พระโพธิสัตว์เป็นพระอริยเจ้าได้ไหม ?

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย tamsak, 18 กรกฎาคม 2013.

  1. tamsak

    tamsak ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2004
    โพสต์:
    7,857
    กระทู้เรื่องเด่น:
    22
    ค่าพลัง:
    +161,171
    ถาม : ปัจจุบันนี้พระอริยเจ้าท่านมีอยู่เท่าไรคะ ?

    ตอบ : เสียเวลาไปคิด ทำตัวเองให้เป็นพระอริยเจ้าถึงจะดีที่สุด เพราะว่าท่านจะมีเท่าไร หรือท่านจะเป็นพระอริยเจ้าระดับไหน ก็เหมือนกับสมบัติมหาเศรษฐี เราดูไป เรารู้ไปก็ยังเป็นของท่านอยู่ดี สำคัญที่เราต้องหาสมบัติของเราเองให้ได้

    ถาม : พระโพธิสัตว์เป็นพระอริยเจ้าได้ไหมคะ ?

    ตอบ : ไม่ได้จ้ะ ถ้าพระโพธิสัตว์ไม่ได้ละการปรารถนาพุทธภูมิ จะเป็นพระอริยเจ้าไม่ได้ แต่พระโพธิสัตว์ท่านสามารถปฏิบัติจนกำลังใจเทียบเท่าพระอริยเจ้าได้ ดังนั้น..พระโพธิสัตว์บางท่าน ถ้าไปขอคำสอนท่าน ท่านจะสอนลักษณะเดียวกับพระอริยเจ้า แต่จะไม่สอนเกินกำลังใจของตน

    อาตมาเคยกราบขอให้ หลวงปู่อ่ำ วัดโสมนัส ที่ หลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านบอกว่า เป็นช้างปาลิไลยกะมาเกิด ขอให้ท่านพูดถึงอารมณ์พระอริยะเจ้า ท่านบอกว่า “ฌานโลกีย์อย่างคุณ ผมพูดไปก็ผิดเสียเปล่าๆ” อาตมากราบเรียนว่า “แค่กราบขอความรู้ไว้เป็นแนวทางการปฏิบัติเท่านั้น ถ้าหากว่ากระผมทำถึง จะได้รู้ว่าตนเองเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าจริงหรือไม่ ?”

    ท่านถึงได้แสดงให้ แต่ว่าท่านจะพูดวนอยู่แค่สังโยชน์ ๕ ก็แปลว่ากำลังใจของท่านเทียบเท่าพระอนาคามี ฉะนั้น...พระอริยเจ้าจะไม่มีในพระโพธิสัตว์ ถ้ายังไม่ละความปรารถนาในพระโพธิญาณ เพราะภาระที่ตนเองตั้งใจไว้ จะทำให้จิตไม่ยอมตัดละเข้าสู่ความเป็นพระอริยเจ้า ต่อให้กำลังใจเทียบเท่าพระอริยเจ้า ก็ไม่สามารถจะเป็นพระอริยเจ้าได้

    ถาม : พระโพธิสัตว์ตัดลาจากพุทธภูมิก็เข้าสู่ความเป็นพระอริยเจ้าได้ ?

    ตอบ : ได้..และการปฏิบัติจะเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าเร็วกว่าบุคคลทั่วไป เพราะกำลังของท่านสูงมากแล้ว

    สนทนากับพระครูวิลาศกาญจนธรรม (พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ)
    ณ บ้านวิริยบารมี ต้นเดือนเมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๖


    ที่มา : http://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=3713&page=8


    .
     
  2. Sirius Galaxy

    Sirius Galaxy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,132
    ค่าพลัง:
    +2,559
    สาธุ ครับ

    ที่สงสัย สับสน ก็คือช้างปาลิไลยกะ
    เพราะเห็นมีบางกระทู้ บอกว่า .......คือช้างปาลิไลยกะ
    ยิ่งกว่านั้นเคยอ่านเจอ .......เคยเกิดเป็นพระเจ้าเดือนเด่นฟ้า (รู้สึกจะเป็นคำเขียนบอกเล่าของหลวงพ่อฤษี)
    และก็ยังเคยเกิดเป็นพระนเรศวรมหาราชด้วย


    เรื่องของเรื่อง คือ อดสงสัยไม่ได้
    ที่จริงทำใจไม่สงสัยก็ได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กรกฎาคม 2013
  3. apiraks

    apiraks เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2012
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +508
    ผมว่าเคยเห็นแว๊บๆอยู่นะ ในเว็ปนี้แหละ เห็นมีผู้ที่บอกว่าตนเป็นพระอนาคามี
    แถมยังปรารถนาพุทธภูมิอีกด้วย ใครเตือน ยกพระสูตรมาอ้างอย่างไรก็ไม่ฟัง
    บอกว่ากรณีของเค้าไม่เหมือนกัน

    ยุคสมัยนี้ทำไมผู้ที่บอกยึดถือในพุทธศาสนา แต่กลับพูดหักคำพระพุทธองค์
    แบบไม่สนใจ หากพระพุทธองค์ไม่เคยตรัสไว้ ผิดถูกก็ว่ากันไป แต่หากท่าน
    ทรงตรัสไว้ดีแล้ว จะมาหักคำท่านไปเพื่ออะไรไม่ทราบ

    ข้อความนี้ผมกล่าวขึ้นโดยอิงคำสอนในพระไตรปิฎกนะครับ จุดประสงค์เพียง
    อยากเห็นผู้นับถือพุทธศาสนา ดำเนินในแนวท่านที่พระพุทธเจ้าท่านสอนเท่านั้น

    หากไม่ถูกใจท่านผู้ใด ผมขออโหสิกรรมไว้ด้วยนะครับ

    ขอเจริญในธรรมทุกท่านครับ
     
  4. อภิมาร

    อภิมาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    711
    ค่าพลัง:
    +2,154
    วันผ่านมาได้ฟังธรรม

    พระท่านว่า..ในทางโลกล้มพระราชแล้ว

    ตั้งตนเองขึ้นเป็นใหญ่

    แต่ทางธรรม..เหล่าสาวกไม่มีทางทำ..ยิ่งพระโพธิสัตว์

    ด้วยแล้ว..อย่าว่าแต่นอนให้พระพุทธองค์และ

    เหล่าสาวกท่านผู้เป็นพระสุปฏิปันโนข้ามเลย

    พระโพธิสัตว์นั้นมีแต่จะช่วยสืบทอด..และจรรโลง

    อย่าว่าแต่เพียงแค่นี้เลย..แม้แต่หัวของท่านยัง

    กล้าตัดถวายแด่พระพุทธองค์..ดูก็แล้วกันท่านให้

    ความเคารพบูชา..พระพุทธเจ้า..มากขนาดไหน?.


