พระองค์เจ้าหญิงวิภาวดีกับการปฏิบัติเพื่อพระนิพพาน

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 4 กันยายน 2007.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=578 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top colSpan=3>[​IMG]</TD></TR><TR><TD height=206></TD><TD vAlign=top colSpan=3><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><!--DWLayoutTable--><TBODY><TR><TD vAlign=top><!-- #BeginEditable "detail" -->
    เสด็จพระองค์หญิงวิภาวดีรังสิต เจ้าของนามปากกา ว.ณ. ประมวญมารค อันเลื่องลือ ได้เบนวิถีของท่าน มาพบกับคุณอ๋อยเมื่อประมาณเดือนเมษายน พ.ศ. 2519 โดยพี่ปุ๊หรือแพทย์หญิงลัดดา จารุวัสตร์ แจ้งมาว่า มีพระประสงค์จะมานมัสการหลวงพ่อที่บ้านคุณอ๋อย
    ความจริงคุณอ๋อย พบกับท่านมานานแล้ว ในทางหนังสือ คือ อ่านหนังสือของท่านแทบทุกเล่ม แต่ไม่เคยพบพระองค์จริง
    เมื่อ 1 องค์ กับ 1 คนมาพบกันเข้า ก็รู้สึกว่า สัมพันธภาพจะดำเนินไปด้วยดี อย่างรวดเร็ว เพราะช่างพูดด้วยกัน และใจซื่อด้วยกัน ประกอบกับ ความไม่ถือพระองค์ของเสด็จ ดังนั้น จึงมักจะแวะมาคุยที่บ้าน คุณ อ๋อย บ่อย ๆ เวลาคน จะตามหาพระองค์ท่าน บางทีก็โทรศัพท์มาพบที่บ้านนี้ เสด็จ ฯ รับสั่งว่า พวกนี้ ชัดรู้แกวเสียแล้วว่า หญิงหลบมุมมาอยู่นี่
    บ้านคุณอ๋อยอุทิศเป็นบ้านฟังธรรม ไม่มีห้องรับแขก เพราะสร้างห้องรับแขกทีไร ก็กลายเป็นห้องฟังธรรม เสียทุกที ดังนั้นเวลาเสด็จมา ก็รับเสด็จกัน บนพื้นธรรมดา คือ บนเสื่อ หรือบนพรม บางทีก็เลยบรรทมลง ไปอย่างนั้นแหละ ทรงเป็นกันเองกับบ้านนี้ อย่างรวดเร็ว บางทีก็ถาม คุณเสริมว่า " พี่เสริม ทำอย่างนี้ได้ไหม " แล้ว บรรทมหงายหลัง ยกพระบาทชี้ฟ้า ทำท่าถีบจักรยาน พวกลูก ๆ ของคุณอ๋อย ก็รักเสด็จกันทุกคน
    ในโอกาสหนึ่งทรงพบกับหลวงปู่ธรรมไชย แห่งวัดทุ่งหลวง ท่านก็ทรงขอให้หลวงปู่ตรวจพระโรค หลวงปู่ก็บอกว่า ตาที่เป็นต้อนั้นรักษาหาย ไม่ต้องผ่าตัด จะหายใน 27-28 วัน แล้วหลวงปู่ก็ให้ยาและน้ำผึ้งมนต์ สำหรับหยอด กับทำยาเพิ่มไฟตา หรืออะไรสักอย่างเสด็จ ฯ ก็ทรงปฏิบัติตามโดยเคร่งครัด จะไปเมืองนอกก็เอาไปด้วย ระหว่างเสด็จประเทศอังกฤษครั้งสุดท้าย ทรงมีลายพระหัตถ์ถึงคุณอ๋อย 2 ฉบับ

    Hotel Zurich

    วันที่ 17 มิถุนายน 19
    คุณอ๋อยที่รัก
