พระประวัติพระศรีอาริยเมตไตรย ชำระถูกต้องตามความจริงที่จะเกิด

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย สุวสวัตตี, 21 กุมภาพันธ์ 2013.

  1. สุวสวัตตี

    สุวสวัตตี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2013
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +115
    สมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรยพุทธเจ้า
    เอกํ สมยํ ภควา สาวตฺถิยํ วิสาขาย สตฺตวีสติ โกฏิธนปริจาเคน การิเต ปุพฺพาราเม วสฺสาวาสํ วสนฺโต อชิตฺตเถรํ อารพฺภ ทสโพธิสตฺตาติ อิมํ ธมฺมเทสนํ กเถสีติ ฯ.
    ครั้งหนึ่ง สมเด็จพระสรรเพชญ์พุทธเจ้า เสด็จยับยั้งอาศัยใกล้กรุงสาวัตถีมหานคร วสนฺโต เมื่อสมเด็จพระชินวรผู้ทรงญาณสำราญพระอิริยาบถ เข้าพระพรรษาอยู่ในบุพพาราม อันนางวิสาขาสร้างถวายสิ้นทรัพย์ยี่สิบเจ็ดโกฏิครั้งนั้น พระองค์ทรงปรารภซึ่งพระอชิตตะเถระผู้หน่อบรมพุทธางกูรให้เป็นเหตุ พระบรมโลกเชษฐ์ จึงตรัสพระธรรมเทศนาสำแดงซึ่งพระโพธิสัตว์ทั้งสิบพระองค์ อันจะมาตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล
    ครั้งนั้น พระธรรมเสนาบดีสารีบุตรเถรเจ้า จึงกราบทูลอาราธนา สมเด็จพระทศพลจึงทรงแสดงอดีตนิทานแห่งสมเด็จพระพุทธเจ้าทั้งสิบพระองค์ที่จะลงมาตรัสรู้ในอนาคตกาลเบื้องหน้าต่อไป เป็นใจความว่าหลังจากสิ้นศาสนาตถาคตไปแล้วหนึ่งพันห้าร้อยปี ผู้คนมีจิตใจหยาบช้าไม่เคารพในศีลห้า ชอบฆ่าสัตว์ ลักขโมย ผิดลูกเมียคนอื่น ชอบพูดโกหก ดื่มสุราเมรัย ก็เกิดมีพระอาทิตย์โผล่มาทีละดวงจนครบเจ็ดดวง เผาน้ำในมหาสมุทรให้แห้งเหือดต้นไม้ใบหญ้าก็แห้งกรอบจนเกิดเป็นไฟลุกไหม้ไปทั่วโลก มนุษย์แลสัตว์ทั้งหลายก็ตายจนหมดสิ้น โลกจะร้างไม่มีต้นไม้กอหญ้ามนุษย์และสัตว์ มหาสมุทรก็แห้งเหือดไม่มีน้ำ จนครบพันปี หลังจากนั้นจะมีฝนตกใหญ่ในมนุษยโลก จนน้ำในแม่น้ำลำคลองหนองบึงและมหาสมุทรเต็มเปี่ยม พื้นโลกชุ่มชื้นขึ้นก็บังเกิดมีต้นไม้ต้นหญ้า งอกงามจนโลกทั้งโลกกลายเป็นป่าไม้ทั้งหมด หลังจากโลกกลายเป็นป่าไม้เขียวชอุ่มทั้งโลกแล้วประมาณหนึ่งหมื่นปี ก็บังเกิดมีสัตว์และมนุษย์มาเกิดในโลก ในยุคนั้นมนุษย์และสัตว์ไม่ได้อาศัยบิดามารดาเป็นแดนเกิด แต่เป็นโอปปาติกะผุดเกิดเป็นตัวตนขึ้นมาด้วยอำนาจบุญกรรมของแต่ละคน ยุคนั้นยังไม่มีพระจันทร์และพระอาทิตย์ส่องสว่าง สัตว์ทั้งหลายอาศัยรัศมีแสงสว่างอันเกิดจากอำนาจบุญของตัวเอง ในระยะแรกสัตว์ทั้งหลายมีอาหารคือธรรมปีติ เพราะสัตว์ทั้งหลายจุติมาจากพรหมและเทวดา เมื่อโลกมีมนุษย์และสัตว์บริบูรณ์ มีพระอาทิตย์ ดวงจันทร์ นับระยะจากที่มีสัตว์มาบังเกิดในโลกประมาณล้านปี เป็นกาลสมควรที่ท่านพระศรีอาริยเมตไตรยโพธิสัตว์ จักมาตรัสเป็นสมเด็จพระสัพพัญญูสัมมาสัมพุทธเจ้า ฯ
    ครั้งนั้นกรุงพาราณสีเปลี่ยนชื่อเป็น เกตุมดีมหานคร (ปัจจุบันท่านว่าอยู่แถวเจดีย์ชเวดากอง เมืองย่างกุ้ง ประเทศเมียนมาร์ ) โดยยาวได้เจ็ดโยชน์ โดยกว้างได้สิบสองโยชน์ มีไม้กัลปพฤกษ์เกิดทั้งสี่มุมเมือง มีแก้วเจ็ดประการ ประกอบเป็นกำแพงแก้วเจ็ดชั้นโดยรอบพระนคร ครั้งนั้น มหานฬกาลเทวบุตร ก็จุติลงมาเกิดเป็นสมเด็จบรมจักรพรรดิ ทรงพระนามว่า สมเด็จพระสังขจักรบรมจักรพรรดิ เสวยสิริราชสมบัติในเกตุมดีมหานคร ในท่ามกลางเมืองนั้น มีปรางค์ปราสาทอันแล้วด้วยแก้วเจ็ดประการ ผุดขึ้นมาแต่มหาคงคาลอยมายังนภาดลอากาศเวหามาตั้งอยู่ในท่ามกลางพระนคร ปรางค์ปราสาทนี้แต่กาลก่อนเป็นปรางค์ปราสาทแห่งสมเด็จพระเจ้ามหาปนาทบรมจักรพรรดิครั้นสิ้นบุญสมเด็จพระเจ้ามหาปนาทแล้ว