    หมายเหตุ เก็บมาเล่าสู่กันฟังครับ.
     
  5. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ข้าพเจ้ามิได้เข้ามาเพื่อขัดแย้งแต่อย่างใดแต่เพราะข้าพเจ้าปฏิบัติมาอย่างนี้ แล้ว ย่อมเห็นแล้วว่า

    แม้ข้าพเจ้าปราถนาพระโพธิสัตว์ แต่ข้าพเจ้าจะปฏิบัติธรรมจะทรงอารมณ์ พระสกิทาคามีให้ได้ และเมื่อทรงได้แล้วข้าพเจ้าไม่มีเหตุอันใดที่จะทรงไว้อย่างนั้น แต่จะกระทำจิตและการปฏิบัติเพื่อให้เข้าถึงซึ่งความเป็นพระสกิทาคามี ให้ได้
    เพราะความเป็นอะไรใดๆนั้น ไม่ได้เกี่ยวกับอะไรอื่นไม่ได้เกี่ยวกับความเป็นใครอะไรใดๆทั้งสิ้น แต่ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติและความสะอาดของจิต เป็นการปฏิบัติที่นำจิตไปสู่ความดีงาม ความสะอาดบริสุทธิ์ของจิตเป็นสำคัญ

    และอนาคตข้าพเจ้าจะปฏิบัติเพื่อให้ได้ซึ่งถึงความเป็นพระอนาคามี เช่นกัน แต่ เราจะไม่เฉพาะทรงอารมณ์แต่เราจะปฏิบัติเพื่อให้ถึงซึ่งความเป็นพระอนาคามีให้ได้ เพราะเราไม่เห็นประยชน์อะไรที่จะแค่ทรงอารมณ์เหล่านั้น แต่เราเห็นประโยชน์เพื่อความเข้าถึงความเป็นพระอนาคามี ก็เท่านั้น

    ส่วนที่กล่าวมานี้คือความปราถนาของกระผมก็มีเท่านั้น ส่วนการเข้าถึงพระอรหันต์ในอนาคต กระผมจะไม่ขอกล่าว เพราะเป็นของสูง มาก แต่กาลเวลาเท่านั้นจะเป็นเครื่องบอกกล่าวสัจจธรรมความจริงทั้งปวงครับ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 สิงหาคม 2013
  6. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ===============

    สุดท้าย ข้าพเจ้าขอกล่าวว่า ก็สิ่งที่ข้าพเจ้ากล่าวไว้นั้น จะมีเหตุอะไรเป็นเครื่องขัดขวางหรือไม่ จากการศึกษาและปฏิบัติธรรมมามากพอสมควร แล้วจึงมัน่ใจและเชื่อมั่นว่า ไม่มีเหตุอะไรจะเป็นเครื่องขัดขวางให้การปฏิบัติของข้าพเจ้าได้ หากข้าพเจ้ามีความเพียรพยายาม อย่างแท้จริง และอาศัยการฝึกอบรมจิตอย่างไม่ย้อท้อ มี บุญทาน เป็นกำลัง มีศีลอันบริสุทธิ์เป็นรากฐาน มีความเพียรใน มหาสติ สมาธิสมถะและวิปัสสนาญาณ

    ข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่า ข้าพเจ้าสามารถละสังโยชน์ได้ ตามที่ประสงค์ครับ
    อนึ่งแม้ข้าพเจ้าจะละได้มากน้อยอย่างไร ข้าพเจ้าจะได้ชื่อว่าเป็นอะไร แต่ข้าพเจ้าก็ไม่ได้สนใจว่าจะเป็นอะไร เพราะทุกอย่างล้วนถูกสมมุติตั้งชื่อเรียกสภาวะนั้นๆขึ้นมาเพื่อความเข้าใจง่าย เรียกได้ถูก รู้ได้ง่ายก็เท่านั้น
    อะไรจะสำคัญเท่า จิตใจของเราเท่านั้นที่เราย่อมรู้ดีว่าจิตของตนนั้นสะอาดและบริสุทธิ์เพียงใด ใครเล่าจะมารู้ดีไปกว่าตนรู้จิตตนครับ
    สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 สิงหาคม 2013
  7. ชีวอน

    ชีวอน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2012
    โพสต์:
    246
    ค่าพลัง:
    +763
    ผมว่าตามที่ท่านเจ้าของกระทู้นำมาบอกกล่าวนั้นถูกต้องแล้วนะครับ พระโพธิสัตว์ นิยตะโพธิสัตร์ จะไม่เป็นพระอริยะบุคคล เพราะพระอริยะบุคคลจะต้องเป็นสาวกภูมิ แต่ถ้าเป็นอนิยตะโพธิสัตว์ และจะไม่เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว บารมีสามารถเป็นพระอรหัตทันทีครับ (ต้องบารมีมากพอจะได้รับการพุทธพยากรแต่เปลี่ยนใจก่อนนะครับ) ถ้าท่านtjsสามารถเข้าถึงระดับผลของอริยบุคลอย่างมากจะต้องเกิดอีก7ชาติ ลงมาสร้างบารมีไม่พอครับ เพราะอย่างน้อยต้อง4อสงไขย์แสนมหากัป และถ้าท่านtjsต้องการไปให้ถึงระดับอนาคามีผล ได้จริงก้อต้องไปเกินเป็นพรหมชั้นสุทธาวาส และจะนิพพานบนชั้นนั้นไม่กลับมาเกิดอีกครับ แล้วท่านจะลงมาสร้างบารมีเพื่อเป็นพระพุทธเจ้าได้อย่างไร อีกอย่างพระโพธิสัตว์นิยตโพธิสัตว์ ไม่เกินในชั้นสุทธาวาสเพราะเป็น อาภัพ18ประการ ของนิยตโพธิสัตร์ครับ แต่ถ้าพูดถึงระดับบารมีที่จะทำให้สิ้นกิเลสของพระโพธิสัตร์ที่มีบารมีมากนั้น มากกว่าพระอรหัตน์ระดับสาวกภมิครับ รอผู้รู้ท่านต่อไป ขอบคุณครับ
     
  8. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ความจริงสิ่งที่กระผมกล่าวเมื่อพิจารณาโดยเหตุปัจจัยแล้ว ทุกอย่างย่อมเกิดจากเหตุปัจจัย และอีกประการหนึ่ง คำสอนของพระพุทธเจ้าหรือพระธรรมนั้น บางส่วนการตีความก็ตีความเหมารวมไปโดยทั้งหมด ซึ่งก็อาจไม่ถูกต้องนักหรือถูกต้องทั้งหมด ที่ผมกล่าวมาเพราะรู้ในเหตุปัจจัย ทั้งหมด การจะตีความอะไร ต้องรู้ทั้งลึกและกว้าง และเมื่อเหตุปัจจัยเปลี่ยน ผลที่จะเกิดตามมาก็เปลี่ยน แต่เพราะท่านไปยึดติดในคำอธิบายอย่างนั้น ด้วยมุมมองอย่างนั้น เมื่อมีผู้อื่นมาอธิบายอีกมุมมองหนึ่งในเรื่องเดียวกัน ทั้งๆที่มีเหตุและผลที่ถูกต้องสนับสนุน แต่ท่านบางส่วนกลับไม่ยอมเปิดใจกว้างรับฟังหรือยอมรับ กลายเป็นมิจฉาทิฏฐิไป ก็น่าเสียดายครับ

