พระโอวาทแดนทิพย์นิพพาน

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Lukhgai, 2 กุมภาพันธ์ 2009.

  1. Lukhgai

    Lukhgai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    3,000
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +8,239
    พระโอวาทแดนทิพย์นิพพานเป็นธรรมะบรรณาการแด่ท่านผู้อ่า
    โดยเกษร สุทธจิต จันทร์ประภาพ

    ชีวิตนี้มีคุณค่าอย่าปล่อยเวลาให้ไร้ประโยชน์ ด้วยการมัวเมาติดใจหลงใหลในกายเรากายเขา ซึ่งเป็นของสมมุติมันจะทุกข์หนัก

    ชีวิตนี้มีคุณค่ามหาศาล ด้วยการปฏิบัติภารกิจในชั่วชีวิตน้อยนิดของความเป็นคนให้ครบ จบหน้าที่ของความเป็นคนก็ไปเสวยสุขเบื้องบนพระนิพพาน

    1. ทุกคนทุกศาสนามีหน้าที่ปฏิบัติบูชาพระบรมศาสดาของท่าน ด้วยการไม่ทำชั่วผิดศีล5ข้อ ทั้งกาย วาจา ใจ มีเมตตาช่วยเหลือเพื่อนร่วมโลก ทำจิตสะอาดสดใสเบิกบาน ไม่วิตกกังวลฟุ้งซ่านเรื่องอดีต อนาคต

    2. ทุกคนทุกศาสนามีหน้าที่ตอบแทนท่านผู้มีพระคุณ บิดามารดา คุณครูบาอาจารย์ ประเทศชาติ ศาสนาพระมหากษัตริย์ ด้วยการทำบุญให้ทาน ทำหน้าที่ตามที่โลกแต่งตั้ง จะเป็นหญิงเป็นชายเป็นพ่อค้า เป็นสามี ภรรยา เป็นลูกเป็นเพื่อน เป็นครู เป็นแพทย์ พยาบาล เป็นทหาร ตำรวจ ก็เป็นของสมมุติชั่วครู่ ชั่วคราว อย่าละทิ้งหน้าที่ทำให้ดีที่สุด

    3. แถมอีกนิดทำจิตใจให้ฉลาดสะอาดอยู่เสมอ ด้วยการคิดเอาไว้ตามความเป็นจริงตลอดเวลาที่ยังมีชีวิตอยู่ว่า โลกนี้ทั้งโลกไม่มีอะไรที่เรารักเราชอบ ข้าวของเงินทอง ลาภยศสรรเสริญ มีมามีไป ความสุขกายใจก็ไม่ถาวรตลอดชีวิต แม้แต่ร่างกายเราเองก็แสนสกปรกรกรุงรัง ต้องทำความสะอาดทุกวัน เหม็นร่างกายเราเองทุกวัน ทั้งหิวทั้งเหน็ดเหนื่อย ร้อนหนาว เจ็บปวด ทรมานร่างกายทุกวัน แล้วร่างกายเราก็จะผุพังสลายตายไป เรายังปรารถนาอะไรภายนอกร่างกายที่สูญสลายในที่สุดอีกเล่า

    กำหนดจิตคิดเอาไว้ว่า โลกนี้ทั้งโลกไม่มีความหมายกับจิตของเรา ร่างกายที่เหม็นเน่านี้ตายเมื่อไร จิตเราจะขอขึ้นไปกราบเฝ้าองค์พระผู้มีพระภาคเจ้าที่แดนทิพย์นิพพาน


    ตั้งใจคิดเอาไว้แบบนี้เพียงคืนละ 5-10 นาที ก่อนหลับเป็นทั้งสมาธิและวิปัสสนาญาณ ก่อนตายใจท่านเป็นสุขแน่ ตายไปก็พ้นจากอบายภูมิคือ นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน อย่างน้อยอย่างต่ำท่านไปเป็นสุขบนสวรรค์ อย่างกลางท่านไปเป็นสุขนานแสนนานบนพรหมโลก อย่างเก่งอย่างมากจิตท่านติดตามองค์สมเด็จพระพิชิตมารศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้าสู่พระนิพพาน มีความสุขอิสระเสรีจากบาปกรรมจากการเวียนว่ายตายเกิด มีความสมปรารถนาทุกประการสามารถที่จะมาช่วยลูกหลานในโลกมนุษย์ก็ด้วยการดลจิตดลใจให้ทำความดี มีทาน ศีล ภาวนา สุขสดชื่นตลอดกาลพระนิพพานทุกท่านเทอ

    จงทำจิตให้สว่างสดใส ดังดอกบัวสดชื่นสะอาดเปล่งปลั่งเบิกบาน จิตของคนแม้จะอยู่ในขันธ์ 5 ซึ่งเต็มไปด้วยเลือดเนื้อ เหม็นคาวเหม็นเน่า จิตก็ยังคงบริสุทธิ์ ผ่องแผ้วเบิกบาน จิตคนก็เป็นเช่นดอกบัวที่ไม่เปรอะเปื้อนโคลนตมน้ำขุ่นฉันนั้น


    จงอธิษฐานให้กายหยาบหรือขันธ์ 5 จงหายไปจากจิต ฝากจิตไว้กับองค์พระผู้มีพระภาคเจ้าเบื้องบนพระนิพพาน ผู้ที่ไม่ได้มโนมยิทธิก็อธิษฐานขอพระพุทธรูปมาประทับในหัวสมองหรือขอท่านประทับในอกก็ได้ แล้วขอดวงจิตเป็นแก้วใสแวววับอยู่ในท้องของพระพุทธรูปอีกทีเอาจิตมองพระพุทธนิมิตที่กำหนดเอาไว้ในสมองหรือในท้องหรือจะเอาไว้ทั้ง 2 องค์ทั้งในศีรษะ ในท้องด้วยยิ่งดี มองดูด้วยจิตไม่ใช่ด้วยตา มองครั้งใดขอให้เห็นดวงจิตของเราสดใสเป็นแก้วแวววับเหมือนกับพระพุทธรูปนั้น

    การปล่อยวางขันธ์ 5 ออกจากจิตทำอย่างไร?