ปรางค์ปราสาทก็จมลงไปในคงคาเมื่อสมเด็จพระเจ้าสังขจักรบรมจักรพรรดิเสวยสิริราชสมบัติ ปรางค์ปราสาทก็ผุดขึ้นมาด้วยอานุภาพแห่งบุญญาธิการ ก็ภายในปราสาทอันเป็นที่ประทับ แวดล้อมด้วยหมู่พระสนมแสนสาวสุรางค์ทั้งหลายประมาณแปดหมื่นสี่พันนาง มีพระราชโอรสประมาณพันพระองค์พระราชโอรสองค์ใหญ่นั้น ทรงพระนามว่า อชิตตะราชกุมาร เจ้าอชิตตะราชกุมารนั้นทรงเป็นปรินายกแก้ว แห่งสมเด็จพระราชบิดาผู้เป็นพระยาบรมสังขจักรอันบริบูรณ์ไปด้วยแก้วเจ็ดประการคือ จักรแก้ว ๑ นางแก้ว ๑ แก้วมณีโชติ ๑ ช้างแก้ว ๑ ม้าแก้ว ๑ คหบดีแก้ว ๑ ปรินายกแก้ว ๑ อันว่าสมบัติของพระเจ้าจักรพรรดินั้นย่อมมีทุกสิ่งทุกประการ เป็นที่เกษมสานต์ยิ่งนักเหลือที่จะพรรณนาได้
    ฝ่ายว่ามหาปุโรหิตผู้ใหญ่ของสมเด็จพระเจ้าสังขจักรนั้น เป็นมหาพราหมณ์ประกอบไปด้วยอิสริยยศเป็นอันมาก หาผู้จะเปรียบเสมอมิได้ มีนามปรากฏว่า สุพรหมา นางพราหมณีผู้เป็นภรรยานั้นมีนามว่า นางพรหมวดี ในกาลนั้น สมเด็จพระบรมโพธิสัตว์ พระศรีอาริยเมตไตรยรับอาราธนาจากบรรดาเทพเจ้าทั้งหลายแล้ว ก็จุติลงมาจากสวรรค์ชั้นดุสิต ลงมาถือกำเนิดในครรภ์แห่งนางพรหมวดี ภรรยาแห่งมหาปุโรหิตพราหมณ์ผู้ใหญ่ ในวันเพ็ญเดือนแปดขึ้นสิบห้าค่ำ เวลาปัจจุสมัยใกล้รุ่ง พร้อมด้วยอัศจรรย์ทั้งหลายสิบสองประการ คือเหล่าเทพดาพากันทำสักการบูชา ดังห่าฝนตกลงในกลางอากาศ แล้วมีปรางค์ปราสาททั้งสามผุดขึ้นมา เพื่อจะให้เป็นที่สำราญแห่งพระบรมโพธิสัตว์ปราสาทหลังที่หนึ่งชื่อว่า ศิริวัฒนะ ปราสาทหลังที่สองชื่อว่า สิทธัตถะ ปราสารทหลังที่สามชื่อว่า จันทกะ ปรางค์ปราสาททั้งสามนี้เป็นที่จำเริญพระสิริสวัสดิมงคล ควรจะให้สำเร็จประโยชน์ทุกประการ ปรากฏงามดังดวงพระจันทร์ แล้วหอมฟุ้งไปด้วยกลิ่นอันหอมมิรู้ขาด เดียรดาษไปด้วยนางนาฏสนมประมาณเจ็ดแสนคน ส่วนสมเด็จพระอัครมเหสีแห่งสมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรยบรมโพธิสัตว์เจ้านั้น ทรงพระนามว่า จันทมุขี เป็นประธานแห่งนางบริวารทั้งหลายเจ็ดแสนมีพระราชโอรสพระองค์หนึ่งทรงพระนามว่า พราหมณ์วัฒนกุมาร เมื่อพระมหาบุรุษผู้ประเสริฐทรงพระเกษมสำราญอยู่ในปราสาททั้งสาม ควรแก่ฤดูโดยนิยมดังนี้จนพระองค์มีพระชนมายุสองหมื่นปีแล้วจึงเสด็จขึ้นสู่รถแก้วอันเป็นทิพย์วิมานมีสิริหาเสมอมิได้ เสด็จไปประพาสอุทยานทอดพระเนตรเห็นนิมิตสี่ประการนี้ เป็นเทวทูตยังธรรมสังเวชให้เกิดขึ้น ก็มีพระทัยน้อมไปในบรรพชา พิจารณาเห็นเพศสมณะเป็นอารมณ์ในขณะนั้นอันว่าปรางค์ปราสาทแก้วซึ่งทรงพระสำราญยับยั้งอยู่นั้นก็ลอยไปในอากาศ พร้อมทั้งพระราชโอรสและหมู่นางกัลยาทั้งหลายไปกับปรางค์ปราสาท ครั้งนั้นเปรียบประดุจดังว่า พญาหงส์ทองบินไปในเวหา ฝ่ายฝูงเทวดาทั้งหลายในหมื่นจักรวาล ก็ชวนกันถือเครื่องสักการบูชา ต่างเหาะตามมากระทำสักการบูชาในอากาศเนืองแน่นกันมากเป็นอเนกอนันต์ บรรดาท้าวพระยามหากษัตริย์ทั้งหลายแปดหมื่นสี่พันพระนครก็ดีและชาวนิคมชนบททั้งหลายก็ดี ก็ชวนมากระทำสักการบูชาด้วยดอกไม้และของหอมมีประการต่าง ๆ เต็มเดียรดาษกลาดเกลื่อนไปทั้งชมพูทวีป เหล่าพวกอสูรทั้งหลายก็เข้าแวดล้อมพิทักษ์รักษาปรางค์ปราสาท ฝ่ายพญานาคราชนั้นกระทำสักการ บูชาด้วยแก้วมณี พญาสุวรรณราชปักษีกระทำสักการบูชาด้วยแก้วมณี อันเป็นเครื่องประดับตน เหล่าคนธรรพ์ทั้งหลายนั้นกระทำสักการบูชาด้วยเครื่องทิพย์ดุริยางค์ฟ้อนรำมีประการต่างๆ เมื่อองค์สมเด็จพระบรมโพธิสัตว์ศรีอาริยเมตไตรยเจ้าเสด็จออกมหาภิเนษกรมนั้น