    สุดท้ายเราจะไม่โต้แย้งอะไร หากแต่วันหนึ่งข้างหน้า ด้วยการปฏิบัติของตน ย่อมทราบคำตอบได้เองในที่สุดครับ สิ่งที่เราคุยๆกันมาจดจำกันมารู้จดรู้จำรู้ฟังกันมาทั้งปวง ก็ไม่เท่าเรารู้จริงจากการปฏิบัติด้วยตนเอง ผมจะเป็นคนพิสูจน์ความรู้และความจริงเหล่านี้ด้วยตัวผมเองครับ ผิดถูกอย่างไรก็ยอมรับทั้งหมดครับ สุดท้ายหวังเพียงการชำระจิตใจให้สะอาดบริสุทธิ์เพื่อความพ้นทุกข์ก็เท่านั้นครับ
     
  9. ชีวอน

    ชีวอน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2012
    โพสต์:
    246
    ค่าพลัง:
    +763
    ขอบคุณครับ ผมว่าไม่ได้โต้แย้งครับเรียกว่าแบ่งปันความรู้กันจะดีกว่า เพราะประสพการณ์ภายในนั้น ถ้าผิดพลาดแล้วแก้ยากนะครับ ต้องมีครูนำทางดี(เช่นปัจจวัคคีทั้ง5ได้ครูคือพระพุทธเจ้าสอน) ถูกต้องครับต้องปฎิบัติให้ถึงความจริง ถ้าเป็นชาวพุทธจริงต้องทำให้ถึงความจริงให้ได้ เพราะพระพุทธเจ้าเราสอนให้เห็นความจริง เพราะเหตุนี้ศาสนาเราจึงต่างจากศาสนาอื่นที่สอนให้เชื่อ มากกว่าสอนให้รู้ความจริง ขออนุโมทนาบุญครับ ผมก้อปฎิบัติมาบ่างแต่คงจะน้อยกว่าท่าน และเคยปรารถนาพุทธภูมิในชาตินี้บ่างเหมือนกัน แต่ยังไม่รู้ว่าจะรอดหรือเปล่า(แต่คิดว่ามีครูดีแล้ว) ดีครับที่ท่านต้องการไปให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ เพราะวิสัยพระโพธิสัตว์นั้นต้องการพ้นทุกข์เข้าสูนิพพานอย่างเดียวเท่านั้น ที่ยังไม่เข้าก้อเพราะความเป็นพระพุทธเจ้านั้นเหละ ขออนุโมทนาด้วยครับ ขอบคุณครับ
     
  10. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ท่านจะเชื่อกระผมรือไม่ก็ตาม กระผมเคยแสดงความเห็นไว้ว่า ยังมีพระอนาคามีส่วนหนึ่ง อันเป็นส่วนไม่มากนัก เมื่อดับกายแล้ว ไม่ได้ไปยัง ชั้นพรหมสุธาวาส เสมอ

    ขึ้นอยู่กับ สภาวะจิตของพระอนาคามีผู้นั้นว่า ในขณะนั้น ท่านมียังมีอาสวะใดเป็นเครื่องปรุงแต่งให้จิตเปลี่ยนอัตภาพไปยังภพภูมินั้นๆ ครับ

    แต่โดยส่วนใหญ่แล้วพระอนาคามีย่อมไปยังพรหมสุธาวาส ซึ่งเป็นไปตามที่พระพุทธองค์ท่านกล่าวไว้ครับ ถูกต้องครับ

    แต่ยังมีบางส่วนไม่ได้ไปชั้นสุธาวาสก็มีครับ
    และจึงมีคำถามว่า ท่านไปยังที่ใด ตรงนี้ก็ต้องถามว่า สภาวะจิตของท่านมีอาสวะใดเป็นเครื่องปรุงแต่ง
    แล้วประการสุดท้าย พระอนาคามี ส่วนน้อยส่วนหนึ่งดังกล่าวนี้ ย่อมมาเกิดเป็นมนุษย์ได้หรือไม่ ก็สามารถมาเกิดได้ ตามเหตุปัจจัย ที่ปรุงแต่งหรือยึดมั่นอยู่ในจิตของท่านพระอนาคามีเหล่านั้น แต่ส่วนที่กระผมกล่าวมานี้เป็นส่วนน้อยและเป็นส่วนพิเศษของความเป็นพระอนาคามี กลุ่มนี้เท่านั้นครับ

    อนึ่งมีคนถามผมต่อว่าแล้ว ในเมื่อท่านละกามได้สำเร็จแล้ว กิเลสท่านมีเบาบาง ท่านกลับมาเกิดอีก แล้วชีวิตท่านจะเป็นอย่างไร
    กระผมก็อธิบายว่า เมื่อท่านยังมีกิเลสอันเป็นธุลีเบาบางก็จริงแต่ธุลีเบาบางเหล่านั้น ย่อมปรุงแต่งจิตให้มาจุติเกิดได้ เสมอ และเมื่อมาจุติเกิดแล้ว แม้จิตจะลืมสิ้นอดีตชาติแต่ด้วยผลบุญที่สั่งสมมาก็ทำให้หันหน้าเข้าสู่การปฏิบัติธรรมเพื่อให้จิตกลับสู่ความเป็นพระอนาคามีได้ดังเดิม อย่างรวดเร็ว และสามารถก้าวหน้าทางจิตต่อไปได้อีกจนสำเร็จเป็นพระอรหันต์ได้ครับ

