พระอัจฉริยภาพด้านภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ "สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี"

ในห้อง 'ท่องเที่ยว - อาหารการกิน' ตั้งกระทู้โดย Catt Bewer, 19 มิถุนายน 2007.

  1. Catt Bewer

    Catt Bewer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,768
    ค่าพลัง:
    +16,673
    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width=567 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top></TD></TR><TR><TD class=Text_Story vAlign=top><!-- [​IMG] [​IMG] อีกหนึ่งพระอัจฉริยภาพในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี ทรงนำมาจัดแสดงเพื่อให้พสกนิกรชาวไทยได้ชื่นชม นั่นคือ "ภาพถ่ายฝีพระหัตถ์" ที่แม้แต่ช่างภาพชื่อดังในเมืองไทยหลายคนต้องยอมรับในพระอัจฉริยภาพนี้


    ถึงกับเปรยว่าถ้านักวิจารณ์ภาพได้มาเห็นภาพฝีพระหัตถ์ของพระองค์ท่าน ซึ่งถ้าใครจบปริญญาโทด้านการถ่ายภาพมาเห็นทีต้องไปเรียนให้จบปริญญาเอกแล้วยังไม่รู้ว่าจะวิจารณ์ได้หรือไม่เลย...
    ทั้งนี้นับเนื่องจากสมาคมถ่ายภาพแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมกับธนาคารกสิกรไทย ศูนย์การค้าสยามพารากอน และบริษัท ไซเบอร์พริ้นต์ จำกัด จัดนิทรรศการแสงคือสี สีคือแสง ภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงฉายขณะเสด็จพระราชดำเนินเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างปี 2524-2550 ที่แฟชั่นแกลเลอรี ชั้น 1 สยามพารากอน
    ในการนี้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี เสด็จฯเปิดนิทรรศการพร้อมทรงบรรยายถึงที่มาของภาพที่ทรงฉาย ว่าที่จริงไม่ใช่นักถ่ายภาพและแสดงภาพ ออกจะเป็นเรื่องที่ห่างไกลมาก สมัยก่อนอยากถ่ายอะไรก็ถ่ายไปเรื่อยเปื่อย
    "ก็ถ่ายไปเรื่อยๆ ไม่มีใครมาสอนจริงจัง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงถ่ายรูปก็ทรงเล่าเรื่องต่างๆ ไปพร้อมๆ กัน ตอนเด็กๆ จะมีช่างภาพมาแนะนำอะไรต่างๆ นานา ยกตัวอย่างช่างภาพสตรีชาวอเมริกัน เขามีชื่อเสียงไปถ่ายภาพในสงครามเวียดนาม โดยตามไปกับทหาร ก็สอนว่าให้กดไปเรื่อยๆ แบบไหนดีก็เอาแบบนั้น ที่พูดน่ะมันง่าย แต่ถ่ายจริงมันไม่ง่ายเลย พอเดินทางไปต่างประเทศก็ต้องเขียนเรื่องราวต่างๆ เก็บไว้ ทีนี้ก็ต้องหารูปประกอบ ก็เอารูปที่ถ่ายไปรวมๆ กับของคนอื่น รวมๆ กับเขาไป
    ส่วนที่มาจัดแสดงภาพนั้นเริ่มมีคนยุให้เอากล้องไปถ่ายตั้งแต่งาน60 ปี ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็เลยฮิตมาเรื่อย ถ่ายตลอดนับจากนั้นทั้งข้างนอกวัง ข้างในวัง แล้วก็มาเลือกรูปที่เกี่ยวกับงานครองราชย์ไปจัดแสดง แต่ก็มีรูปหนึ่งที่ยัดเยียดให้เขาเอามาให้ดู เป็นรูปงูเหลือมกินแมว แล้วมันโดนจับใส่ถุงเลยคายแมวออกมา กลายเป็นภาพสยอง แต่คนเลือกเขาไม่ยอมให้เอาออกมา บอกว่าไม่เป็นมงคล คิดว่าสักวันคงได้เห็นภาพสยองนี้"