ฝูงเทพดา อินทร์พรหมยมยักษ์ และมนุษย์นาคครุฑคนธรรพ์ทั้งหลาย กระทำสักการบูชา ฝ่ายพระเจ้าสังขจักรพร้อมด้วยข้าราชบริพารทั้งหลาย ก็ได้เสด็จไปที่ใกล้แห่งสมเด็จพระบรมโพธิสัตว์ ครั้งนั้นมหาชนทั้งหลายทั้งปวง มีความปรารถนาจะบรรพชา แล้วก็พากันลอยไปในอากาศพร้อมด้วยพระบรมโพธิสัตว์เจ้า ด้วยเดชานุภาพแห่งบรมจักรและอานุภาพแห่งพระศรีอาริยเมตไตรยบรมโพธิสัตว์นั้น ครั้นเสด็จถึงควงไม้พระศรีรัตนมหาโพธิ คือ ไม้กากะทิงแล้ว ปราสาทแก้วก็เลื่อนลอยลงจากอากาศใกล้ในที่ปริมณฑลไม้มหาโพธินั้น ฝ่ายท้าวมหาพรหมก็เชิญซึ่งพานผ้ากาสาวพัตร์กับเครื่องบริขารทั้งแปดน้อมเข้าไปถวายสมเด็จพระบรมโพธิสัตว์แล้วพระองค์จึงชักเอาพระแสงดาบแก้วตัดพระเกศาให้ขาดแล้วก็โยนขึ้นไปในอากาศ ก็ถือเอาเครื่องบริขารทั้งแปดประการ ทรงเพศบรรพชาเสร็จแล้ว ส่วนว่าบริวารทั้งหลายนั้น ก็ชวนกันบวชตามสมเด็จพระบรมโพธิสัตว์เจ้าเป็นอันมาก
    ฝ่ายพระมหาบุรุษพระศรีอาริยเมตไตรยเจ้านั้น กระทำความเพียรอยู่ที่ใกล้พระศรีมหาโพธิสิ้นประมาณเจ็ดวัน ในเมื่อเวลาเย็น พระองค์ก็เสด็จเข้าสู่ควงไม้พระศรีมหาโพธิ ทรงนั่งเหนือรัตนบัลลังก์แล้วทรงเจริญอานาปานสติกัมมัฏฐาน ในยามแรกทรงได้ ปุพเพนิวาสนุสสติญาณ ระลึกชาติของพระองค์เองก็ได้ทรงเห็นโดยลำดับกันประจักษ์แจ้งในปฐมยาม ครั้นล่วงเข้ามัชฌิมยามทรงเห็นซึ่งการเกิดและการตายของสัตว์ทั้งหลายด้วย ทิพจักษุญาณ ล่วงไปในปัจฉิมยามที่สุดนั้น พระองค์ทรงพิจารณาซึ่งปัจจยาการอันประกอบไปด้วยองค์สิบสองประการ ตามกระแสพระปฏิจจสมุปบาทธรรมด้วยสามารถอนุโลมปฏิโลมตรัสรู้ตลอดกัน ในลำดับนั้นก็ได้สำเร็จแก่พระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณ ทรงพระนามชื่อว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ปรากฏเป็นพระพุทธคุณทั่วโลกธาตุ
    ปางเมื่อสมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรยสัพพัญญูพุทธเจ้าตรัสแสดงพระสัทธรรมเทศนาพระธรรมจักกัปปวัตนสูตรนั้น มนุษย์และเทวดาทั้งหลายประมาณแสนโกฏิ ได้ธรรมาภิสมัยดื่มกินซึ่งน้ำอมฤตรส คือ พระนิพพานอันมิรู้แก่รู้ตาย พระองค์มีพระวรกายสูงได้แปดสิบศอก พระศรีอาริยเมตไตรยเจ้าทรงประกอบไปด้วย พระฉัพพรรณรังสีรัศมีหกประการ สว่างออกจากพระสรีระกายเป็นอันงาม ประดุจดังว่าท่อธารสุวรรณธาราอันไหลหลั่งออกมา ข่มแสงสว่างแห่งดวงจันทร์ดวงอาทิตย์แผ่ไปในหมื่นจักรวาลส่องสว่างอยู่เป็นนิตย์ทีเดียว มนุษย์ทั้งหลายไม่อาจกำหนดรู้กลางวันและกลางคืน พระพุทธรัศมีพระพุทธเจ้าจักดำรงในโลกอยู่เป็นนิตย์ มนุษย์ทั้งปวงทราบว่าเวลานี้เป็นเวลาเย็นซึ่งเป็นเวลาที่ดวงอาทิตย์อัสดงคตแล้วด้วยเสียงของนกในเวลากลับมาสู่รังนอนและด้วยปลายกลีบดอกประทุมแลปลายกลีบดอกไม้หุบ รู้ว่าเวลานี้เป็นเวลาเช้าซึ่งเป็นเวลาที่พระอาทิตย์กำลังขึ้นด้วยเสียงร้องของนกที่บินออกหากินและด้วยปลายกลีบดอกไม้บาน ฯ ครั้งนั้นดอกประทุมใหญ่มีประมาณสามสิบศอกชำแรกแผ่นดินผุดขึ้นมารับฝ่าพระบาทที่ทรงเหยียบย่างไปแล้วทุกๆ ก้าวพระบาทที่ทรงเสด็จไป
    มนุษย์ทั้งปวงไม่ต้องเป็นชาวนาไม่ต้องเป็นพ่อค้า ไม่มีโรคเต็มเปี่ยมบริบูรณ์ไปด้วยสุขทุกเมื่อ มีสติระลึกถึงพระพุทธคุณเป็นอารมณ์เนืองๆ ด้วยเดชานุภาพแห่งพระพุทธคุณนั้น มนุษย์ทั้งหลายได้บริโภคซึ่งโภชนาหารแห่งข้าวสาลีอันบังเกิดมีมาเอง ได้ประดับประดาสรีระกายและผ้านุ่งผ้าห่มเครื่องอาภรณ์ต่างๆแต่ต้นกามพฤกษ์ ประพฤติเลี้ยงชีวิตอยู่เป็นสุข ฯ.