    1. ปล่อยอารมณ์จิตที่เกาะร่างกายเสีย โดยคิดว่า จิตเราไม่มีความห่วงใยในชีวิต ไม่สนใจร่างกาย แม้ว่าเรามีร่างกายจิตก็คิดว่า มีก็เหมือนไม่มีเพราะร่างกายตายแน่นอน

    2. จิตเราไม่มีกังวลกับชีวิตร่างกายเราเอง ไม่ห่วงใยเป็นกังวลกับชีวิตร่างกายของบุคคลอื่นและวัตถุธาตุใดๆ ทั้งหมด

    3. ร่างกายขันธ์ 5 รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสทางกาย อารมณ์ทางใจ สุขๆทุกข์ๆ ทางกาย เป็นของมาทีหลัง เราต้องกำจัดอารมณ์ทางร่างกายด้วยการให้จิตรู้เท่าทัน รู้แล้วละวางปล่อยสลัดออกจากจิตเพราะเป็นของชั่วครู่ชั่วคราว สุขจริงประมาณ 1 ชั่วโมง แล้วก็เริ่มทุกข์ใหม่ สลัดอารมณ์ต่าง ๆออกจากจิตให้หมดเพราะไม่ใช่ของจริงเป็นของแปลกปลอมทั้งสิ้น

    4. เพียรกำหนดรู้ลมหายใจเข้าๆออกๆแล้วนึกถึงพระผู้มีพระคุณยิ่งที่ท่านชี้ทางแสงสว่างความสุขที่แท้จริงของจิตใจเรา คือ เมืองทิพย์พระนิพพานภาวนา พุท-โธหรือนโมพุทธายะหรือสัมมาอรหัง หรือ นะมะ พะธะ หรือ อิติปิโสดีทั้งนั้นเป็นพุทธานุสสติกรรมฐานและอานาปานสติกรรมฐานเป็นกุศลใหญ่ จิตจะไม่กังวลสนใจร่างกายขันธ์ 5

    5. ผู้ที่ฝึกมโนมยิทธิได้แล้วก็ขอฝากจิตกายทิพย์ไว้กับองค์สมเด็จพระจอมไตรศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเบื้องบนพระนิพพานไว้ตลอดไปเป็นการแยกจิตที่สะอาด ออกจากร่างกายขันธ์ 5 ที่สกปรกคือการปล่อยวางขันธ์ 5

    6. เมื่อปล่อยวางขันธ์ 5 ได้กิเลส ตัณหา อุปาทาน อวิชชาก็หมดไปเอง เพราะจิตคนนั้นที่มีกิเลส ตัณหา อุปาทาน อวิชชา เริ่มต้นก็เพราะไปยึดติดกับร่างกายเราร่างกายเขา ดังนั้นจึงไม่ควรสนใจโลกธรรม 8 ลาภ ยศ สรรเสริญ เจริญสุขทางโลก เพราะเป็นของปลอมทั้งนั้น


    มโนมยิทธิเป็นกรรมฐานอภิญญาเล็ก ถูกกับจริตของคนทั้ง 6 จริตคือ ราคะจริต โมหะจริต ศรัทธาจริต โทสะจริต พุทธจริต วิตกจริต ใครมีจริตอันใดก็มาทำกรรมฐานมโนมยิทธิได้หมด เพราะเป็นกรรมฐานกลาง ๆ เจ้าควรจะรู้กรรมฐานนั้นๆ ถูกกับจริตอารมณ์ของเจ้าหรือไม่ คนที่ได้มโนมยิทธิก็เท่ากับได้ของชำร่วยไปแล้วคือ อภิญญาไม่ต้องไปขวนขวายให้มาก อภิญญาเป็นของเล่นธรรมดาจะเอาคืนไปเมื่อไรก็ได้ ถ้าใช้มโนมยิทธิผิดมันก็บาป มโนมยิทธิก็เสื่อมสูญ ถ้าใช้ถูกคือใช้เพื่อตัดกิเลส ตัณหา อุปาทาน อวิชชา ก็เป็นทางลัดตัดตรงเป็นพระอริยเจ้าเข้าพระนิพพานได้รวดเร็ว

    มโนมยิทธิเป็นวิชาที่พระผู้มีพระภาคเจ้าเบื้องบนพระนิพพานส่งลงมาให้พวกเจ้ากัน ไม่ใช่ว่าจะมีกันเองโดยธรรมชาติทุกคน ใครทำดีพระเบื้องบนท่านก็ประทานให้ แต่ต้องให้ดีเสมอต้นเสมอปลาย คนทำชั่วผิดศีล 5 ข้อ ยากนักจะเข้าถึงธรรมและมโนมยิทธิอภิญญาทั้งปวงไม่ได้หรอก จิตผ่องใส เจ้าทำจิตให้ผ่องใสด้วยการปล่อยวางขันธ์ 5 โลกธรรม 8 รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เป็นของชั่วครู่ มีมา มีไป ปล่อยวางทางกายเขา กายเรา คือไม่เอาจิตใจไปคิดไปแส่ส่ายสนใจเรื่องของโลก ลาภ ยศ สรรเสริญ สุขทางร่างกายเป็นของชั่วคราวไม่ใช่ของจริง ไม่ต้องไปสนใจเรื่อง กาย เขากายเราของสกปรกทั้งนั้น


    ผู้ที่จะบรรลุธรรม หากไม่ผ่านการพิจารณาร่างกายเป็นโทษเป็นทุกข์ เป็นของเหม็นคาว เหม็นเน่า เป็นซากศพพูดได้เดินได้แล้ว ก็ไม่มีวันที่จะเข้าใจธรรม ไม่มีวันพบกับความสุขที่แท้จริง ไม่พบพระนิพพานในจิตใจ ทุกคนต้องผ่านการวิจัยวิเคราะห์เรื่องร่างกาย เป็นของใครกันแน่ ร่างกายเป็นของธรรมชาติของโลก ที่จิตของพวกเจ้ายืมร่างกายของเขามาใช้ พอได้ร่างกายจากธรรมชาติ ดิน น้ำ ลม ไฟ มาใช้ก็หลงทึกทักยึดเอาว่าเป็นของตัวตนของเรา อย่างนี้ผิดนะลูก ทำสิ่งใดอย่าใจร้อน ค่อยๆก้าวไปทีละขั้น ถ้าเจ้าก้าวยาวๆ เจ้าก็มีสิทธิที่จะล่วงตกได้เหมือนกัน ถอยหลังกลับไปกลับมาเพราะมันเกินกำลังใจของเจ้าอยู่ เจ้าต้องสร้างกำลังใจให้เข้มแข็งกว่านี้