    เป็นเรื่องท่านส่วนใหญ่คิดว่านอกตำรา ซึ่งผมก็เข้าใจและไม่ขอโต้แย้งอะไรครับ
    ตลอดจนเรื่องความเป็นอรูปพรหม หรืออรูปาวัจระภพ ซึ่งของผมจะไม่ตรงกับแผนภูมิที่ใช้ศึกษากัน ซึ่งชั้นพรหมสุธาวาส ตามที่กระผมปฏิบัติมาและรู้ด้วยจิตตลอดจนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ครูอาจารย์ของผมท่านกล่าวแสดงปรากฏรู้เห็นนั้น ปรากฏว่าตั้งแต่ชั้นมหาพรหมา ขึ้นไปเป็นชั้นอรูปพรหม สูงสุดที่อะกะนิฏฐะกาพรหมเท่านั้น ส่วนอากาสา วิญญานัจจา อากิญญาจัญญา เนวะสัญญานา ทั้งหลายเหล่านั้นไม่ใช่ชั้นอรูปพรหมแต่เป็นลักาษณะอาการของการเจริญอรูปฌาณ เพื่อให้ได้ความเป็นอรูปพรหม ต่างๆนั่นเอง ครับ ซึ่งสิ่งที่กระผมทราบความเป็นจริงนี้ ก็อาศัยครูอาจารย์ท่านอบรมสั่งสอน และอาศัยศึกษาจากพระคาถาธรรมจักรตลอดจนพุทธมนต์หลายบท ตลอดจนการเจริญสมาธิจิต จึงรู้แจ้งเป็นอย่างนี้ ซึ้งไม่ตรงกับที่ทุกๆท่านศึกษากันอยู่นั้นเอง จึงเข้าใจและไม่ดื้อดึงอะไรครับ เพราะอะไรจะเป็นอย่างไรก็ไม่ได้ยึดติด สำคัญคือการปฏิบัติธรรมชำระจิตของตนก็เท่านั้นครับ สาธุ
     
  11. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    ท้าวมหาราชทั้ง ๔ เป็นพระอนาคามี อยู่ สวรรค์ชั้นแรก ได้ดวงตาเห็นในสมัยพุทธองคื พระอินทร์ ก้เช่นกัน ตั้งแต่ พระโสดาบัน จนถึง พระอนาคามี ท่านสามารถ เลือกชั้นอยู่ได้ ตั้งแต่ สวรรค์ชั้นต้น ถึง ชั้น ๖ และพรหม ชั้น ๑ ถึงพรหม ที่ ๑๒ ในส่วน พรหมชั้นที่ ๑๓ จนถึงพรหมชั้นที่ ๑๖ เป็นที่อยู่ของพรหม พระอนาคามี ในส่วน ของอรูปพรหม อีก ๔ ชั้น ๑๗ถึง๒๐ เป็นชั้นของอรูปพรหม ไม่มีรูป เป็นดวงจิตลอยอยู่เฉย ๆ ไม่มีอายายะตะนะ ตัวอย่าง ที่พระพุทธองค์ จะไปโปรด อาราลดาบถ กับท่าน อุทกดาบถ ท่านพระอาจารย์ ทั้งสอง พระพุทธเจ้าตรัส ว่าฉิบหายแล้วหนอๆๆๆๆๆๆๆ ท่านจะไปโปรด แสดงธรรม แต่พระอาจารย์ทั้ง สองโปรดไม่ได้ เพราะไม่มีอายะตะนะ ฟังธรรมนั่นเอง พระองค์ถึงได้ตรัสดั่งนั้น เลยไปโปรด พระปัจจะวัคคี พระฤาษีทั้ง ๕ ครับ ในส่วนของพระโพธิสัตว์ ไม่มีท่าง ได้มรรคผลนิพพาน ได้แต่เรียนรู้อารมย์ เทียบเท่า พระโสดาบันต์ จนถึง อารมย์พระอรหันต์ ถ้าลาพุทธภูมิ จะจบกิจเป็นพระอรหันต์เร็วครับ พระ องเล็ก ท่านพูดได้แจ่มแจ้งแล้วครับ รู้สึกผมจะพูดมาหลายกระทู้แล้วแหละครับ แค่นี้แหละครับ สวัสดี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 สิงหาคม 2013
  12. ดำฤษณา

    ดำฤษณา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    52
    ค่าพลัง:
    +205
    โพธิสัตว์ผู้ปรารถนาพุทธภูมิจักมิผ่านสาวกภูมิเลยกระนั้นหรือ
    ผู้เป็นครูจักเคยเป็นนักเรียนมาก่อนหรือไม่
    โรงเรียนพุทธภูมิอยู่ที่ไหน
    การสร้างบุญกับบำเพ็ญบารมีแตกต่างกันไหมแยกแยะออกไหม
    สายสัมพันธ์เชื่อมต่อบารมีคืออะไร
    กำลังใจหรือบารมีเทียบเท่าพระอริยะเจ้าเป็นอย่างไร
    ฝากไว้ให้คิดครับตราบที่ยังไม่รู้แจ้งด้วยจิตก็ยังสงสัยเป็นธรรดา
    ถือเสียว่าเป็นการร่วมกันศึกษาครับ
    ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรม
     
  13. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814




    ผมก็พูดมาหลายๆกระทู้แล้วครับ คุณ ดำกษณา ดีครับ ที่จะศึกษา ร่วมกันไม่มีใครรู้หมดหรอกครับ แน่นอนครับ
    ข้อ ๑ ของคุณถามว่า พระโพธิสัตว์ ผู้ปราถนา พุทธภูมิ จักมิผ่าน สาวกภูมิเลย กระนั้นหรือ )( หมายถึง ไปเรียนรู้กับ สาวกใช่หรือไม่ อ๋อ แน่นอนอยู่แล้วครับ ดังปัจจุบัน ทุกสายแหละครับ ต้องไปสัมผัส กับ เรียนรู้ข้อ อรรถ ข้อธรรม อยู่แล้ว หลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้วครับ พระอริยสาวก ของพระพุทธเจ้า ตั้งแต่ พระโสดาบันถึงพระอรหันต์ พุทธภูมิ ต้องผ่าน อารมย์ เทียบเท่าอีกต่างงหากครับ หนีไม่ได้น่ะครับ เพราะผม ก็ผ่านมาเหมือนกัน ไม่ใช่พูดอย่างเดียวครับ




    ข้อ ๒ คุณ ดำ ถามว่า คนเป็นครู จะต้องเป็นนักเรียน มาก่อนหรือไม่ )( ถูกต้อง ครับแน่นอนที่สุด คนเป็นครูเขาน่ะ มันจะกระโดนไปเป็นครู เขา โดยที่ไม่ผ่านการ เป็นเด็ก นักเรียนมาก่อน มันเป็นไปไม่ได้อยู่ แล้ว มันต้องผ่านมาก่อน ถึงจะไปเป็นครูเขาได้ ครับผม ข้อ ๓ คุณดำ ถามมาว่า โรงเรียน พุทธภูมิ อยู่ที่ไหน มันอยู่ที่ใจ ของเรา ไปเรียนกับอะไร จากไว ทารก ผ่านมาเป็นเด็ก วัยรุ่น หนุ่ม สาว วัยกลางคน แก่ แล้วตาย คุณไปทำอะไรมา ในทุกๆวัยของคุณ สมมุติว่า คุณกินข้าว มันมีรส อะไรบ้าง แล้วกิน น้ำพริก ผักหญ้า ปูปลา อะไรเข้าไปบ้าง เรียนหนังสืออะไร กี่ชั้น ในชีวิตของคุณ ช่วยคนและสัตว์ ใครบ้าง เคยบวชเรียนไหม ทำงานอะไร กี่ชนิด ในชีวิตของคุณ ดินน้ำอากาศ คุรเรียนอะไร มาบ้าง ในตัวของคุณ พิจรณา อย่างไร กรรมฐานคุณทำได้แค่ไหน แล้วคุณ เคยโดนใครเตะทำร้ายบ้างไหม แล้วคุณจะแก้ อย่างไร


