พระนันทาเถรี

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย J.Sayamol, 31 พฤษภาคม 2009.

  1. J.Sayamol

    J.Sayamol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2008
    โพสต์:
    6,190
    ค่าพลัง:
    +21,530
    [​IMG]

    ในอดีตชาติของพระนันทาเถรี (ในอรรถกถาใช้เป็นชื่อ สุนทรีนันทา) เคยสั่งสมบุญเอาไว้ในสมัยของ พระพุทธเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระ ผู้ทรงรู้แจ้งจบในธรรมทั้งปวง ทรงฉลาด ในวิธีแสดงธรรม ตรัสสอนให้สรรพสัตว์ เกิดดวงตาเห็นธรรม ทรงช่วยหมู่ชน ให้ข้ามพ้น วัฏฏสงสาร (การเวียน ว่ายตายเกิดอยู่กับกิเลส) ทรงทำให้เดียรถีย์ (นักบวชนอก พุทธศาสนา) กลับใจมาถือมั่นในศีล ๕ ศาสนาของพระองค์ว่างเปล่าจากพวกเดียรถีย์ งดงามไปด้วยพระอรหันต์ทั้งหลาย ผู้เที่ยงแท้คงที่

    ครั้งนั้นนางเกิดในตระกูลเศรษฐีที่มั่งคั่ง ร่ำรวยในเมืองหงสาวดี เป็นผู้เพียบพร้อม ด้วยความสุขสบาย ตั้งแต่เล็ก จนกระทั่งเติบโต เป็นสาวรุ่น ไม่ต้องพบพานความทุกข์ยาก ลำบากใด ๆ เลย

    วันหนึ่ง นางมีโอกาสเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ ได้ฟังพระธรรมเทศนา อันประกาศถึงปรมัตถธรรม (สิ่งเป็นจริงที่มีประโยชน์สูงสุด คือ นิพพาน) อย่างจับจิต จับใจยิ่งนัก บังเกิดความเลื่อมใสมาก จึงได้นิมนต์พระพุทธเจ้า พร้อมด้วยหมู่สงฆ์ ถวายมหาทาน ด้วยมือของตนเอง แล้วก้มลงกราบ ซบศีรษะลง จรดพื้น เอ่ยปากแสดงการอธิษฐาน (ตั้งจิต) อันแรงกล้า ต่อพระพุทธองค์ ว่ามุ่งมั่นปรารถนา ความเป็นผู้เลิศยอดกว่าใคร ๆ ในการมีฌาน (สภาวะสงบอันประณีตยิ่ง)

    คราวนั้นเอง พระพุทธเจ้าองค์ปทุมุตตระ ทรงได้พยากรณ์ด้วยญาณหยั่งรู้ในอนาคตว่า " ในอนาคตนับจากกัป (โลกวอดวายหนึ่งครั้ง) นี้ถึงกัปที่หนึ่งแสน พระพุทธเจ้าพระนามว่า โคดม จะอุบัติขึ้นในโลก เธอจะมีชื่อว่า นันทา จะได้เป็นธรรมทายาทของพระศาสดา พระองค์นั้น แล้วเธอจะได้สมดังความปรารถนาที่ตั้งจิตไว้ดีแล้วนั้น"

    นางได้ฟังคำตรัสแล้ว มีใจยินดียิ่ง มีจิตเต็มเปี่ยมด้วยเมตตา บำรุงดูแล พระพุทธเจ้า และหมู่สงฆ์ทั้งหมดด้วยปัจจัย (สิ่งจำเป็นในการดำรงชีวิตอยู่) ทั้งหลายจนตลอดชีวิต ด้วยผลบุญแห่งกุศลกรรมที่ทำดีไว้นั้น ทำให้ได้เกิดในสวรรค์ (สภาวะสุข ของผู้มี จิตใจสูง) ชั้นต่าง ๆ เมื่อได้กายใหม่เป็นมนุษย์ ก็เป็นอัครมเหสีของพระเจ้าจอมจักรพรรดิ หรือพระเจ้าเอกราช มีความสุขในที่ทุกสถาน ทั้งเป็นเทวดา และมนุษย์ ไม่ว่าจะไปเกิดในชาติใด ๆ

