่ องค์นั้นจะมีหน้าที่แปลจากภาษาสิงหลมาเป็นภาษามคธ นี่เขารู้นะ และก็ถามว่าใครจะรับอาสาไปตามเทวดาองค์นั้นให้มาเกิดได้ พระทุกองค์บอกไม่ใช่หน้าที่ เขาไปกันได้ชั้นดุสิตมันไม่ไกลเลยแต่ว่าไม่ใช่หน้าที่พระอรหันต์ อรหันต์นี่ทำงานเฉพาะหน้าที่จริง ๆ ก็ไล่กันไปไล่กันมาทุกองค์บอกว่ามีพระองค์หนึ่งเป็นอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณตั้งแต่ได้อรหันต์มาแล้วไม่เคยมาร่วมประชุมเลย เข้าสมาบัติอยู่ถ้ำองค์นี้มีหน้าที่โดยตรงที่จะต้องไปตามเทวดาองค์นั้นให้มาเกิด เห็นไหมเขาทำงานตามหน้าที่โดยเฉพาะ ไม่ใช่เกะกะ ไม่ใช่ทำงานทุกอย่าง อรหันต์นี่จะใช้ส่งเดชไม่ได้หรอก ไม่ใช่งานของท่านท่านไม่เอา

    &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ก็เป็นอันว่าคราวนั้นท่านก็เลยใช้ให้เณรไปตามเณรที่เป็นอนาคามี อนาคามีก็เป็นปฏิสัมภิทาญาณ ไม่ใช่เรื่องเล็กนะ เณรนะไม่ใช่พระน่ะ ให้เณรอนาคามีไปตามมา องค์นั้นท่านออกจากสมาบัติท่านก็มา พระสงฆ์ที่เป็นประธานท่านก็บอกว่า คุณในเมื่อตั้งแต่บรรลุอรหันต์แล้วไม่เคยมาร่วมประชุม ไม่ช่วยบำรุงพระพุทธศาสนา พระองค์นั้นท่านก็ยอมรับว่า ตั้งแต่เป็นพระอรหันต์แล้วเข้าสมาบัติตลอด ข้าปลาไม่กินอยู่ด้วยธรรมปีติเป็นปี ท่านก็เลยบอกว่าถ้าอย่างนั้นคุณก็ต้องถูกลงโทษ ต้องถูกลงทัณฑกรรม ก็ยอม ก็อรหันต์โธ่เอ๊ย...นรกขุมไหนเขาก็ไม่รับแล้ว ใช่ไหมเลยบอกผมยอมรับในฐานะที่ไม่เข้าร่วมประชุมกับสงฆ์ ทีนี้ก็จะลงโทษยังไงก็ยอมรับท่านเลยบอก ถ้าอย่างนั้นเธอต้องไปตามเทวดาองค์นั้นที่อยู่ชั้นดุสิตนั่นแน่ะลงมาแล้วก็ให้มาบวชในพระพุทธศาสนามาแปลพระไตรปิฎกจากภาษาสิงหลมาเป็นภาษามคธ นี่คอยกันขนาดนั้นเชียวนะ

    &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ก็เป็นอันว่าพระองค์นั้นท่านก็ยอมรับท่านก็ขึ้นไปบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก ไปรายงานให้พระอินทร์ทราบสวรรค์ชั้นดุสิตนี่อยู่ในอำนาจของพระอินทร์ พระอินทร์ปกครองการให้ไปตามเทวดาชั้นดุสิตน่ะ เทวดามีมาก ท่านถามเทวดาชื่ออะไร บอกชื่อพุทธโฆษาจารย์ใช่ไหม ก็เป็นอันว่าท่านทราบชื่อเทวดาแล้วท่านไปบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ไปรายงานให้พระอินทร์ทราบ ว่าจะขออนุญาตให้ไปเชิญเทพบุตรมีนามว่า พุทธโฆษาจารย์ ชั้นดุสิตมาเกิดและก็มาช่วยแปลพระไตรปิฎก