    แก้ได้หรือไม่ได้ เคยทำบุญ อะไรมา นี่ยังพรรณนาไม่ไหว ทุกๆอย่าง พุทธภูมิต้องเรียนรู้หมด ไม่งั้นมันไปเป็นครูเขาไม่ได้นะคุณ ในเมื่อ คุณเป็นพุทธภูมิ ใจคุณ เขาก็เรียก ว่าพระโพธิสัตว์ เป็นวันแรกที่คุณ ทำความปราถนา ในวันนั้น คุณจะต่อไม่ต่อ มันเรื่องของพวกคุณๆท่านๆ โรงเรียนของพวก พุทธภูมิ มัน อยู่ใน ระหว่างคนกับสัตว์ ที่เกิดมา จะเรียนรู้ ยังมีอีกเยอะนะครับ คุณ จะไม่ขอพูด แค่นี้ ก็เพียงพอแล้ว ถ้าใครไม่เข้าใจ ก็ไปตั้งต้นไหม่ ครับ ที่อเวจีโน่น ข้อ ๔ คุณถามว่า การสร้าง บุญกับ สร้างบำเพ็ญบารมี มันแตกต่างกันอย่างไร แยกแยะออกไหม บุญกับบารมี มันตัวเดียวกัน มันแยกแยะ ออกไม่ได้หรอก มันเดิน ไปด้วยกัน เพราะมันตัวเดียวกัน


    ยกตัวอย่างเช่น คุณ สร้าง วิหาร โบสถ ศาลา ส้วม โรงเรียน โรงพยาบาล ช่วยเหลือคน สัตว์ มันก็นเป็นบุญ เมื่อทำบ่อยๆ บารมีมันก็สูงขึ้นไปเรื่อยๆ ยิ่งทำเท่าไหร่ ยิ่งสูงเท่านั้น ไม่ว่าคุณ จะรักษา สิล ๕ -๘-๑๐ -๒๒๗ เจริญสมาธิกรรมฐาน ก็เป็นบุญ กุศล นี่ บารมีมันก็เกิดแล้ว มันเกิดตั้งแต่คุณคิดจะทำโน่น เมื่อทำเสร็จ ทำได้แล้ว มันก็สมบูรณ์ แบบครับ คุณดำ ในข้อ ที่ ๕ คุณถามว่า สายสัมพันธ์เชื่อมต่อ บารมี คืออะไร ข้อนี้ รู้สึก ยากนิดหนึ่ง แต่ของคนอื่น หมายความว่ากระไร ผมไม่รู้ แต่ของผม เป็นแบบนี้ครับผม คนเราเกิดมามันมี ความสัมพันธ์ กันในสายเลือด ความเป็นพ่อแม่กัน พี่น้อง ลูกหลานโหลนเหลน แต่ความสัมพันทางธรรม เป็นศิษย์ ครูอาจารย์กัน ศิษย์ พี่ศิษย์น้อง ว่ากันไป ปฏิบัติร่วนมกัน คนเคยสร้างบุญร่วมกัน มันก็บันดาล ให้เกิดมาเจอกัน ร่วมกัน ทำงานการร่วมกันบ่อยๆ เกิดเป็นพ่อแม่ พี่น้องร่วมกันบ่อยๆ คนที่เคยรักกันก็อธิษฐาน ร่วมกันกันมันจะเจอกันบ่อยๆ ผมบอกแบบกว้างๆ การสร้างบารมี นี้ มันก็มาจาก การทำบุญทำทาน รักษาสิลเจริญภาวนา มันจึงเกิด การติดต่อ กันไป ทุกภพทุกชาติ ของการกระทำ มันก็มาจาก การอธิษฐาน บารมีนั่นเอง มันจึงเป็น สายสัมพันอันแนบแน่น ติดต่อกันไปทุกภพทุกๆชาติ ไม่ต้องสงสัยเลย เอาง่ายๆ แบบในสาย หลวงปู่มั่น สายหลวงพ่อ สด สายหลาวงพ่อสังวาลย์ สายพ่อ อุตตะมะ สายหลวงพ่อ ฤาษี วัดท่าซุง เนี่ย เพราะทำบุญ สร้างบุญกูศล มันจึงเกิดเป็นบารมี ติดตามกันมา ใครไม่เข้าใจแต่ผมเข้าใจของผมครับ


    ข้อที่ ๖ นี่ ผม รู้สึก ว่าผมจะพูดมาก มาหลายๆกระทู้แล้วนะเนี่ย เรื่องนี้ ไม่เคยอ่านไม่เข้าใจหรือ คุณถามมาว่า กำลังใจ หรือเทียบเท่า พระอริยเจ้าเป็นอย่างไร ผมพูดมาเยอะแล้วนะ ก็เรียนอารมย์ หรือทำอารมย์ตัวเองให้ถึง อารมย์พระโสดาบัน ไปจนถึงอารมย์พระอรหันตื ว่าท่านเหล่า นั้น ตั้งอารมย์ ความเข้าถึง เป็นอย่างไรแบบไหน เท่านั้นเอง การเขียนมัน ง่าย แค่คิด การกระทำ มันยากครับท่าน ปกิบัติให้ถึงเข้าถึง มันจะรู้ ของมันเอง ว่าเป็นอย่างไร ผมได้ตอบตามความ รู้ของผม และที่ผมสัมผัสมา และได้ศึกษามาจาก ในสายของ ทั้งพุทธภูมิ สาวกภูมิ ทั้งผู้ หญิง ผู้ชาย บวชพระ และที่เป็นสัตว์ เถร เณร ชี มาแบบนี้นี้ เจ้าข้า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 สิงหาคม 2013
  14. ดำฤษณา

    ดำฤษณา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    52
    ค่าพลัง:
    +205
    กระผมยังเป็นผู้ที่ยังต้องศึกษาอยู่ขออภัยหากข้อความที่โพสต์ไว้ทำให้ขุ่นข้องในจิต
    ข้อความของใครจะบอกได้ว่าใครบำเพ็ญเป็นอย่างไรแม้จะตกแต่งอ้างอิงอย่างไรก็รู้ได้
    ข้อความท่านลุงบุญทรงอ่านแล้วอบอุ่นใสเย็นเพราะออกมาจากใจไม่มีมารยา
    เจตนากระผมเพียงอย่ากฟังความคิดเห็นของทุกๆท่านเพื่อร่วมศึกษา ขออภัยเจ้าของกระทู้ครับ ครูบาอาจารย์ท่านกล่าวไว้ดีแล้วชอบแล้ว สาธุครับ ใครคิดเห็นเป็นอย่างไรรู้เห็นอะไรก้อร่วมสนทนาครับเชิญครับ
    ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรม
     