    จากนั้นสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯทรงบรรยายที่มาของภาพต่างๆ ที่ทรงฉายในระหว่างเสด็จฯ เยือนสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยทรงบรรยายด้วยพระอารมณ์ขัน ซึ่งบางภาพทรงฉายด้วยความยากลำบาก เพราะไม่ว่าจะเสด็จฯ ยังสถานที่ใด ก็จะมีช่างภาพและผู้คนเข้าเฝ้าฯ อย่างเนืองแน่น และพระองค์ก็ทรงถูกห้อมล้อมเสมอ ซึ่งมีหลายภาพที่พระองค์ทรงฉายพระรูปช่างภาพ และประชาชนในประเทศจีนที่ถ่ายรูปพระองค์ พร้อมตรัสด้วยพระอารมณ์ขันว่า "มาดูรูปใครจะดีกว่ากัน" หรือบางสถานที่เจ้าหน้าที่จะพูดเป็นภาษาจีนว่าเป็นสถานที่หวงห้ามห้ามถ่ายรูปเด็ดขาด สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ทรงเข้าใจในภาษาจีนเป็นอย่างดี ก็ทรงไม่กล้ายกกล้องถ่ายรูปขึ้นมาฉาย แต่เมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นคนอื่นๆ ที่ฟังภาษาจีนไม่ออกถ่ายรูปกันอย่างเต็มที่ และทอดพระเนตรเห็นแมวกำลังเกาตัวเองอยู่ใกล้ๆ พระพุทธรูป จึงทรงฉายรูปแมวแทน พร้อมตรัสว่า "ไม่ให้ถ่ายรูปพระ ถ่ายแมวก็ได้ แมวน่ารักดี เราชอบแมว ตั้งชื่อภาพว่าแมวคันก็แล้วกัน"
    ซึ่งหลายภาพที่พระองค์ทรงฉายกลับมาจะเป็นภาพศิลปะและภาพวาดต่างๆ ที่ทรงบรรยายว่า ที่ถ่ายภาพต่างๆ เหล่านี้กลับมา เพราะมีความตั้งใจจะนำมาเป็นต้นแบบในการเขียนภาพ ซึ่งตอนที่มีโอกาสไปดูเขาก็ไม่ได้วาด เพราะคนเยอะ จึงถ่ายเก็บมาไว้เป็นต้นแบบ ตั้งใจว่ากลับถึงโรงแรมที่พักหรือกลับประเทศไทยจะวาด แต่ก็ยังไม่มีโอกาสวาดเลยเพราะกลับมาก็งานเยอะ
    "ที่ถ่ายภาพเพราะชอบ แสง สี ขององค์ประกอบต่างๆ เห็นอะไรก็ถ่ายๆ ไป"
    จากนั้นสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯทรงเปิดนิทรรศการอย่างเป็นทางการ พร้อมทรงบรรยายถึงที่มาที่ไปให้ผู้ตามเสด็จฟังอีกครั้ง ในระหว่างที่ทอดพระเนตรนิทรรศการ พร้อมกันนี้พระองค์ทรงจำหน่ายหนังสือแสงคือสี สีคือแสง ซึ่งเป็นหนังสือที่รวบรวมภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ที่นำมาจัดแสดงนิทรรศการครั้งนี้ทั้งหมด ในราคาเล่มละ 500 บาท ซึ่งภายในไม่ถึงครึ่งชั่วโมงทรงจำหน่ายหนังสือได้ถึง 130 เล่ม และหลังจากนี้สำหรับผู้ที่สนใจสามารถหาซื้อได้ที่ร้านภูฟ้าทุกสาขา รายได้ทั้งหมดจะนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายโดยเสด็จพระราชกุศลตามพระราชอัธยาศัย
    ด้านสุรัตน์โอสถานุเคราะห์ นายกสมาคมถ่ายภาพแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ตื่นเต้นเป็นอย่างมากที่ได้เห็นภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ของพระองค์ ทั้งๆ ที่ตนเองเป็นช่างภาพมาก่อน ยังรู้สึกไม่เพียงพอเมื่อได้เห็นภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ แม้พระองค์จะไม่ได้ทรงเรียนรู้ด้านนี้มาโดยตรง แต่พระองค์ทรงเป็นนักปราชญ์ ทรงมีพระอัจฉริยภาพด้านงานศิลป์ พระองค์ทรงเป็นนักภาษาศาสตร์ ภาพทุกภาพทรงฉายจึงเป็นปรัชญาที่เราต้องคิด ต่อให้นักวิจารณ์ภาพถ่ายที่แม้จบปริญญาโทมาแล้ว เมื่อได้มาเห็นภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ของพระองค์ คงต้องไปเรียนต่อให้จบปริญญาเอก ก็ยังไม่รู้ว่าจะวิจารณ์อย่างไร
    อย่างไรก็ตามนิทรรศการแสงคือสี สีคือแสง จะจัดให้ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าชมฟรี จนถึงวันที่ 24 มิถุนายนนี้ ที่แฟชั่นแกลเลอรี ชั้น 1 สยามพารากอน