    &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; พระอินทร์ก็เลยบอกว่า ถ้าอย่างนั้นเป็นหน้าที่ของโยมเองก็แล้วกัน ในขณะที่จากเทวดาไปมนุษย์นี่เป็นหน้าที่ของโยม โยมจะช่วยกันแนะนำเอง คือว่าเป็นมนุษย์ แล้วเป็นหน้าที่ของพระคุณเจ้า เป็นอันว่าท่านก็กลับกลับมาคอยพระอินทร์ก็ขึ้นไปแนะนำ บอกเวลานี้พระพุทธศาสนา กำลังจะเสื่อมโทรมเพราะพราหมณ์เข้ามาแทรกมาก พวกเราที่เป็นเทวดาได้ เป็นนางฟ้าได้ เป็นพรหมได้เพราะ[พระ]พุทธศาสนา ต้องช่วยกันบำรุงพระศาสนา ไปแนะนำว่าขอให้ท่านมาเกิดท่านก็ตกลงจะมาเกิด ตกลงจุติก็เลือกสถานที่เกิด นี่เทวดาถ้าไม่หมดอายุขัยเขาเลือกสถานที่เกิดได้นะ ก็นั่งมองดูว่าจะไปเกิดในตระกูลไหนดีมองไปมองมาเห็นตระกูลพราหมณ์ที่ไม่เคารพพระพุทธศาสนา แน่ะเอาซะอย่างนั้นน่ะที่เขาเคารพไม่ลง ไปลงที่เขาไม่เคารพแต่ว่าตระกูลพราหมณ์เรียกว่าอาจารย์ของพราหมณ์ ตระกูลใหญ่ เป็นคณาจารย์ใหญ่มีลูกศิษย์เป็นพราหมณ์มากที่ไม่เคารพพระพุทธศาสนา ท่านก็ลงมาเกิด พอลงมาก็ก็มาเข้าท้องมารดา พระองค์นี้รู้แล้ว ปฏิสัมภิทาญาณไม่มีทางโกหกหรอก นั่ง ๆ ยังงี้นึกยังไงไม่มีทางโกหกพระก็จะรู้ บันทึกได้ ต่างคนต่างเขียนตรงกันแน่ใช่ไหม

    &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ทีนี้เมื่อท่านทราบว่าเวลานี้เข้าสู่ครรภ์มารดาท่านก็นั่งเฝ้า ไม่ใช่นั่งเฝ้าข้างหน้าบ้านนะ ก็คิดว่าเมื่อไรจะคลอด ก็ทราบกำหนดการคลอด คลอดแล้วต้องรอ ๗ ปี เพราะถ้ายังไม่ ๗ ปีนี่เป็นพระอริยเจ้าไม่ได้ ถ้าครบ ๗ ปีนี่เป็นพระอรหันต์ได้ตั้งแต่โสดาบันถึงอรหันต์นี่เป็นได้แน่ พอทราบว่าเด็กคนนี้มีอายุครบ ๗ ปีแต่ว่าขณะที่เกิดมา อายุแค่ ๔ ปี เด็กคนนี้มีความฉลาดมากเรียนวิชาความรู้ของพราหมณ์จบและก็ฉลาดกว่าพ่อ พ่อเป็นครูสอนเห็นไหมนี่เขาเก่งมาก่อน แสดงว่าบุญเก่ามีมาก

    &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ทีนี้เมื่อถึงอายุ ๗ ปีพระองค์นี้ก็มีหน้าที่ พระผู้ใหญ่ก็ถามว่า ไง ถึงเวลาหรือยังพรรคพวก บอกถึงแล้วครับถึงวาระที่ผมจะเอามาแล้ว วิธีของท่านทำไงรู้ไหม เข้าไปบิณฑบาตเมื่อเขาไม่เคารพพระสงฆ์นี่ วันแรกไม่มีใครเขามอง พระสงฆ์เขาเอะอะโวยวายไม่ได้นะไปยืนอยู่สักประเดี๋ยวหนึ่งพอสมควรไม่มีใครทักท่านก็ไป วันที่สองไปยืนอีก ก็ไม่มีใครเขาทักก็ไป วันที่สามพ่อบ้านคือนายพราหมณ์ยืนอยู่หลังบ้านท่านก็ไปยืนอยู่หน้าบ้าน และแม่บ้านออกมาจากครัว เขาทัก ทักอย่างหวานนะ พูดวาจาไพเราะ บอก