  15. ลุงมหา๑

    ลุงมหา๑ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +3,937
    คำถามที่ถามเพราะสงสัย, คำถามที่ถามเพราะเห็นต่าง, คำถามที่ถามเพราะต่อต้าน มันต่างกัน

    ขออนุญาตครับ

    สาวกภูมิ คือกลุ่มที่ปฏิบัติ ศรัทธา ทาน ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติ หลุดพ้น ก็คือ ตาม มรรคแปด
    มีภาระกิจคือ เผยแผ่พระพุทธศาสนา สืบทอดพระพุทธศาสนา

    จุดสูงสุดอยู่ที่ การสำเร็จเป็นพระอรหันต์

    พุทธภูมิ คือกลุ่มที่บำเบ็ญบารมี ๑๐ ทัศ ก็คือ กลุ่มที่ค่อยๆบำเพ็ญบารมีไปๆ ไปเรื่อยๆ ไม่รีบไม่ร้อน เพราะเหลือระยะทางอีกยาวไกล
    กลุ่มพุทธภูมิ จะค่อยๆบำเพ็ญบารมีไปช้าๆ เรื่อยๆ

    ดังนั้นคำสอนของกลุ่มพุทธภูมิคือ

    "ให้สะสมบุญบารมีไปเรื่อยๆ อย่าท้อ"

    จุดสูงสุดอยู่ที่ การได้รับพุทธพยากร จากพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ ว่า
    ท่านจะได้ไปเกิดเป็นพระพุทธเจ้า พระนามนั้น พระนามนี้ กัปนั้น กัปนี้
    ไปจนถึงการได้เป็นพระพุทธเจ้า

    เปรียบกับทางโลกปัจจุบันให้ดูง่ายๆคือ

    สาวกภูมิ คือ การวิ่งแข่งขัน ระยะสั้น ระยะปานกลาง เช่น การวิ่ง ๑๐๐ เมตร ไปจนถึง ๑๐,๐๐๐ เมตร

    พุทธภูมิ คือ การวิ่งแข่งขัน มาราธอน หรือ การแข่งขันกีฬามหาโหดรูปแบบต่างๆ

    ดังนั้น ทั้งสองแบบ แม้มีแนวทางที่ต่างกัน แต่ก็ไม่สามารถบอกได้ว่า ประเภทหนึ่ง จะข้ามไปอีกประเภทหนึ่งไม่ได้

    เนื่องจากสายพุทธภูมินั้น ต้องผ่านขั้นตอนต่างๆ สะสมบุญบารมีมาต่างๆ อย่างยาวนาน
    เมื่อท่านมีบุญบารีมีมากพอจนเกินเลยระดับเกือบจะสูงสุดของสายสาวกภูมิขึ้นไป
    ท่านก็สามารถ ลาพุทธภูมิ เข้าสู่สาวกภูมิ และสำเร็จระดับอรหันต์อย่างง่ายดาย
    เช่น องค์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
    แต่แม้ท่านจะลาพุทธภูมิแล้ว แต่บุญบารมีที่องค์ท่านสะสมเอาไว้แล้วก็ยังมีอยู่ครบถ้วนตามเดิม

    การจะดูสายพุทธภูมิ ก็ให้ดูง่ายๆ ตามคำบอกเล่าของครูบาอาาจารย์คือ




    ส่วนสายพุทธภูมิที่เที่ยวคุยโม้โอ้อวด นั้น อย่างมากก็คงได้แค่ ปรารถนาพุทธภูมิ เท่านั้นละครับ

    เพราะการสะสมบุญบารมี ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางใดๆ
    ต้องมีความอดทนสูง เป็นพื้นฐาน

    การพูดเรื่องธรรมใดๆ ต้องสอดคล้องต้องกัน ต้องกระจ่างชัด ปราศจากความขัดแย้งกันเอง

    การจะดูว่า สายพุทธภูมิที่มีบุญ บารมีสูงๆ คือ "ฤทธิ์ ต้องมีฤทธิ์ ไม่มีฤทธิ์ไม่ใช่"

    การจะดูว่าสายสาวกภูมิ ท่านใดมีบุญบารมีสูงๆ ก็ให้ดูที่ "การสำรวมระวังของท่าน"

    เพราะเมื่อท่านบำเพ็ญบารมีไปๆ ท่านก็จะมีความอดทนสูงขึ้นไตามไปด้วย
    การขัดเกลากิเลสในใจของท่าน ก็ค่อยๆขัดไป ก็ค่อยๆเกลาไป

    ดังนั้น ไม่ว่าท่านจะสงสัยอะไร ก็ไม่มีอะไรผิด ตราบที่ท่านยังคงไม่ล่วงไปสร้างบาปให้แก่ตนเอง

    "คำถามที่ถามเพราะสงสัย, คำถามที่ถามเพราะเห็นต่าง, คำถามที่ถามเพราะต่อต้าน"

    ถ้าอยากรู้ว่า พระอรหันต์กับพระโพธิ์สัตว์ที่ท่านบารมีสูงๆต่างกันอย่างไร?

    ผมก็จะตอบให้ว่า

    นักกีฬาที่เป็นแชมป์โลก นักกีฬาที่เป็นแชมป์โอลิมปิค เพราะเขาเข้าคัดเลือก เข้าแข่งขันอย่างเป็นทางการ
    ถ้าอันนี้ผมเปรียบให้รู้ว่า เปรียบเป็นพระอรหันต์ อันเป็นจุดสูงสุดของฝ่ายสาวกภูมิ

    แต่ฝ่ายพุทธภูมิ พระโพธิ์สัตว์ที่ท่านบารมีสูงๆนั้น เปรียบได้กับว่า
    ท่านมีความสามารถ สูงกว่า นักกีฬาที่ได้เป็นแชมป์โลก สูงกว่านักกีฬาที่ได้เป็นแชมป์โอลิมปิค
    ชนิดที่ว่าแข่งเมื่อไร ก็ชนะเมื่อนั้น ไม่มีวันแพ้เด็ดขาด เพียงแต่ท่านไม่เข้าแข่งขันเท่านั้นเอง

    พอจะเข้าใจไหมครับ

    พระโพธิ์สัตว์ที่ท่านบารมีสูงๆนั้น ท่านก็จะมีญาณหยั่งรู้สูงตามไปด้วย
    แค่ท่านใช้ญาณบารมีของท่านไปดูว่า พระอรหันต์พระองค์ต่างๆ
    แต่ละท่าน สำเร็จธรรมได้อย่างไร ท่านก็รู้ ท่านก็เห็นหมดแล้ว