    อันว่า องค์สมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรยเจ้าทรงสร้างพระบารมีมาสิ้นกาลช้านาน ถึงสิบหกอสงไขยกำไรแสนมหากัปป์ มีทานศีลบารมีอันเต็มเปี่ยมบริบูรณ์ กองพระบารมีทั้งหลาย ที่สำเร็จเป็นองค์พระสรรเพชญ์พุทธเจ้านั้น คือ พระบารมีของพระองค์ครั้งหนึ่งปรากฏชัดเจนเป็นปรมัตถบารมีอันยิ่งยอดกว่าพระบารมีทั้งปวง อันสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าของเราจึงทรงแสดงซึ่งนิทานแห่งกองพระบารมีของสมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรย มาตรัสพระธรรมเทศนาแก่พระสารีบุตรเถรเจ้าว่า
    อตีเต กาเล ในกาลล่วงมาแล้วช้านาน มีองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งทรงพระนามชื่อว่า พระสิริมิตตะสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ตรัสในโลก ครั้งนั้นพระศรีอาริยเมตไตรยได้เสวยสิริราชสมบัติเป็นพระเจ้าจักรพรรดิในเมืองอินทปัตถมหานคร ทรงพระนามว่า พระเจ้าสังขจักรบรมจักรพรรดิ มีแก้วเจ็ดประการ คือ จักรแก้ว แก้วมณี ช้างแก้ว ม้าแก้ว ขุนคลังแก้ว และนางแก้ว ฯ อินทปัตถมหานครนั้นมีความยาวเจ็ดโยชน์ กว้างสามโยชน์ มีต้นกัลปพฤกษ์สี่ต้น เกิดที่ประตูเมืองทั้งสี่แห่ง ปราสาทเหล่านี้ มีพื้นเจ็ดชั้น สูงสองโยชน์ บังเกิดในท่ามกลางพระนคร พระยาสังขจักรเสวยราชสมบัติในปราสาทนั้น พระสิริมิตตะสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติในโลก ที่ประทับของพระพุทธเจ้าอยู่ห่างจากอินทปัตถมหานครสิบหกโยชน์ พระเจ้าสังขจักรนั้นมิได้ทราบถึงการอุบัติของพระพุทธเจ้าสิริมิตตะสัพพัญญูพระองค์นั้น
    อยู่มาในกาลวันหนึ่ง พระเจ้าสังขจักรเสด็จประทับนั่งอยู่ภายใต้เศวตฉัตรมีพระทัยปรารถนาว่า ผู้ใดมาบอกข่าวแห่งพระพุทธรัตนะ พระธรรมะรัตนะ พระสังฆรัตนะบังเกิดมีแล้ว พระองค์จะสละสิริราชสมบัติให้แก่บุคคลผู้นั้นแล้ว พระองค์ก็จะเสด็จพระราชดำเนินไปยังสำนักแห่งสมเด็จพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น
    ในกาลนั้น ยังมีกุลบุตรเข็ญใจผู้หนึ่ง ไปบรรพชาเป็นสามเณรในพระพุทธศาสนาด้วยมารดาของสามเณรนั้นเป็นทาสีอยู่ในตระกูลหนึ่ง สามเณรนั้นคิดแสวงหาทรัพย์จะไปให้แก่มารดาเพื่อจะให้พ้นจากทาสทาสี จึงเที่ยวไปโดยลำดับจนถึงกรุงอินทปัตถมหานคร ฝูงมหาชนชาวพระนครไม่รู้จักว่าสามเณรนั้นเป็นอย่างไร ครั้นเห็นเข้าก็สงสัยว่ามหายักษ์ พากันจับไม้ไล่ทุบตีสามเณร สามเณรกลัวก็วิ่งหนีมหาชนไปถึงพระราชวัง ไปยืนอยู่ตรงพระพักตร์พระเจ้าสังขจักร พระองค์จึงตรัสถามว่ามาณพนี้ มีนามชื่อใด เจ้าสามเณรกราบทูลว่าอาตมาภาพมีนามชื่อว่าสามเณร จึงตรัสถามว่า สามเณรนั้นด้วยเหตุดังฤา สามเณรจึงทูลว่า มีนามว่าสามเณรนั้น ด้วยเหตุว่าข้าพเจ้ามิได้กระทำบาปภายนอกแล้วตั้งอยู่ภายในกุศล เหตุดังนั้นข้าพเจ้าจึงมีนามชื่อว่าสามเณร พระองค์ก็ทรงตรัสถามว่า นามกรของท่านนั้นผู้ใดให้แก่ท่านสามเณรจึงทูลว่า พระอาจารย์ของอาตมาให้แก่อาตมา พระองค์จึงตรัสถามว่า พระอาจารย์ของท่านนั้นชื่อดังฤา สามเณรจึงทูลว่าอาจารย์ของอาตมาท่านมีนามชื่อว่า ภิกษุ จึงตรัสถามต่อไปว่า พระอาจารย์ของท่านมีนามชื่อว่าภิกษุนั้นด้วยเหตุดังฤา สามเณรจึงกราบทูลว่า อาจารย์ของข้าพเจ้านั้นเป็นชื่อ รัตนะ อันเป็นแก้วหาค่ามิได้ ครั้นทรงสดับว่า พระสังฆรัตนะ ในพระพุทธศาสนาหาได้เป็นอันยากยิ่งนัก พระองค์ทรงมีความยินดีหาที่จะอุปมามิได้ คำนึงอยู่ในพระราชหฤทัยว่า จะเสด็จลงจากอาสน์ไปนมัสการเจ้าสามเณร เดชะที่พระองค์ทรงมีความเลื่อมใสในพระสังฆรัตนะ ดอกประทุมชาติก็บังเกิดผุดขึ้นรองรับพระองค์เอาไว้มิได้เป็นอันตราย จึงถวายนมัสการเจ้าสามเณรโดยเบญจางคประดิษฐ์แล้ว จึงตรัสถามเจ้าสามเณรต่อ ไปว่า พระสังฆรัตนะอาจารย์ของท่านนั้น บุคคลผู้ใดให้นามกร เจ้าสามเณรก็ทูลว่า อาจารย์ของข้าพเจ้านั้นคือ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระสิริมิตตะสัพพัญญู พระองค์โปรดประทานนามให้นามชื่อว่าพระสังฆรัตนะแก่พระอาจารย์ของอาตมา เมื่อสมเด็จพระบรมโพธิสัตว์ผู้ทรงพระอุตสาหะในพระศาสนาได้ทรงฟังสามเณรออกวาจาว่าองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นเสียงที่ได้ยินยากยิ่งในหลายโกฏิกัปป์แล้วพระองค์ก็ถึงวิสัญญีภาพสลบลงอยู่กับที่ ครั้นพระองค์ได้พระสติขึ้นมา จึงตรัสถามสามเณรอีกว่า ดูก่อนเจ้าสามเณรผู้เจริญ บัดนี้องค์สมเด็จพระพุทธเจ้าเสด็จยับยั้งอยู่ในฐานะที่ดังฤา สามเณรจึงทูลว่า สมเด็จพระมหากรุณาธิคุณเจ้าเสด็จยับยั้งอาศัยอยู่บุพพารามวิหารอันมีอยู่ในอุตตรทิศแต่กรุงอินทปัตถมหานครนี้ไปไกลกันมีประมาณได้สิบหกโยชน์ ได้ทรงฟังสามเณรแจ้งความว่าสมเด็จพระพุทธเจ้าบังเกิดแล้วในโลก จึงตรัสว่า ดูก่อนสามเณร ผิว่าองค์สมเด็จพระสัพพัญญูเจ้าเสด็จอยู่ในฐานทิศใด เราก็จะไปในประเทศทิศนั้น สมเด็จพระเจ้าสังขจักรบรมบพิตรผู้ประเสริฐ หาความเอื้อเฟื้อในสิริราชสมบัติบรมจักรของพระองค์มิได้ ด้วยพระหฤทัยนั้นผูกพันอยู่ในการที่จะได้พบเห็นองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าเป็นที่ยิ่งอย่างอุกฤษฏ์ ก็กระทำการราชาภิเษกเจ้าสามเณรนั้นให้สึกออกมาเสวยสิริราชสมบัติแทนพระองค์เป็นพระราชาอันประเสริฐ พระศาสดาเมื่อทรงประกาศเนื้อความนั้น จึงตรัสว่า