    ลูกศิษย์หลวงพ่อคนนี้ (คือหญิง) ออกจะอาการไม่สู้จะดี ไม่ค่อยเข้ากับบรรยากาศ เมื่องฝรั่งเสียเลย เวลานี้อยู่โฮเต็ล ที่หรูที่สุดแห่งหนึ่งในเมืองซูริค วิวสวยที่สุด ก็ไม่ชอบ บอกตัวเองว่า "ไม่เที่ยง" ท่าเดียว ห้องหรูหราก็ไม่ชอบ กระจกเดินหันหลังให้ตลอดเวลากลางคืน ครั้นต้องไปกินเลี้ยงก็กินไม่ลง อย่างดีซุป ก็จะจุกแอ้ด ๆ จะถืออุโบสถศีลท่าเดียว เช้าก็ตื่นเสียหัวไก่โห่ ทั้ง ๆ ที่เมืองฝรั่ง (โฮเต็ลหรู ๆ ) เขาตื่นสายกัน อาหารเช้าต้องราว 2 โมง ไอ้เราก็อยากกินแต่โมงเช้า ! เขาคุยกันว่า หน้าร้อนนี้ ต้องไปตกปลา ที่โน่นที่นี่ หญิงก็อยากจะห้ามว่า ฆ่าสัตว์บาป ! แต่ไม่ได้ห้ามดอก เพียงแต่นึกในใจแล้วก็ปลง พรุ่งนี้จะออกเดินทาง ต่อไปเจนีวา ท่านชายจัดการ ให้รถยนต์มาคอยอยู่ ในวันที่เราเดินทางมาถึง แล้วต่อไป ก็ไปฝรั่งเศส และอังกฤษ
    การปฏิบัติไม่สู้จะสำเร็จ มีนายคอยสั่งให้ทำโน่นทำนี่ แล้วแม่หลานยายก็ติด (เอามาด้วย) เรียกยายทั้งวัน
    ที่ต้องเขียนถึงคุณอ๋อย ก็เพราะ ท่านชายอนุญาตให้เงินจำนวนหนึ่ง ไว้สร้างกระต๊อบน่ารัก ๆ ไว้ที่วัด หลวงปู่ธรรมไชย คุณอ๋อย กรุณาเรียนหลวงปู่เลย ให้ช่วยสร้างเรือนเล็ก ๆ แบบพื้นบ้าน ใต้ต้นไม้ใหญ่ใบหนา มีห้อง 2 ห้อง เล็ก ๆ กับห้องเก็บของเล็ก ๆ และมีนอกชาน อ้อ ถ้ามีห้องน้ำ (มีตุ่มน้ำ ส้วมซึม) สักห้องเป็นพอ หญิงจะไปอยู่กับหลวงปู่ เพื่อเขียนประวัติหลวงปู่ และ เวลาว่าง เพื่อความสงบสบายใจ กลับไปนี่จะเอาเงิน ไปถวายค่ากระต๊อบของหญิง เฟอร์นิเจอร์ไม่ต้องมี หญิงจะนอนกับพื้น และถ้ามีชั้นไว้ใส่หนังสือก็พอ กลับจากเมืองนอก ก็ต้องไปปักษ์ใต้ จากปักษ์ใต้ จึงจะขึ้นไปดู การสร้างกระต๊อบ หญิงแดงอยากได้เร็ว ๆ เดือนพฤศจิกายนจะได้ไปอยู่ คุณอ๋อยต้องมาด้วยกันนะคะ
    เรียนหลวงปู่อีกอย่างว่า ตาดีขึ้นมาก อ่านหนังสือ (ข้างที่เคยมัวหนัก) ก็ได้ กำลังรอให้ครบเดือนจะหายตามหลวงปู่สั่ง วันที่ 23 ยายทิพา จะไปหาหลวงปู่พาคนไข้ไปหา ถ้าคุณอ๋อยมีข่าวอะไรถึงหญิง เขียนฝากมานะคะ แกจะออกเดินทาง วันที่ 24 และจะพบกับหญิง ที่ลอนดอน ในวันที่ 26 หรือ อะไรพวกนี้ แล้วแต่นาย (ม.จ. ปิยะ) จะสั่ง
    ฝากกราบหลวงพ่อหลวงปู่ด้วยค่ะ
    วิภาวดี
    ป.ล. กรุณาพูดกับคนรถที่ขับรถพาเราไปวัดท่าซุงวันก่อนด้วยว่า ช่วยหาคนรถให้ด้วย กลับไปจะขอจ้างเขาเลย
    อีกฉบับหนึ่ง เขียนจากอังกฤษดังนี้