    เมื่อถึงชาติสุดท้าย ในสมัยของพระพุทธเจ้าองค์สมณโคดม นางได้เกิดเป็น พระธิดาของ พระเจ้าสุทโธทนะ แห่งกรุงกบิลพัสดุ์ กับพระนางมหาปชาบดีโคตมี ซึ่งเป็นพระน้านางของเจ้าชายสิทธัตถะ และมีเจ้าชายนันทะ เป็นพระภาดา (พี่ชาย) นางได้ชื่อว่า นันทา ก็เพราะรูปโฉมงดงามยิ่งนัก มหาชนพากันชื่นชม สรรเสริญว่ามีความงามดังดวงอาทิตย์ที่เจิดจ้า ในพระนครกบิลพัสดุ์นั้น นอกจาก พระนางยโสธรา ซึ่งเป็นพระสุณิสา (พี่สะใภ้) แล้ว นางเป็นสาวสวยที่งามที่สุด ยิ่งกว่าสาวรุ่นคนใดทั้งปวง

    ครั้นต่อมา เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงออกบวช ได้สำเร็จเป็น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว บรรดาพระประยูรญาติใกล้ชิด พากันออกบวชหมด แม้แต่พระมหาปชาบดี ผู้เป็นพระมารดา พระยโสธรา ผู้เป็นพระสุณิสา เจ้าชายนันทะ ผู้เป็นพระภาดา (พี่ชาย) พระราหุล ผู้เป็นพระนัดดา (หลานชาย) เหลืออยู่แต่นางยังเป็นคฤหัสถ์อยู่ผู้เดียว

    นางนึกถึงคำเตือนของพระมารดาที่ว่า "ลูกรัก เจ้าเกิดอยู่ในศากยสกุล เป็นน้องสาวของพระพุทธองค์ กับพระนันทะ ก็เมื่อบัดนี้ในวังไม่มีนันทกุมารเสียแล้ว เจ้ายังจะอยู่ เพื่อประโยชน์อะไรเล่า รูปกาย แม้จะสวยสดงดงาม ก็มีความแก่เป็นจุดจบ กายนี้บัณฑิตรู้กันดีว่าเป็นของไม่สะอาด เมื่อยังเจริญแข็งแรง ก็มิได้มีโรค แต่บั้นปลายก็จะมีโรค เพราะชีวิตมีความตายเป็นที่สุด แม้ร่างนี้ของลูก จะงาม จูงใจให้หลงใหล ยิ่งตกแต่งด้วยเครื่องประดับมากอย่าง ก็ยิ่งมีความงาม เปล่งปลั่ง เป็นที่นิยมยินดีของสายตาทั้งหลาย เสมือนทรัพย์มีค่าที่ชาวโลกพากันสรรเสริญบูชา แต่ไม่ช้านานเท่าไรเลย ความชราก็เข้ามาย่ำยี ลูกรักเจ้าจงละทิ้งพระราชวัง ละทิ้งรูปกายที่บัณฑิตติเตียนแล้วมาประพฤติพรหมจรรย์เถิด" ถึงจะหลงใหลในความงดงามอยู่ แต่นางก็ตัดสินใจทำตามคำตรัสของพระมารดา จึงได้ออกบวชเป็นภิกษุณี ซึ่งออกบวชเพียงร่างกายเท่านั้น แต่จิตใจมิได้บวชด้วยศรัทธาแท้จริง บวชเพราะปรารถนาอยู่ใกล้ชิด กับพระญาติสนิท มากกว่า