    “ อสัตตบุรุษ ย่อมไม่ทำตามสัตตบุรุษ ผู้ให้อยู่ซึ่งราชสมบัติอันบุคคลพึงให้ได้ยาก อาการของสัตตบุรุษทั้งหลาย ย่อมเป็นสภาพอันอสัตตบุรุษทำตามได้ยาก ดูก่อนสารีบุตร ผู้มีธรรมเป็นราชา สัตตบุรุษทั้งหลายย่อมให้ทานที่บุคคลอื่นให้ได้ยาก ย่อมทำกรรมที่บุคคลอื่นทำได้ยาก พวกอสัตตบุรุษย่อมทำตามไม่ ได้ ธรรมของสัตตบุรุษทั้งหลายเป็นธรรมที่อันธพาลดำเนินการไม่ได้คือ ธรรมที่อันพาลพึงนำไปปฏิบัติได้ยาก เพราะฉะนั้น ทางไปจากโลกนี้ของสัตตบุรุษทั้งหลายและอสัตตบุรุษทั้งหลายจึงแตกต่างกัน อสัตตบุรุษย่อมพากันไปสู่นรก สัตตบุรุษย่อมมีสวรรค์เป็นที่ไปในเบื้องหน้า
    ดูก่อนสารีบุตร ผู้มีธรรมเป็นราชา ผู้เจริญ การเกิดเป็นมนุษย์เป็นของยากการเลี้ยงชีวิตเป็นความทุกข์เข็ญ การได้พบเห็นพระพุทธเจ้าการได้ฟังธรรม การพบพระสงฆ์ เป็นเรื่องที่บุคคลพึงได้ยากยิ่ง จักรพรรดิสมบัติอันบุคคลพึงได้โดยยาก กรรมอันพระราชาทำแล้วอันบุคคลอื่นทำได้ยาก ”
    ครั้นกระทำราชาภิเษกเจ้าสามเณรแล้ว เอโก ว แต่พระองค์เดียวเสด็จโดยมีพระทัยเฉพาะต่ออุดรทิศ ตั้งพระทัยสู่บุพพารามวิหาร อันเป็นที่ประทับแห่งองค์สมเด็จพระสิริมิตรสัพพัญญูสัมมาสัมพุทธเจ้า สมเด็จพระเจ้าบรมสังขจักรจอมทวีปเป็นสุขุมาลชาติ พระสรีระกายนั้นละเอียดอ่อนเป็นอันดี เมื่อเสด็จพระราชดำเนินไปตามมรรคาหนทางแต่พระบาทเปล่า เวลาวันเดียว พระบาททั้งสองข้างก็ภินทนาการแตกออก จนพระโลหิตไหลตามฝ่าพระบาททั้งสอง เมื่อพระบาททั้งสองเดินมิได้แล้ว ในกาลนั้นพระองค์ก็ลงนั่งคุกเข่าคลานไปทีละน้อย ค่อยๆคมนาการไปตามหนทางที่เจ้าสามเณรชี้แจงบอกมานั้น จะได้ละความเพียรเสียหามิได้ ครั้นล่วงไปถึงสี่วันพระหัตถ์ซ้ายขวาและพระชงฆ์ทั้งสองข้างนั้นก็แตกช้ำพระโลหิตไหลออกมาจะคลุกคลานไปบ่มิได้เจ็บปวดแสนสาหัส เห็นขัดสนพระทัยนักแล้ว ถึงกระนั้นพระองค์ก็มิได้คิดท้อถอยย้อนรอยกลับคืนมา อาตมาจะไปให้ถึงสำนักขององค์สมเด็จพระผู้ทรงพระภาคเจ้าให้จงได้ ครั้นพระองค์ทรงคุกคลานไปมิได้แล้วพระองค์ก็ลงพังพาบไถลไปแต่ทีละน้อย ด้วยพระอุระของอาตมาประกอบไปด้วยทุกขเวทนาเหลือที่จะอดกลั้น พระองค์ทรงยึดหน่วงเอาพระพุทธคุณของสมเด็จพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ ด้วยพระเจตนาจะใคร่พบเห็นพระสิริมิตตะพุทธเจ้าผู้ทรงพระคุณอันใหญ่ยิ่ง แล้วก็ทรงอดกลั้นซึ่งทุกขเวทนานั้นเสีย หาเอื้อเฟื้ออาลัยในร่างกายของพระองค์ไม่ ฯ
    ครั้งนั้นสมเด็จพระสิริมิตรสัพพัญญูผู้ประเสริฐ พระองค์ทรงพระมหากรุณา เล็งแลดูสัตว์โลกทั้งหลายด้วยพระสัพพัญญุตตญาณ ก็รู้แจ้งเห็นด้วยกำลังความเพียรแห่งบรมสังขจักรนั้น เป็นอุกฤษฏ์โดยยิ่งวิเศษแล้วมิใช่อื่นมิใช่ไกลเป็นหน่อพระพุทธางกูรพุทธวงศ์อันเดียวกันกับพระตถาคต สมควรที่ตถาคตจักเสด็จไปสู่ที่ใกล้แห่งบรมสังขจักร เมื่อพระองค์ทรงพระดำริแล้วก็เสด็จพระพุทธดำเนินมาด้วยพระสิริวิลาศเป็นอันงาม แล้วพระองค์ทรงกระทำอิทธิฤทธิ์นิรมิตพระบวรกายของพระองค์ให้อันตรธานสูญหาย กลับกลายเป็นมาณพหนุ่มน้อย ขึ้นรถขับทวนมรรคามาเฉพาะหน้าแห่ง สมเด็จบรมสังขจักรนั้น แล้วพระพุทธสัพพัญญูเจ้าจึงร้องถามไปว่า ผู้ใดมานอนกลางทางขวางหน้ารถเราจงหลีกไปเสียเราจะขับรถไป ฝ่ายพระบรมโพธิสัตว์จึงตรัสตอบพระพุทธฎีกาว่า ดูก่อนนายสารถีผู้ขับรถ ท่านจะมาขับเราไปให้พ้นจากหนทางนั้นด้วยเหตุดังฤา ตัวเราผู้รู้จักคุณสมเด็จพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ยิ่งนัก ชอบแต่นายสารถีจะยั้งรถของท่านให้หลีกเราเสียจึงควร ถ้าท่านไม่หลีกเราก็ให้ท่านขับรถไปเหนือหลังเราเถิด ซึ่งจะให้เราหลีกนั้น เราหาหลีกไม่ แล้วจึงมีพระพุทธฎีกาว่า ถ้าแหละท่านจะไปยังสำนักพระพุทธเจ้าแล้ว จงมาขึ้นรถไปกับเราเถิดเราจะพาท่านไปให้ถึงสำนักสมเด็จพระพุทธเจ้าให้สมดังความปรารถนา พระจอมขัตติยาจึงตรัสว่า ถ้าท่านเอ็นดูกรุณาแก่เรา เราก็มีความยินดีสาธุอนุโมทนาด้วย ท่านว่าแล้วหน่อพระพิชิตมารก็อุตสาหะดำรงทรงพระกายขึ้นสู่รถแห่งสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า สมเด็จพระผู้ทรงธรรม์ก็หันหน้ารถไปตามมรรคาพาพระยาสังขจักรไป ครั้นถึงกึ่งกลางมรรคาหนทางแล้ว สมเด็จพระอมรินทราธิราชกับพระนางสุชาดาผู้เป็นอัครมเหสีนั้น นำเอาโภชนาหารอันเป็นทิพย์กับทั้งน้ำทิพย์ลงมา จำแลงแปลงเพศเป็นบุรุษยืนอยู่ตรงหน้ารถแล้วร้องว่า ดูก่อนนายสารถีผู้เจริญเอ๋ย ท่านอยากข้าวน้ำโภชนาหารหรือเราจะให้ เมื่อท้าวโกสีย์สักกะเทวราชกับพระนางสุชาดากล่าวดังนั้น สมเด็จพระสัพพัญญูเจ้าซึ่งแปลงเพศเป็นนายสารถีขับรถจึงว่า มาณพผู้เจริญ บุรุษทุพลภาพผู้หนึ่งมาในรถด้วยเรามีความลำบากเวทนานัก ท่านจะให้ข้าวน้ำโภชนาหารแก่เราก็ให้เถิดเราจะได้ให้แก่บุรุษทุพลภาพนั้นบริโภค ท้าวโกสีย์อมรินทราธิราชกับพระนางสุชาดาผู้มเหสี ก็ถวายข้าวน้ำโภชนาหารอันเป็นทิพย์แก่สมเด็จพระมหาบุรุษสัทธรรมสารถีผู้ประเสริฐ พระองค์ก็ประทานให้แก่พระบรมโพธิสัตว์บรมสังขจักรเสวยข้าวน้ำโภชนาหารอันเป็นทิพย์