    23 Walpole St.
    London S.W. 3

    วันที่ 24 กรกฎา 19
    คุณอ๋อยที่รัก
    ท่านชาย และหญิง พาหลานขับรถ มาจากฝรั่งเศส ถึงบ้านเราที่ลอนดอนเมื่อค่ำวันที่ 2 นี้เอง จึงเพิ่งได้รับ จ. ม. ต่าง ๆ ที่ฝากทิพามา ขอบอกด้วยความยินดีว่า หลวงปู่รักษาตาหญิงหาย ก่อนปลายเดือนจริงๆ พอ วันที่ 27 ก็ร้สึกว่า มันใสจ้าขึ้นมา หมอตาต่าง ๆ จะต้องงงเต้กไปหมด กรุณาเรียนหลวงปู่ด้วยว่า ตาทั้ง 2 ข้าง เห็นดี แต่แสง เป็นสีคนละสีกัน ข้างดี (ข้างซ้าย) เป็นสีขาว ธรรมดา แต่ข้างขวา ออกเป็นสี คล้ายใส่แว่นตาสีชา แต่เมื่อหลวงปู่ให้ยาซึ่งหลวงปู่เรียกว่า ยาไฟตา หญิงก็รีบกิน และล้างตามคำสั่ง คงจะเป็นปกติในไม่ช้า
    หญิงได้ข่าวว่า หลวงปู่ท่านยังไม่มีกุฏิอยู่เลย ที่ วัดทุ่งหลวง ของท่าน ท่านอยู่ในวิหาร หญิงเลยอยากจะสร้างกุฏิถวายท่าน เป็นตึกหรือเรือนไม้ 2 ชั้น ชั้นบนสำหรับท่าน อยู่กับเครื่องยา มีห้องน้ำชั้นล่าง เป็นห้องเปล่า ๆ สำหรับรักษาคนเจ็บ ส่วนเรือนของหญิงเป็นเรือนเล็ก ๆ ชั้นเดียว นอกนั้นจะชวนพรรคพวกไปด้วย เวลาหญิงไม่อยู่ก็ให้หลวงปู่ใช้ได้ เรือนหญิงขอให้อยู่ใกล้ ๆ กับหลวงปู่ อยากให้สร้างเสร็จที่จะไปเดือนพฤศจิกา
    หญิงคิดจะกลับ ก.ท. ราววันที่ 20 พอพักพอหายเหนื่อย อยากจะชวนคุณอ๋อยไปเชียงใหม่ด้วยกัน เพื่อไปดูที่ทางที่จะสร้างบ้าน 2 หลังนี้ งบประมาณ เป็นแสนก็ได้ เวลานี้หญิงสนใจแต่จะเข้าทำประโยชน์ กับพระอริยสงฆ์ทั้งปวง เพื่อช่วยให้ท่านช่วยคน และทำบุญเมืองฝรั่งนี้ เบื่อแทบสิ้นสติ ทนอยู่เพื่อปลง ๆ ไปงั้นเอง เพื่อนฝูงมี มากมาย จะทิ้งเขาปุบปับ ก็น่าเกลียด แกรู้ว่าหญิงมา แกก็เลี้ยงกันเสียจริง ๆ ดัทเชสอะไรต่าง ๆ
    หนังสือหลวงพ่อ หญิง edit ให้เสร็จ ไปเล่มแล้ว เล่มที่ยังไม่พิมพ์ คือ กรรมฐาน 40 นี่ก็ กำลังทำอยู่ อันที่จริงก็ไม่มีอะไรมาก นอกจากเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับเรื่อง ก็เอาออกเสียบ้าง และสำนวนคุย ก็ไม่น่าจะออกมา เป็นตัวหนังสือเท่านั้น ไม่ยากและชอบทำมาก ส่วนทางหลวงปู่ หญิงก็วางแผนจะเขียนประวัติท่านนี่แหละ ถึงคิดจะ ไปอยู่วัดเพื่อหาเวลาคุยกับหลวงปู่ (เวลาว่างก็จะปฏิบัติพระกรรมฐานตามที่หลวงพ่อสอน) รับรองว่าเรื่อง หลวงปู่จะฮิตใหญ่ คุณอ๋อย จะต้องขายสนุกเทียว โดยเฉพาะ ต้อจากตาหญิง ซึ่งหมอทั่วโลกรวมทั้งหมออุทัยกับหมอสำราญต่างก็รักษา และก็เห็นว่า ต้องรอจนกว่าจะแก่แล้วผ่า นี่กลับไปให้ส่อง คงงงพิลึก ไอ้ขาว ๆ ที่ปิดตาดำอยู่ก็หายไป ทุกคนจะเห็นด้วยตาเปล่าว่า ตา 2 ข้าง เหมือนกันแล้วต้อหายไปเฉย ๆ