    กำลังใจก็คือบารมี 10 นะแหละหมั่นสร้างสมเข้าไปมี ทาน ศีล เมตตา อธิษฐาน เนกขัมมะ คือบวชจิตไม่ให้นิวรณ์ 5 มารบกวนจิต วิริยะ ขันติ ปัญญา อุเบกขาบารมี ดีทั้งนั้น มีบารมีใดบารมีหนึ่งอีก 9 บารมีก็เดินเข้ามาในจิตของเจ้าเอง เจ้าต้องทำบุญให้กำลังบุญมากกว่ากำลังบาป เมื่อนั้นเจ้าจะบำเพ็ญธรรมได้ดี ทุกคนต้องทำบุฯด้วย ทาน ศีล ภาวนา แนวการสร้างบุญมีมากมาย บุญกิริยาวัตถุ 10 หรือกรรมบท 10 บุญนำมาซึ่งความปลื้มปีติ มีจิตผ่องใส

    กุศล การรักษาจิตให้สะอาดผ่องใสด้วยการระลึกนึกถึงสิ่งที่เป็นบุญ คือ ทาน ศีล ภาวนา สำรวม กาย วาจา ใจให้นิ่งเฉยไม่กระวนกระวายฟุ้งซ่านเป็นปกติ หากมีบุญไร้กุศลก็อีกนานนัก ที่จะเข้ากระแสพระนิพพาน


    จงพิจารณาขันธ์ 5 ของเจ้าให้เข้าใจว่า มันไม่ใช่ของจิตเจ้า องค์พระสวัสดิโสภาคย์ศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า สอนอะไรไว้มากมาย สรุปแล้วมีเพียงตัวเดียว คือ ให้ตัดร่างกายขันธ์ 5 หรือสักกายทิฏฐิ ข้อแรกของสังโยชน์ 10 นั้น เมื่อเรามีขันธ์ 5 ก็ยากที่จะพ้นทุกข์ ไม่มีสุขที่แท้จริง สุขประเดี๋ยวประด๋าวเพราะได้กิน ได้นอน ได้ถ่าย พวกเจ้าเกิดมาในโลกนี้คิดดู ความสุขนั้นไม่มียืนยาว ไม่ถึงชั่วโมงก็หมดแล้วหาย แล้วอาการของความสุขนั้นไม่นานเลย แต่ความทุกข์กายใจมีอยู่นานใช่ไหม? ตราบใดที่ยังมีร่างกายแบบนี้ มันย่อมทุกข์แน่นอน จงปล่อยวางร่างกายเสีย ปล่อยวางร่างกายที่เป็นต้นเหตุแห่งทุกข์นั้นเสีย คือทำจิตให้ว่างเปล่า ไม่สนใจคิดห่วงใยร่างกายเรา ร่างกายเขา ไม่ใช้ลาภ ยศ สรรเสริญ เจริญสุข ทางโลกร่างกายมารบกวนจิตใจเราต่อไป ด้วยการภาวนาพุท-โธ ก็ดี สัมมาอรหัง อิติ ติอิ แผ่เมตตาไปทั่ว 3 โลกยิ่งดี เป็นการทำให้จิตว่างจากของเป็นทุกข์โทษคือ ร่างกา

    นำเอาของสะอาดคือ องค์สมเด็จพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนิพพาน คือ พระธรรม ที่จิตเราต้องการหนีทุกข์และคุณพระอริยสงฆ์ มาไว้ในจิตใจ จิตใจก็จะว่าง จากกิเลสโดยง่าย ไม่ยากเลย ผู้ใดที่สงสัยลังเลในพระรัตนตรัยไม่ถึงธรรมนะลูก นิวรณ์ทั้ง 5 รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส คือ กามราคะ ความไม่พอใจ ความวิตก กังวล ความฟุ้งซ่าน ความเกียจคร้าน ตัดออกจากจิตใจให้ทิ้งไปเสีย ของไม่ดีอย่าเอาจิตไปยุ่งกับมัน


    คนทำชั่วถูกลดอายุ ที่คนตายกันเร็ว เพราะว่าทำบาปกรรมผิดศีล 5 ข้อมาก จะลดกฎของกรรมก็ต้องทำบุญกุศล มีจิตเมตตา ไม่ปรารถนาสิ่งใดต่อไปไม่ปรารถนาลาภ ยศ สรรเสริญ หรือเกิดเป็นเทวดานางฟ้า ต้องปรารถนาพระนิพพานจึงหนีบาปได้ การทำบุญอุทิศส่วนกุศลก็เป็นสิ่งดียิ่ง แต่ถ้าลูกหลานทำบุญ พ่อแม่ ก็ได้หมดไม่ว่าจะอยู่ไหน แดนใดพ่อแม่ได้รับบุญหมด การอุทิศส่วนกุศลไม่จำเป็นต้องกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลแต่ให้อุทิศด้วยใจจริงต้องทำด้วยจิตที่ตั้งใจอย่างจริงจัง เปรต สัมภเวสี เทวดา เขารอโมทนากันมากมาย ถ้าเป็นผีวิญญาณโมทนาบุญ เขาก็ได้รับอภัยโทษให้ไปเกิดเป็นคน บ้าง ไปเกิดเป็นเทวดา จงใช้จิตที่เป็นมโนมยิทธิของเจ้าดู บ้างก็ไปเสวยสุขชั่วขณะตามกำลังบุญ เมื่อหมดบุญก็กลับมาขอบุญอีกก็มีมาก