    -->[​IMG]
    อีกหนึ่งพระอัจฉริยภาพในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี ทรงนำมาจัดแสดงเพื่อให้พสกนิกรชาวไทยได้ชื่นชม นั่นคือ "ภาพถ่ายฝีพระหัตถ์" ที่แม้แต่ช่างภาพชื่อดังในเมืองไทยหลายคนต้องยอมรับในพระอัจฉริยภาพนี้
    ถึงกับเปรยว่าถ้านักวิจารณ์ภาพได้มาเห็นภาพฝีพระหัตถ์ของพระองค์ท่าน ซึ่งถ้าใครจบปริญญาโทด้านการถ่ายภาพมาเห็นทีต้องไปเรียนให้จบปริญญาเอกแล้วยังไม่รู้ว่าจะวิจารณ์ได้หรือไม่เลย...
    ทั้งนี้นับเนื่องจากสมาคมถ่ายภาพแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมกับธนาคารกสิกรไทย ศูนย์การค้าสยามพารากอน และบริษัท ไซเบอร์พริ้นต์ จำกัด จัดนิทรรศการแสงคือสี สีคือแสง ภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงฉายขณะเสด็จพระราชดำเนินเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างปี 2524-2550 ที่แฟชั่นแกลเลอรี ชั้น 1 สยามพารากอน [​IMG]
    ในการนี้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี เสด็จฯเปิดนิทรรศการพร้อมทรงบรรยายถึงที่มาของภาพที่ทรงฉาย ว่าที่จริงไม่ใช่นักถ่ายภาพและแสดงภาพ ออกจะเป็นเรื่องที่ห่างไกลมาก สมัยก่อนอยากถ่ายอะไรก็ถ่ายไปเรื่อยเปื่อย
    "ก็ถ่ายไปเรื่อยๆ ไม่มีใครมาสอนจริงจัง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงถ่ายรูปก็ทรงเล่าเรื่องต่างๆ ไปพร้อมๆ กัน ตอนเด็กๆ จะมีช่างภาพมาแนะนำอะไรต่างๆ นานา ยกตัวอย่างช่างภาพสตรีชาวอเมริกัน เขามีชื่อเสียงไปถ่ายภาพในสงครามเวียดนาม โดยตามไปกับทหาร ก็สอนว่าให้กดไปเรื่อยๆ แบบไหนดีก็เอาแบบนั้น ที่พูดน่ะมันง่าย แต่ถ่ายจริงมันไม่ง่ายเลย พอเดินทางไปต่างประเทศก็ต้องเขียนเรื่องราวต่างๆ เก็บไว้ ทีนี้ก็ต้องหารูปประกอบ ก็เอารูปที่ถ่ายไปรวมๆ กับของคนอื่น รวมๆ กับเขาไป
    ส่วนที่มาจัดแสดงภาพนั้นเริ่มมีคนยุให้เอากล้องไปถ่ายตั้งแต่งาน60 ปี ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็เลยฮิตมาเรื่อย ถ่ายตลอดนับจากนั้นทั้งข้างนอกวัง ข้างในวัง แล้วก็มาเลือกรูปที่เกี่ยวกับงานครองราชย์ไปจัดแสดง แต่ก็มีรูปหนึ่งที่ยัดเยียดให้เขาเอามาให้ดู เป็นรูปงูเหลือมกินแมว แล้วมันโดนจับใส่ถุงเลยคายแมวออกมา กลายเป็นภาพสยอง แต่คนเลือกเขาไม่ยอมให้เอาออกมา บอกว่าไม่เป็นมงคล คิดว่าสักวันคงได้เห็นภาพสยองนี้"
    [​IMG]
    จากนั้นสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯทรงบรรยายที่มาของภาพต่างๆ ที่ทรงฉายในระหว่างเสด็จฯ เยือนสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยทรงบรรยายด้วยพระอารมณ์ขัน ซึ่งบางภาพทรงฉายด้วยความยากลำบาก เพราะไม่ว่าจะเสด็จฯ ยังสถานที่ใด ก็จะมีช่างภาพและผู้คนเข้าเฝ้าฯ อย่างเนืองแน่น และพระองค์ก็ทรงถูกห้อมล้อมเสมอ ซึ่งมีหลายภาพที่พระองค์ทรงฉายพระรูปช่างภาพ และประชาชนในประเทศจีนที่ถ่ายรูปพระองค์ พร้อมตรัสด้วยพระอารมณ์ขันว่า "มาดูรูปใครจะดีกว่ากัน" หรือบางสถานที่เจ้าหน้าที่จะพูดเป็นภาษาจีนว่าเป็นสถานที่หวงห้ามห้ามถ่ายรูปเด็ดขาด สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ทรงเข้าใจในภาษาจีนเป็นอย่างดี ก็ทรงไม่กล้ายกกล้องถ่ายรูปขึ้นมาฉาย แต่เมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นคนอื่นๆ ที่ฟังภาษาจีนไม่ออกถ่ายรูปกันอย่างเต็มที่ และทอดพระเนตรเห็นแมวกำลังเกาตัวเองอยู่ใกล้ๆ พระพุทธรูป จึงทรงฉายรูปแมวแทน พร้อมตรัสว่า "ไม่ให้ถ่ายรูปพระ ถ่ายแมวก็ได้ แมวน่ารักดี เราชอบแมว ตั้งชื่อภาพว่าแมวคันก็แล้วกัน"