    คุณอ๋อย ช่วยนัดหลวงปู่ นะคะว่า ราววันที่ 24 เราจะไปหา ไม่ต้องให้ท่านลำบาก เราไปอยู่รินคำได้ พอดูที่ทางแล้ว ก็จะให้ลงมือสร้างได้พร้อมกันทั้ง 2 หลัง ว่าแต่หลวงปู่จะให้สร้างแน่ไหม หญิงกลับจากเชียงใหม่ ก็จะวิ่งไปเฝ้าที่นราธิวาส และเพื่อตามเสด็จสงขลา หลังวันที่ 12 คือ ทรงบรรจุพระบรมธาตุ อยากจะชวนหลวงพ่อ หลวงปู่ไปทอดผ้าป่าพ่อหลวงจ้อย จะได้หมดหนี้สิ้นเสียที หญิงให้ท่านรอง วางแผนเรียบร้อยแล้ว ราวกลางเดือนสิงหา
    มีข่าวอะไรตอบด่วนค่ะ ลูกชายคุณยุทธศิลป์เป็นยังไงบ้าง ขอบใจหลานและทุกๆ คนที่ทำยาให้
    รักและคิดถึงจาก
    วิภาวดี

    เรื่องราวไปอย่างไรมาอย่างไรคงไม่ต้องเล่ากันอีก เพราะใจความในลายพระหัตถ์แจ่มแจ้งดีแล้ว ประวัติหลวงปู่ธรรมไชยเป็นอันว่า ไม่ได้เขียน แต่ทราบว่า ทรงมอบบันทึกย่อ ไว้กับคุณทิพา ซึ่งหากมอบให้ใครก็คงจะเขียนได้ เท่าที่หลงมามีอยู่ในมือคุณอ๋อย มีอยู่อันเดียวคือ กรณีหลวงปู่รักษามะเร็งในเม็ดเลือด ดังนี้ (ลายมือผู้อื่นเขียน)
    ด.ช. ทรงแสง ครายศรี อายุ 7 ขวบ บุตรนางบุญโยง และนายถนอม ครายศรี ซึ่งนางบุญโยง ทำงานเป็นแม่ครัว และนายถนอม ทำงานเป็นคนขับรถ ใน พระราชวังสวนจิตรลดา ด้วยกัน ด.ช. ทรงแสง ครายศรี เริ่มป่วย บิดามารดาพาไปรักษาตัวที่ ร.พ. จุฬา เป็นคนไข้ของหมอดนัย (ไม่ทราบนามกุล) หมอตรวจพบว่า เป็นมะเร็งในเม็ดเลือด และเป็นมาตั้งแต่กำเนิด ระหว่างที่รักษาตัวที่ ร.พ. จุฬา อาการไม่ดีขึ้น คุณแม่ ของประเสริฐ และ คุณยาใจ (จำนามสกุลไม่ได้) อยู่เมืองชล ซึ่งทำงาน ที่เดียวกับ นางบุญโยง ได้แนะนำให้ไปรักษากับหลวงปู่ธรรมไชย หลวงปู่ตรวจชื่อเด็กชายพบว่า เป็นชื่อที่ขาดอักขระ จึงเปลี่ยนชื่อให้ใหม่ เป็น ด.ช.อุ่นเรือน ครายศรี แล้ว ทำการรักษา ในระยะแรก ให้รับทานยาขับมะเร็ง ทำให้เกิดพุพองขึ้นตามผิวหนัง มีน้ำเหลือง น้ำหนอง ไหลออกมา อาเจียนมาเป็นเลือด จนมารดาคิดว่า ไม่รอดแน่ เวลาผ่านไป 2 สัปดาห์ อาการดีขึ้น แต่แผลตามผิวหนังหายไม่สนิท เธอพาลูกชาย กลับมากรุงเทพ ฯ แต่ยังคงรับประทานยาหลวงปู่ต่อไป ขณะนี้เวลาเวลาผ่านไปเดือนเศษ ลูกชายสามารถไปโรงเรียนได้แล้ว