    ครั้นพระองค์เสวยอิ่มหนำสำเร็จแล้ว ด้วยเดชะข้าวน้ำโภชนาหารอันเป็นทิพย์อุปัทวะโทมนัสทุกขเวทนาในสรีระกาย ก็อันตรธานหายพระองค์ก็มีพระสรีระกายเป็นสุขเสมอเหมือนแต่ก่อน สมเด็จพุทธสิริมิตรสัพพัญญูเจ้าก็พาพระยาบรมสังขจักรไปใกล้บุพพารามมหาวิหารแล้ว พระองค์ก็ทรงนิสีทนาการนั่งบนพระบวรพุทธอาสน์ในพระวิหาร ส่วนสมเด็จพระบรมโพธิสัตว์เจ้าก็เสด็จลงจากรถเข้าสู่บุพพารามมหาวิหารทอดพระเนตรไปได้ทัศนาการเห็นองค์สมเด็จพระสิริมิตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ประกอบไปด้วยทวัตติงสมหาปุริสลักษณะแลอสีตยานุพยัญชนะประดับทั้งพระพุทธรัศมีอันโอภาสสว่างรุ่งเรืองออกจากพระบวรกาย อันเสด็จทรงประทับนั่งอยู่ในที่นั้นพระองค์ก็ทรงวิสัญญีภาพสลบลงตรงพระพักตร์แห่งสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยความโสมนัสเกิดความปีติยินดีหาที่สุดมิได้ ส่วนสมเด็จพระสัพพัญญูเจ้า จึงมีพระพุทธฎีกาตรัสว่า ดูก่อนมหาราชผู้เป็นอภิชาตชายอันประเสริฐ พระตถาคตเจ้าเสด็จอยู่ในที่นี้แล้ว ครั้งนั้นสมเด็จพระบรมสังขจักร ก็ได้ซึ่งความยินดีชื่นชมก้มเศียรเกล้า คลานเข้าไปในสำนักสมเด็จพระสิริมิตตะพุทธองค์ เสด็จประทับนั่งยังที่อันสมควร แล้วจึงยกพระกรขึ้นประณมบังคมเหนือศิโรตม์ กระทำอภิวาทนมัสการกราบทูลว่า ภนฺเต ภควา ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญ บัดนี้ข้าพระบาทมาถึงสำนักพระองค์แล้ว ขอจงทรงพระกรุณาเป็นที่พึ่งแก่ข้าพระพุทธเจ้า โปรดตรัสพระสัทธรรมเทศนาอันอุดมให้ข้าพระบาทฟังในกาลบัดนี้ ฯ
    สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสว่า ดูก่อนมหาบพิตรผู้ประเสริฐ จงตั้งโสตประสาทสดับรสพระสัทธรรมเทศนาของตถาคตแล้วพิจารณาธรรมกถา อันกล่าวในคุณพระนิพพานในบัดนี้.ฯ
    ปางนั้นสมเด็จพระชินสีห์ จึงตรัสพระสัทธรรมเทศนาโปรดแก่พระยาสังขจักร เมื่อพระองค์ได้ทรงสดับพระสัทธรรมเทศนาบทหนึ่งสิ้นเนื้อความลงแล้ว ก็ทูลห้ามสมเด็จพระประทีปแก้วว่า ขอพระองค์จงหยุดพระสัทธรรมเทศนาเสียเถิด อย่าทรงสำแดงต่อไปเลย ฯ มีปุจฉาว่าเหตุไฉนพระเจ้าสังขจักรจึงทูลห้ามสมเด็จพระพุทธเจ้าเสียดังนี้ เดิมทีสิมีพระทัยผูกพันในพระพุทธศาสนาระลึกถึงซึ่งคุณพระพุทธเจ้า คุณพระธรรมเจ้า คุณพระสังฆเจ้า เป็นอันมาก สู้ทรงสละสิริราชสมบัติบรมจักร เสด็จมาด้วยความยากลำบากแทบถึงซึ่งชีวิตครั้นมาประสบพบสมเด็จพระภควันตบพิตรเจ้า พระองค์ทรงประทานพระสัทธรรมเทศนาแล้วห้ามเสียด้วยเหตุประการใด ฯ
    วิสัชนาว่า สมเด็จบรมสังขจักรหน่อพระพุทธางกูรทรงคิดเห็นว่า ถ้าสมเด็จพระพุทธเจ้าโปรดประทานพระสัทธรรมเทศนาเป็นอันมาก แล้วพระองค์ก็เสด็จมาแต่พระองค์เดียวเปลี่ยวพระทัยนัก จะหาเครื่องไทยธรรมอันสมควรที่จะสักการบูชาให้สมควรแก่รสพระสัทธรรมเทศนา นั้นหามีไม่ บัดนี้เราได้สดับรสพระสัทธรรมเทศนาแต่บทเดียว เครื่องสักการบูชาของอาตมานี้มิสมควรแก่พระสัทธรรมแล้ว พระองค์คิดดังนี้จึงทูลห้ามสมเด็จพระพุทธเจ้าเสียพระองค์จึงกราบทูลว่า ข้าพระพุทธเจ้าเกล้ากระหม่อมฉัน ได้สดับพระสัทธรรมของพระองค์ในกาลบัดนี้ พระองค์ทรงพระกรุณาตรัสพระสัทธรรมเทศนาสำแดงคุณแห่งพระนิพพานบทเดียว ก็เป็นที่สุดพระสัทธรรมเทศนาอยู่แล้ว ข้าพระพุทธเจ้าขอตัดเศียรเกล้าอันเป็นที่สุดสรีระกายแห่งข้าพระพุทธเจ้าออกกระทำสักการบูชาพระสัทธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระพุทธเจ้าก่อนตรัสดังนั้นแล้ว พระเจ้าสังขจักรผู้มีอัธยาศัยอันยิ่ง จึงทรงอธิษฐานขอให้เล็บของพระองค์คมดุจดังพระแสงดาบเด็ดซึ่งพระศอให้ขาด แล้ววางไว้บนฝ่าพระหัตถ์ ตั้งปณิธานความปรารถนา ออกพระโอษฐ์ตรัสด้วยวาจาว่า
    “ ภนฺเต ภควา ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงสิริเป็นที่เฉลิมโลก เชิญพระองค์เสด็จเข้าสู่เมืองแก้วอันเกษมสานต์ คือ พระอมตะมหานิพพาน อันสำราญก่อนข้าพระบาทเถิด ข้าพระบาทจะขอตามเสด็จไปสู่พระนิพพานอันสำราญต่อภายหลัง ด้วยข้าพระพุทธเจ้าได้ถวายเศียรเกล้าบูชาพระสัทธรรมเทศนาของพระองค์ในกาลบัดนี้ ขอจงเป็นปัจจัยให้สำเร็จแก่พระอภิเษกสัมโพธิญาณในกาลเบื้องหน้าด้วยเถิด ฯ.”