    การบำเพ็ญธรรม จิตต้องอยู่ห่างจากโลกียธรรม คือ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ลาภ ยศ สรรเสริญ สุขทางกาย ถ้าห่างไม่ได้ ก็ให้ทวนกระแสอย่าไปสนใจ ทางโลกอย่าติดใจทางโลกให้มองดูโลกตามความเป็นจริง ว่าโลกนี้วุ่นวายเสื่อมทราม สกปรกโสมม มีอันตรายภัยรอบด้าน วิ่งไปหาความแก่ เจ็บ ตาย กันทั้งนั้น การสะเดาะเคราะห์ เมื่อไม่เอาจิตหมกมุ่นกับเคราะห์ เคราะห์ก็หายไปเอง ทำจิตใจให้ว่างเปล่าๆ อยู่กันง่าย สบาย ไม่มีห่วง ว่างจากสรรพสิ่งใดๆในโลก จิตจะหลุดพ้นจากเคราะห์กรรม เพราะ จิตหลุดพ้นจากขันธ์ 5 สภาวะจิตไม่มีห่วงใย ไม่สนใจโลก ทำใจเป็นสุขสบา

    ร่างกายก็ทำงานทุกอย่าง ตามหน้าที่ๆ โลกแต่งตั้งให้ คือ สภาวะนิพพาน จิตเบาสบายมีความนิ่งเฉยเป็นอุเบกขา ไม่มีอะไรหลงเหลือที่จิตจะยึดติดอีก จิตก็มีนิพพาน มีพระพิชิตมารศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ในใจ แม้มีร่างกายอยู่ก็ดูเหมือนไม่มี เพราะไม่ห่วงใย อาลัยรักร่างกายเรา ร่างกายเขา สิ่งที่ไม่มี คือ ร่างกาย เพราะต้องสูญสลายตายแน่นอน สิ่งที่มีเป็นของจริง แต่ตาพวกเจ้ามองไม่เห็น คือ พระนิพพานกับจิตพวกเจ้าเป็นของไม่สูญสลาย ไม่ตาย เป็นอมตะ ดังนั้นพวกเจ้าจึงต้องสนใจของจริงให้มากคือ จิตกับพระนิพพาน


    องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆพระองค์ ปีติชื่นชมที่ลูกได้เอาโลกียธรรมและโลกุตตรธรรมที่ได้ซ่อนเร้นนานแล้ว ออกเผยแพร่ หนังสือออกมาก็เหมือนพระอาทิตย์ขึ้นสว่างสดใส พระพุทธองค์ท่านพอใจปลื้มใจ ธรรมะได้ออกมาเป็นลายลักษณ์อักษร พระอภิธรรมเป็นพระธรรมที่ละเอียดลึกซึ้งงดงามและเป็นความจริงที่ลูกเขียนให้คนอื่น ได้เข้าใจง่ายๆ ในอภิธรรมได้ง่ายๆ ก็มีพระที่ท่านรู้เข้าใจเก่ง ในทางอภิธรรมควบคุมช่วยดลใจให้ลูกเขียนได้ถูกต้องตามที่พระพุทธองค์ทรงสอนไว้เมื่อประมาณ 2546 ปีล่วงมาแล้ว


    จิตของเจ้าเวลาเขียนหนังสือ เหมือนเข็มที่ฝังไปด้วยเพชรแหลมคมส่องเป็นประกายระยิบระยับใส ด้วยการกระทบกับแสงแดดดูงดงาม ไม่มีกิเลสเครื่องเศร้าหมอง บารมีของพระแต่ละองค์ พระอภิญญาเจ้า จากเบื้องบนแต่ละพระองค์ก็ช่วยลูก ลูกได้รับคำสอนโดยตรงจากพระพุทธองค์ วิเศษยิ่ง บารมีเจ้าสูงเต็มทำอะไรก็ง่าย เจ้าทำภาระของเจ้าให้เสร็จก่อน ภาระของเจ้าคือตัดสังโยชน์ 10 ให้ขาดให้หมดสิ้นและภาระช่วยแนะนำให้พุทธบริษัทเข้าใจสภาวะพระนิพพานได้ง่ายดายและถูกต้อง พระนิพพานไม่ใช่ของยากเหมือนนักปราชญ์ทางโลกเข้าใจ มีอยู่ทุกหนทุกแห่งในจิตในใจของผู้ที่มีจิตสะอาดเบิกบานและฉลาดซึ่งเป็นธรรมชาติของจิตเดิมคือจิตของพุทธะ


    ธรรมชาติของจิตเดิมสดใสสว่างเบา งดงามสะอาดเป็นประกายพรึก มีความนิ่งเฉยแฝงไปด้วยพลังงานเป็นสุขยอดเยี่ยม จงทำใจของเจ้าให้นิ่งเฉยเป็นปกติ จิตของเจ้าจะสดใสก็ด้วยการฝากจิตฝากใจไว้กับพระผู้มีพระภาคเจ้าเบื้องบนพระนิพพาน ส่วนใจ คือ อายตนะทั้ง 6 ของร่างกายก็ควบคุมให้นิ่งเฉยต่อความทุกข์ วุ่นวายของโลก ใจเราอย่าวุ่นวายตามสภาวะของโลก ซึ่งมีความแปรปรวน เป็นทุกข์ ทนได้ยากอีกทั้งควบคุมก็ไม่ได้ผลสุดท้ายก็พังสลายเป็นอนัตตา

    ลมหายใจของเรามีค่ามากกว่าเงิน หลายพันล้าน การที่ยกระดับจิตของเราเป็นจิตของอริยบุคคล มีค่ามากกว่าลมหายใจ สรรพสิ่งใดๆในโลกนี้ ไม่หยุดนิ่ง ทุกอณูทุกโมเลกุล วิ่งเข้าไปหาความผุพังเสื่อมสลายไม่ว่าคนสัตว์สิ่งของ แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งสิ่งเดียวในโลกที่อยู่นิ่งๆ ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่สูญสลาย นั่นคือ จิตของเจ้าเอง จงหัดทำจิตของเจ้าให้นิ่งเฉย ไม่วิ่งวุ่นวายไปกับสภาวะธรรมชาติของโลก เพราะจิตคน สัตว์อยู่เหนือสภาวะธรรมชาติของโลก

    ถ้าจิตไปติดร่างกาย ชื่อว่า อยู่ใต้อำนาจของกิเลส ตัณหา อุปาทาน อวิชชา จิตก็ไม่เป็นอิสระภาพ เพราะเป็นทาสของกิเลส และเป็นทาสของบาปกรรม หนีไม่พ้นจากความทุกข์กาย ทุกข์ใจ จิตใจมีหน้าที่ดูแลขันธ์ 5 ธาตุ 4 รักษาระบบร่างกายให้สมดูลย์ อย่าก้าวก่ายเอาใจไปเป็นร่างหรือเอาร่างกายมาเป็นจิตใจ มันจะไม่มีความสงบสุข แต่ความทุกข์ร้อนใจทุกอย่างในชีวิต อายุของเจ้าเบื้องบนกฎของกรรมกำหนดไว้หมด เหลือแต่รอวาระในวันจบสุดท้ายคือ วันตาย