    ครั้นบวชแล้ว เพราะความที่ยังติดสวย ติดงามนี่เอง นันทาภิกษุณีจึงถูกรบกวน ด้วยอารมณ์ราคจริต (นิสัยรักสวยรักงาม) เสมอ ต้องระลึกถึงตัวเองอยู่ด้วยการ เพ่งฌานให้มาก แต่ก็มิได้ขวนขวายในการปฏิบัติธรรมนั้น แม้พระมหาปชาบดีโคตมีเถรีจะกล่าวตักเตือนอยู่ก็ตาม อีกทั้งนันทาภิกษุณีก็ไม่ยอมไปฟังธรรม จากพระพุทธองค์เลย ด้วยความเข้าใจว่าพระศาสดา ทรงตำหนิติเตียนรูปทรงชี้แต่โทษของรูป ด้วยเหตุนี้เองพระศาสดาจึงตรัสสั่ง พระมหาปชาบดีโคตมีเถรีว่า "ภิกษุณีทั้งหมด จงมารับโอวาทจากเราตามลำดับ ตามวาระของตน "
    พอถึงวาระที่นันทาภิกษุณีต้องไปฟังธรรม ก็เลี่ยงส่งรูปอื่นไปแทนเสีย ทำให้พระศาสดาต้องตรัสย้ำ กำชับอีกว่า "เมื่อถึงวาระฟังธรรมของรูปใด ภิกษุณีรูปนั้น พึงมาฟังธรรมด้วยตนเอง ไม่พึงส่งรูปอื่นมาแทน" ทำให้นันทาภิกษุณี ไม่อาจละเมิดรับสั่ง ของพระศาสดาได้ ต้องปฏิบัติตามนั้น

    วันหนึ่ง พระพุทธองค์ทอดพระเนตร เห็นใบหน้าของนันทาภิกษุณีแจ่มใส ดังดอกบัวบาน เมื่อมาฟังธรรมเป็นอุปนิสัยอันควร แก่การบรรลุธรรม จึงตรัสเนรมิตนางงามเลิศคนหนึ่ง ทั้งน่าชื่นชม ทั้งน่าชอบใจ ให้ปรากฏในจิตของนันทาภิกษุณี เสมือนปรากฏอยู่เบื้องหน้าสายตา ฉะนั้น ด้วยอานุภาพแห่ง อนุสาสนีปาฏิหาริย์ของพระองค์ พอได้เห็นนางงามที่สวยพริ้งยิ่งกว่าตน นันทาภิกษุณี ถึงกับคิดเพ้อไปว่า "ดีจริงหนอ เป็นลาภแก่ดวงตา ของเราแล้วหนอ ที่ได้พบเห็นนางงามถึงปานนี้ เชิญเถิดแม่คนงาม เธอมีชื่อสกุลใด หากมีความประสงค์สิ่งใด จงบอกแก่ฉันเถิด ฉันจะให้"

    "เวลานี้ยังไม่ใช่เวลาที่จะถามปัญหา ท่านจงให้ฉันนอนหนุนตัก ให้ฉันได้พักหลับสักครู่ก่อน" ว่าแล้ว นางงามนั้นก็เอาศีรษะพาดลงที่ตัก ของนันทาภิกษุณี หลับตาพริ้มอย่างเป็นสุข

    ทันใดนั้นเอง.....หน้าผากของนางงามนั้น พลันพองโตขึ้น แล้วปรากฏของแข็ง ก้อนใหญ่ตกลง กระแทกหน้าผากอย่างแรง หน้าผากของนางงาม แตกดังโพละ ทั้งเลือดทั้งหนอง ไหลพรั่งพรูออกมา ส่งกลิ่นเหม็นเน่าคละคลุ้ง มีการบวมเขียว ลุกลามไปทั่วทั้งตัว กายสั่นเทิ้ม หายใจถี่ ได้รับทุกข์ทรมาน ดิ้นทุรนทุรายอยู่ ขณะนั้นนันทาภิกษุณีถึงกับสะดุ้ง แล้วกลับรำพัน อย่างสลดสังเวชใจว่า "แม่คนงามประสบทุกข์ ฉันก็พลอยมีทุกข์ จมอยู่ในมหาทุกข์ไปด้วย แม่คนงามที่เป็นที่พึ่งของฉัน บัดนี้หน้าที่งดงามนั้นหายไปไหน จมูกโด่งงามนั้น หายไปไหน ริมฝีปากที่สวย เหมือนลูก มะพลับสุก หายไปไหน ลำคอคล้ายปล้องทองคำหายไปไหน ใบหูดังพวงดอกไม้ สิ้นสีสันไปแล้ว ปทุมถันคล้ายดอกบัวตูมแตกแล้ว มีกลิ่นเหม็นคล้ายศพเน่า เอวกลม ตะโพกผาย ของแม่คนงาม เต็มไปด้วย สิ่งชั่วถ่อยหนอ"