    ในที่สุดขาดพระวาจาปณิธานปรารถนาลง พระบรมโพธิสัตว์ก็สิ้นชีวิตไปจุติบังเกิดในดุสิตาสวรรค์เทวโลก ฯ
    ดูก่อนสำแดงสารีบุตร ครั้นเมื่อพระบรมโพธิสัตว์ศรีอาริยเมตไตรยเจ้าได้ตรัสเป็นสมเด็จพระสัพพัญญูสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว จึงมีพระองค์สูงได้แปดสิบศอก ด้วยผลทานที่เด็ดพระเศียรเกล้ากระทำสักการบูชาพระสัทธรรมพระองค์ทรงพระรัศมีสิ้นทั้งกลางวันและกลางคืนมิได้ขาดนั้น ด้วยอานิสงส์ที่พระองค์อุตสาหะไปในมรรคาหนทาง ปรารถนาจะพบเห็นพระพุทธเจ้าจนพระโลหิตไหลออกจากพระบาทพระชงฆ์พระหัตถ์และพระอุระของพระองค์ เมื่อเป็นพระบรมสังขจักรนั้น อนึ่งพระพุทธรัศมีของพระองค์แผ่ซ่านตลอดไปเบื้องบนจนถึงพรหมโลก เบื้องต่ำตลอดลงไปถึงอเวจีมหานรก ด้วยผลอานิสงส์ที่พระองค์เด็ดเศียรเกล้าออกกระทำสักการบูชาพระสัทธรรมโลหิตไหลออกจากพระเศียร อนึ่งในศาสนาของสมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรยพุทธเจ้า บังเกิดมีไม้กัลปพฤกษ์ ด้วยอานิสงส์ที่พระองค์ทรงเสด็จ ไปตามมรรคหนทางจะใคร่พบองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าถ้วนถึงเจ็ดวันเป็นกำหนดจึงได้ประสบพบปะ ฯ
    ดูก่อนสารีบุตร ผู้เป็นธรรมเสนาบดีของตถาคต ฝูงคนทั้งหลายที่มิได้เห็นรูปกายของตถาคตนี้ แล้วได้กระทำการให้ทาน ( สังฆทาน ทอดกฐิน วิหารทาน ธรรมทาน เป็นหลักใหญ่ )รักษาศีล ๕ กรรมบถ ๑๐ จำเริญเมตตาภาวนา ( ทำมากไม่ได้แค่หัวถึงหมอนให้ดูลมหายใจเข้าออก พร้อมภาวนาว่า พุทโธ จนหลับไป )ด้วยเดชะผลานิสงส์ ฝูงคนทั้งหลายเหล่านั้นจักได้บังเกิดทันพระศาสนาของสมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรยเจ้า อันจะมาตรัสเป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้าในอนาคต .ฯ
    ภาคผนวก
    คำสอนของพระศรีอาริยเมตไตรย
    ท่านบอกว่า “ ให้ทุกคนที่ต้องการเกิดทันสมัยผม ให้รักษาศีลห้าเป็นปกติ รักษากรรมบถสิบ เป็นปกติทุกวัน ไม่คลาดเคลื่อนอยู่อย่างนี้ เป็นอุฆฏิตัญญู ไปเกิดในสมัยผมฟังเทศน์แค่หัวข้อเล็กๆสั้นๆก็บรรลุมรรคผลทันที ถ้าบางท่านปฏิบัติอ่อนกว่านั้นรักษากรรมบถสิบ ได้เหมือนกันศีลห้า ก็ครบ แต่ว่าบางทีมีอาการเผลอเล็กน้อย อย่างนี้ เป็นวิปจิตัญญูหมายความว่า ไปเกิดในสมัยผมเทศน์หัวข้อฟังไม่เข้าใจต้องอธิบายเล็กน้อยจึงบรรลุอรหันต์ บางท่านที่มีบารมีอ่อนกว่านั้น วันธรรมดาๆ อาจจะบกพร่องบ้างเป็นของธรรมดา แต่สำหรับวันพระต้องรักษาให้ครบถ้วนทั้ง ศีลห้าและกรรมบถสิบ หมายความตามธรรมดา คนเรามีอาชีพต่างกัน บาง คนปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหาร ก็ต้องฉีดยาฆ่าเพลี้ยฆ่าสัตว์ที่มารบกวนพืชพันธุ์ธัญญาหาร บ้าง บางคนมีอาชีพไปในทางการประมง ต้องทำการประมงฆ่าปลาฆ่าสัตว์บ้าง ถ้าอย่างนี้ถือว่าวันธรรมดาบกพร่องได้ แต่วันพระต้องครบถ้วนบริบูรณ์ อย่างนี้เกิดในสมัยผม เขาเรียกว่าเนยยะ เทศน์ครั้งเดียวสองครั้งไม่มีผล ต้องฟังเทศน์หลายๆหน สามารถเป็นพระอริยเจ้าได้
    กรรมบถสิบ
    ทางกาย
    ๑. ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ทรมานสัตว์
    ๒. ไม่ลักทรัพย์ ไม่โกงเขา
    ๓. ไม่ประพฤติผิดในกาม
    ๔. ไม่ดื่มสุราและเมรัย
    ทางวาจา
    ๕. ไม่พูดปด
    ๖. ไม่พูดคำหยาบ
    ๗. ไม่ส่อเสียด ยุยงให้เขาแตกร้าวกัน
    ๔. ไม่พูดวาจาเหลวไหลไร้ประโยชน์
    ทางจิตใจ
    ๘. ไม่คิดอยากได้ทรัพย์สมบัติของผู้อื่นโดยไม่ชอบธรรม
    ๙. ความโกรธยังมีอยู่ แต่ไม่จองล้างจองผลาญ ไม่พยาบาทใคร
    ๑๐. ยอมรับนับถือคำสอนพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ฯ
    แสดงมาด้วยเรื่องสมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรยบรมโพธิสัตว์ก็ยุติเพียงเท่านี้

    อานิสงส์รักษาศีล
    ๑.เว้นจากการฆ่าและทรมานสัตว์ตลอดชีวิต อย่างนี้ถ้าตายไปจากชาตินี้ ก็ไปเกิดเป็นเทวดาหรือพรหม หมดบุญจากเทวดาหรือพรหมมาเกิดเป็นมนุษย์ใหม่จะเป็นคนมีรูปงาม ไม่มีโรคเบียดเบียน อายุยืนยาวครบอายุขัย ฯ.