    ซึ่งหลายภาพที่พระองค์ทรงฉายกลับมาจะเป็นภาพศิลปะและภาพวาดต่างๆ ที่ทรงบรรยายว่า ที่ถ่ายภาพต่างๆ เหล่านี้กลับมา เพราะมีความตั้งใจจะนำมาเป็นต้นแบบในการเขียนภาพ ซึ่งตอนที่มีโอกาสไปดูเขาก็ไม่ได้วาด เพราะคนเยอะ จึงถ่ายเก็บมาไว้เป็นต้นแบบ ตั้งใจว่ากลับถึงโรงแรมที่พักหรือกลับประเทศไทยจะวาด แต่ก็ยังไม่มีโอกาสวาดเลยเพราะกลับมาก็งานเยอะ
    "ที่ถ่ายภาพเพราะชอบ แสง สี ขององค์ประกอบต่างๆ เห็นอะไรก็ถ่ายๆ ไป" [​IMG]
    จากนั้นสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯทรงเปิดนิทรรศการอย่างเป็นทางการ พร้อมทรงบรรยายถึงที่มาที่ไปให้ผู้ตามเสด็จฟังอีกครั้ง ในระหว่างที่ทอดพระเนตรนิทรรศการ พร้อมกันนี้พระองค์ทรงจำหน่ายหนังสือแสงคือสี สีคือแสง ซึ่งเป็นหนังสือที่รวบรวมภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ที่นำมาจัดแสดงนิทรรศการครั้งนี้ทั้งหมด ในราคาเล่มละ 500 บาท ซึ่งภายในไม่ถึงครึ่งชั่วโมงทรงจำหน่ายหนังสือได้ถึง 130 เล่ม และหลังจากนี้สำหรับผู้ที่สนใจสามารถหาซื้อได้ที่ร้านภูฟ้าทุกสาขา รายได้ทั้งหมดจะนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายโดยเสด็จพระราชกุศลตามพระราชอัธยาศัย ด้านสุรัตน์โอสถานุเคราะห์ นายกสมาคมถ่ายภาพแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ตื่นเต้นเป็นอย่างมากที่ได้เห็นภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ของพระองค์ ทั้งๆ ที่ตนเองเป็นช่างภาพมาก่อน ยังรู้สึกไม่เพียงพอเมื่อได้เห็นภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ แม้พระองค์จะไม่ได้ทรงเรียนรู้ด้านนี้มาโดยตรง แต่พระองค์ทรงเป็นนักปราชญ์ ทรงมีพระอัจฉริยภาพด้านงานศิลป์ พระองค์ทรงเป็นนักภาษาศาสตร์ ภาพทุกภาพทรงฉายจึงเป็นปรัชญาที่เราต้องคิด ต่อให้นักวิจารณ์ภาพถ่ายที่แม้จบปริญญาโทมาแล้ว เมื่อได้มาเห็นภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ของพระองค์ คงต้องไปเรียนต่อให้จบปริญญาเอก ก็ยังไม่รู้ว่าจะวิจารณ์อย่างไร อย่างไรก็ตามนิทรรศการแสงคือสี สีคือแสง จะจัดให้ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าชมฟรี จนถึงวันที่ 24 มิถุนายนนี้ ที่แฟชั่นแกลเลอรี ชั้น 1 สยามพารากอน [​IMG]
    </TD></TR><TR><TD vAlign=top><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=0 width=567 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=567 align=center border=0><TBODY><TR><TD height=20>http://www.komchadluek.net/2007/06/19/i001_123329.php?news_id=123329</TD></TR></TBODY></TABLE>
     

แชร์หน้านี้

Loading...