    &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp;“ไอ้โล้นเอ๊ย...”จำไว้นะ เอ็งไม่ต้องพูดกับหลวงพ่อไพเราะแบบนั้นนะ [เอา]แบบธรรมดา ๆ [นะ] (หัวเราะ) บอก “ไอ้โล้นเอ๊ย... บ้านนี้เขาไม่เคารพนับถือเอ็งหรอก ไม่มีใครเขาให้แดกหรอก ไปที่อื่น” ที่นั่นที่หมู่นั้นเป็นบ้านคนไทยนะ พระพุทธโฆษาจารย์นี่คนไทย &nbsp;สุธรรมวดีี นี่เป็นเมืองของคนไทย

    &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ทีนี้ก็หลังจากที่ท่านฟังแบบนั้นแล้วท่านก็หาเรื่อง ให้พระไปหาเรื่องใช่ไหม จะไปทางไหนดีหว่า ถ้าไปหน้าบ้านไม่พบใคร ถ้าไปหลังบ้านพบพ่อบ้าน ก็เดินทะลุออกหลังบ้าน พอล่วงไปแล้ว พ่อบ้านเขาถามว่า อาจารย์ใหญ่เก่า บอก “ไงไอ้โล้น” แน่ะทักถูกต้องนะ ถึงหลังบ้าน พ่อบ้านเห็นเข้าบอก “เจ้าโล้นได้อะไรมาบ้างล่ะ” เขาบอกยังงี้“เจ้าโล้นหยุดก่อน” ท่านก็หยุด ถามได้อะไรบ้าง ท่านบอกว่า “๒ วันที่ผ่านมาไม่ได้อะไรเลย” ท่านพูดเพราะ ๆ นะ พระอรหันต์นี่เพราะจะเอาชนะกัน “แต่วันนี้ได้” เขาเข้ามาใกล้ ๆ เขาเปิดบาตรดูมีแต่บาตรเปล่าเขาก็เลยถามว่า

    &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; “นี่เจ้าโล้น เราทำไมถึงโกหกมดเท็จ เป็นสมณะพูดมดเท็จนี่มันใช้ไม่ได้”

    &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ท่านก็เลยบอกว่า “ฉันไม่ได้พูดเท็จ ฉันพูดตามความเป็นจริง”

    &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; พราหมณ์ก็บอกว่า “ในเมื่อท่านไม่ได้อะไรมาเลย ทำไมบอกว่าได้”

    &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ท่านบอกว่า “ฉันไม่ได้บอกว่าได้ข้าวได้อาหาร เมื่อ ๒ วันก่อนฉันมายืนเฉย ๆ ไม่มีใครพูดกับฉัน วันนี้แม่บ้านเขาพูด ได้คำพูด เขาบอกว่าที่นี่ไม่มีใครให้ ไปหากินที่อื่น เราได้คำพูดนะ”

    &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; พราหมณ์ก็ตกใจนึกว่าขนาดเขาว่าแบบนั้นพระยังถือว่าได้ชักเลื่อมใส ก็คุยกันไปคุยกันมาก็เกิดความพอใจก็นิมนต์ขึ้นบ้าน

    &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ในเมื่อนิมนต์ขึ้นบ้านแล้วเขาก็ให้นั่งเขาจะเลี้ยงอาหาร ไม่ต้องบิณฑบาตกินเลย ทีนี้ท่านก็มองไปมองมาที่ไหนมันควรนั่งหว่าที่พุทธโฆษาจารย์กุมารเขาสอนธรรมะ เขาก็เป็นธรรมาสน์ใช่ไหม ย่องขึ้นไปนั่งบนธรรมาสน์ นั่นแน่ะ มันต้องอย่างนั้นพระหาเรื่องนี่นะ ท่านก็ไปนั่งบนธรรมาสน์ที่เขาสอนธรรมะใช่ไหมเวลานี้พุทธโฆษาจารย์เขาถือว่าเขาเด่นที่สุดในหมู่พราหมณ์ เขาเด่นกว่าพ่อ แต่ว่ายังอยู่ในห้อง ท่านพ่อก็สั่งท่านแม่ให้นำอาหารมาถวายพระอรหันต์องค์นั้นท่านก็นั่งฉันอยู่