    พวกเจ้ามีกายขันธ์ 5 รีบเร่งปฏิบัติธรรม รีบเร่งทำความดี อย่าทิ้งโอกาสอันดีที่จะทำบุญ กุศล อย่าปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปโดยเปล่าประโยชน์ มิฉะนั้นเมื่อสำนึกได้จะสายเกินไป จิตเจ้าจงปล่อยวางๆ จากทุกสิ่งทุกอย่างเป็นของมายาทั้งนั้น ขันธ์ 5 ของคนสัตว์ ไม่ใช่ของจริงเป็นเพียงภาพมายาชั่วครู่ชั่วคราว เงาในกระจกไม่ใช่ของเจ้าฉันใด ขันธ์ 5 ร่างกายที่เจ้าอาศัยอยู่ก็ไม่ใช่ของเจ้าฉันนั้น เป็นเพียงฝันสลาย อย่าสนใจกับของหลอกลวงของโลก ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกในมหาอนันตจักรวาลเป็นของสมมุติเป็นความว่างเปล่าทั้งสิ้น จิตเราสมมุติมันขึ้นมาเป็นของเราของเขาใช่หรือไม่ ?


    การปล่อยวางร่างกายขันธ์ 5 ของเจ้านั้นก็คือ เอาจิตของเจ้านั่นแหละผลักร่างกายขันธ์ 5 เจ้าทิ้งออกไปจากจิตใจของเจ้าเอง จิตจะสะอาดสดใสเบาสบายเป็นสุขไม่มีอะไรมาเทียบวิชาในโลกมีมาก ศึกษาเท่าไรไม่มีวันจบ วิชานอกโลกในอนันตจักรวาลมีมากเหมือนกันแต่ไม่ต้องรู้จะดีกว่า เรียนมากๆ เรียนไปเรียนมา แล้วชีวิตได้อะไรเพิ่มเติมเล่า ได้แต่ทางโลก การงาน การเงินที่ดี ซึ่งไม่ใช่ของจีรังยั่งยืน พอแก่เฒ่าปลดเกษียณ ลาภยศ สรรเสริญ เงินทองก็หมดไป ความเจ็บป่วย ตามมา แล้วก็ตายเงินทองตำแหน่งหน้าที่ ลาภยศ สรรเสริญ เจริญสุขทางการเอาไปติดตามหลังตายได้หรือไม่


    ความรู้ทางธรรม ความฉลาดทางบุญกุศล มีความสุขใจทั้งชาตินี้และติดตามจิตเราเมื่อร่างกายพังสลายแล้วไปหลายๆชาติ ความรู้ทางโลกยังมีวันจบ ความรู้ทางธรรมไม่มีวันจบสิ้น จงศึกษาแต่วิชชา ที่จะให้จิตเราหลุดพ้นจากภัย อันตรายในวัฏฏสงสารเถิด รู้แล้วปฏิบัติตาม ชีวิตจะเจริญรุ่งเรื่อง ได้ดีเองจากผลบุญซึ่งให้ผลทันตา

    จงวางจิตนิ่งๆเฉยๆ เหนือบุญบาปเหนือดี เหนือชั่ว เหนือสุข เหนือทุกข์ ทุกอย่างอยู่ที่วางเฉย ไม่ดีใจ ไม่เสียใจ รู้สักแต่ว่ารู้ เห็นสักแต่ว่าเห็นไม่เอาอารมณ์ใจเข้าไปยึดติดกับสภาวะของโลก ที่เป็นของมายา ของสมมุติ ของปลอม เพราะแปรปรวนเปลี่ยนแปลงและสูญสลายไปในที่สุด ร่างกายขันธ์ 5เจ้าอย่าไปสนใจ มันจะเป็นอะไรก็ดูแลรักษา ไม่ให้ร่างกายขันธ์ 5 เป็นทุกข์มากเกินไป ถ้าจิตเราไปสนใจร่างกาย สิ่งแวดล้อมหรือสนใจผู้อื่น ทำให้จิตใจเจ้าสกปรกไปด้วยทิฏฐิมานะเป็นอวิชชา


    สิ่งที่ลูกตั้งจิตอธิษฐานขอให้บรรลุธรรมก่อนตายในชาตินี้เป็นสิ่งประเสริฐ ทำต่อไปเถิดลูก ทำจิตให้สะอาดสดใส พระนิพพานอยู่ใกล้ตัวเจ้าแล้ว การฝึกทำจิตนิ่งๆ เฉยๆ ไม่ยินดียินร้ายกับทุกๆสิ่งทั้งมีชีวิตและไม่มีชีวิต เจ้าเป็นคนชนะโลกชนะทุกสิ่งทุกอย่าง ชนะขันธ์ 5 เรา ชนะขันธ์ 5เขา จิตเราจะเป็นมรรคเป็นผล ไม่ต้องสนใจเพราะเป็นเพียงบันไดไต่ขึ้นพระนิพพาน ถ้าไปสนใจจะกลับกลายเป็นมานะทิฏฐิเป็นอุปกิเลสจะทำให้จิตเศร้าหมอง คิดว่าเราดีกว่าเขา เราเสมอเขา หรือเราด้อยกว่าเขา ผู้ที่เก่งในทางโลกโลกียธรรม โลกุตตรธรรมไม่มีใครเก่งนอกจากพระผู้มีพระภาคเจ้า