    สำหรับรายนี้ ได้พบอีกครั้งหนึ่ง เป็นเวลาประมาณ 1 ปี หลังจากการรักษา สอบถามดูได้ความว่า เด็กมีอาการปกติ ไม่เคยต้องถ่านเลือดอีกเลย
    หลวงปู่ธรรมไชย ท่านมีของแปลก ๆ ติดตัวอยู่มาก วันหนึ่งท่านจัดเครื่องแต่งตัว ท่านก็ควักกล่องออกมาวาง ในนั้นมีตัวอะไรต่ออะไร ที่กลายเป็นหิน อยู่มาก เช่น ทากหินเป็นต้น พวกนี้ทำท่าจะกระโดดเกาะ ในขณะที่ หลวงปู่บำเพ็ญภาวนา หลวงปู่ก็ห้ามว่า อย่าเกาะนะ เดี๋ยวกลายเป็นหินนะ เขาก็ไม่ฟัง เกาะจนได้ แล้วเลย กลายเป็นหินไปจริง ๆ คราวหลังที่สุดมีหินมาใหม่อีกตัวหนึ่ง ขนาดกว้างประมาณ 4 ซม.ท่านเล่าว่า เห็นปูตัวนี้เดินอยู่ ก็ทักเขาว่า จะเข้าป่ารึ เขาก็หดแข้งหดขา แล้วเลยกลายเป็นหินไป นัยว่าพวกเหล่านี้ จะให้หลวงปู่เอาไว้ใช้ทำยาหรือใช้ในการรักษา
    เรื่องสัตว์กับคนรู้ใจกันนี้ น่าจะเป็นไปได้ ทางตำราเรียกว่า เจโตปริยญาณ อย่างเช่นที่วัดท่าซุง หลวงพ่อมีแมว 2 ตัว ชื่อเงินกับทอง วันหนึ่งหลวงพ่อมากรุงเทพ ฯ สั่งป้าอาดให้มาเลี้ยงแมว ให้คลุกข้าวด้วยปลาทู 2 ตัว เมื่อหลวงพ่อกลับไปวัด ป้าอาดบอกว่า แมวไม่กินข้าว หลวงพ่อบอกว่า แกเรียกเขาว่า "อี" ใช่ไหมล่ะ แล้วท่านก็ เอาข้าวที่มันไม่กินนั่นแหละไปให้กิน แมวมันก็กิน ถามหลวงพ่อดูว่า ทำไมท่านถึงรู้ ท่านตอบว่า เขาฟ้อง
    เรื่องสัตว์รู้ภาษาคน หรือจะเรียกว่า รู้ใจคนนี้ ก็มีทางเป็นไปได้ ที่บ้านคุณอ๋อย มีหมาชื่อ "มาดี" อยู่ตัวหนึ่ง แม่ตัวนี้เจอะหน้าหลวงพ่อ เป็นหลบวาบ ไม่ยอมมอง บางทีก็แอบค้อน อีกด้วย เวลาเรียกไม่ยอมไปหาเลย จะว่า กลัวพระหรือตื่นพระก็ไม่ได้ เพราะเวลาหลวงปู่คำแสนเล็กมา และจัดให้นอนในห้องพักของหลวงพ่อ เขากลับ ขึ้นบันได ไปหาไป ประจบ ประแจง คราวหนึ่ง ลูก ๆ คุณอ๋อยล้อว่า ตะกละกินมากเกินไปแล้วตัวอ้วนเชียว ทักเขา 2-3 วัน เขาเลยไม่ยอมกินข้าว เอาหมูเอาเนื้อเอาไก่ป้อนถึงปากก็ไม่กิน แม่ตัวนี้เขาถือวิสาสะ เข้ามาอยู่ในบ้านเอง อยู่ ๆ ก็เข้ามานอนบนตักโหน่ง เอาเฉย ๆ ไม่ทราบมาจากไหน แต่นี่ก็ไม่ใช่ ตัวแรก มากัน 3-4 ตัวแล้ว ไม่ใช่หมาแถวนั้นเสียด้วยเพราะไม่เคยเห็น