    &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; พุทธโฆษาจารย์กุมารมาจากห้องเห็นเขานั่งก็เกิดโมโหทันที จึงเข้าไปถามว่า “ท่านดียังไงถึงไปนั่งที่ของผม”

    &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; พระว่าไงรู้ไหม นักเลงซิ บอก “ถ้าฉันไม่ดีกว่าเธอฉันไม่นั่งตรงนี้”

    &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; เพราะอะไรรู้ไหมท่านเป็นพราหมณ์มาก่อนและเป็นอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ ลูกเอ๊ย ไม่มีทางจนหรอก เรื่องไม่รู้ไม่มี ปฏิสัมภิทาญาณนี่ เว้นไว้จะพูดไม่พูดเท่านั้น

    &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ก็เป็นอันว่าโต้ปัญหากัน บอกว่า “ถ้าท่านเก่งจริงต้องตอบปัญหาฉันได้” ท่านก็ถามปัญหาของพราหมณ์พระอรหันต์องค์นั้นท่านตอบได้หมด ท่านถามว่า “หมดรึยัง” อาจารย์ใหญ่ตัว ๗ ขวบ หมดพุง พระจึงบอกว่า “ความรู้ของเธอยังน้อย ของฉันมีเยอะกว่านี้อีก”ท่านก็แน่ใจว่าท่านก็หนึ่งในตองอูเหมือนกัน บอกว่า “สมณะ ถ้าอย่างนั้นท่านถามมา”พระท่านก็เลยถาม ๓ คำเท่านั้นแหละว่า “กุสลา ธัมมา อกุสลา ธัมมา อัพยากตา ธัมมามันหมายความว่าอย่างไร” พังเลย เจ๊ง ตอบไม่ได้ เพราะไตรเพทของพราหมณ์มันไม่มีท่านก็เลยถามว่า “มันหมายความว่าอย่างไร” พระก็เลยบอกว่า “ถ้าอยากจะศึกษา ขอเรียนก็ได้”

    &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ทีนี้คนที่เก่งอยู่แล้วก็ต้องการเก่งต่อไปก็เลยบอกว่า ขอเรียน พระก็บอกว่า “เรียนได้แต่ว่าที่นี่มันไม่ได้หรอก นุ่งกางเกงอย่างนี้เขาห้ามเรียนมันต้องโกนหัว ห่มผ้าเหลืองอย่างฉันมันจึงเรียนได้”

    &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ผลที่สุดคนที่ต้องการคือคนที่บำเพ็ญบารมีดีแล้วนะจะเป็นอรหันต์ก็ตกลงเลยบวชเณร พอบวชเณรแล้วมาศึกษาไม่กี่วันท่านก็เป็นอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณพอเป็นอรหันต์แล้ว อย่าลืมว่าในเมื่ออาจารย์ใหญ่เขาบวชนะ ลูกศิษย์ทุกคนก็ต้องมั่นใจว่าเป็นคนดีนะ ใช่ไหมเลยเอาเสียทั้งกลุ่มเลย ล่อหมดเค้าไปเลย ไม่ใช่เฉพาะบ้านพ่อบ้านแม่นะ ลูกศิษย์พ่อลูกศิษย์แม่ทั้งหมดเอาเสียหมดเลย ไปเป็นอรหันต์กันเป็นพรวนเลย

    &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; เมื่อท่านเป็นอรหันต์แล้วพระสงฆ์ก็ได้ประชุมกันว่า ภารกิจของท่านก็คือต้องไปแปลพระไตรปิฎกภาษาสิงหลจากลังกา ให้เป็นภาษามคธ ท่านก็รับภาระ ก็ขี่เรือสำเภาไป พอไปถึงลังกาจะขอแปลหนังสือเขาที่นั่นพระอรหันต์เขาก็เยอะ เขาบอก เดี๋ยวก่อนท่านต้องแสดงความสามารถให้ดูก่อนว่าท่านสมควรหรือยัง ที่ท่านจะแปลหนังสือน่ะ ท่านก็ยอมถามว่า ทำยังไง เขาบอกท่านจงไปเขียนวิสุทธิมรรคมา คำว่า วิสุทธิมรรคหมายความว่าปฏิปทาที่จะปฏิบัติให้ถึงความเป็นพระอรหันต์ เขาเรียกว่า วิสุทธิมรรค คือทางแห่งความบริสุทธิ์ ในฐานะที่ท่านเป็นอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณแล้วก็มีบารมีพิเศษ ท่านก็เขียนเขียนพอจบดีก็ร้อย ผูกมัดไว้ดีแล้ว บอกว่าเดี๋ยวจะไปให้