    ๒.เว้นการถือเอาทรัพย์สินที่คนอื่นไม่เต็มใจให้หรือขโมยของเขาตลอดชีวิตและมีการให้ทานตามแต่จะให้ได้ ถ้ายังมีไม่พอจะให้ได้ก็คิดว่าถ้าเรามีทรัพย์เราจะให้เพื่อเป็นการสงเคราะห์ อย่างนี้ถ้าตายไปจากชาตินี้ ก็ไปเกิดเป็นเทวดาหรือพรหม หมดบุญจากเทวดาหรือพรหม มาเกิดเป็นคน จะเป็นคนร่ำรวยมาก มีความปรารถนาในทรัพย์สมหวังทุกอย่าง ทรัพย์ไม่ถูกทำลายเพราะโจร ไฟ น้ำ ลม และจะรวยตลอดชาติ ฯ.
    ๓.เว้นจากการทำชู้ ลูกเขา ผัวเขา เมียเขา ตลอดชีวิต เว้นอย่างนี้ได้ ตายจากความเป็นคน ไปเกิดเป็นเทวดาหรือพรหม แล้วลงมาเกิดเป็นคน จะมีคนในปกครองดีทุกคน จะไม่หนักใจเพราะคนในปกครองเลย ฯ.
    ๔.เว้นจากการดื่มน้ำเมาและสิ่งเสพย์ติดที่ทำให้เสียสติต่างๆทุกประการตลอดชีวิต เว้นได้ตามนี้ตายจากความเป็นคน ไปเกิดเป็นเทวดาหรือพรหม แล้วลงมาเกิดเป็นคนใหม่ จะไม่มีโรคปวดศีรษะ ไม่เป็นโรคเส้นประสาทไม่มีโรคบ้ามารบกวน เป็นคนมีมันสมองดีปลอดโปร่งในอารมณ์ (เป็นคนฉลาดมาก) ฯ.

    ๕.เว้นจากการพูดโกหก หลอกลวง
    ๖.เว้นจากการพูดคำหยาบคาย
    ๗.เว้นจากการพูดส่อเสียดยุยง ให้คนอื่นเขาแตกแยกกัน
    ๘.เว้นจากการพูดเพ้อเจ้อเหลวไหลไร้สาระไม่เป็นประโยชน์ตลอดชีวิต เว้นอย่างนี้ได้ หลังจากเป็นเทวดาหรือพรหมแล้วลงมาเกิดเป็นคน จะเป็นคนที่มีวาจาเป็นที่รักของผู้รับฟัง ไม่มีใครอิ่มหรือเบื่อในการฟัง ถ้าพูดตามภาษาชาวบ้านท่านเรียกว่ามีวาจาเป็นมหาเสน่ห์ หรือมีเสียงเป็นทิพย์ คนชอบฟังเสียงที่พูด การงานทุกอย่างจะสำเร็จก็เพราะเสียง ทรัพย์สินต่างๆจะเกิดขึ้นเพราะเสียง ถ้าพูดโดยย่อก็ต้องบอกว่ารวยเพราะเสียง ฯ.
    ๙.เว้นจากการคิดอยากได้ทรัพย์ของคนอื่นมาเป็นของตนเอง ข้อนี้ไม่ได้ขโมยและไม่คิดว่าจะขโมยด้วย เป็นการคุมอารมณ์ใจ ฯ.
    ๑๐.ไม่คิดประทุษร้ายจองเวรจองกรรมจองล้างจองผลาญใคร มีจิตเมตตาคือมีความรักในคนและสัตว์เหมือนรักตัวเอง ฯ.
    ๑๑.ยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า และปฏิบัติตามคำสั่งสอนทุกประการ ไม่สงสัยในคำสอนและผลของการที่ปฏิบัติ ผลของการเว้นในข้อที่ ๙,๑๐,๑๑ นี้ เมื่อเกิดใหม่จะเป็นคนที่มีอารมณ์สงบสุข ไม่มีความทุกข์ทางใจอย่างใดอย่างหนึ่งเลย และเป็นผลให้เข้าพระนิพพานได้ง่ายที่สุด ฯ.

    [SIZE="2"[CENTER][COLOR="Red"]]ด้วยผลบุญนี้ จงเป็นปัจจัยให้ข้าพเจ้าได้บรรลุพระอภิเษกสัมมสัมโพธิญาณ ตรัสเป็นพระมหามุนีธัมมะสามีวิริยาธิกะสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคต
    เพื่อจะปลดเปลื้องสัตว์ทั้งหลายจากสังสารทุกข์ ขึ้นสู่แดนเอกันตบรมสุข คือพระนิพพาน …
    ตราบใดที่ข้าพเจ้ายังเป็นผู้มีบารมียังอ่อน ยังจักต้องเร่ร่อนไปในชาติภพใดๆ ขอความอดอยากยากจน ความทุกข์ยากลำบากเข็ญใจ คำว่าไม่มี คำว่าความปรารถนาไม่สมหวัง คำว่าท้อแท้เหนื่อยหน่ายคลายความเพียรในการสร้างสมบารมีทั้งสามสิบทัศ ความท้อแท้เหนื่อยหน่ายคลายความเพียรในการสร้างพระโพธิญาณ และการลาพุทธภูมิ จงอย่าพึงบังเกิดมีแก่ข้าพเจ้าเลย
    นับตั้งแต่บัดเดี๋ยวนี้เป็นต้นไป จนกว่าจะถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเถิด

    อ้างจากพระไตรปิฎก ทีฆนิกาย อัคคัญญะสูตร / หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม เล่ม ๒ เกร็ดพระพุทธศาสนา / พระอนาคตวงศ์
    [/SIZE][/COLOR][/CENTER]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กุมภาพันธ์ 2013

แชร์หน้านี้

Loading...