    นอกจากที่กล่าวมาแล้ว เสด็จ ฯ ยังเห็นเรื่องอัศจรรย์ อีก 2 อย่าง คือ ตอนที่ท่าน ฝึกนั่งกรรมฐานครั้งแรก ท่านเล่าว่า เห็นหลวงพ่อปาน อยู่ตั้งชั่วโมง เห็นได้ ทั้งหลับตา และลืมตา ท่านก็เลยมุ ทำเป็นการใหญ่ ทำไม่ขาดด้วย แม้จะเสด็จไปปฏิบัติภารกิจ ในแดนกันดาร ต้องเหน็ดเหนื่อย ในเวลากลางวัน ต้องเขียน รายงานในตอนกลางคืน ดึกดื่น เสร็จแล้ว ท่านก็ไม่เว้นที่จะต้องนั่งกรรมฐานอีก
    อีกเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่อง การเดินทาง ในคราวนั้น คุณอ๋อยกับลูก คือ หน่า กับหน่องเดินทางไปด้วย ในระยะหลังๆ นี้ จะเสด็จไปไหนมักจะชวนคุณอ๋อย คุณอ๋อยก็ไม่ขัด คราวที่กล่าวถึงนี้ เป็นการเดินทาง ไปบ้านแม่สาน อำเภอศรีสัชนาลัย หลวงพ่อเดินเท้าไม่ไหว เพราะเป็นการเดินขึ้นเขาลงห้วย คือ ลุยไปในห้วย หรือ ไต่ไปตามหินในห้วยจริงๆ ด้วย ดังนั้นจึงจัด ฮ. ให้นำหลวงพ่อไป หลวงพ่อท่านก็สั่งว่า เวลาเดินทางให้ท่องชื่อ ท่านทรงเดช เทวดาเจ้าของถิ่นไปด้วย จะได้เบาตัวและไม่เหน็ดเหนื่อย คณะเดินก็ปฏิบัติ ซึ่งปรากฏว่า เมื่อเที่ยวก่อน เสด็จฯ เคยใช้เวลาเดินทาง 5 ชั่วโมง คราวนี้ กลับใช้เวลาเดินไม่ถึง 3 ชั่วโมง ขากลับก็เช่นกัน
    คราวที่ไป สิ้นชีพิตักษัย ที่สุราษฎร์ธานีนั้น คุณอ๋อย ก็ไปด้วย ข่าว ฮ. ถูกยิง ทำเอาพวกที่บ้านใจหาย นึกว่า ตามเสด็จไปเสียแล้ว แต่ปรากฏว่า ไม่ได้ไปกับ ฮ. และ โดยสารเครื่องบินมากับพระศพ ซึ่งหลังจากนั้น หนังสือพิมพ์ ก็ลงข่าวว่า สัมภาษณ์ นางเฉิดศรี ณ นคร ภรรยา ผบ.ทบ. ผู้มีน้ำตาอันนองหน้าว่า อย่างนั้น อย่างนี้ คุณเฉิดศรีบอกว่า ไม่เห็นมีใครมาถามอะไรนี่ ร้องให้ก็ไม่ได้ร้อง คุณเสริมบ่นว่า ย่องไปเป็นภรรยา ผบ.ทบ. ตั้งแต่เมื่อไหร่ ระวังคุณหญิงแสงเดือนท่านจะฉีกอกเอานะ