    เป็นมนุษย์มีอายุน้อยอายุสั้นกว่าเทพพรหมมากมาย มีความทุกข์มากกว่า เทวดาพรหมเพราะ มีขันธ์ 5 เทพพรหมไม่มีขันธ์ 5 มีรูปทิพย์มองด้วยตาเปล่าไม่เห็นอยู่ในจิต เทพพรหมอีกที ปฏิบัติธรรม บรรลุธรรมได้ง่ายได้มากกว่าคน เพราะมีบุญบารมีปัญญามีตาทิพย์หูทิพย์ ได้เห็นคนและสัตว์ในโลกเต็มไปด้วยความทุกข์ ได้ฟังพระธรรมจากพระอรหันต์ จากองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เข้าสู่พระนิพพานไปแล้ว พระองค์ท่านก็ยังกลับมาสอนเทพพรหมที่มีบารมีสูงส่งให้เข้าใจในพระนิพพานได้ง่ายๆ และเทพพรหมมีปัญญาบารมีก็เป็นพระอริยเจ้า เป็นพระอรหันต์กันก็มากกว่าคน ท่านไม่ต้องกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ ท่านหมดวาระเสวยบุญเป็นเทพ พรหมแล้ว ท่านก็เข้าสู่พระนิพพานได้ 20 %


    มนุษย์มีความทุกข์มากกว่าความสุข มีโอกาสเข้าใจทุกข์ เข้าใจธรรมเพราะไม่ต้องหลงติดสุขเหมือนเทพพรหม มีชีวิตแสนสั้น 1 วันของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เท่ากับ 100 ปีในมนุษย์ มนุษย์ สัตว์จึงมีชีวิตสั้นมากเมื่อเทียบกันกับเทวดาและพรหม มนุษย์จึงมีโอกาสดีที่สุดที่จะทำจิตสะอาดจากกิเลสหรือขันธ์ 5 ร่างกายที่สกปรกนี้ได้รวดเร็วที่สุดไม่ถึง 1 วันของเทวดา ตายจากความเป็นคนจิตก็เข้าสู่แดนอมตะทิพย์นิพพานได้ทันที แต่มนุษย์ก็ทำจิตถึงพระนิพพานได้ไม่ถึง 5 %
    ผู้มีจิตสะอาด คือ จิตผู้นั้นไม่หลงใหลติดใจในขันธ์ 5 รูปนามที่เป็นสิ่งสมมุติ เพราะเป็นของชั่วคราว นรกโลก เทวโลก มนุษย์โลก พรหมโลก เทวโลก เป็นของปลอมเพราะเป็นของชั่วครู่ชั่วคราว ว่างเปล่าสูญสลายในที่สุด ถ้าจิตผู้ใดหลงใหลในความว่างเปล่า ทั้ง 3 โลก ก็ถือว่าจิตผู้นั้นมีอวิชชาเพราะไม่ฉลาด หลงใหลไปกับความว่างเปล่า ไม่มีสาระแก่นสาร


    ลูกเป็นผู้มีบารมีเต็ม บารมีสูง ให้ลูกอยู่ช่วยพระศาสนาก่อน แล้วยังอยากหนีไปพระนิพพานอีก เวลาของเจ้าไม่นานรีบทำจิตของเจ้าให้เป็นสังขารุเปกขาญาณ เรื่องพระนิพพานไม่มีปัญหาหมดเวลาอายุขันธ์ 5 หมดวาระเราก็ไปพระนิพพานกัน

    มโนมยิทธิอภิญญาให้ทำต่อไปเจ้าเป็นลูกพ่อเจ้าต้องทำจิตให้เข้มแข็งเหมือนพ่อ พระธรรมคือ พรอันประเสริฐรับไปเถิดลูก พรที่ลูกขอ จงเจริญพรให้มากขึ้นใครเห็นใครชอบด้วยความคิดสติปัญญา ทำใจให้สว่างไสวด้วยการแผ่เมตตาจิตให้สรรพสัตว์ทั้งหลายไปทั่ว 3 โลก เป็นพระอริยเจ้าก็ต้องช่วยทำงาน เพื่อผู้อื่นให้เข้าถึงธรรม ถึงพระนิพพาน กำลังพระธรรมกำลังพระพุทธศาสนา กำลังใจของเจ้า รวมกันเข้าแล้วก็เป็นกำลังพลังมหาศาล

    หนังสือธรรมประทานพรออกมาก็เป็นพระธรรมที่สว่างไสวดุจแสงอาทิตย์ มีประโยชน์มากทำให้ผู้อ่านหนังสือเข้าใจพระนิพพานได้ถูกต้อง การไปพระนิพพานก็เป็นของง่าย ทุกคนมีสิทธิ์ไปพระนิพพานได้เท่าเทียมกันหมดอยู่ที่จิตไม่ติดในขันธ์ 5 ร่างกายตัวเดียว ประโยชน์ของหนังสือธรรมประทานพรมีมากล้ำค่าด้วยคุณธรรม เป็นการต่ออายุสังขารของตนและผู้อื่น ต่ออายุพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรือง ต่อสติปัญญาเพิ่มบุญบารมีของตนและผู้อื่น สติคือ ความรู้ตัวเตือนจิต คอยตรวจตราควบคุมดูจิต กำจัดสิ่งไม่ดีออ


    พลังสติเป็นกำลังมหาศาล คือ พิจารณาให้รู้ถึงความเป็นจริงในชีวิตของโลก จงนำสติความรู้ตัวมาเป็นสมาธิ รู้ตัวอยู่เสมอ จิตเราอยู่ในกายแก้ว กายทิพย์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าที่แดนทิพย์อมตะนิพพานทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ ไม่มีใครเป็นของเจ้าของๆใครทั้งนั้น มายืมกันอยู่ มายืมกันใช้ชั่วคราว อีกไม่นานลูกจะได้อภิญญาเต็มและจะได้ไปอยู่กับองค์พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าแดนทิพย์นิพพานเป็นของจริงตลอดกาล

    พระไตรปิฎก พระอภิธรรมปิฎกสอนถูก แต่ชาวพุทธตีความหมายผิดก็มีมาก คัมภีร์ศาสนาอื่นดี แต่ก็มีการบิดเบือน ภัยพิบัติในโลกมีมากขึ้น ถ้าผู้คนไม่ทำความดี ผิดศีล 5 ข้อกัน เมื่อผู้คนมีบุญมากขึ้น ภัยพิบัติจะลดน้อยลง