    ส่วนสายพุทธภูมินั้น ท่านสร้างบุญบารมีมาแค่ไหน ท่านก็จะมีบารมีอยู่แค่นั้น
    ส่วนจะมีไครจะออกมาบอกเล่าว่าอย่างไร ก็ยากจะตัดสินชี้ชัดลงไปได้

    ขอโมทนาบุญ ขออนุโมทนาบุญ
    ลุงมหา

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 สิงหาคม 2013
  16. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ==============

    อนุโมทนาครับ สาธุ

    ส่วนวรรคสุดท้ายที่กล่าวว่า 'ส่วนสายพุทธภูมินั้น ท่านสร้างบุญบารมีมาแค่ไหน ท่านก็จะมีบารมีอยู่แค่นั้น
    ส่วนจะมีไครจะออกมาบอกเล่าว่าอย่างไร ก็ยากจะตัดสินชี้ชัดลงไปได้ '

    ต้องแก้ไขคำว่า ส่วนสายพุทธภูมินั้น ให้แก้เป็น ส่วนสายสาวกภูมินั้น หรือเปล่าครับ เนื้อความใช่อย่างนี้หรือเปล่าครับ
     
  17. ◎สุริunร์

    ◎สุริunร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2013
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,200
    ถ้าใครที่ตามอ่านข้อความสมาชิกที่ชื่อ ลุงมหา

    พอจะจับจุดได้เลยว่า ลุงมหา มักอ้างอิงคำครูบาอาจารย์สายต่างๆ เช่น

    สายหลวงตาม้า สายหลวงปู่มั่น สายหลวงพ่อฤาษี สายหลวงปู่เทพโลกอุดร

    เพื่อให้วนตีกรอบเข้ามาหา อ.ทิพากร อาจารย์ของลุงมหา โดยมักจะอ้างว่าเป็นผู้มีฤทธิ์
    เป็นช้างเผือกหนุ่ม เป็นตัวแทนเทวดาลงมาจุติ เพื่อสืบทอดพระพระพุทธศาสนา ในห้วงหลังพุทธกาล2500 ปี

    และในยุคนี้ ไม่มีอานิสงค์ใดใหญ่เท่ากับได้ร่วมทำบุญสร้างพระใหญ่ชัยภูมิ

    แท้จริงแล้วพระพุทธองค์ไม่ได้กล่าวสอนเช่นนี้ พระพุทธองค์ได้ตรัสกับท่านสุภัททะ ก่อนที่จะปรินิพพาน ในมหาปรินิพพานสูตร ดังนี้

    นั่นแสดงว่า "หากมีผู้ปฏิบัติ มรรคมีองค์ 8 โลกจะไม่ว่างเว้นจากพระอริยเจ้า"

    ซึ่งย่อมจะมี พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอานาคามี และพระอรหันต์

    พระพุทธองค์ได้ตรัสสอน เกี่ยวกับการสร้างทาน ทำนองว่า (ลองไปศึกษาเพิ่มใน ทักขิณาวิภังคสูตร )

    ก็ลองพิจารณาดูเถอะว่า ในยุคนี้ มรรค8 สูญไปจากพระพุทธศาสนาแล้วหรือ
    และปฏิเวธจะไม่บังเกิดกับผู้แสวงหาทางหลุดพ้นเชียวหรือ หรือว่าไม่มีผู้ปฏิบัติตามมรรคมีองค์8 แล้วอย่างนั้นหรือ

    และหากผู้ที่อ่านข้อความลุงมหา หากพิจารณาสักนิด ในข้อความโพสที่ #15 ซึ่งได้แสดงว่าไว้

    แม้สาวกภูมิ พุทธภูมิ ก็ต้องปฏิบัติ ศรัทธา ทาน ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติ หลุดพ้น เช่นเดียวกัน คือ บารมี 10 ทัศน์ และ30 ทัศน์ คือ ทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน เมตตา อุเบกขา ตามความละเอียด ตามกำลัง
    เพียงแต่พุทธภูมิ เมื่อหลุดพ้นแล้วต้องประกาศศาสนาเคลื่อนธรรมจักร ให้เหล่าพระสาวกรู้แจ้งเห็นจริงตาม

    ดังนั้น บารมี 10 ทัศน์ 20 ทัศน์ 30 ทัศน์ ไม่ได้มีเพียงแต่การสร้างทาน
    ที่จะกล่าวได้ว่าเป็นผู้มีบารมีใหญ่ อย่างที่ลุงมหา ได้สื่อออกมาทับผู้อื่น

    และเชื่อได้ว่า พุทธภูมิที่ได้รับพยากรณ์แล้ว จะชัดเจนมาก ใกล้เข้ามาในธรรมที่มุ่งสู่ความหลุดพ้น
    เพราะบารมีที่สั่งสมอบรมมา ก็เพื่อการตรัสรู้ เพื่อหลุดพ้นจากวัฏฏะสงสาร
    ซึ่งได้บำเพ็ญประโยชน์ตน เพื่อให้ได้ถึงความพร้อมบริบูรณ์(โพธิปักขิยธรรม) และเป็นไปเพื่อประโยชน์แก่ชาวโลก

    มิใช่เพียงเพื่อธรรมแก้ไขภัยพิบัติ มีฤทธิ์ มีเดช จริงหรือป่าวไม่รู้
    แล้วจะสืบทอดดูแลพระพุทธศาสนาได้อย่างไร หากขาดธรรมฤทธิ์ หากมุ่งแต่อามิสฤทธิ์ อภิญญา

    ผู้สร้างทาน ที่จะมีอานิสงค์ใหญ่ นอกจากเนื้อนาบุญ(ปฎิคาหก) วัตถุทานแล้ว ยังต้องมีแรงอธิษฐาน
    หรือหากไม่รู้ว่าผู้ใด เป็นเนื้อนาชั้นยอด พระศาสดาได้ตรัสสอนไว้แล้ว
    แม้การสาดน้ำล้างภาชนะลงไปในบ่อน้ำครำ ด้วยเจตนาที่จะให้สัตว์
    ที่อาศัยอยู่ในที่เหล่านั้นได้รับความสุข ก็ยังมีอานิสงส์ไม่น้อย

    ก็เพียงตั้งใจมั่นมีเจตนาเป็นไปเพื่อสละ ลดละความตระหนี่ ชำระสิ่งเศร้าหมองที่เกาะกุมภายในจิตใจ
    เจตนาให้ผู้อื่นได้รับสุขพ้นทุกข์ ไม่เสียดายภายหลังให้เดือดเนื้อร้อนใจ
    เป็นไปเพื่อประโยชน์ตน ประโยชน์ผู้อื่น เพื่อพระนิพพาน ความหลุดพ้นจากกองทุกข์ (อุปทานขันธ์)
    นั่นแหละ คือ ผู้ทำทานเป็น แม้เพียง 1 บาทให้กับขอทาน
    ไม่จำเป็นว่าวัตถุทานต้องเยอะ มีสร้อยถอดสร้อย มีแหวนถอดแหวน มีล้านให้ล้านแสน ขาดปัญญาควบศรัทธา