    เกี่ยวกับการสิ้นชีพิตักษัย ของเสด็จฯในครั้งนี้ มีคนต่อว่ามากว่า เสียแรงไ กับหลวงพ่อหลวงปู่ทั้ง 2 องค์ ทำไม เรื่องอย่างนี้จึงเกิดได้ หลวงพ่อท่านก็ตอบว่า คนจะตายเสียอย่าง จะไปห้ามได้ยังไง ความจริงเรื่องนี้ หลวงพ่อ ได้รับคำสั่งจากพระว่า อย่าแยกเครื่องนะ หลวงพ่อ ก็คอยระวังอยู่ แต่สำหรับท่านเอง ในวันนั้น ก็ เป็นวันมรณะ ท่านบอกว่า วันนั้นท่านจะยิง แล้วจะยิงออกเสียด้วย จะถูกที่ขาแต่เมื่อนัดกันแล้วก็ไป ตายก็ตาย ท่านกำชับว่า เมื่อถึงโรงเรียน ให้ลงให้หมดนะ ปล่อย ฮ ไปรับคนเจ็บ ส่งโรงพยาบาลก่อน แล้วให้ขากลับมารอที่โรงเรียนอีก แต่เสด็จแอบไปเสียกับ ฮ. โดยไม่บอกให้ทราบ ก่อนไปฝากโน๊ตถึงหลวงปู่ให้ช่วย หลวงปู่ก็ไม่ได้อ่าน เพราะไม่ได้เอาแว่นไป เลยไม่รู้เรื่องกัน
    พวกที่ไปด้วย มาเล่าในภายหลังว่า เมื่อ ฮ.ถูก ยิง ครั้งแรกก็รู้แล้ว ดังนั้นทุกคน ก็เข้าล้อมท่านหญิงไว้แต่ การยิงในระลอกสอง กระสุนสังหารนัดนั้น ทะลุท้อง ฮ. ถูกหัวรองเท้า นายตำรวจ แล้วแฉลบไปถูกเหล็กพนักที่นั่ง แล้วแฉลบเข้าด้านหลัง ของเสด็จฯ อีกทีหนึ่ง เรียกว่า ป้องกันยังไง ก็ไม่ไหว ถ้าหากคนจะตายเสียอย่าง
    ที่ว่าคนจะตายเสียอย่างนี้ มารู้ในภายหลังว่า เสด็จทรงจบกิจพระศาสนา ตั้งแต่ตี 2 ของคืนก่อน และเมื่อฆราวาส จบกิจพระศาสนาแล้วก็จะมีชีวิตอยู่ได้ไม่ ถึงพระอาทิตย์ตกในวันรุ่งขึ้น
    ตามคติของชาวโลก การตายเป็นของน่ากลัว น่าเศร้า น่าเสียดาย แต่สำหรับพระแล้ว การตายโดย เฉพาะตายเมื่อจบกิจพระศาสนา ก็ไปเสวยสุขในพระนิพพาน เป็นเรื่องน่ายินดีด้วยซ้ำ ดังนั้นสองฝ่ายนี้ จึงพูดกันไม่รู้เรื่อง เป็นคนละภาษาเลยที่เดียว
    เรื่องฆราวาสจบกิจ พระศาสนา คือ ตัดกิเลสได้นั้น หลวงพ่อเคยชักตัวอย่าง จากพระไตรปิฎกให้ดูหลายองค์ว่า จะมีนางผีเสื้อยักษ์ แปลงตัวเป็นโคแม่ลูกอ่อน มาขวิด ตายเสียเป็นส่วนมาก
    เคยมีผู้ตั้งปัญหา ถามหลวงพ่อว่า ทำไมฆราวาส สำเร็จอรหันต์จึงตาย แต่ทีพระทำไมอยู่ได้ หลวงพ่อตอบว่า เพราะ เพศฆราวาสบริสุทธิ์ ไม่พอ ครองความเป็นอรหันต์ไม่ได้ คำตอบนี้ ยังไม่เป็นที่พอใจ เพราะคล้ายๆกับจะแย้งได้โดยมีเหตุผลว่า ถ้าทำตัวอย่างพระแต่ไม่บวช ก็ควรจะได้อยู่ได้ซี
    นึกไปนึกมา แล้วยังมีอีกแง่หนึ่ง ที่น่าจะใช้อธิบายได้ คือ เมื่อบุคคล สำเร็จอรหันต์แล้ว ความจำเป็นที่จะทรงชีวิตอยู่ไม่มี ควรรีบไปอยู่นิพพานตามสภาพทันที หรือโดยเร็วที่สุด แต่ที่พระยังอยู่ได้นั้นก็เพราะ พระยังทำประโยชน์ แก่โลกได้ คือ อยู่เพื่อสอน กับอยู่เพื่อให้คนทำบุญ คนที่ทำบุญกับพระอรหันต์นั้น