    ทางอเมริกาจะโดนหนักสังคมเละเทะเจริญด้วยเทคโนโลยี แต่ไม่มีศีลธรรม ลูกจะช่วยโลกได้โดยใช้ธรรมะของเจ้าช่วย ดีกว่าอภิญญาหลายเท่า ถ้ามีธรรมะ อภิญญาก็มาเอง พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนารู้ทฤษฎีมากกว่าปฏิบัติ สมาธิ ฌาน1-ฌาน2 ยังไม่ได้ พระอภิธรรมทั้ง 7 บท ถ้าเข้าใจทำได้ก็จะถึงซึ่งพระนิพพาน การเขียนการพิมพ์พระอภิธรรมเป็นของดี บารมีของเจ้าก็เพิ่มมากขึ้น พระอภิธรรม 7 คัมภีร์ น้อยคนนักที่ศึกษาแล้วจะเข้าใจ วิสุทธิมรรคคือ คัมภีร์ ที่ถูกต้องดีที่สุด ถูกต้องทุกพระธรรมคำสอนทุกประการ

    ทุกคนมีจิตพุทธะ แต่เอาจิตของพุทธะมาใช้ต่างกัน การตัดกิเลสมากน้อยก็ต่างกัน เจ้าจงทำจิตเจ้าให้ว่างเปล่าจากขันธ์ 5 ถอยจิตออกจากขันธ์ 5ให้หมด ถอดจิตออกไปอยู่ในพระวรกายองค์สมเด็จพระปฐมบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเอาจิตมองลงมาดูโลกทั้ง 3 เป็นของว่างเปล่าของสมมุติ ของปลอม ของมายาเพราะในไม่ช้าก็สูญสลายไปสิ้น เหลือแต่ความว่างเปล่า จิตเราก็จะได้อยู่กับพระผู้มีพระภาคเจ้าตลอดกาล

    ความว่างโอบอุ้มสรรพสิ่งทุกอย่างรวมทั้งจิตคนสัตว์ จิตเทพจิตพรหม จิตของเราก็ว่างจากขันธ์ 5ด้วย ทุกสิ่งในโลก สวรรค์ พรหม เป็น สมมุติสมบัติ จิตมีพลังงานเหนือโลกสมบัติ เทวสมบัติ พรหมสมบัติ จิตมีอภิญญาสมาบัติ จิตมีรูปลักษณ์หรือไม่มีรูปลักษณ์ทำได้ทั้งนั้น จิตสามารถทำอะไรก็ได้มีความสุขเลิศล้ำทั้ง ๆ ที่มีขันธ์ 5 นี้ ทำจิตให้สะอาด คือ จิตว่างจากขันธ์ 5 และโลกทั้ง 3 จิตจะสะอาดที่สุดเมื่อฝากจิตไว้ในพระนิพพานกับองค์สมเด็จพระสวัสดิ์โสภาคย์ศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า มีพระคาถาไม่ว่าจะเผชิญอารมณ์กระทบกระทั่งให้จิตเศร้าหมองฟุ้งซ่านคิดวิตกกังวล คือ จงปล่อยวาง จงปล่อยวาง จงปล่อยวาง วาง วาง วางจนว่าง ไม่มีอะไรเหลือแม้แต่อณุ แตกสลายกระจายเกลายเป็นความว่างเปล่า แล้วเจ้าจะพบกับความว่างจากกิเลส ตัณหา อวิชชา อุปาทาน คือ พระนิพพานในชาตินี้ ทั้ง ๆที่ยังไม่ตาย เป็นเอกันตบรมสุข มีความสุขอย่างยิ่งทีเดียว

    เกษรเจ้ามีจิตดี คิดจะช่วยบริวารของเจ้า บ้านของเจ้าเหมือนคฤหาสบนสวรรค์ เจ้าจะประสบความสำเร็จสมหวังทุกประการ เจ้าไปที่ไหนก็อาราธนาพระผู้มีพระภาคเจ้าไปด้วย เสด็จพ่อก็ไปกับเจ้า ช่วยเจ้าเวลาบรรยายพระธรรม พระพุทธองค์ท่านปลื้มใจที่ลูกๆปฏิบัติดี พระศาสดาพระศาสนาเป็นของสำคัญยิ่ง ขออัญเชิญท่านประทับไว้ในจิตใจของลูกให้มั่นคง

    สิ่งที่เจ้าทำถูกต้องแล้ว การกราบทูลถามพระพุทธองค์อย่าถามซ้ำวกวน กราบทูลถามพระองค์ท่านทางธรรมได้อย่างเดียว ปัญหาทางโลกให้กราบทูลถามหลวงพ่อฤาษีท่านได้


    ผู้เขียนได้กราบทูลถามเรื่องอานุภาพของบ่อน้ำทิพย์ในโลกมนุษย์ พระท่านได้เมตตาตอบว่าน้ำบ่อทิพย์ ก็คือจิตของบุคคลนั้น มีความเชื่อถือศรัทธา มีเทพเทวดารักษาอยู่ตามแต่ละคน ถ้าเขาอธิษฐานด้วยจริงใจ น้ำอะไรก็หายได้ จะเอาน้ำที่ไหนก็ได้ทำเป็นน้ำพุทธมนต์รักษา

    ธรรมชาติของโลกศึกษาไม่มีวันจบสิ้น กว้างใหญ่ไพศาลแปรปรวน สูญสลาย ไม่มีที่สิ้นสุด ร่างกายคนเราก็เป็นธรรมชาติมีแร่ธาตุ คาร์บอน ออกซิเจน ไนโตรเจน ไฮโดรเจน แมกนีเซียม โปแตสเซียม ไอโอไดร์ ฯลฯรวมใหญ่ ๆ คือ ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ

    พระนิพพานเป็นของจริง ไม่ใช่ของธรรมชาติ เป็นทิพย์ทั้งหมดเหนือ อนิจจัง เหนือทุกขัง เหนืออนัตตา นิพพานไม่ใช่ของเล่น ไม่ใช่ของปลอม ไม่ใช่ของสมมุติ นิพพานเป็นทิพย์อิสระสดสวยงดงามยิ่งกว่าสวรรค์พรหม เป็นทิพย์คนละอย่างกับเทวดา พรหม มีรัศมีกายแผ่ไปไกลมากน้อย ตามบารมีของพระเบื้องบนพระนิพพานแต่ละองค์


    จิตของลูกเวลาทำงานมีพระพุทธเจ้าที่ลูกระลึกถึงและหลวงปู่หลวงพ่อคุณครูบาอาจารย์ บิดามารดา เทพไท้เทวาท่านติดตามดูแลลูกตลอดมา จงทำจิตของเราเป็นอุเบกขาเหมือนเวลาที่เจ้าบรรยายพระธรรม