    ท่านทั้งหลายลองพิจารณา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 สิงหาคม 2013
  18. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    แท้จริงแล้ว ไม่มีอะไรใดๆ ไม่มีคน สัตว์หรืออะไร

    มีเพียงแค่ปฏิบัติ ทำๆไป อบรมจิตไป ทำความดีไป อย่าไปสนใจเลยว่าท่านจะเป็นอะไร ความเป็นมันไม่ได้อยู่ที่ท่านจะเป็นอะไร หรือเขาจะเรียกอะไร แต่ความเป็นนั้นแท้จริงก็ไม่มี

    มีเพียง จิตของตนเท่านั้น ที่ท่านต้องสั่งสมความดี สั่งสมความสะอาดบริสุทธิ์ทางจิต ก็เท่านั้น อย่าไปยึดติดอะไรมากกับสิ่งที่ถูกปรุงแต่งเรียกว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลย สุดท้ายใครจะเป็นอะไร พระโพธิสัตว์จะได้เป็นพระอริยะหรือไม่ มันก็ไม่สำคัญฯอีกแล้วเพราะจิตที่สั่งสมบารมีมามาก ฝึกอบรมจิตตนมามาก ย่อมเลยผ่านความคิดเหล่านี้ไปหมดสิ้น

    ความเป็นอริยะเกิดที่จิตไม่ได้เกิดจากอะไรเป็นอะไร หากปฏิบัติทางจิตได้ ท่านก็ย่อมรู้แก่จิตท่าน อนึ่งผู้เป็นพระอริยะทั้งหลาย แม้ได้เป็นพระอริยะแล้ว เกิดขึ้นแก่จิตแล้ว ก็วางเฉยไม่ได้สำคัญตนอะไรใดๆทั้งสิ้นครับ สุดท้าย เราก็จะกล่าวว่า แม้ความอริยะแท้จริงแล้วก็ไม่มี เพราะมันไม่มีอะไรให้เราควรไปยึดติดครับ สาธุ
     
  19. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ขอฝากอีกนิด อะไรจะจริงหรือไม่จริงให้เปิดใจกว้างยอมรับฟังและพิจารณาหากเรายังไปไม่ถึงได้แต่จดจำ ตามดูตามฟังผู้อื่นแม้จากหนังสือที่แต่งออกมาก็ตาม หรือจากพระไตรปิฏกก็ตาม

    แต่จง อย่าเพิ่งด่วนสรุปว่าจะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ จนกว่าท่านได้ปฏิบัติจนเห็นและรู้แจ้งด้วยจิตของท่านเองแล้วจากการปฏิบัติ

    แม้พระพุทธองค์ท่านก็กล่าวกับพระสารีบุตรไม่ให้เชื่อพระองค์ แต่ให้นำไปปฏิบัติให้เห็นเองรู้เอง รู้จริงแล้วจึงค่อยเชื่อพระองค์ครับ

    จนพระสารีบุตรนำไปปฏิบัติแล้วจึงรู้จริงได้เอง จึงยอมเชื่อในคำกล่าวของพระพุทธองค์ครับ และอนึ่ง ผลแห่งการปฏิบัติก็ทำให้ท่านรู้แจ้งได้มากยิ่งขึ้นในที่สุดครับ สาธุ
     
  20. ◎สุริunร์

    ◎สุริunร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2013
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,200
    สำหรับคุณ tjs นั้น เราคงปล่อยวางกับคุณแล้วล่ะ
    แต่ก่อนจะปล่อยวาง ขอฝากไว้ เห็นคุณยกมาบ่อยเกี่ยวกับพระสารีบุตรไม่เชื่อพระพุทธเจ้า

    แท้จริงแล้ว ใน "ปุพพโกฏฐกสูตร" พระสารีบุตรไม่เชื่อพระพุทธเจ้านั้น นั่นเป็นธรรมาธิษฐาน

    ให้เป็นคติสำหรับผู้ยังปฏิบัติ ยังไม่สำเร็จพระอรหันต์

    ซึ่งพระสารีบุตรได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ ก่อนที่จะมีเหตุการณ์นี้เสียอีก
    และในพระสูตรก็มุ่งไปการอบรมอินทรีย์ทั้ง5 หากกระทำให้
    มากแล้ว ย่อมหยั่งลงสู่อมตะ มีอมตะเป็นเบื้องหน้า ได้จริงหรือ

    เพราะอะไรท่านพระสารีบุตร จึงไม่เชื่อพระพุทธเจ้า
    ทว่าธรรมอันเป็นความบริบูรณ์แห่งวิมุติ ซึ่งได้เกิดขึ้นกับท่านพระสารีบุตร
    ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะถามเสียอีก และมีการสังคยานา พระอานนท์จึงได้ยกเป็น "ปุพพโกฏฐกสูตร"
    เนี่ยะ ธรรมาธิษฐาน

    ซึ่งก็เหมือนกับ พระพุทธองค์บอกว่า หากใครปฏิบัติตามมรรคมีองค์8 แล้วจะสำเร็จเป็นพระอริยเจ้า จริงหรือ ดังนั้นคุณต้องพิสูจน์ในธรรมคำสอนนั้น คือ การปฏิบัติ

    หรือบางคนยกกาลามสูตร ที่ตรัสสอนชาวกาลามโคตร
    มาผิดโอกาส ผิดเวลา ไม่เชื่อไปทั้งหมด อะไรๆก็ไม่เชื่อ แม้ธรรมของพระศาสดา
    ซึ่งก็เหมือนการไม่เชื่อว่า หมอฟันจะถอดฟันอุดฟันได้ แต่กลับไปเชื่อหมอตา แล้วจะรักษาอาการปวดได้หรือ

    ต้องแยกให้ออกอะไรเป็น ธรรมาธิษฐาน บุคลาธิษฐาน ที่มุ่งเป็นไปเพื่อสิ่งใด กับใคร สถานการณ์ใด

    แต่หากจะเอาอย่างพระสารีบุตร คือไม่เชื่อๆพระพุทธเจ้า นั่นอัครสาวกมีผู้ปัญญามาก ต้องดูสถานะตนด้วย

    ว่ากุศโลบายธรรมเหล่านี้ มุ่งไปที่เพื่อการพิสูจน์สัจธรรม ใครไม่เชื่อพระพุทธเจ้า ก็ไม่ต้องนับถือพระรัตนตรัยแล้วล่ะ

    ขอฝากไว้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 สิงหาคม 2013

แชร์หน้านี้

Loading...