    &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; การรับเขียนวิสุทธิมรรค พอเขียนเสร็จ พระอินทร์มีความประสงค์จะแสดงอานุภาพของพระพุทธโฆษาจารย์หนักขึ้น ก็บันดาลให้พระพุทธโฆษาจารย์หลับ พอเขียนเสร็จจบหลับ เมื่อหลับแล้ว พระอินทร์ก็มาขโมยวิสุทธิมรรคชุดนั้นไป พระพุทธโฆษาจารย์ตื่นขึ้นมา แล้วกันเราเขียนแล้วมันไหายไปไหนหว่า น่ากลัวเวลาที่เราหลับลมจะพัดตีลงทะเลไป ท่านก็ไปขอใบลานเขามาเป็นชุดที่สอง เขียนใหม่ พอจบอีกพระอินทร์ก็บันดาลให้พระพุทธโฆษาจารย์หลับอีก ขโมยไปอีกเอ๊...ขาดศีลไหมหว่า ท่านพระพุทธโฆษาจารย์ตื่นขึ้นมาแล้วเอ้า...แล้วกันหายไปอีกแล้ว น่ากลัวลมตีไปอีกแล้ว ไอ้เรามันก็หลับเรื่อยนี่หว่า ต้องไปขอเขามาอีกชุดหนึ่ง เขียนใหม่อีก จบอีก พอจบอีกก็หลับอีก ตอนหลับตอนนี้ไม่หายนี่ พระอินทร์ก็เอาสองชุดมาคืนให้ พอท่านตื่นขึ้นมาบอกเอ้า อีกสองชุดมันมายังไงหว่า ไปดูแล้วก็เหมือนกันหมด ก็เลยนำวิสุทธิมรรคเข้าไปให้พระอรหันต์ของศรีลังกา

    &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; เมื่อพระอรหันต์ทั้งหลายเหล่านั้นอ่านดูแล้วเห็นว่าถูกต้องตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอนทุกอย่างก็อนุญาตให้แปลจากภาษาสิงหลมาเป็นภาษามคธ เมื่อแปลเสร็จจารเรียบร้อยแล้วก็นำมาที่เมืองสุธรรมวดี &nbsp;เมืองสุธรรมวดีหรือเมืองสะเทิม(อยู่ทางทิศตะวันตกของจังหวัดตากใกล้ทะเล)อยู่ในพม่า แต่ในสมัยนั้นเป็นเขตของไทยนะ พระพุทธโฆษาจารย์นี่เป็นคนไทย เมื่อนำพระไตรปิฎกมาแล้วก็ต่างคนต่างลอกเข้าประชุมพระอรหันต์ทั้งหมดพระอรหันต์ทั้งหมดโดยเฉพาะอย่างยิ่งปฏิสัมภิทาญาณ ญาณอื่นเขาไม่เอากันหรอกเรื่องพระไตรปิฎกถ้าพระอรหันต์ไม่ใช่ปฏิสัมภิทาญาณนี่ เขาไม่เอามาร่วมด้วยนะ สามเหล่าเห็นไหม ไม่ใช่สมัยนี้อะไรก็ไม่รู้ใช่ไหม อ่านหนังสือจบใช้ได้เลย

    &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในเมื่อท่านมาแล้วก็นำเอาพระไตรปิฎก พระอรหันต์ประชุมแล้วต่างองค์ต่างตรวจเช็คเห็นว่าถูกต้องทุกอย่างก็ยอมรับก็ต่างคนต่างช่วยกันร่างพระไตรปิฎกเอาเก็บไว้ในที่สำคัญ