    จิตของแต่ละคนในโลกมนุษย์วิ่งวุ่นวายอยู่ตลอดเวลาเสี้ยววินาทีคิดเปลี่ยนไปเป็นหมื่นเป็นล้านเรื่อง จิตมนุษย์วิ่งวุ่นวายเหมือนลิง เจ้าจงทำใจให้กว้างแผ่เมตตาไปทั่ว 3 โลก ทำจิตให้สดใส ทำใจให้เป็นปกติ

    ขอบารมีองค์สมเด็จพระพุทธบิดาบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า บารมีพระธรรม บารมีพระอริยสงฆ์ บารมีของคุณบิดามารดา บารมีของคุณครูบาอาจารย์ บารมีของเทพไท้เทวา ได้โปรดมารวมตัวสงเคราะห์ลูกและบริวารญาติมิตร ให้มีความสุขสำเร็จในชีวิตและบารมีที่ลูกๆทำไว้ จงได้รับผลอานิสงค์ถึงพระนิพพานทุกๆคน เร็วไวในชาติปัจจุบันนี้เทอญ.

    www.sangthip.com
    <!-- / message --><!-- edit note -->
     
  2. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    พระไตรปิฎก พระอภิธรรมปิฎกสอนถูก แต่ชาวพุทธตีความหมายผิดก็มีมาก .....ชอบตรงนี้ครับอนุโมทนาสาธุ...

    มีคำว่า นิพพาน ไม่มีเครื่องน้อมไปเป็นต้น คือ คำว่า นิพพานไม่มีเครื่องน้อมไปนั้น พระอรรถกถาจารย์อธิบายว่าตัณหาชื่อว่าเป็นเครื่องน้อมไป เพราะน้อมไปในอารมณ์ทั้งหลาย มีรูปเป็นต้นและน้อมไปในภพทั้งหลาย <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    มีกามเป็นต้น ซึ่งท่านย่นใจความว่า นิพพานนั้นไม่มีตัณหา ฯ คำของพระอรรถกถาจารย์ที่อธิบายดังนี้ เป็นอันได้ความแจ่มแจ้งแล้ว คือ พระนิพพานนั้น ไม่มีตัณหาที่จะให้น้อมไปในอารมณ์ และภพอันใดอันหนึ่ง จึงเป็นที่เกษมสุขอย่างยิ่ง เพราะเหตุว่า สิ่งที่มีตัณหานั้น เป็นสิ่งที่ให้เกิดทุกข์ทั้งนั้น คำว่านิพพานไม่มีเครื่องน้อมไป คือตัณหานี้ เป็นเครื่องชี้คุณของนิพพานให้เห็นว่า ไม่มีเหตุที่จะให้เกิดทุกข์ จึงจัดเป็นเอกันตบรมสุขอย่างยิ่ง สมกับคำว่า นิพพานัง ปรมัง วทันติ พุทธา พระพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมกล่าวว่า นิพพานเป็นบรมสุขดังนี้ <o:p></o:p>
    คำว่า ของจริงไม่ใช่เห็นได้ง่ายในพระอุทานนั้น พระอรรถกถาจารย์อธิบายไว้ว่า นิพพานนั้นชื่อว่าเป็นของจริง เพราะเป็นของไม่วิปริต เป็นของมีอยู่โดยแท้ ใครจะแก้ไขให้เห็นว่า นิพพานไม่มีนั้นเป็นอันไม่ได้ นิพพานนั้นถึงผู้ได้สะสมบุญญาณไว้ได้ตลอดกาลนาน ก็ยังยากที่จะเห็นได้ ดังนี้ คำของพระอรรถกถาจารย์นี้เป็นคำที่แจ่มแจ้งอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องชี้แจงซ้ำอีกให้พิสดารเป็นแต่จับใจความว่า ตามถ้อยคำของพระอรรถกถาจารย์นี้มีมาว่า นิพพานซึ่งเป็นของจริงนั้น ถึงผู้บำเพ็ญบารมีมานานแล้ว ก็ยากที่จะสำเร็จได้<o:p></o:p>
    คำว่าแทงตลอดตัณหานั้น พระอรรถกถาจารย์ว่า ได้แก่ละตัณหาอันเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ฯ คำว่าผู้รู้ผู้เห็นนั้น ได้แก่ ผู้รู้เห็นอริยสัจด้วยอริยมรรคปัญญา ฯ คำว่าไม่มีความกังวลนั้นได้แก่ไม่มีกิเลสวัฏฏ์ กรรมวัฏฏ์ วิปากวัฏฏ์ คือ ความวนเวียนแห่งกิเลส และกรรมกับทั้งผลแห่งกรรม ดังนี้ ฯ ถ้อยคำของพระอรรถกถาจารย์เหล่านี้ ก็มีใจความแจ่มแจ้งแล้วทั้งนั้น โดยเหตุนี้ จึงของดธัมมัตถาธิบายในพระพุทธอุทาน ที่ ๗๒ อันมีเนื้อความว่า ธรรมชาติอันใดไม่มีเครื่องน้อมไปเป็นของเห็นได้ยาก เพราะของจริงไม่ใช่เป้นของเห็นได้ง่าย เครื่องกังวลย่อมไม่มีแก่ผุ้แทงตลอดตัณหาแล้วรู้อยู่เห็นอยู่ ดังนี้ ......<o:p></o:p>
    ที่มา กัณฑ์ ที่ ๗๒ คัมภีร์ ขุททกนิกาย พุทธอุทาน ว่าด้วยนิพพานอันปรากฎแก่ผุ้สิ้นตัณหา<o:p></o:p>
     
  3. ไห่เฉากุหลาบไฟ

    ไห่เฉากุหลาบไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    896
    ค่าพลัง:
    +2,177
  4. visa2505

    visa2505 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กันยายน 2007
    โพสต์:
    560
    ค่าพลัง:
    +1,093
    สั้น กระทัดรัด แต่ตรงเป้าหมายมากๆ สาธุ
     
  5. รุ้งกินน้ำ

    รุ้งกินน้ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    169
    ค่าพลัง:
    +328

แชร์หน้านี้

Loading...