    โอ....รูปไม่เที่ยง อวัยวะทั้งหมดสกปรกน่ารังเกียจ น่ากลัวเหมือนซากศพ ที่ถูกทิ้งไว้ ในป่าช้า แต่ร่างกายนี้กลับเป็นที่ยินดีของพวกพาลชน (คนโง่เขลา)
    พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรู้อารมณ์จิต ของนันทาภิกษุณี ว่าเข้ากระแส สู่ความสังเวชแล้ว เกิดความเบื่อหน่ายในรูป จึงตรัสสอนว่า "ดูก่อนนันทา จงดูร่างกายอันกระสับกระส่าย ไม่สะอาด เปื่อยเน่า ดังซากศพ จงอบรมจิตให้ ตั้งมั่นด้วยดี มีอารมณ์เป็นหนึ่ง ด้วยอสุภารมณ์ (อารมณ์ที่พิจารณา เห็นความไม่สวยไม่งาม) ร่างกายเรานี้ฉันใด ร่างกายท่านก็ฉันนั้น ร่างกายท่านฉันใด ร่างกายเรา ก็ฉันนั้น ร่างกายเป็นของเหม็นเน่า มีกลิ่นเหม็นฟุ้งไป พวกคนพาล ยินดียิ่งนัก แต่พวกบัณฑิต ย่อมพิจารณาเห็นร่างกายนี้เป็นของสกปรก ท่านจงพิจารณาโดยไม่เกียจคร้านเถิด ทั้งกลางวันกลางคืน ก็จะเบื่อหน่ายในรูปกายนี้ จะแทงตลอด เห็นด้วยปัญญาของตนได้"

    ด้วยการตั้งใจ และกระทำจิตให้แยบคายพิจารณากายเห็นเป็นอนิจจัง (ไม่เที่ยง) ทุกขัง (เป็นทุกข์) อนัตตา (ไม่ใช่ตัวตน) ทำให้นันทาภิกษุณี เกิดญาณ (ความรู้จริง) ขึ้นแล้ว พระศาสดาจึงตรัส แสดงธรรมยิ่งขึ้นว่า "รูปกายนี้ตามธรรมดาแล้ว สร้างขึ้นให้เป็นนคร แห่งกระดูก มีเนื้อและเลือด ฉาบทาไว้ เป็นที่ ตั้งแห่งความชรา ความตาย ความถือดี และความลบหลู่" เมื่อจบคาถาธรรมนี้ พระนันทาเถรี มีจิตสว่างไสวตั้งมั่นอยู่ในธรรม ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์แล้ว จึงอุทานออกมาว่า

    "เมื่อเราเป็นผู้ไม่ประมาท ค้นคว้าอยู่โดยอุบายอันแยบคาย จึงเห็นกายนี้ ทั้งภายใน และภายนอก ตามความเป็นจริง เราจึงเบื่อหน่ายในกาย คลายความกำหนัดในภายใน ไม่เกาะเกี่ยวในสิ่งใด ๆ เป็นผู้สงบระงับ ดับสนิทแล้ว ไม่ว่าจะอยู่ในที่ไหน ๆ ก็มีฌาน (สภาวะสงบ อันประณีตยิ่ง) อยู่ตลอดเวลา"

    พระศาสดาทรงพอพระทัย ในคุณสมบัตินั้น จึงทรงตั้งให้พระนันทาเถรี อยู่ในตำแหน่ง เอตทัคคะ (ผู้ยอดเยี่ยมพิเศษกว่าผู้อื่น ในทางใดทางหนึ่ง) ด้านชำนาญในฌานไว้แล้ว


    ณวมพุทธ พฤหัส ๑ มี.ค.๒๕๔๔ (พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่ม ๒๖ ข้อ ๔๔๒ พระไตรปิฎกฉบับ หลวงเล่ม ๓๓ ข้อ ๑๖๕ พระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาฯเล่ม ๓๓ หน้า ๔๗๗ อรรถกถาแปลเล่ม ๕๔ หน้า ๑๓๖)

    กว่าจะถึงอรหันต์ สารอโศก อันดับ ๒๓๓ เดือน กุมภาพันธ์ ๒๕๔๔ หน้า ๗๘ - ๘๒

     

แชร์หน้านี้

Loading...