    &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ต่อมาพระพุทธโฆษาจารย์ เมื่อประมาณ๑๐ พรรษาเศษ ๆ กับคณะของท่าน ๔-๕ องค์เข้ามาในเขตประเทศไทย ในเมื่อพระเจ้าพังคราชเสวยราชย์เป็นครั้งที่ ๒ มาที่เชียงแสน แล้วนำพระบรมสารีริกธาตุมาด้วย นำพระบรมสารีริกธาตุมาถวายพระเจ้าพังคราช &nbsp;พระเจ้าพังคราชก็แบ่งบรรจุตามสถานที่แล้วนำพระไตรปิฎกเข้ามา &nbsp;พระพุทธโฆษาจารย์ก็จำพรรษาที่เชียงแสนจนนิพพานที่นั่น วัดที่ข้างเชียงแสนด้านทิศตะวันออกเป็นร่องรอยของวัดนะ นั่นเป็นวัดที่พระพุทธโฆษาจารย์จำพรรษา

    &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ความจริงจบกันเท่านี้นะ ทีนี้ถ้าจะถามว่าพระไตรปิฎกในประเทศไทยฉบับไหนถูกต้อง ที่ละเอียดจริง ๆ ฉบับเมื่อสมัยพระนารายณ์มหาราชส่งไปที่ฝรั่งเศษฉบับนั้นถูกต้องที่สุด เพราะยังเป็นฉบับเดิมที่พระพุทธโฆษาจารย์จารึกไว้ เขาลอกแบบกันมาเก็บกันไว้แล้วต่อมาก็มีการแก้ไขกันเรื่อย ๆ แล้วต่อมาภายหลังในสมัย ร.๑มีการสังคายนาอีกครั้งหนึ่ง สมัย ร.๑ พระสงฆ์มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องค้นคว้าพระไตรปิฎก เพราะอะไรรู้ไหม ร.๑ท่านชอบถามปัญหากับพระ การถามปัญหาไม่ได้ตอบด้วยวาจา เขียนปัญหาไปถามพระสงฆ์ก็ต้องประชุมแล้วก็เปิดพระไตรปิฎก ใครคล่องส่วนไหนใช่ไหม ก็ต้องตอบมาตอบว่าพระไตรปิฎกหน้านั้น ฉบับนั้น สูตรนั้น วรรคนั้น อะไรว่ากันไป แล้วต่อมา ร.๑ ก็ทำปฐมสังคายนา ทีนี้สองฉบับนี่ ฉบับที่พระนารายณ์มหาราชส่งไปที่ฝรั่งเศสเวลานี้ถูกเผาไปแล้วที่เมืองไทยเรา กับฉบับที่ ร.๑ สังคายฉบับไหนถูกต้อง อันนี้ฉันก็ถามพระท่านแล้ว ท่านบอกถูกต้องทั้งสองฉบับ แตกต่างกันนิดหนึ่งฉบับที่ส่งไปฝรั่งเศส คนทั้งหลายชะนา นี่เป็นชะโน ท่านบอกไม่แปลกคนหลายคนกับคนคนเดียวนี่ไม่แปลกตามพระสูตร

    &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ก็เป็นอันว่าฉบับที่ ร.๑สังคายนาที่อยู่กรมศิลปากรอันนี่ถูกต้องครบถ้วน ถ้าจะถามว่าฉบับที่เขาสังคายนาครบถ้วนไหม ก็ต้องตอบว่าครบตามที่เขาบอกว่าครบ เอาครบจริง ๆ ต้องฉบับนั้นต้นฉบับยังอยู่ เขาถามว่าเอาหลักฐานที่ไหนมายืนยัน ฉันบอกว่าฉันนึกเอง ถูกต้องไหม แต่ความจริงน่าจะเอาฉบับนั้นมาลอกเป็นภาษาไทยนะ คือฉบับนั้นถูกต้องมาก ถามพระท่านว่ามันบกพร่องอยู่นิดเดียว อย่างคำว่า ชะนา ฉบับหลังเป็น ชะโน อันนี้ไม่แปลกนิดหน่อย เป็นอันว่าพระสูตรเรื่องนี้จบ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 สิงหาคม 2006

แชร์หน้านี้

Loading...