จะได้ผล ตอบแทนมากกว่าทำกับคนธรรมดานับล้านๆเท่า แต่ฆราวาสที่เป็นพระอรหันต์นั้นสอนใคร เขาก็ไม่ค่อย เชื่อแล้วก็ไม่มีใครเขาทำบุญด้วย เพราะเห็นเป็นคนธรรมดา ไม่ใช่พระ ถ้าอยู่ไปกลับจะเป็นอันตรายแก่ชาวบ้าน เช่น ค่อนขอด ด่าว่า ล่วงเกิน ถ้าเป็น ญาติผู้ใหญ่ เป็นนายจ้าง เขาก็จะใช้งานท่าน แล้วเลยลงนรกไปเปล่าๆ เพราะฉะนั้น ฆราวาสที่เป็นอรหันต์จึงกล่าวได้ว่าไม่มีประโยชน์กับใครอีกแล้ว ไปนิพพานดีกว่า คำอธิบายนี้รู้สึกว่า พอจะไปได้ แต่จะถูกหรือไม่ถูกไม่ทราบ
    สำหรับท่านหญิงนั้น คนที่ไม่ค่อยจะทราบประสบการณ์ทางศาสนาของท่าน อาจจะนึกว่าเป็นไปได้รึที่เสด็จ ฯ จะจบกิจพระศาสนา แต่ตามจดหมาย ถึงคุณอ๋อยนั้น แสดงว่า ท่านก้าวหน้าไวมาก หลวงพ่อเคยบอกว่า พระอนาคามีนั้น จะถือศีล 8 เอง โดยอัตโนมัติ ในจดหมายท่าน ก็รับสั่งท่านอยากจะถือ 8 ท่าเดียว เช่นนี้ ควรแสดงว่า ท่านใกล้แล้ว นอกจากนี้ สำหรับผู้ใกล้ชิดจะเคยได้ยินท่านทรงกล่าวเสมอว่า ทรัพย์สมบัตินั้น ท่านเลิกกังวลมานานแล้ว เมื่อมาได้รับคำสอนถูกทาง ได้มีศรัทธาเพิ่มเติม จากประสบการณ์ เกี่ยวกับหลวงพ่อและหลวงปู่ ก็อาจเป็นได้ว่าท่านจะสามารถตัดไปได้เลย
    ความจริงจะเป็นอย่างไร คนธรรมดา ไม่สามารถทราบได้ แต่อย่างไรก็ดี ขอเตือนให้ระลึกว่า ที่หลวงพ่อชี้แจงมานี้ เป็นการชี้แจงแก่ศิษย์ใกล้ชิด เพื่อการศึกษา โปรดอย่าเข้าใจว่า หลวงพ่อประกาศแก่คนทั่วไป ประเดี๋ยว จะไปหาว่า ท่านโฆษณา ตัวเองเข้าอีก แล้วข้าพเจ้าผู้เขียน จะพลอยเป็นจำเลยไปด้วย แต่โดย เฉพาะศิษย์วงในแล้ว เสด็จฯ นับเป็นองค์แรกในบรรดาพวกเขา ที่แสดงให้เห็นว่า แนวทางที่หลวงพ่อสอน ให้ทำจิดนี้ ทำได้สำเร็จจริง เป็นการเพิ่มพูนกำลังใจ แก่ผู้ที่อยู่ กำลังใจแก่ผู้ที่อยู่ข้างหลังมาก ความมุ่งมั่นในพระนิพพานก็แน่นแฟ้นขึ้นไปอีกมาก
    ที่มา http//www.firstbuddha.com/Real/oiy3.html

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กันยายน 2007
  2. s_thit

    s_thit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2007
    โพสต์:
    785
    ค่าพลัง:
    +3,027
    โมทนาครับ ที่นำเรื่องพระองค์เจ้าหญิงวิภาวดีรังสิต มาให้อ่าน
     

แชร์หน้านี้

Loading...